M’Cheyne Bible Reading Plan
แท่นบูชาสำหรับเผาเครื่องบูชา
(อพย. 38:1-7)
27 เจ้าต้องสร้างแท่นบูชาจากไม้กระถินขนาดยาวห้าศอก[a] กว้างห้าศอกเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส สูงสามศอก[b] 2 ที่มุมทั้งสี่ด้านให้ทำเชิงงอนติดกับแท่นบูชาเป็นชิ้นเดียวกันแล้วหุ้มทองสัมฤทธิ์
3 นำทองสัมฤทธิ์มาทำเครื่องใช้ทุกอย่างสำหรับแท่น คือพวกหม้อใส่ขี้เถ้า ทัพพี ชามประพรม ส้อม และกระทะ 4 ใช้ทองสัมฤทธิ์ทำเป็นตะแกรงหนึ่งอันกับห่วงอีกสี่อันติดไว้ที่มุมทั้งสี่มุมของตะแกรงนั้น 5 และเอาไปวางไว้ในแท่น ลึกจากขอบของแท่นบูชาลงไปครึ่งหนึ่ง
6 เจ้าต้องทำไม้คานสำหรับแท่นบูชาด้วย โดยใช้ไม้กระถินเทศและหุ้มทองสัมฤทธิ์ 7 เมื่อต้องการยกแท่นบูชาขึ้น ไม้คานนี้จะสอดผ่านห่วงสัมฤทธิ์ทั้งสองข้างของแท่นบูชา 8 ให้ใช้แผ่นกระดานปิดด้านข้างไว้ เพราะฉะนั้น ภายในแท่นบูชานี้จะกลวง ให้เจ้าสร้างแท่นบูชาตามแบบที่เราให้ดูบนภูเขาลูกนี้
ลานรอบๆเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์
(อพย. 38:9-20)
9 เจ้าต้องทำลานทางทิศใต้ของเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ โดยใช้ผ้าทอลินิน ขนาดยาวหนึ่งร้อยศอก[c] เอามากั้นเป็นม่าน 10 ใช้เสายี่สิบต้น ที่ตั้งอยู่บนฐานทองสัมฤทธิ์ยี่สิบฐาน ตะขอและห่วงที่ติดอยู่บนเสาให้ทำจากเงิน 11 ส่วนทางทิศเหนือของเต็นท์ ให้ทำเหมือนทิศใต้คือ ขึงผ้าทอลินินยาวหนึ่งร้อยศอกบนเสายี่สิบต้น ที่ตั้งอยู่บนฐานทองสัมฤทธิ์ยี่สิบฐาน ตะขอและห่วงทำจากเงิน
12 ทิศตะวันตกให้ใช้ผ้าทอลินิน ยาวห้าสิบศอก[d] ทำเสาสิบต้นบนฐานสิบฐาน 13 ด้านหน้าของเต็นท์ ซึ่งหันไปทางทิศตะวันออก ก็ใช้ผ้าขนาดห้าสิบศอกเหมือนกัน 14 ทำม่านอีกผืนขนาดสิบห้าศอก[e] เพื่อใช้แขวนไว้ด้านหนึ่งของประตูโดยตั้งเสาขึ้นใหม่สามต้นบนฐานสามฐาน 15 อีกด้านหนึ่งให้ทำเหมือนกันคือ แขวนม่านขนาดสิบห้าศอกไว้บนเสาสามต้นที่อยู่บนฐานสามฐาน
16 ประตูลานใช้ฉากที่ทำจากผ้าที่ทอด้วยด้ายสีน้ำเงิน สีม่วงและสีแดงเข้ม และผ้าลินินเนื้อดี เย็บติดกันขนาดยาวยี่สิบศอก[f] แขวนที่เสาสี่เสาบนฐานสี่ฐาน 17 เสาที่ล้อมรอบลานทั้งหมดจะมีราวที่ทำจากเงินเชื่อมต่อกัน และมีตะขอที่ทำจากเงิน ส่วนฐานทำจากทองสัมฤทธิ์ 18 ลานควรมีขนาดยาวหนึ่งร้อยศอก กว้างห้าสิบศอก สูงห้าศอก ให้แขวนผ้าลินินอย่างดีไว้กับเสาที่ตั้งอยู่บนฐานทองสัมฤทธิ์ 19 ให้ใช้ทองสัมฤทธิ์ทำข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างของเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ รวมทั้งหมุดยึดเต็นท์ และหมุดยึดที่อยู่ในลานทั้งหมด
น้ำมันสำหรับตะเกียง
(ลนต. 24:1-4)
20 เจ้าต้องสั่งให้ชาวอิสราเอลนำน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ที่คั้นไว้ มาใช้จุดตะเกียงเพื่อให้มันสว่างอย่างต่อเนื่อง 21 อาโรนและพวกลูกชายของเขาจะรับหน้าที่ดูแลตะเกียงตั้งแต่เวลาเย็นจนถึงเช้าวันใหม่ ตะเกียงเหล่านั้นจะอยู่ต่อหน้าพระยาห์เวห์ในส่วนเต็นท์นัดพบ ซึ่งอยู่นอกม่านที่อยู่ต่อหน้าหีบที่ใส่แผ่นหินสองแผ่นแห่งข้อตกลงไว้ กฎนี้เป็นสิ่งที่พวกเจ้าต้องปฏิบัติตามตลอดไปจนชั่วลูกชั่วหลาน
พระเยซูเลี้ยงคนกว่าห้าพัน
(มธ. 14:13-21; มก. 6:30-44; ลก. 9:10-17)
6 หลังจากนั้นพระเยซูข้ามไปอีกฟากหนึ่งของทะเลสาบกาลิลี (หรือทะเลสาบทิเบเรียส) 2 มีคนมากมายติดตามพระองค์ไป เพราะพวกเขาเห็นพระองค์ทำสิ่งอัศจรรย์ตอนรักษาคนป่วย 3 พระเยซูขึ้นไปบนภูเขา แล้วนั่งอยู่กับพวกศิษย์ของพระองค์ 4 ตอนนั้นใกล้จะถึงเทศกาลวันปลดปล่อยของชาวยิวแล้ว
5 เมื่อพระองค์เงยหน้าขึ้นก็เห็นคนมากมายพากันมาหาพระองค์ พระองค์พูดกับฟีลิปว่า “พวกเราจะไปซื้ออาหารที่ไหนถึงจะพอเลี้ยงคนทั้งหมดนี้” 6 (พระเยซูถามเพื่อลองใจฟีลิป เพราะพระองค์รู้อยู่แล้วว่าจะทำอย่างไร)
7 ฟีลิปตอบว่า “เงินค่าแรงเกือบแปดเดือน[a] ก็ยังไม่พอซื้ออาหารให้คนพวกนี้กินกันคนละนิดคนละหน่อยได้เลยครับ”
8 ศิษย์อีกคนหนึ่งของพระเยซู ชื่ออันดรูว์ น้องชายของซีโมนเปโตรบอกพระองค์ว่า 9 “มีเด็กชายคนหนึ่งที่นี่ มีขนมปังบาร์เลย์อยู่ห้าก้อน กับปลาอีกสองตัวครับ แต่แค่นี้จะไปพออะไรกับคนตั้งมากมายขนาดนี้”
10 พระเยซูบอกพวกศิษย์ว่า “บอกให้พวกเขานั่งลง” (ที่นั่นมีหญ้าขึ้นเต็มไปหมด) แล้วทุกคนก็นั่งลง (มีผู้ชายประมาณห้าพันคนในฝูงชนนั้น) 11 พระเยซูเอาขนมปังของเด็กน้อยคนนั้นมา เมื่อขอบคุณพระเจ้าเสร็จแล้ว ก็แบ่งขนมปังแจกให้กับทุกๆคนที่นั่งอยู่ที่พื้นนั้นอย่างไม่อั้น และพระองค์ก็หยิบปลามาทำอย่างเดียวกัน
12 เมื่อผู้คนกินกันจนอิ่มแล้ว พระองค์สั่งพวกศิษย์ว่า “เก็บขนมปังที่เหลือให้หมด จะได้ไม่เสียของ” 13 พวกศิษย์ก็เก็บเศษที่เหลือจากขนมปังห้าก้อนนี้ได้สิบสองเข่งเต็มๆ
14 เมื่อคนพวกนี้เห็นสิ่งอัศจรรย์ที่พระองค์ทำ เขาเริ่มพูดกันว่า “คนนี้ต้องเป็นผู้พูดแทนพระเจ้าคนนั้นที่ว่ากันว่าจะมาในโลกนี้แน่ๆ”
15 เมื่อพระเยซูรู้ว่าพวกเขาจะมาบีบบังคับให้พระองค์ไปเป็นกษัตริย์ของพวกเขา พระองค์ก็หลบขึ้นไปบนภูเขาเพียงคนเดียว
พระเยซูเดินบนน้ำ
(มธ. 14:22-27; มก. 6:45-52)
16 พอตกเย็นพวกศิษย์ของพระองค์ไปที่ทะเลสาบ 17 พวกเขาลงเรือและเริ่มข้ามฟากไปที่เมืองคาเปอรนาอุม ตอนนั้นมืดแล้ว แต่พระเยซูยังไม่ได้มาหาพวกเขา 18 เกิดพายุขึ้นทำให้คลื่นในทะเลสาบปั่นป่วนรุนแรงมาก 19 หลังจากที่พวกศิษย์พายเรือออกจากฝั่งมาได้ประมาณห้าถึงหกกิโลเมตร พวกเขาเห็นพระเยซูกำลังเดินอยู่บนน้ำตรงมาที่เรือ พวกเขาต่างก็ตกใจกลัว 20 แต่พระเยซูพูดกับพวกเขาว่า “นี่เราเอง ไม่ต้องกลัว” 21 พวกเขาก็ดีอกดีใจและรับพระองค์ขึ้นมาบนเรือ แล้วเรือก็ถึงฝั่งที่พวกเขาจะไปทันที
ผู้คนตามหาพระเยซู
22 วันต่อมาฝูงชนที่ยังคงอยู่ในบริเวณที่พระเยซูเลี้ยงอาหารนั้น ต่างก็รู้ว่าที่นั่นมีเรืออยู่แค่ลำเดียว และพวกศิษย์ลงเรือลำนั้นไปแล้ว พระเยซูไม่ได้ไปด้วย พวกเขาก็เลยตามหาพระเยซูกันเป็นการใหญ่ 23 มีเรือบางลำมาจากทิเบเรียสเข้าไปจอดที่ฝั่งใกล้ๆกับที่พวกเขาได้กินอาหารกัน คือหลังจากที่พระเยซูองค์เจ้าชีวิตได้ขอบคุณพระเจ้าแล้ว 24 เมื่อประชาชนเห็นว่าทั้งพระเยซู และพวกศิษย์ไม่ได้อยู่ที่นั่น พวกเขาก็ลงเรือไปตามหาพระองค์ที่เมืองคาเปอรนาอุม
พระเยซูคือขนมปังแห่งชีวิต
25 เมื่อพวกเขาพบพระเยซูที่อีกฝั่งหนึ่งของทะเลสาบ พวกเขาก็ถามพระองค์ว่า “อาจารย์มาที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”
26 พระเยซูตอบว่า “เราขอพูดตรงๆนะ ที่พวกคุณตามหาเรา ไม่ใช่เป็นเพราะเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วถึงสิ่งอัศจรรย์ที่พวกคุณได้เห็น แต่เป็นเพราะได้กินอาหารจนอิ่มหนำสำราญต่างหาก 27 อย่าทำงานเพื่อจะได้อาหารที่เน่าเสีย แต่ให้ทำงานเพื่อจะได้อาหารทิพย์ที่ให้ชีวิตที่อยู่กับพระเจ้าตลอดไป บุตรมนุษย์จะให้อาหารทิพย์นั้นกับพวกคุณ เพราะพระเจ้าพระบิดาให้สิทธิอำนาจกับบุตรมนุษย์ที่จะทำสิ่งนี้”
28 พวกเขาถามพระองค์ว่า “แล้วพวกเราควรจะทำงานอะไรล่ะ พระเจ้าถึงจะพอใจ”
29 พระเยซูตอบว่า “งานที่จะทำให้พระเจ้าพอใจคือ การไว้วางใจคนๆนั้นที่พระเจ้าส่งมา”
30 พวกเขาถามอีกว่า “อาจารย์จะทำสิ่งอัศจรรย์อะไรให้ดูล่ะ เพื่อที่เราจะได้เชื่อว่าพระเจ้าส่งอาจารย์มา ตกลงว่าจะทำอะไรให้ดูล่ะ 31 บรรพบุรุษของพวกเราเคยกินมานาในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งตามที่พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ‘เขาได้ให้ขนมปังจากสวรรค์กับพวกเขา’”[b]
32 พระเยซูพูดว่า “จริงๆแล้วโมเสสไม่ได้เป็นคนที่ให้ขนมปังจากสวรรค์นั้นกับคุณหรอก แต่เป็นพระบิดาของเราต่างหากที่กำลังให้อาหารอันแท้จริงจากสวรรค์กับคุณ 33 เพราะขนมปังจากพระเจ้านั้นก็คือคนที่ลงมาจากสวรรค์ และให้ชีวิตกับโลกนี้”
34 พวกเขาจึงว่า “ท่านครับ ถ้าอย่างนั้น ให้ขนมปังนั้นกับพวกเราตลอดไปด้วยเถอะ”
35 พระเยซูพูดว่า “ตัวเรานี่แหละคือขนมปังที่ให้ชีวิต คนที่มาหาเราจะไม่หิวอีกเลย และคนที่ไว้วางใจเราจะไม่กระหายน้ำอีกเลย 36 แต่ก็อย่างที่เราพูดแล้ว พวกคุณได้เห็นเราแล้ว แต่ก็ยังไม่ยอมไว้วางใจเราอยู่ดี 37 ทุกคนที่พระบิดายกให้กับเรา ก็จะมาหาเรา และใครก็ตามที่มาหาเรา เราจะไม่ไล่เขาไปจากเราเลย 38 เพราะเราไม่ได้ลงมาจากสวรรค์เพื่อทำตามใจตัวเอง แต่มาเพื่อทำตามใจของพระองค์ผู้ที่ส่งเรามา 39 นี่คือสิ่งที่พระบิดาผู้ที่ส่งเรามาอยากให้เราทำ คือให้เก็บรักษาทุกคนที่พระองค์ยกให้กับเราไว้ไม่ให้สูญหายไปสักคนเดียว และทำให้เขาฟื้นขึ้นมามีชีวิตในวันสุดท้าย 40 พระบิดาของเราอยากให้ทุกคนที่เห็นพระบุตรและไว้วางใจพระบุตรนั้น มีชีวิตกับพระเจ้าตลอดไป และเราจะทำให้พวกเขาฟื้นขึ้นมามีชีวิตในวันสุดท้าย”
41 พวกยิวเริ่มบ่นพึมพำกันเรื่องที่พระเยซูพูดว่า “เราคือขนมปังที่ลงมาจากสวรรค์” 42 พวกยิวพูดกันว่า “นี่มันเจ้าเยซู ลูกของโยเซฟ ที่เราก็รู้จักทั้งพ่อและแม่ของมันไม่ใช่หรือ โธ่เอ๊ย แล้วมันพูดได้อย่างไรว่า ‘เราลงมาจากสวรรค์’”
43 พระเยซูพูดขึ้นว่า “เลิกบ่นกันได้แล้ว 44 ไม่มีใครมาหาเราได้ นอกจากว่าพระบิดาผู้ส่งเรามาจะพาเขามาหาเรา และเราจะทำให้เขาฟื้นขึ้นมามีชีวิตในวันสุดท้าย 45 ผู้พูดแทนพระเจ้าเขียนไว้ว่า ‘พระเจ้าจะสั่งสอนพวกเขาทุกคน’[c] ทุกคนที่ได้ฟังและเรียนรู้จากพระบิดาก็จะมาหาเรา 46 (ไม่มีใครเคยเห็นพระบิดา นอกจากผู้ที่มาจากพระบิดาผู้เคยเห็นพระองค์) 47 เราจะบอกให้รู้ว่า คนที่ไว้วางใจเราก็มีชีวิตกับพระเจ้าตลอดไป 48 เราเป็นขนมปังที่ให้ชีวิต 49 บรรพบุรุษของพวกคุณได้กินมานาในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง สุดท้ายพวกเขาก็ตายกันไปหมด 50 แต่คนไหนกินขนมปังที่ลงมาจากสวรรค์ คนนั้นจะไม่ตายอีกเลย 51 เราเป็นขนมปังจากสวรรค์ที่ให้ชีวิต คนที่กินขนมปังนี้จะมีชีวิตอยู่ตลอดไป ขนมปังนี้คือเนื้อหนังของเรา ที่เราจะให้เพื่อคนในโลกนี้จะได้มีชีวิต”
52 พวกยิวก็เริ่มเถียงกันเองว่า “ผู้ชายคนนี้จะเอาเนื้อหนังของเขาให้พวกเรากินได้ยังไง” 53 พระเยซูพูดกับพวกเขาว่า “เราจะบอกให้รู้ว่า ถ้าพวกคุณไม่กินเนื้อหนัง และไม่ดื่มเลือดของบุตรมนุษย์ คุณก็ไม่มีชีวิตที่แท้จริง 54 คนที่กินเนื้อและดื่มเลือดของเราจะมีชีวิตกับพระเจ้าตลอดไป เราจะให้เขาฟื้นขึ้นมามีชีวิตในวันสุดท้าย 55 เพราะเนื้อของเราเป็นอาหารแท้ และเลือดของเราก็เป็นเครื่องดื่มแท้ 56 คนที่กินเนื้อและดื่มเลือดของเราก็เป็นหนึ่งเดียวกับเรา และเราก็เป็นหนึ่งเดียวกับเขา 57 พระบิดาผู้มีชีวิตอยู่ส่งเรามา และเรามีชีวิตอยู่ได้ก็เพราะพระบิดา ดังนั้นคนที่กินเลือดเนื้อของเราจะมีชีวิตอยู่ได้เพราะเราเหมือนกัน 58 นี่คือขนมปังที่ลงมาจากสวรรค์ ซึ่งไม่เหมือนกับมานาที่บรรพบุรุษของพวกคุณได้กิน แล้วสุดท้ายก็ยังต้องตายกัน แต่คนที่ได้กินขนมปังนี้จะมีชีวิตอยู่ตลอดไป” 59 พระเยซูพูดเรื่องเหล่านี้ ขณะที่พระองค์กำลังสอนอยู่ในที่ประชุมชาวยิวในเมืองคาเปอรนาอุม
ศิษย์จำนวนมากเลิกติดตามพระองค์
60 เมื่อศิษย์หลายคนได้ยินเรื่องเหล่านี้ ก็บ่นกันว่า “ใครจะไปยอมรับคำสอนยากๆอย่างนี้ได้” 61 พระเยซูรู้ว่าพวกศิษย์กำลังบ่นกันถึงเรื่องนี้ พระองค์จึงถามว่า “คำสอนเหล่านี้ทำให้พวกคุณตะลึงงันไปเลยหรือ 62 แล้วพวกคุณจะว่ายังไง ถ้าได้เห็นบุตรมนุษย์ขึ้นไปสวรรค์ที่พระองค์เคยอยู่มาก่อน 63 ไม่ใช่พละกำลังของมนุษย์ที่เป็นผู้ให้ชีวิต แต่เป็นพระวิญญาณของพระเจ้า คำพูดที่เราได้บอกพวกคุณนี้แหละ จะนำพระวิญญาณของพระเจ้ามาให้กับคุณ เป็นพระวิญญาณที่ให้ชีวิต 64 แต่พวกคุณบางคนก็ไม่เชื่อ” (ตั้งแต่เริ่มแรกพระเยซูก็รู้แล้วว่าพวกไหนจะไม่เชื่อ และคนไหนที่จะหักหลังพระองค์) 65 แล้วพระองค์พูดว่า “ก็เพราะอย่างนี้เราถึงบอกคุณว่า ‘ไม่มีใครมาถึงเราได้ นอกจากพระบิดาจะทำให้เขาสามารถมาได้’”
66 หลังจากที่พระเยซูพูดอย่างนั้น ศิษย์จำนวนมากก็ทิ้งพระเยซูไป
67 แล้วพระเยซูถามศิษย์เอกทั้งสิบสองคนว่า “พวกคุณคงจะไม่ทิ้งเราไปด้วยมั้ง”
68 ซีโมน เปโตรตอบพระองค์ว่า “จะให้พวกเราทิ้งอาจารย์ไปหาใครอีกล่ะครับ อาจารย์มีคำพูดที่ให้ชีวิตที่อยู่กับพระเจ้าตลอดไป 69 พวกเราเชื่อและรู้แล้วว่าอาจารย์เป็นองค์พระผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า”
70 พระเยซูตอบพวกเขาว่า “เราเป็นคนเลือกพวกคุณทั้งสิบสองคนมาเองถูกไหม แต่คนหนึ่งในพวกคุณเป็นมารร้าย” 71 (พระองค์หมายถึงยูดาส ลูกของซีโมน อิสคาริโอท เพราะเขาจะหักหลังพระองค์ แม้ว่าเขาเป็นศิษย์เอกคนหนึ่งในสิบสองคนนั้นก็ตาม)
ชีวิตที่พระเจ้าพอใจจะยืนยาว
3 ลูกเอ๋ย อย่าลืมคำสั่งสอนของเรา
ให้ใจของเจ้าเก็บรักษาคำสั่งต่างๆของเราไว้
2 เพราะสิ่งเหล่านี้จะเพิ่มพูนจำนวนวันและปีของชีวิตเจ้า
แถมจะทำให้เจ้าอยู่เย็นเป็นสุขด้วย
3 อย่าให้ความจงรักภักดีและความซื่อสัตย์ละทิ้งเจ้าไป
ผูกมันไว้รอบคอของเจ้าเหมือนกับสร้อยคอ
เขียนมันลงไปบนแผ่นใจของเจ้า
4 แล้วเจ้าจะเป็นที่ยอมรับและประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง
ในสายตาของพระเจ้าและผู้คนทั่วไป
5 ให้ไว้วางใจในพระยาห์เวห์ด้วยสุดใจของเจ้า
และอย่าได้พึ่งความเข้าใจของตัวเจ้าเอง
6 ให้เชื่อฟังพระองค์ในทุกหนทางของเจ้า
แล้วพระองค์จะทำให้เส้นทางของเจ้าราบรื่น
7 อย่าได้คิดว่าตัวเองฉลาด
แต่ให้ยำเกรงพระยาห์เวห์และหันไปจากสิ่งชั่วร้าย
8 เมื่อเจ้าทำอย่างนี้ มันจะช่วยเยียวยารักษาสุขภาพของเจ้า
และทำให้กระดูกของเจ้าสดชื่น
9 ให้ถวายเกียรติกับพระยาห์เวห์ด้วยทรัพย์สมบัติของเจ้า
และด้วยผลผลิตแรกจากพืชผลทุกชนิดที่เจ้าปลูกไว้
10 แล้วยุ้งฉางของเจ้าจะเต็มเปี่ยมไปด้วยเมล็ดข้าว
และถังเหล้าองุ่นของเจ้าก็จะเต็มล้นไปด้วยเหล้าองุ่นใหม่
11 ลูกเอ๋ย อย่าดูหมิ่นการตีสอนของพระยาห์เวห์
และอย่าได้ขุ่นเคืองเมื่อพระองค์ตักเตือน
12 เพราะพระยาห์เวห์จะตักเตือนคนที่พระองค์รัก
เหมือนกับพ่อที่เตือนลูกที่เขาภาคภูมิใจ
คุณค่าของสติปัญญา
13 คนที่ค้นพบสติปัญญา มีเกียรติจริงๆ
คนที่มีความเข้าใจก็มีเกียรติจริงๆ
14 กำไรที่เกิดจากสติปัญญานั้น มีค่ายิ่งกว่าเงิน
รายได้ที่เกิดจากเธอ มีค่ายิ่งกว่าทองคำ
15 สติปัญญานั้นมีค่ายิ่งกว่าทับทิม
สิ่งทั้งหลายที่เจ้าอยากได้ไม่อาจจะเทียบได้กับสติปัญญา
16 ชีวิตที่ยืนยาวก็อยู่ในมือขวาของเธอ
ความมั่งคั่งและเกียรติยศก็อยู่ในมือซ้ายของเธอ
17 ทางเดินของสติปัญญานั้นนำความสุขมาให้
และหนทางทั้งหมดของเธอคือสันติสุข
18 สติปัญญาคือต้นไม้แห่งชีวิตแก่ผู้ที่สวมกอดเธอไว้
ผู้ที่ยึดเธอไว้ ถือว่ามีเกียรติจริงๆ
19 พระยาห์เวห์ใช้สติปัญญาในการวางรากฐานของโลกนี้
พระองค์ใช้ความเข้าใจในการจัดวางฟ้าสวรรค์ในที่ของมัน
20 ด้วยความรู้ของพระองค์ ก็มีน้ำพุ่งขึ้นจากใต้ดิน
และหมู่เมฆก็โปรยปรายฝนลงมา
สติปัญญาจะสอนให้ยุติธรรม
21 ลูกเอ๋ย เฝ้าระวังวิธีการแก้ปัญหาและความสุขุมรอบคอบของเจ้าไว้
อย่าปล่อยให้สองสิ่งนี้ หลุดรอดสายตาของเจ้าไปได้
22 แล้วสองสิ่งนี้จะให้ชีวิตกับเจ้า
และเป็นเครื่องประดับอยู่บนคอของเจ้า
23 เจ้าจะเดินตามทางของเจ้าอย่างปลอดภัย
เท้าของเจ้าจะไม่มีวันสะดุดล้ม
24 ถ้าเจ้านอนลง เจ้าก็จะไม่ต้องหวาดกลัว
เมื่อเจ้าล้มตัวลงนอน เจ้าจะหลับอย่างมีความสุข
25 อย่าไปกลัวความหายนะที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน
หรือกลัวเมื่อลมพายุโถมกระหน่ำเข้าใส่คนชั่ว
26 เพราะพระยาห์เวห์จะเป็นความเชื่อมั่นของเจ้า
และจะดูแลรักษาเท้าของเจ้าให้พ้นจากกับดัก
27 อย่าได้หวงของดีๆจากคนที่มีสิทธิ์จะได้มัน
เมื่อเจ้าสามารถที่จะให้กับเขา
28 อย่าได้บอกกับเพื่อนบ้านว่า
“ไปก่อน ค่อยมาใหม่ พรุ่งนี้ถึงจะให้”
เมื่อเจ้ามีจะให้อยู่แล้ว
29 อย่าได้วางแผนทำร้ายเพื่อนบ้าน
ที่อยู่ใกล้ๆและไว้วางใจในตัวเจ้า
30 อย่าได้ดำเนินคดีกับใครโดยไม่มีสาเหตุ
เมื่อคนๆนั้นไม่ได้ทำร้ายอะไรเจ้าเลย
31 อย่าอิจฉาคนที่ชอบความรุนแรง
อย่าไปเลือกทำตามอย่างเขา
32 เพราะพระยาห์เวห์ขยะแขยงคนคดโกงเหล่านั้น
แต่พระองค์จะเป็นเพื่อนกับคนสัตย์ซื่อ
33 คำสาปแช่งของพระยาห์เวห์จะตกอยู่ในเรือนคนชั่ว
แต่พระองค์จะอวยพรบ้านของคนที่ทำตามใจพระเจ้า
34 พระองค์เยาะเย้ยคนที่ชอบเยาะเย้ย
แต่พระองค์เมตตาปรานีกับคนที่อ่อนน้อมถ่อมตน
35 คนฉลาดจะได้รับเกียรติ
แต่คนโง่ดื้อรั้นจะอับอายขายหน้า
ศิษย์เอกคนอื่นๆยอมรับเปาโล
2 สิบสี่ปีต่อมา ผมได้กลับไปที่เมืองเยรูซาเล็มอีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับบารนาบัสและได้พาทิตัสไปด้วย 2 ที่ไปก็เพราะพระเจ้าเปิดเผยให้รู้ว่าผมควรจะไป แล้วผมก็ได้เจอกับพวกผู้นำหมู่ประชุมของพระเจ้าที่นั่นเป็นการส่วนตัว เพื่อจะได้อธิบายให้พวกเขาฟังเกี่ยวกับข่าวดี ที่ผมเอาไปประกาศให้กับคนที่ไม่ใช่ยิวนั้น เพราะไม่อยากให้งานที่ผมได้ทำไปทั้งในอดีตและปัจจุบันสูญเสียไปเปล่าๆ 3 พวกเขาก็ไม่ได้บังคับให้ทิตัส คนที่มากับผมเข้าพิธีขลิบ ทั้งๆที่ทิตัสเป็นคนกรีก 4 ที่เราต้องพูดถึงปัญหานี้ ก็เพราะมีบางคนที่แกล้งหลอกว่าเป็นพี่น้อง พวกนี้ได้แอบเข้ามาสอดแนมอยู่ในกลุ่มพวกเรา เพื่อแย่งเอาเสรีภาพที่เรามีในพระเยซูคริสต์ไป และเพื่อทำให้เราตกเป็นทาส 5 แต่พวกเราไม่ยอมพวกมันแม้สักเสี้ยววินาทีเดียว เพื่อจะได้รักษาความจริงในข่าวดีไว้สำหรับพวกคุณ
6 ส่วนผู้นำที่สำคัญๆในหมู่ประชุมของพระเจ้า ก็ไม่ได้คิดที่จะเพิ่มเติมอะไรลงไปในข่าวดีที่ผมได้ประกาศนั้น (ผมไม่สนใจหรอกว่าเขาจะสำคัญแค่ไหน เพราะพระเจ้าไม่เห็นแก่หน้าใครอยู่แล้ว) 7 แต่ตรงกันข้าม พวกเขารู้ว่าพระเจ้าได้มอบหมายข่าวดีให้กับผม เพื่อผมจะได้เอาไปประกาศกับคนที่ไม่ใช่ยิว เหมือนกับที่เปโตรได้รับหน้าที่ให้ไปประกาศกับคนยิว 8 พระเจ้าได้ให้ฤทธิ์อำนาจกับเปโตรไปทำงานในฐานะศิษย์เอกกับคนยิว และพระองค์ก็ได้ให้ฤทธิ์อำนาจกับผมไปทำงานในฐานะศิษย์เอกกับคนที่ไม่ใช่ยิว 9 เมื่อยากอบ เปโตร และยอห์น พวกที่ได้ชื่อว่าเป็นคนสำคัญของหมู่ประชุมของพระเจ้า เห็นว่าพระเจ้าให้งานพิเศษนี้กับผม พวกเขาก็จับมือผมและบารนาบัสเข้าเป็นเพื่อนร่วมงาน พวกเราทั้งหมดก็ตกลงกันว่า จะให้บารนาบัสกับผมไปประกาศข่าวดีกับคนที่ไม่ใช่ยิว ส่วนพวกเขาจะไปประกาศข่าวดีกับคนยิวต่อไป 10 สิ่งเดียวที่พวกเขาขอจากพวกเราคือ ไม่ให้ลืมช่วยเหลือคนจนด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมอยากจะทำอยู่แล้ว
เปาโลชี้แจงความผิดของเปโตร
11 ในระหว่างที่เปโตรอยู่ที่เมืองอันทิโอกนั้น ผมได้คัดค้านเขาต่อหน้า เพราะเขาทำผิดอย่างเห็นได้ชัด 12 คือตอนแรกเขากินอยู่กับพี่น้องที่ไม่ใช่ยิว แต่พอพี่น้องคนยิวที่ยากอบส่งมานั้นมาถึง เปโตรก็ได้ปลีกตัวออกจากพี่น้องที่ไม่ใช่ยิว เพราะกลัวพี่น้องยิวพวกนี้ที่มีความคิดว่าพี่น้องที่ไม่ใช่ยิวจะต้องเข้าพิธีขลิบ 13 เปโตรก็เลยทำให้พี่น้องยิวคนอื่นๆกลายเป็นคนหน้าซื่อใจคดเหมือนกับเขาไปด้วย แม้แต่บารนาบัสก็ได้รับอิทธิพลไปกับเขาเหมือนกัน 14 เมื่อผมเห็นว่าพวกเขาไม่ได้ทำตัวสอดคล้องกับความจริงในข่าวดี ผมก็พูดกับเปโตรต่อหน้าคนทั้งหมดว่า “ถ้าคุณที่เป็นคนยิวใช้ชีวิตไม่เหมือนกับคนยิวและคิดก็ไม่เหมือนกับคนยิวแล้วละก็ คุณจะไปบังคับคนที่ไม่ใช่ยิวให้มาใช้ชีวิตอย่างคนยิวทำไมกัน”
15 พวกเราเกิดมาเป็นคนยิว ไม่ใช่คนบาปเหมือนกับคนที่ไม่ใช่ยิว 16 แต่เรารู้ว่าการที่พระเจ้าจะยอมรับใครนั้น ก็เพราะคนนั้นไว้วางใจในพระคริสต์ ไม่ใช่เพราะเขาทำตามกฎ พวกเราก็เลยไว้วางใจในพระเยซูคริสต์ เพื่อพระเจ้าจะยอมรับเรา ดังนั้นเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับความไว้วางใจในพระคริสต์ ไม่ใช่การทำตามกฎ เพราะจะไม่มีใครเป็นที่ยอมรับของพระเจ้าได้จากการทำตามกฎ
17 แต่ถ้าในช่วงนี้ ที่เราอยากจะให้พระเจ้ายอมรับเราผ่านทางพระคริสต์นั้น ปรากฏว่าเรายังเป็นคนบาปอยู่ นี่หมายถึงพระคริสต์สนับสนุนให้เราเป็นคนบาปหรือ ไม่มีทาง 18 กฎของโมเสสสร้างกำแพงระหว่างพวกเราที่เป็นคนยิวและคนอื่น ผมได้ทำลายกำแพงนั้น แต่ถ้าผมจะสร้างมันขึ้นมาใหม่ ก็แสดงว่าก่อนหน้านั้นผมทำผิดต่อกฎนั้น 19 เพราะกฎนี่แหละที่ทำให้ผมต้องตาย และเพราะผมได้ตายไปแล้ว ผมจึงเป็นอิสระพ้นจากกฎนั้น เพื่อผมจะได้มีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้า 20 ผมได้ถูกตรึงบนไม้กางเขนจนตายไปพร้อมกับพระคริสต์ คนที่มีชีวิตอยู่ตอนนี้ไม่ใช่ตัวผมแล้วแต่เป็นพระคริสต์ต่างหากที่อยู่ในตัวผม ชีวิตที่มีอยู่เดี๋ยวนี้ก็เป็นชีวิตที่ไว้วางใจในพระบุตรของพระเจ้า ผู้ที่รักผมและเสียสละชีวิตให้ผม 21 ผมไม่ได้ทำให้ความเมตตากรุณาของพระเจ้าหมดความหมายไปหรอกนะ เพราะถ้าพระเจ้ายอมรับคนเพราะคนทำตามกฎของโมเสส เท่ากับว่าพระคริสต์ก็มาตายเปล่าๆโดยไม่มีประโยชน์อะไรเลย
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International