Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
อพยพ 21

กฎและคำสั่งอื่น

21 ต่อไปนี้คือกฎต่างๆที่เจ้าจะต้องบอกให้พวกเขารู้

เมื่อเจ้าซื้อทาสชาวฮีบรู[a] มาคนหนึ่ง เขาจะเป็นทาสรับใช้เจ้าเป็นเวลาหกปี แต่ในปีที่เจ็ด เขาจะได้รับอิสระโดยไม่ต้องจ่ายเงิน ถ้าเขามาคนเดียว เขาก็จะไปคนเดียว ถ้าเขาแต่งงาน เมียของเขาก็จะไปกับเขาด้วย ถ้านายเขาเป็นคนหาเมียให้กับเขา และนางได้เกิดลูกชายหรือลูกสาวให้กับเขา เมียกับลูกๆของเขาจะเป็นของเจ้านาย ส่วนชายคนนั้นจะออกไปได้แค่คนเดียว

ถ้าทาสคนนั้นพูดว่า “ผมรักเจ้านาย ผมรักเมียและลูกๆของผม ผมจะไม่ออกไปเป็นอิสระ” เจ้านายของเขาจะต้องนำตัวเขาไปอยู่ต่อหน้าพระเจ้า โดยพาเขาไปที่ประตูหรือเสาประตู และเจ้านายของเขาจะเอาเหล็กหมาด[b] เจาะที่หูของทาสคนนั้น เขาจะเป็นทาสรับใช้นายของเขาไปตลอดชีวิต

ถ้าชายคนหนึ่งขายลูกสาวไปเป็นทาส นางจะไม่ได้ออกไปเป็นอิสระเหมือนกับพวกทาสชาย ถ้าเจ้านายเอานางมาเป็นเมียน้อย แล้วเกิดไม่ชอบใจนางขึ้นมา เขาต้องยอมให้พ่อนางมาซื้อนางคืนกลับไป แต่เขาจะต้องไม่ขายนางให้กับคนต่างชาติ ถ้าทำอย่างนั้นถือว่าเป็นการไม่ซื่อสัตย์กับนาง ถ้าเขายกนางให้กับลูกชายของเขา เขาจะต้องทำกับนางเหมือนกับนางเป็นลูกสาว

10 ถ้าชายคนนั้นเอาเมียอีกคนหนึ่ง เขาจะต้องไม่ลดอาหาร และเสื้อผ้าของเมียเก่า เขาต้องมีเพศสัมพันธ์กับนางเหมือนเดิม 11 แต่ถ้าเขาไม่ให้สามอย่างนี้กับนาง นางก็ออกไปเป็นอิสระได้ โดยไม่ต้องจ่ายเงิน

12 ถ้าคนหนึ่งทำร้ายอีกคนถึงตาย คนๆนั้นจะต้องถูกประหาร 13 แต่ถ้าเขาไม่ได้ตั้งใจฆ่าคนนั้น แต่เป็นเพราะพระเจ้าทำให้เกิดขึ้น เราจะจัดสถานที่หนึ่งให้ เป็นที่ให้เขาหนีไปอยู่ 14 แต่ถ้าคนหนึ่งโกรธเป็นฟืนเป็นไฟต่อเพื่อนบ้าน แล้วยังวางแผนและฆ่าเพื่อนบ้านตาย เจ้าต้องเอาตัวเขาออกไปจากแท่นบูชาเรา[c] และประหารเขาเสีย

15 คนที่ทำร้ายพ่อแม่จะต้องถูกประหาร

16 คนที่ลักพาตัวคนอื่น จะต้องถูกประหาร ไม่ว่าเขาจะขายคนที่เขาลักพาตัวไป หรือคนนั้นยังคงอยู่ในมือเขาก็ตาม

17 คนที่สาปแช่งพ่อแม่จะต้องถูกประหาร

18 เมื่อคนหนึ่งตีอีกคนหนึ่งด้วยหินหรือกำปั้น ตอนที่ต่อสู้กัน และคนนั้นไม่ตายแต่ต้องนอนอยู่เฉยๆ 19 ถ้าคนนั้นสามารถลุกขึ้นมาเดินรอบๆด้วยไม้เท้าได้แล้ว คนที่ทำร้ายเขาก็จะพ้นผิด แต่เขาจะต้องจ่ายค่าเสียเวลาให้กับคนเจ็บในระหว่างที่รักษาตัวอยู่

20 เมื่อเจ้านายเอาไม้เท้าตีทาสหญิงหรือทาสชายของเขาตายคามือ เจ้านายคนนั้นจะต้องถูกลงโทษ 21 แต่ถ้าทาสคนนั้นไม่ตาย และดีขึ้นในวันสองวัน เจ้านายคนนั้นก็ไม่ต้องถูกลงโทษ เพราะถือว่าเป็นเงินของเขา

22 เมื่อมีคนต่อสู้กัน และไปทำร้ายถูกหญิงที่กำลังท้องอยู่ และทำให้หญิงนั้นแท้งลูก แต่นางไม่เป็นอันตรายอย่างอื่น ชายคนนั้นจะต้องถูกปรับ เป็นเงินตามจำนวนที่สามีของนางเรียกร้อง และตามคำสั่งของผู้ตัดสิน 23 แต่ถ้าหญิงคนนั้นบาดเจ็บอย่างอื่นด้วย ต้องใช้ชีวิตแลกด้วยชีวิต 24 ตาต่อตา ฟันต่อฟัน มือต่อมือ ขาต่อขา 25 รอยไหม้ต่อรอยไหม้ แผลต่อแผล รอยช้ำต่อรอยช้ำ

26 เมื่อเจ้านายทำร้ายถูกดวงตาของทาสชายหรือหญิงจนตาบอด เขาต้องปล่อยทาสคนนั้นไปเป็นอิสระ เพราะสิ่งที่เขาทำกับตาของทาสนั้น 27 ถ้าเขาตีทาสชายหรือหญิงจนฟันหัก เขาต้องปล่อยทาสคนนั้นเป็นอิสระ เพราะสิ่งที่เขาทำกับฟันของทาสนั้น

28 ถ้าวัวขวิดชายหรือหญิงจนตาย จะต้องเอาหินขว้างวัวตัวนั้นจนตาย และห้ามเอาเนื้อของมันมากินด้วย แต่เจ้าของวัวจะพ้นผิด 29 แต่ถ้าวัวตัวนั้นเคยขวิดคนมาแล้ว และมีคนเตือนเจ้าของวัวตัวนั้นแล้ว แต่เขาไม่ได้ขังมันไว้ แล้วมันไปขวิดคนตายเข้า ต้องเอาหินขว้างวัวตัวนั้นจนตาย และเจ้าของวัวจะต้องถูกประหารด้วย 30 แต่ถ้ามีการตั้งค่าไถ่ตัว เจ้าของวัว ต้องจ่ายเงินค่าไถ่สำหรับชีวิตของเขา ตามจำนวนเงินค่าไถ่ที่ตั้งไว้

31 ถ้าวัวนั้นขวิดลูกชายหรือลูกสาวใครตาย ก็ใช้กฎเดียวกันนี้จัดการกับเจ้าของวัว 32 ถ้าวัวขวิดทาสชายหรือทาสหญิงของคนอื่นตาย เจ้าของวัวต้องจ่ายเงินสามสิบเชเขล[d] ให้เจ้าของทาส และวัวตัวนั้นจะต้องถูกหินขว้างจนตาย

33 ใครที่เปิดฝาบ่อน้ำทิ้งไว้ หรือขุดบ่อน้ำแล้วไม่หาอะไรปิดมัน แล้วมีวัวหรือลาตกลงไปตาย 34 เขาจะต้องจ่ายเงินชดใช้ให้เจ้าของสัตว์ แต่สัตว์ที่ตายนั้นจะตกเป็นของเจ้าของบ่อน้ำ

35 ถ้าวัวใครไปขวิดวัวของเพื่อนบ้านจนตาย พวกเขาจะต้องขายวัวที่ยังมีชีวิตอยู่ และเอาเงินมาแบ่งกันคนละครึ่ง และพวกเขาก็เอาเนื้อวัวตัวที่ตายนั้นมาแบ่งกันด้วย 36 แต่ถ้ารู้กันไปทั่วว่า วัวตัวนั้นชอบขวิด แต่เจ้าของไม่ยอมขังมันไว้ เจ้าของวัวตัวนั้นจะต้องชดใช้วัวตัวใหม่ให้ แต่วัวตัวที่ตายก็จะตกเป็นของเขา เมื่อมีคนขโมยวัวหรือแกะไปฆ่า หรือไปขาย เขาจะต้องชดใช้ ถ้าขโมยวัวหนึ่งตัวต้องชดใช้ด้วยวัวห้าตัว ถ้าขโมยแกะหนึ่งตัวต้องชดใช้ด้วยแกะสี่ตัว

ลูกา 24

ข่าวพระเยซูฟื้นคืนชีพ

(มธ. 28:1-10; มก. 16:1-8; ยน. 20:1-10)

24 ตอนเช้าตรู่ของวันอาทิตย์ พวกผู้หญิงก็พากันเอาเครื่องหอมที่ได้เตรียมไว้ไปที่อุโมงค์ แล้วพบว่าหินที่ปิดปากอุโมงค์นั้นถูกกลิ้งเปิดออกแล้ว พวกนางจึงเข้าไปในอุโมงค์ แต่ก็ไม่พบศพองค์เจ้าชีวิต พวกนางก็งงว่าเกิดอะไรขึ้น ทันใดนั้นก็มีชายสองคนใส่เสื้อผ้าสีขาวเป็นประกายมายืนอยู่ข้างๆ พวกนางก็ตกใจกลัวซบหน้าลงกับพื้นดิน ชายทั้งสองก็พูดว่า “พวกเธอมาหาคนที่มีชีวิตในที่ของคนตายทำไม พระเยซูไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว พระองค์ฟื้นขึ้นมาแล้ว จำได้หรือเปล่าตอนที่อยู่แคว้นกาลิลี พระองค์บอกว่า บุตรมนุษย์จะต้องถูกมอบไปไว้ในมือของพวกคนบาป และจะถูกตรึงที่ไม้กางเขน แล้วพระองค์จะฟื้นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม” พวกผู้หญิงก็เลยจำได้ว่าพระองค์เคยพูดถึงสิ่งเหล่านี้

พวกนางรีบกลับไปเล่าเรื่องทั้งหมดนี้ให้พวกศิษย์เอกทั้งสิบเอ็ดคนและพวกศิษย์คนอื่นๆของพระเยซูฟัง 10 พวกผู้หญิงที่มาเล่าเรื่องนี้ให้ฟังก็มี มารีย์ชาวมักดาลา โยอันนา มารีย์แม่ของยากอบ และรวมทั้งหญิงคนอื่นๆ 11 แต่พวกศิษย์เอกไม่เชื่อ และหาว่าเป็นเรื่องเหลวไหล 12 แต่เปโตรวิ่งไปดูที่อุโมงค์ เมื่อเขาก้มลงไปดูก็เห็นแต่ผ้าลินินที่ห่อศพของพระเยซูวางอยู่ แล้วเขาก็จากไปด้วยความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น[a]

บนเส้นทางไปเมืองเอมมาอูส

(มก. 16:12-13)

13 ในวันนั้นศิษย์สองคนของพระเยซูกำลังเดินทางไปที่หมู่บ้านเอมมาอูส ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองเยรูซาเล็มราวๆสิบเอ็ดกิโลเมตร 14 พวกเขาพูดคุยกันถึงเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น 15 พระเยซูก็เข้ามาใกล้ และเดินไปกับพวกเขา 16 แต่พระเจ้าทำให้พวกเขา จำพระองค์ไม่ได้ 17 พระเยซูจึงถามว่า “พวกคุณกำลังเดินคุยกันเรื่องอะไรหรือ” พวกเขาก็หยุดเดิน ทำหน้าตาเศร้าหมอง 18 ชายคนหนึ่งชื่อเคลโอปัสก็ตอบว่า “ในเมืองเยรูซาเล็ม สงสัยจะมีแต่คุณเท่านั้น ที่ไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นที่นั่นเมื่อสองสามวันมานี้”

19 พระเยซูตอบว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือ”

พวกเขาตอบว่า “ก็เรื่องที่เกิดกับเยซูชาวนาซาเร็ธไง เขาเป็นผู้พูดแทนพระเจ้า ในสายตาของพระเจ้าและคนทั้งปวงเห็นว่าเยซูเป็นคนที่มีฤทธิ์เดชมาก ทั้งในด้านคำพูดและการกระทำ 20 แต่พวกหัวหน้านักบวชและพวกผู้นำของเรา ส่งเขาไปให้ผู้มีอำนาจของโรมตัดสินประหารชีวิต แล้วเขาก็ถูกตรึงบนไม้กางเขน 21 พวกเราเคยหวังไว้ว่า เขาจะมาปลดปล่อยชนชาติอิสราเอลให้เป็นอิสระ เรื่องนี้ก็ได้เกิดขึ้นสามวันมาแล้ว 22 แต่เมื่อเช้าตรู่วันนี้เอง มีผู้หญิงบางคนในพวกเราไปที่อุโมงค์ แล้วมาพูดให้เราประหลาดใจว่า 23 พวกนางหาเขาไม่เจอ และยังบอกอีกว่าได้เห็นทูตสวรรค์สององค์ในนิมิตมาบอกว่า เยซูยังมีชีวิตอยู่ 24 พวกเราบางคนวิ่งไปดูที่อุโมงค์ ก็ไม่พบศพจริงๆเหมือนกับที่ผู้หญิงกลุ่มนั้นบอก”

25 แล้วพระเยซูก็พูดว่า “ทำไมพวกคุณถึงได้โง่อย่างนี้ ไม่ยอมเชื่อสิ่งที่พวกผู้พูดแทนพระเจ้าบอก 26 ก่อนที่พระคริสต์จะได้รับสง่าราศีนั้น พระองค์จะต้องทนทุกข์ทรมานก่อนไม่ใช่หรือ” 27 แล้วพระเยซูก็เริ่มอธิบายข้อพระคัมภีร์ต่างๆที่พูดถึงพระองค์จนหมดเกลี้ยง เริ่มตั้งแต่โมเสสตลอดไปจนถึงผู้พูดแทนพระเจ้าทุกคน

28 เมื่อเกือบจะถึงหมู่บ้านเอมมาอูส พระเยซูทำท่าเหมือนจะเดินเลยไป 29 พวกเขาก็คะยั้นคะยอให้พระองค์อยู่ และบอกว่า “นี่ก็เย็นมากแล้ว ใกล้มืดแล้วด้วย ไปพักกับพวกเราก่อนเถอะ” พระเยซูจึงเข้าไปพักอยู่กับพวกเขา

30 เมื่อพวกเขาอยู่ที่โต๊ะอาหารนั้น พระองค์หยิบขนมปังขึ้นมาขอบคุณพระเจ้า แล้วก็หักขนมปังแบ่งให้กับพวกเขา 31 แล้วตาของพวกเขาก็สว่างขึ้น จำพระเยซูได้ แล้วพระองค์ก็หายวับไปกับตา 32 พวกเขาจึงพูดกันว่า “มิน่าล่ะ ใจของเราถึงได้ร้อนรุ่มน่าดูเลย ในระหว่างทางที่พระองค์พูดและอธิบายข้อพระคัมภีร์ให้ฟัง”

33 ทั้งสองจึงรีบลุกขึ้นกลับไปเมืองเยรูซาเล็มทันที และพบกับพวกศิษย์เอกทั้งสิบเอ็ดคนที่ชุมนุมกันอยู่กับศิษย์คนอื่นๆ 34 กลุ่มที่ชุมนุมนั้นก็บอกกับสองคนนี้ว่า “องค์เจ้าชีวิต ฟื้นขึ้นมาแล้วจริงๆพระองค์มาปรากฏตัวให้ซีโมนเห็น”

35 แล้วทั้งสอง ก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในระหว่างทาง และเล่าให้ฟังว่าพวกเขาจำพระเยซูได้ตอนที่พระองค์หักขนมปังให้

พระเยซูปรากฏตัวต่อหน้าลูกศิษย์

(มธ. 28:16-20; มก. 16:14-18; ยน. 20:19-23; กจ. 1:6-8)

36 ขณะที่ทั้งสองยังเล่าเรื่องนี้อยู่นั้น พระเยซูมายืนอยู่กับพวกเขา และพูดว่า “ขอให้อยู่เย็นเป็นสุข”

37 พวกเขาก็สะดุ้งตกใจกลัว คิดว่าเจอผี 38 พระเยซูจึงพูดว่า “ตกใจทำไม ทำไมถึงขี้สงสัยอย่างนี้ 39 ดูมือและเท้าของเราสิ นี่เป็นตัวเราจริงๆ ไม่เชื่อลองจับดู จะได้รู้ว่าไม่ใช่ผี เพราะผีไม่มีเนื้อไม่มีกระดูกอย่างที่คุณเห็นเรามีหรอก”

40 เมื่อพูดเสร็จ พระองค์ก็ยื่นมือและเท้าให้พวกเขาดู 41 พวกศิษย์ดีใจและแปลกใจมาก ไม่อยากเชื่อว่าเป็นจริง แล้วพระเยซูก็ถามขึ้นว่า “มีอะไรกินบ้าง” 42 พวกเขาจึงเอาปลาย่างชิ้นหนึ่งมาให้พระองค์ 43 พระองค์ก็เอามากินต่อหน้าพวกเขา

44 แล้วพระองค์ก็พูดกับพวกเขาว่า “เมื่อก่อนตอนที่เราอยู่กับพวกคุณ เราได้บอกแล้วว่า ทุกเรื่องที่ได้เขียนไว้เกี่ยวกับเราในกฎปฏิบัติของโมเสส ในหนังสือของพวกผู้พูดแทนพระเจ้า และในหนังสือสดุดี จะต้องเกิดขึ้นตามนั้น”

45 แล้วพระองค์เปิดใจพวกเขาให้เข้าใจพระคัมภีร์ 46 พระองค์บอกพวกเขาว่า “พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า พระคริสต์จะต้องทนทุกข์ทรมาน และจะฟื้นขึ้นมาจากความตายในวันที่สาม 47 แล้วเรื่องการกลับตัวกลับใจเพื่อจะได้รับการอภัยโทษจากบาปจะต้องถูกประกาศไปในนามของเราให้คนทุกชาติรู้ เริ่มจากเมืองเยรูซาเล็มก่อน 48 พวกคุณจะต้องเป็นพยานเล่าเรื่องทั้งหมดนี้ที่คุณเห็น 49 แล้วเราจะส่งพระวิญญาณมาให้ เป็นพระวิญญาณที่พระบิดาของเราได้สัญญาว่าจะให้กับพวกคุณ แต่พวกคุณต้องคอยอยู่ในเมืองเยรูซาเล็มก่อน จนกว่าจะได้รับฤทธิ์อำนาจนั้นจากสวรรค์”

พระเยซูกลับสู่สวรรค์

(มก. 16:19-20; กจ. 1:9-11)

50 จากนั้นพระเยซูก็นำพวกเขาไปที่หมู่บ้านเบธานี และยกมือขึ้นอวยพรพวกเขา 51 ขณะที่ยังอวยพรอยู่นั้น พระองค์ก็จากพวกเขาไป โดยถูกรับขึ้นไปบนสวรรค์ 52 พวกเขากราบไหว้พระองค์ และกลับไปที่เมืองเยรูซาเล็มด้วยความปลาบปลื้มใจ 53 แล้วพวกเขาก็อยู่ในวิหารเป็นประจำเพื่อสรรเสริญพระเจ้า

โยบ 39

39 เจ้ารู้เวลาที่แพะภูเขาออกลูกหรือ
    เจ้าคอยเฝ้าดูกวางตัวเมียตอนที่มันคลอดลูกหรือ
เจ้านับเดือนที่พวกมันตั้งท้องจนครบได้หรือ
    เจ้ารู้เวลาที่พวกมันจะออกลูกหรือ
ตอนที่พวกมันนั่งยองๆเบ่งลูกน้อย
    และตกลูกอ่อนของมันออกมา
เมื่อลูกๆของมันแข็งแรง และเติบใหญ่ขึ้นในทุ่งกว้าง
    พวกมันทิ้งแม่กวางไป และไม่กลับมาอีก
ใครปลดปล่อยลาป่าให้เป็นอิสระ
    และใครแก้เชือกลาเปลี่ยว
เราให้ทุ่งโล่งเป็นบ้านของมัน
    และให้เขตดินเค็มเป็นที่พักอาศัยของมัน
มันหัวเราะเยาะความวุ่นวายในเมือง
    และไม่ได้ยินเสียงตะโกนของผู้เป็นนายของมัน
มันท่องไปตามเนินเขาต่างๆเพื่อหาทุ่งหญ้า
    และแสวงหาทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นสีเขียว

วัวป่ายักษ์[a] ยอมรับใช้เจ้าหรือ
    มันยอมนอนอยู่ข้างๆรางหญ้าของเจ้าหรือ
10 เจ้าสามารถเทียมวัวป่าให้ไถนาเจ้าได้หรือ
    หรือทำให้มันไถคราดพรวนดินตามหลังเจ้าได้หรือ
11 เจ้าจะไปพึ่งเรี่ยวแรงมากมายของมันได้หรือ
    เจ้าจะมอบงานหนักของเจ้าให้กับมันทำได้หรือ
12 เจ้าจะพึ่งมัน ให้มันเก็บเกี่ยว
    และลากฟ่อนข้าวมาไว้ที่ลานนวดข้าวของเจ้าได้หรือ

13 นกกระจอกเทศกระพือปีกอย่างเริงร่า
    แต่มันก็ไม่สามารถบินได้เหมือนนกกระสาหรือนกเหยี่ยว
14 นกกระจอกเทศออกไข่บนพื้น
    และทำให้ไข่ของมันอบอุ่นอยู่ในดิน
15 แล้วมันลืมไปว่าอาจมีตีนหนึ่งเหยียบไข่ของมันได้
    และพวกสัตว์ป่าอาจจะย่ำไข่ของมันได้
16 มันทำกับลูกอ่อนของมันอย่างรุนแรงอย่างกับไม่ใช่ลูกมัน ถึงลูกมันจะตายไป
    มันก็ไม่สน แม้มันจะเหนื่อยเปล่าก็ตาม
17 เพราะพระเจ้าสร้างมันมาแบบไม่รู้จักคิด
    และพระองค์ไม่ได้แบ่งปันความเข้าใจให้กับมันเลย
18 แต่เมื่อมันเริ่มวิ่ง
    มันหัวเราะเยาะทั้งม้าและคนขี่

19 เจ้าเป็นผู้ให้พละกำลังกับม้าหรือ
    เจ้าตกแต่งคอของมันด้วยแผงคอพลิ้วไสวหรือ
20 เจ้าทำให้มันกระโดดอย่างกับตั๊กแตนหรือ
    เสียงหายใจฟืดฟาดอย่างหยิ่งทะนงของมันทำให้ผู้คนหวาดกลัว
21 มันตะกุยพื้นดินอย่างดุดัน
    และภาคภูมิใจในพละกำลังของตนเอง มันโถมตัวเข้าสู่ศึกสงคราม
22 มันหัวเราะเยาะความกลัว ไม่ประหวั่นพรั่นพรึง
    มันไม่ถอยหนีจากดาบ
23 ซองธนูส่งเสียงสะเทือนข้างตัวมัน
    อีกทั้งหอกและทวนส่องประกายวูบวาบอยู่ข้างตัวมัน
24 มันพุ่งกราดไปข้างหน้าเต็มฝีเท้า ตื่นเต้นสะท้านไปทั้งตัว
    และไม่อาจอยู่นิ่งได้เมื่อเสียงแตรรบดังขึ้น
25 เมื่อได้ยินเสียงแตร มันก็ส่งเสียงร้องขึ้นด้วยความดีใจ และมันได้กลิ่นสงครามแต่ไกล
    มันได้ยินเสียงร้องตะโกนของพวกผู้บังคับบัญชา และเสียงสั่งลุย

26 เหยี่ยวบินได้เพราะรับสติปัญญาจากเจ้าหรือ
    มันกางปีกบินไปทางใต้เพราะเจ้าอย่างนั้นหรือ
27 เจ้าเป็นคนสั่งให้นกอินทรีบินอยู่สูง
    และสร้างรังไว้บนที่สูงหรือ
28 มันอาศัยอยู่บนหน้าผา และนอนที่นั่น
    มันอยู่ตามแนวขอบของหน้าผา ซึ่งเป็นที่หลบภัยของมัน
29 มันมองหาอาหารจากที่นั่น
    ตาของมันมองเห็นเหยื่อได้แต่ไกล
30 ลูกๆของมันดูดกินเลือด
    มีซากศพอยู่ที่ไหน มันก็อยู่ที่นั่น”

2 โครินธ์ 9

การช่วยเหลือคนของพระเจ้า

ผมว่าไม่จำเป็นต้องเขียนเกี่ยวกับเรื่องการช่วยเหลือคนที่เป็นของพระเจ้าที่เมืองเยรูซาเล็มอีกแล้ว เพราะผมรู้ว่าคุณพร้อมที่จะช่วยอยู่แล้ว ผมอวดเรื่องของคุณให้กับชาวมาซิโดเนียฟังอยู่บ่อยๆ ผมบอกเขาว่าพวกคุณที่อยู่ในแคว้นอาคายานั้น พร้อมที่จะช่วยตั้งแต่ปีที่แล้ว และความกระตือรือร้นของคุณนี้กระตุ้นให้พวกมาซิโดเนียอยากจะช่วยด้วย แต่ที่ผมส่งพี่น้องมาหาคุณนั้น ก็เพื่อให้เขาเห็นว่าเรื่องที่เราอวดเกี่ยวกับคุณนั้นเป็นจริง และผมก็อยากให้คุณพร้อมอย่างที่ผมบอกไปด้วย ไม่อย่างนั้น ถ้ามีชาวมาซิโดเนียบางคนมากับผม และพบว่าคุณไม่ได้เตรียมพร้อมอย่างที่เราบอก เราก็จะเสียหน้าที่เรามั่นอกมั่นใจในตัวพวกคุณเหลือเกิน (ไม่ต้องพูดถึงคุณเลยว่าจะเสียหน้ามากแค่ไหน) ผมจึงคิดว่าจำเป็นที่จะต้องขอให้พี่น้องพวกนี้มาเยี่ยมพวกคุณก่อน พวกเขาจะได้มาช่วยเตรียมเงินที่คุณสัญญาว่าจะบริจาคนี้ ให้พร้อมตั้งแต่เนิ่นๆก่อนที่ผมจะมา เพื่อจะได้เป็นการบริจาคด้วยความสมัครใจ ไม่ใช่ถูกบังคับ

จำเอาไว้ว่า คนที่หว่านน้อยก็จะเก็บเกี่ยวน้อย และคนที่หว่านมากก็จะเก็บเกี่ยวมาก แต่ละคนควรจะให้ตามที่ตั้งใจไว้ ไม่ใช่ให้ด้วยความเสียดายหรือถูกบังคับ เพราะพระเจ้ารักคนที่ให้ด้วยใจที่ชื่นชมยินดี พระเจ้าสามารถให้สิ่งดีๆมากมาย เพื่อคุณจะได้มีทุกอย่างเพียงพอเสมอไป และมีส่วนร่วมในงานการกุศลดีๆ มากมาย เหมือนกับที่พระคัมภีร์พูดไว้ว่า

“เขาแจกจ่ายให้กับคนยากจนอย่างเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
    ใจกว้างขวางของเขาจะคงอยู่ตลอดไป”[a]

10 พระเจ้าผู้ที่ให้เมล็ดกับคนหว่าน และให้อาหารกับคนกิน ก็จะให้เมล็ดกับคุณและทำให้มันเพิ่มมากยิ่งขึ้น และจะให้พวกคุณได้เก็บเกี่ยวชีวิตที่พระเจ้าพอใจเป็นผล และพระองค์จะใช้จิตใจกว้างขวางของคุณนี้ทำให้เกิดมีการเก็บเกี่ยวอย่างเหลือเฟือ 11 พระเจ้าจะทำให้คุณร่ำรวยในทุกทาง เพื่อคุณจะสามารถให้อย่างใจกว้างในทุกๆโอกาส เมื่อคุณให้อย่างใจกว้างผ่านมาทางเรานั้น ก็จะทำให้คนขอบคุณพระเจ้า

12 งานรับใช้ที่คุณทำนี้ได้ช่วยทั้งคนที่เป็นของพระเจ้าที่ขัดสน และยังทำให้มีการขอบคุณพระเจ้าอย่างท้วมท้นอีกด้วย 13 ที่คุณรับใช้อย่างนี้ พิสูจน์ให้เห็นถึงความเชื่อ จึงทำให้คนของพระเจ้าสรรเสริญพระองค์ เพราะคุณมีใจเชื่อฟังที่มาจากความเชื่อในข่าวดีเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ และเพราะความใจดีของคุณที่ได้ช่วยเหลือพวกเขาและคนอื่นๆด้วย 14 เมื่อพวกเขาอธิษฐานเผื่อคุณนั้น พวกเขาก็จะทำไปด้วยความรักและคิดถึงคุณ เพราะพระเจ้าเมตตาคุณอย่างล้นเหลือ 15 ขอบคุณพระเจ้าสำหรับของขวัญอันยอดเยี่ยมของพระองค์ที่ดีเกินกว่าจะบรรยายได้

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International