M’Cheyne Bible Reading Plan
แท่นบูชาสำหรับเครื่องเผาบูชา
(อพย. 27:1-8)
38 เบซาเลลได้เอาไม้กระถินมาสร้างแท่นบูชาเพื่อเผาเครื่องบูชา ซึ่งมีความยาวห้าศอก[a] กว้างห้าศอก เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส สูงสามศอก[b] 2 เขาทำเชิงงอนที่หัวมุมทั้งสี่ ติดเป็นเนื้อเดียวกับแท่นบูชาและเคลือบด้วยทองสัมฤทธิ์ 3 เขาทำเครื่องใช้ทั้งหมดสำหรับแท่นบูชาด้วยทองสัมฤทธิ์ เช่น พวกหม้อ ทัพพี ชามประพรม ส้อม และกระทะ 4 เขาใช้ทองสัมฤทธิ์มาทำตะแกรงหนึ่งอัน และเอาไปวางไว้ในแท่น ลึกจากขอบของแท่นบูชาลงไปครึ่งหนึ่ง
5 เขาเอาทองสัมฤทธิ์มาหล่อเป็นห่วงสี่อัน ห่วงสี่อันนี้ติดอยู่ที่มุมทั้งสี่ของตะแกรงที่ทำจากทองสัมฤทธิ์นั้น ห่วงนี้เอาไว้สอดคานเวลาหามแท่นบูชา 6 เขาเอาไม้กระถินมาทำคานหาม และเคลือบมันด้วยทองสัมฤทธิ์ 7 แล้วเอาไปสอดเข้ากับห่วงที่ติดอยู่ด้านข้างของแท่นบูชา เพื่อหามแท่นบูชากับคานสองอันนั้น เขาทำแท่นบูชานี้ให้กลวงตรงกลาง และด้านข้างปิดด้วยแผ่นกระดาน
8 เบซาเลลทำอ่างทองสัมฤทธิ์หนึ่งใบพร้อมฐานรองของมัน จากกระจกเงาของพวกผู้หญิง ที่รับใช้อยู่ที่ประตูเต็นท์นัดพบ
ลานรอบๆเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์
(อพย. 27:9-19)
9 เบซาเลล ใช้ผ้าทอลินิน ขนาดยาวหนึ่งร้อยศอก[c] มากั้นเป็นม่าน ทำเป็นลานขึ้นมาทางทิศใต้ 10 เขาเอาทองสัมฤทธิ์มาทำเสายี่สิบต้นและฐานรองยี่สิบฐานสำหรับม่านกั้นนั้น แต่ตะขอและห่วงที่ติดอยู่บนเสาทำจากเงิน 11 ทางทิศเหนือเขาทำม่านกั้นเหมือนลานทางทิศใต้ คือ ขึงผ้าทอลินิน ยาวหนึ่งร้อยศอกบนเสายี่สิบเสาที่ตั้งอยู่บนฐานทองสัมฤทธิ์ยี่สิบฐาน และมีตะขอและห่วงทำจากเงิน
12 ทางทิศตะวันตก เขาใช้ผ้าทอลินิน ยาวห้าสิบศอก[d] ใช้เสาสิบต้นบนฐานสิบฐาน ตะขอและห่วงที่ติดอยู่บนเสานั้นทำด้วยเงิน
13 ด้านหน้าของเต็นท์ ซึ่งเป็นทิศตะวันออก ยาวห้าสิบศอก ช่องทางเข้าอยู่ด้านนี้ 14 ด้านข้างของช่องทางเข้าด้านหนึ่ง มีม่านขนาดยาวสิบห้าศอก[e]ขึงอยู่ บนเสาสามต้นที่ตั้งอยู่บนฐานสามฐาน 15 อีกด้านหนึ่งของช่องทางเข้าก็ทำเหมือนกัน คือ ขึงม่านยาวสิบห้าศอก บนเสาสามต้นที่อยู่บนฐานสามฐาน 16 ม่านที่แขวนไว้รอบๆลานทั้งหมดนั้น ทำมาจากผ้าทอลินิน 17 ฐานของเสาเหล่านั้นทำด้วยทองสัมฤทธิ์ ตะขอและห่วงทำด้วยเงิน ส่วนยอดของเสาเคลือบด้วยเงิน เสาทุกต้นของลาน จะมีการตกแต่งด้วยแผ่นเงินในส่วนที่เชื่อมติดกับฐาน
18 ทางเข้าลานใช้ฉากกั้นที่ทำด้วยผ้าที่ทอจากด้ายสีน้ำเงิน สีม่วง สีแดงเข้ม และผ้าทอลินิน มีขนาดยาวยี่สิบศอก[f] สูงห้าศอก ซึ่งมีส่วนสูงเท่ากับผ้าม่านรอบๆลาน 19 ม่านเหล่านี้ได้แขวนขึ้นบนเสาสี่เสาที่ตั้งอยู่บนฐานสี่ฐานที่ทำด้วยทองสัมฤทธิ์ ส่วนตะขอ ห่วง และยอดเสาทำด้วยเงิน 20 หมุดยึดเต็นท์และหมุดยึดผ้าม่านรอบๆลานทั้งหมดทำด้วยทองสัมฤทธิ์
21 ทั้งหมดนี้คือของที่ใช้ในการทำเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งก็คือเต็นท์ที่เก็บข้อตกลง ที่ถูกบันทึกไว้ตามคำสั่งของโมเสสเพื่องานของชาวเลวี ที่อยู่ใต้การนำของอิธามาร์ ลูกชายของนักบวชอาโรน 22 และเบซาเลล ลูกชายของอุรี อุรีเป็นลูกชายของเฮอร์ จากเผ่ายูดาห์ เบซาเลลได้สร้างทุกอย่างตามที่พระยาห์เวห์สั่งไว้กับโมเสส 23 ยังมี โอโฮลีอับที่อยู่กับเบซาเลลด้วย โอโฮลีอับเป็นลูกชายของอาหิสะมัค จากเผ่าดาน เขาเป็นช่างฝีมือ นักออกแบบ และยังเป็นช่างปักที่มีฝีมือในการใช้ผ้าทอจากด้ายสีน้ำเงิน สีม่วง สีแดงเข้ม และผ้าลินินเนื้อดี
24 ทองคำทั้งหมดที่ใช้ในงานก่อสร้างสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ คือทองคำที่ได้มาจากการถวาย ใช้ไปทั้งสิ้นยี่สิบเก้าตะลันต์เจ็ดร้อยสามสิบเชเขล[g] ตามเชเขลมาตรฐานของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
25 เครื่องเงินที่รวบรวมได้จากชุมชน หนักหนึ่งร้อยตะลันต์กับหนึ่งพันเจ็ดร้อยเจ็ดสิบห้าเชเขล[h] ตามเชเขลมาตรฐานของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ 26 โดยเก็บมาคนละหนึ่งเบคา (คือครึ่งเชเขล) เป็นเงินที่เก็บมาจากชายทุกคนที่มีอายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไป และได้ลงทะเบียนไว้ ซึ่งมีจำนวนหกแสนสามพันห้าร้อยห้าสิบคน 27 เงินหนักหนึ่งร้อยตะลันต์นั้น ได้นำไปใช้ในการหล่อฐานของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และฐานของผ้าม่าน ฐานหนึ่งร้อยฐานใช้เงินหนักหนึ่งร้อยตะลันต์ หนึ่งตะลันต์ต่อหนึ่งฐาน 28 เบซาเลลใช้เงินหนักหนึ่งพันเจ็ดร้อยเจ็ดสิบห้าเชเขล ทำตะขอสำหรับเสา และเคลือบยอดเสา และใช้ทำห่วงสำหรับเสาเหล่านั้น
29 ส่วนทองสัมฤทธิ์ที่ได้จากการถวาย มีน้ำหนักรวมเจ็ดสิบตะลันต์ กับสองพันสี่ร้อยเชเขล 30 เบซาเลลใช้ทองสัมฤทธิ์ทำฐานประตูเต็นท์นัดพบ ทำแท่นบูชาทองสัมฤทธิ์ ทำตะแกรงทองสัมฤทธิ์ ทำเครื่องใช้ทั้งหมดของแท่นบูชานั้น 31 ทำฐานล้อมรอบลาน ทำฐานประตูลาน ทำหมุดทั้งหมดรอบๆเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ และทำหมุดทั้งหมดรอบๆลานนั้น
พระเยซูอธิษฐานให้พวกศิษย์
17 หลังจากพระเยซูพูดจบแล้ว พระองค์ได้เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าและพูดว่า “พระบิดา ถึงเวลาแล้วที่จะเปิดเผยความยิ่งใหญ่ของพระบุตร เพื่อที่พระบุตรจะได้เปิดเผยความยิ่งใหญ่ของพระองค์ 2 พระองค์ได้ให้ลูกมีสิทธิและอำนาจเหนือมนุษย์ทุกคน เพื่อที่ลูกจะได้ให้ทุกๆคนที่พระองค์ฝากไว้กับลูกนั้นมีชีวิตกับพระองค์ตลอดไป 3 ชีวิตกับพระองค์ตลอดไปนั้นก็คือการรู้จักพระองค์ ผู้เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว และรู้จักพระเยซูคริสต์ผู้ที่พระองค์ส่งมา 4 ลูกได้ทำให้คนในโลกนี้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์โดยได้ทำงานทุกอย่างที่พระองค์ให้ลูกทำจนเสร็จหมดแล้ว 5 พระบิดา ตอนนี้ขอให้ลูกได้รับความยิ่งใหญ่กลับมาเหมือนเดิมอีกครั้งต่อหน้าพระองค์ คือความยิ่งใหญ่ที่ลูกมีร่วมกับพระองค์ก่อนที่จะมีโลกนี้
6 ลูกได้นำคนในโลกนี้ที่พระองค์ได้ฝากไว้กับลูกมารู้จักพระองค์แล้ว คนเหล่านั้นเป็นของพระองค์ พระองค์ฝากพวกเขาไว้กับลูก และพวกเขาก็ทำตามคำสั่งสอนของพระองค์ 7 ตอนนี้พวกเขาก็รู้ทุกอย่างที่ลูกได้รับจากพระองค์แล้ว 8 ลูกเอาคำพูดที่พระองค์ให้กับลูกไปให้พวกเขา และพวกเขาก็ยอมรับมันไว้ พวกเขาเชื่อว่าลูกมาจากพระองค์จริง และเชื่อว่าพระองค์ส่งลูกมา 9 ลูกได้อธิษฐานให้พวกเขา ไม่ใช่ว่าลูกอธิษฐานให้คนในโลกนี้ แต่ลูกได้อธิษฐานให้คนที่พระองค์ฝากลูกไว้ เพราะพวกเขาเป็นคนของพระองค์ 10 ทุกอย่างของลูกก็เป็นของพระองค์ และทุกอย่างของพระองค์ก็เป็นของลูก คนเหล่านี้ทำให้โลกเห็นความยิ่งใหญ่ของลูก 11 ลูกจะไม่อยู่ในโลกนี้อีกแล้ว แต่พวกเขายังอยู่ในโลกนี้ ลูกกำลังจะไปหาพระองค์ พระบิดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ ขอโปรดใช้อำนาจที่พระองค์ให้ลูกนั้นคุ้มครองเขาด้วย เพื่อที่พวกเขาจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเหมือนกับที่พระองค์และลูกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน 12 เมื่อลูกยังอยู่กับพวกเขา ลูกได้ดูแลคุ้มครองพวกเขาด้วยอำนาจของพระองค์ที่พระองค์ให้กับลูก ลูกได้ปกป้องพวกเขาไว้ และไม่มีใครหลงหายไปเลยสักคน ยกเว้นคนเดียวที่ต้องพินาศเพื่อจะได้เป็นจริงตามที่พระคัมภีร์เขียนไว้
13 ตอนนี้ลูกกำลังมาหาพระองค์ แต่ลูกพูดเรื่องพวกนี้ ในขณะที่ลูกยังอยู่ในโลก เพื่อพวกเขาจะได้มีความสุขเต็มที่เหมือนกับที่ลูกมี 14 ลูกได้ให้คำสอนของพระองค์แก่พวกเขาแล้ว แต่โลกนี้เกลียดพวกเขาเพราะว่าพวกเขาไม่ได้เป็นของโลกนี้ เหมือนกับที่ลูกไม่ได้เป็นของโลกนี้ 15 ลูกไม่ได้ขอให้พระองค์เอาพวกเขาออกไปจากโลกนี้ แต่ลูกขอให้พระองค์คุ้มครองพวกเขาให้พ้นจากมารร้ายตัวนั้น 16 พวกเขาไม่ได้เป็นของโลกเหมือนกับที่ลูกไม่ได้เป็นของโลก 17 คำสอนของพระองค์เป็นความจริง ขอให้คำสอนนี้ทำให้พวกเขาเป็นคนของพระองค์แต่ผู้เดียว 18 ลูกได้ส่งพวกเขาเข้าไปในโลกเหมือนกับที่พระองค์ส่งลูกเข้ามาในโลกนี้ 19 ลูกได้มอบตัวเองให้เป็นของพระองค์แต่เพียงผู้เดียวเพราะเห็นแก่พวกเขา เพื่อว่าความจริงนั้นจะทำให้พวกเขามอบตัวเองให้พระองค์แต่เพียงผู้เดียวด้วย
20 แต่ลูกไม่ได้อธิษฐานให้คนพวกนี้เท่านั้น ลูกยังอธิษฐานให้คนที่จะเชื่อในตัวลูกโดยผ่านทางคำสอนของพวกเขาด้วย 21 ลูกขอให้พวกเขาทั้งหมดเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เหมือนกับพระองค์พระบิดาอยู่ในตัวลูก และลูกอยู่ในพระองค์ ขอให้พวกเขาอยู่ในพวกเราด้วย เพื่อโลกจะได้เชื่อว่าพระองค์ส่งลูกมา 22 ลูกทำให้พวกเขามีเกียรติอันยิ่งใหญ่ เหมือนกับที่พระองค์ได้ทำให้ลูกมีเกียรติ เพื่อว่าพวกเขาจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เหมือนกับที่ลูกกับพระองค์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน 23 ที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันหมายถึงลูกอยู่ในพวกเขาและพระองค์ก็อยู่ในลูก เพื่อว่าพวกเขาจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างเต็มที่ เพื่อโลกจะได้รู้ว่าพระองค์ส่งลูกมา และรู้ว่าพระองค์รักพวกเขาเหมือนกับที่พระองค์รักลูก
24 พระบิดา ในที่ที่ลูกอยู่นั้น ลูกอยากให้คนพวกนี้ที่พระองค์ให้กับลูกอยู่ที่นั่นกับลูกด้วย เพื่อเขาจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ที่พระองค์ให้กับลูก เพราะพระองค์รักลูกก่อนที่พระองค์จะสร้างโลกนี้ 25 พระบิดา พระองค์สัตย์ซื่อ โลกนี้ไม่รู้จักพระองค์ แต่ลูกรู้จักพระองค์ และพวกศิษย์เหล่านี้ก็รู้ว่าพระองค์ส่งลูกมา 26 ลูกทำให้เขารู้จักพระองค์ และลูกก็จะทำอย่างนี้ต่อไป เพื่อว่าความรักที่พระองค์มีต่อลูกจะอยู่ในตัวพวกเขา และเพื่อว่าลูกก็จะอยู่ในตัวพวกเขาด้วย”
14 หญิงฉลาดสร้างบ้านเรือนของเธอขึ้นมา
แต่หญิงโง่พังทลายบ้านเรือนของเธอด้วยมือของเธอเอง[a]
2 คนที่ดำเนินชีวิตในทางสัตย์ซื่อนั้นย่อมยำเกรงพระยาห์เวห์
แต่คนที่เดินอยู่ในทางคดโกงดูหมิ่นพระองค์
3 คำพูดของคนโง่นำไม้เรียวมาสู่หลัง
แต่ปากของคนฉลาดจะปกป้องตัวเขาเอง
4 คอกวัวที่ไม่มีวัวดูสะอาดสะอ้าน
แต่พืชผลอันอุดมสมบูรณ์เกิดจากแรงวัว
5 พยานที่เชื่อถือได้จะไม่พูดโกหก
แต่พยานเท็จนั้นจะหายใจออกมาเป็นคำโกหก
6 คนหยิ่งยโสเสาะหาปัญญาแต่หาไม่พบ
แต่ความรู้นั้นก็ง่ายต่อคนที่หัวไว
7 ให้หลีกหนีให้ห่างจากคนโง่
เพราะเจ้าจะไม่เจอคำพูดที่ฉลาดจากเขา
8 คนฉลาดรู้ว่าตัวเองจะไปไหน
แต่คนโง่คิดว่าตัวเองรู้
9 คนโง่คิดว่าการชดใช้ความผิดเป็นเรื่องที่น่าหัวเราะเยาะ
แต่คนซื่อตรงหาทางคืนดีกัน
10 ไม่ว่าใจของคุณจะขมขื่นหรือชื่นบาน
ไม่มีใครเข้าถึงความรู้สึกนั้นกับคุณได้หรอก
11 บ้านของคนชั่วจะถูกทำลายไป
แต่เรือนของคนซื่อสัตย์จะเจริญรุ่งเรือง
12 มีทางหนึ่งซึ่งดูเหมือนถูกต้อง
แต่สุดท้ายกลับนำไปสู่ความตาย
13 ถึงจะหัวเราะ จิตใจก็อาจจะปวดร้าว
เมื่อความสนุกสนานจบลง ความโศกเศร้าก็ยังคงอยู่
14 คนกบฏจะได้รับกรรมชั่วที่เขาทำอย่างสาสม
ส่วนคนดีจะได้รับกรรมดีที่เขาทำเหมือนกัน
15 คนที่อ่อนต่อโลกจะเชื่อในทุกอย่างที่เขาได้ยินมา
แต่คนฉลาดหลักแหลมจะไตร่ตรองแต่ละย่างก้าวของเขา
16 คนฉลาดจะระมัดระวังตัวและหลีกเลี่ยงปัญหา
แต่คนโง่จะประมาทและมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง
17 คนขี้โมโหทำสิ่งโง่ๆ
คนวางแผนชั่วเป็นที่เกลียดชัง
18 คนที่อ่อนต่อโลกได้รับความโง่เป็นมรดก
แต่คนฉลาดได้รับมงกุฎแห่งความรู้
19 พวกคนชั่วกราบลงต่อหน้าพวกคนดี
พวกคนเลวกราบลงที่ประตูบ้านของคนที่ทำตามใจพระเจ้า
20 คนยากจนนั้น แม้แต่เพื่อนบ้านก็ยังรังเกียจ
แต่คนมั่งมีกลับมีคนรักมากมาย
21 คนที่เหยียดหยามเพื่อนบ้านก็เป็นคนบาป
แต่คนที่เอื้อเฟื้อคนยากจนก็มีเกียรติจริงๆ
22 คนที่คิดทำชั่วย่อมหลงผิดไป
แต่คนที่คิดทำดีจะมีเพื่อนแท้
23 งานหนักทุกอย่างล้วนให้ผลกำไร
แต่คนที่ดีแต่พูดจะยากจน
24 ความมั่งคั่งของคนฉลาดคือมงกุฎของเขา
คนโง่จะได้แต่ความเขลามากขึ้น
25 พยานที่พูดความจริงจะช่วยชีวิต
แต่พยานที่พูดโกหกคือคนหลอกลวง
26 คนที่ยำเกรงพระยาห์เวห์จะปลอดภัย
ความยำเกรงนั้นจะเป็นที่ลี้ภัยสำหรับลูกหลานของเขา
27 ความยำเกรงพระยาห์เวห์คือแหล่งน้ำแห่งชีวิต
เพื่อคนจะได้หลีกเลี่ยงจากกับดักแห่งความตาย
28 ศักดิ์ศรีของกษัตริย์อยู่ที่จำนวนของประชาชน
หากไม่มีประชาชน เขาก็ไม่ได้เป็นกษัตริย์
29 คนที่โกรธช้านั้นมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
แต่คนขี้โมโหนั้นอวดโง่
30 ใจที่สงบ ส่งผลดีต่อสุขภาพ
แต่ความอิจฉาริษยานั้นคือมะเร็งในกระดูก
31 คนที่กดขี่ข่มเหงคนยากจนกำลังดูหมิ่นพระผู้สร้างคนจนนั้น
แต่คนที่เอื้อเฟื้อต่อคนยากไร้กำลังให้เกียรติกับพระองค์
32 คนชั่วถูกทำลายไปเพราะความชั่วของเขา
แต่ความซื่อสัตย์ของคนที่ทำตามใจพระเจ้าเป็นที่ลี้ภัยของเขา[b]
33 สติปัญญาอาศัยอยู่ในใจของคนฉลาด
แต่เป็นคนแปลกหน้าสำหรับคนโง่[c]
34 การทำตามใจพระเจ้าทำให้ชนชาติเจริญรุ่งเรือง
แต่ความบาปนำความอัปยศอดสูมาสู่ประชาชน
35 กษัตริย์ชอบใจข้าราชการที่รู้จักคิด
แต่ความโกรธของพระองค์จะตกอยู่กับข้าราชการที่ทำตัวน่าอับอาย
1 จากเปาโลและทิโมธี พวกทาสของพระเยซูคริสต์
ถึงคนของพระเจ้าทุกคนที่มีส่วนร่วมในพระเยซูคริสต์ในเมืองฟีลิปปี รวมทั้งพวกผู้ดูแล และพวกผู้รับใช้พิเศษ[a]
2 ผมขอพระเจ้าพระบิดาของเราและพระเยซูคริสต์เจ้าให้ความเมตตาและให้สันติสุขกับพวกคุณด้วยเถิด
คำอธิษฐานของเปาโล
3 ผมขอบคุณพระเจ้าของผมทุกครั้งที่ผมคิดถึงพวกคุณ 4 ผมดีใจตลอดเวลาที่ผมอธิษฐานขอพระเจ้าให้กับคุณทุกคน 5 ผมดีใจเพราะพวกคุณได้ร่วมประกาศข่าวดีกับผม ตั้งแต่วันแรกที่คุณเชื่อจนถึงเดี๋ยวนี้ 6 พระเจ้าได้เริ่มต้นการงานที่ดีในพวกคุณ และผมแน่ใจว่าพระองค์จะทำงานนี้ต่อไปจนกว่าจะสำเร็จในวันที่พระเยซูคริสต์กลับมา
7 สมควรแล้วที่ผมจะคิดอย่างนี้กับพวกคุณทุกคน เพราะคุณอยู่ในใจผม เพราะคุณคอยสนับสนุนงานของพระเจ้าที่พระองค์ให้ผมทำ ทั้งเวลาที่ผมติดคุกอยู่และเวลาที่ผมแก้ตัวเพื่อพระองค์และพิสูจน์ความจริงเกี่ยวกับข่าวดีนี้ 8 พระเจ้าเป็นพยานได้ ผมคิดถึงพวกคุณทุกคนมากๆ ผมรักคุณเหมือนกับที่พระเยซูคริสต์รักคุณ
9 ผมอธิษฐานขอพระเจ้าให้คุณมีความรักอย่างเปี่ยมล้น ด้วยความรู้ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และเข้าใจว่าจะทำอย่างไรในทุกๆสถานการณ์ 10 เพื่อคุณจะได้เลือกทำในสิ่งที่ดีที่สุด และจะได้เป็นคนบริสุทธิ์ ไม่มีความผิดบาปในวันที่พระคริสต์กลับมา 11 คุณจะได้เต็มไปด้วยความดีงามที่มาจากฤทธิ์อำนาจที่พระเยซูคริสต์ให้ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อพระเจ้าจะได้รับเกียรติและคำสรรเสริญ
ปัญหาของเปาโลในการประกาศ
12 พี่น้องครับ ผมอยากให้คุณรู้ว่าเหตุการณ์ร้ายที่ได้เกิดขึ้นกับผมนี้ ความจริงแล้วได้ช่วยทำให้ข่าวดีแพร่กระจายออกไปอย่างกว้างขวางมากขึ้น 13 ตอนนี้ ทหารรักษาวังของจักรพรรดิโรมัน รวมทั้งคนอื่นๆทุกคนที่นี่รู้ว่าผมถูกล่ามโซ่อยู่นี้ก็เพื่อพระคริสต์ 14 นอกจากนั้นการที่ผมติดคุกทำให้พี่น้องส่วนใหญ่ที่นี่พึ่งความช่วยเหลือขององค์เจ้าชีวิตมากขึ้น พวกเขามีใจกล้ามากขึ้นที่จะประกาศเรื่องพระคริสต์อย่างไม่กลัวใคร
15 จริงอยู่บางคนประกาศเรื่องของพระคริสต์ เพราะอิจฉาและอยากชิงดีชิงเด่น แต่ก็มีคนที่ประกาศเพราะความหวังดีด้วยเหมือนกัน 16-17 พวกแรกนั้นประกาศเพราะอยากชิงดีชิงเด่นกับผม และเพราะมีความตั้งใจที่ไม่ดี คือพวกเขาคิดว่าจะเพิ่มความทุกข์ให้กับผมในระหว่างที่ผมยังติดคุกอยู่ แต่คนอื่นๆนั้นประกาศเพราะความรัก พวกเขารู้ว่าพระเจ้าให้ผมอยู่ที่นี่เพื่อปกป้องข่าวดีอันนั้น
18 อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะทำเพราะมีแรงจูงใจที่ผิดหรือทำเพราะหวังดี สิ่งที่สำคัญที่สุด คือเรื่องพระคริสต์ก็ได้ประกาศออกไปอยู่ดี ซึ่งทำให้ผมดีใจ ใช่แล้ว ผมจะยังดีใจต่อไปอีก 19 เพราะรู้ว่าทุกอย่างที่ได้เกิดขึ้นกับผมนี้จะนำผมไปถึงความรอดโดยคำอธิษฐานของคุณและโดยพระวิญญาณของพระเยซูคริสต์ที่พระเจ้าได้ให้กับผม 20 ซึ่งตรงกับสิ่งที่ผมคาดหวังอย่างยิ่งว่า ผมจะไม่ต้องอับอายในเรื่องอะไรเลย แต่จะกล้าหาญมาก (เหมือนกับที่เคยกล้าหาญมาตลอด) และพระเยซูคริสต์จะได้รับเกียรติเพราะตัวผม ไม่ว่าผมจะมีชีวิตอยู่ต่อไปหรือจะตายก็ตาม 21 ในความคิดของผม จะอยู่ก็อยู่เพื่อพระคริสต์ ถ้าจะตายก็ถือว่าได้กำไร[b] 22 แต่ถ้ายังมีชีวิตอยู่ต่อไป ผมก็จะทำงานให้เป็นประโยชน์ ผมก็เลยไม่รู้ว่าจะเลือกอะไรดี 23 สองทางนี้มันเลือกยากมาก จริงๆแล้วผมอยากจะตายและไปอยู่กับพระคริสต์ เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ดีกว่ามาก 24 แต่มันจะดีกว่าสำหรับพวกคุณ ที่ผมจะอยู่ในร่างนี้ต่อไป 25 เมื่อผมมั่นใจอย่างนี้ ผมจึงรู้ว่าผมจะอยู่ต่อไปเพื่อช่วยคุณทุกคนให้เจริญขึ้นและมีความสุขกับความเชื่อที่คุณมี 26 ดังนั้น คุณก็จะยกย่องพระเยซูคริสต์เพราะเรื่องของผม เมื่อผมกลับมาอยู่กับคุณอีกครั้งหนึ่ง
27 แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ให้ตั้งใจที่จะใช้ชีวิตร่วมกันอย่างสอดคล้องกับข่าวดีของพระคริสต์ แล้วไม่ว่าผมจะมาเจอคุณหรือแค่ได้ฟังข่าวคราวของคุณ ผมจะได้รู้ว่าคุณได้ตั้งมั่นคงอยู่ในพระวิญญาณองค์เดียวกัน และได้ต่อสู้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เพื่อความเชื่อที่เกิดมาจากข่าวดีนั้น 28 แล้วคุณก็จะไม่กลัวคนที่ต่อต้านคุณเลยสักนิดเดียว เพราะความเป็นหนึ่งเดียวและความกล้าของคุณ จะทำให้เห็นว่าพวกมันจะถูกทำลาย แต่พวกคุณจะได้รับความรอด ซึ่งทั้งหมดนี้มาจากพระเจ้า 29 ที่ผมพูดอย่างนี้เพราะพระเจ้าไม่ได้ให้คุณมีสิทธิ์แค่มาเชื่อในพระคริสต์เท่านั้น แต่ให้มาทนทุกข์เพื่อพระองค์ด้วย 30 ตอนนี้พวกคุณกำลังต่อสู้ เหมือนกับที่คุณเคยเห็นผมต้องต่อสู้มาก่อน และยังได้ยินอีกว่าผมก็กำลังต่อสู้อยู่เดี๋ยวนี้ด้วย
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International