Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
อพยพ 24

พระเจ้าและชาวอิสราเอลทำสัญญากัน

24 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “เจ้ากับอาโรน นาดับ และอาบีฮู รวมทั้งพวกผู้อาวุโสอีกเจ็ดสิบคน ให้ขึ้นไปหาพระยาห์เวห์ และให้ก้มกราบอยู่ห่างๆ และให้แต่โมเสสเท่านั้น เข้ามาใกล้พระยาห์เวห์ คนอื่นๆที่เหลือห้ามเข้ามาใกล้ อย่าให้ประชาชนขึ้นมากับโมเสส”

แล้วโมเสสก็มาบอกกับประชาชน ถึงคำพูดทุกคำของพระยาห์เวห์ และคำสั่งทั้งหมด แล้วประชาชนทั้งหมดก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “เราจะทำตามทุกสิ่งที่พระยาห์เวห์พูด”

โมเสสจึงจดทุกคำพูดของพระยาห์เวห์ไว้ วันต่อมา เขาลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ และสร้างแท่นบูชาที่ตีนเขา แท่นนี้มีเสาสิบสองต้น ซึ่งเป็นสิ่งที่แทนสิบสองเผ่าของอิสราเอล

โมเสสได้ใช้ให้คนหนุ่มของชนชาติอิสราเอล ไปเอาวัวตัวผู้ไปถวายเป็นเครื่องเผาบูชา และเป็นเครื่องสังสรรค์บูชาให้กับพระยาห์เวห์

โมเสสเอาเลือดครึ่งหนึ่งใส่ไว้ในพวกชาม และเอาอีกครึ่งหนึ่งไปพรมบนแท่นบูชา[a]

โมเสสได้เอาหนังสือแห่งข้อตกลงออกมา และอ่านมันให้กับประชาชนฟัง พวกเขาต่างก็พูดว่า “พวกเราจะทำตามและเชื่อฟังสิ่งที่พระยาห์เวห์ได้พูดมาทั้งหมด”

โมเสสจึงเอาเลือดที่อยู่ในพวกชาม มาพรมให้กับประชาชน เขาพูดว่า “นี่คือเลือดแห่งข้อตกลง ที่พระยาห์เวห์ได้ทำไว้กับพวกท่าน ตามคำพูดทั้งหมดที่เขียนไว้นี้”

โมเสส อาโรน นาดับ และอาบีฮู รวมทั้งพวกผู้ใหญ่ชาวอิสราเอลทั้งเจ็ดสิบคนเดินขึ้นไป 10 และเห็นพระเจ้าของชาวอิสราเอล พื้นที่รองใต้เท้าของพระองค์เป็นพลอยไพลินที่ใสเหมือนท้องฟ้า 11 พวกเขาเห็นพระองค์[b] แต่พระองค์ก็ไม่ได้ทำลายพวกหัวหน้าประชาชนชาวอิสราเอลเหล่านี้ พวกเขาได้กินและดื่มต่อหน้าพระองค์

โมเสสขึ้นไปรับกฎจากพระเจ้า

12 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “ขึ้นมาหาเราบนภูเขา และคอยเราที่นั่น เพื่อเราจะให้แผ่นหินสองแผ่น ที่มีกฎและพวกคำสั่งสอน ที่เราได้เขียนไว้สำหรับสอนพวกเขา”

13 โมเสสและโยชูวาผู้ช่วยของโมเสสลุกขึ้น และโมเสสขึ้นไปที่ภูเขาของพระเจ้า 14 แต่เขาได้พูดกับพวกผู้อาวุโสพวกนั้นว่า “ให้คอยพวกเราอยู่ที่นี่ จนกว่าพวกเราจะกลับมาหาพวกท่าน อาโรนและเฮอร์จะอยู่กับพวกท่าน ใครที่มีเรื่องฟ้องร้องกัน ก็ให้ไปหาสองคนนี้”

โมเสสพบกับพระเจ้า

15 โมเสสขึ้นไปบนภูเขาและเมฆก็ปกคลุมภูเขาอยู่ 16 รัศมีของพระยาห์เวห์ ได้ลงมาอยู่บนภูเขาซีนาย และเมฆได้ปกคลุมภูเขานั้นอยู่หกวัน แล้วในวันที่เจ็ด พระยาห์เวห์ได้เรียกโมเสสจากท่ามกลางเมฆนั้น 17 สำหรับประชาชนชาวอิสราเอลแล้ว รัศมีของพระยาห์เวห์ ดูเหมือนกับเปลวไฟที่กำลังเผาผลาญยอดเขาอยู่ 18 โมเสสเข้าไปในเมฆนั้น และขึ้นไปยังภูเขา โมเสสอยู่บนภูเขานั้นสี่สิบวันสี่สิบคืน

ยอห์น 3

พระเยซูกับนิโคเดมัส

มีชายคนหนึ่งเป็นพวกฟาริสี ชื่อนิโคเดมัส เป็นผู้นำชาวยิวคนหนึ่ง เขามาหาพระเยซูตอนกลางคืน และพูดว่า “อาจารย์ครับ พวกเรารู้ว่าพระเจ้าส่งอาจารย์มาสอนพวกเรา เพราะไม่มีใครทำเรื่องอัศจรรย์อย่างที่อาจารย์ทำได้ นอกจากจะมีพระเจ้าอยู่ด้วยเท่านั้น” พระเยซูบอกว่า “เราจะบอกให้รู้ว่า คนที่ไม่ได้เกิดใหม่[a]ก็จะไม่เห็นอาณาจักรของพระเจ้า”

นิโคเดมัสถามพระเยซูว่า “คนแก่แล้วจะเกิดใหม่ได้ยังไงครับ จะให้เข้าไปในท้องแม่เป็นครั้งที่สอง แล้วเกิดออกมาใหม่ได้หรือ”

พระเยซูตอบว่า “เราจะบอกให้รู้ว่า คนที่ไม่ได้เกิดจากน้ำและพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะเข้าไปในอาณาจักรของพระเจ้าไม่ได้ พ่อแม่ให้เราเกิดมาเป็นได้แค่ลูกของมนุษย์ แต่พระวิญญาณของพระเจ้าทำให้เราเกิดมาเป็นลูกของพระเจ้า ไม่ต้องแปลกใจหรอกที่เราบอกว่า ‘พวกคุณจะต้องเกิดใหม่’ ลม[b] อยากพัดไปทางไหนมันก็พัดไป คุณได้ยินเสียงลม แต่ไม่รู้หรอกว่าพัดมาจากไหนหรือจะพัดไปไหน คนที่เกิดจากพระวิญญาณก็จะเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน”

นิโคเดมัสถามว่า “มันจะเป็นไปได้ยังไงครับอาจารย์”

10 พระเยซูตอบว่า “คุณเป็นอาจารย์ที่นับหน้าถือตาของคนอิสราเอล แต่ยังไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้อีกหรือ 11 เราจะบอกให้รู้ว่า พวกเราเล่าเรื่องที่พวกเราได้รู้ได้เห็นมา แต่พวกคุณไม่ยอมเชื่อในสิ่งที่พวกเราบอก 12 นี่ขนาดเราเล่าเรื่องบนโลกนี้ให้ฟัง พวกคุณยังไม่ยอมเชื่อเราเลย แล้วถ้าเราเล่าเรื่องบนสวรรค์ให้ฟัง คุณจะเชื่อเราหรือ 13 ไม่มีใครเคยขึ้นไปบนสวรรค์ นอกจากผู้ที่ลงมาจากสวรรค์ ซึ่งก็คือ บุตรมนุษย์

14 โมเสสเคยยกงูขึ้นในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง[c] บุตรมนุษย์ก็จะต้องถูกยกขึ้นอย่างนั้นเหมือนกัน 15 เพื่อทุกคนที่ไว้วางใจในบุตรมนุษย์นั้นจะได้มีชีวิตกับพระเจ้าตลอดไป”

16 เพราะว่าพระเจ้ารักผูกพันกับมนุษย์ในโลกนี้มาก จนถึงขนาดยอมสละพระบุตรเพียงองค์เดียวของพระองค์ เพื่อว่าทุกคนที่ไว้วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่สูญสิ้น แต่จะมีชีวิตกับพระเจ้าตลอดไป 17 พระเจ้าไม่ได้ส่งพระบุตรของพระองค์เข้ามาในโลกนี้ เพื่อตัดสินลงโทษโลกนี้ แต่เพื่อช่วยโลกนี้ให้รอดพ้น 18 คนที่ไว้วางใจพระบุตรจะไม่ถูกตัดสินลงโทษ แต่คนที่ไม่ไว้วางใจก็ได้ถูกตัดสินลงโทษไปแล้ว เพราะพวกเขาไม่ไว้วางใจพระบุตรเพียงองค์เดียวของพระเจ้า 19 นี่คือวิธีที่พระเจ้าตัดสินว่าใครผิดหรือใครถูก ความสว่างได้เข้ามาในโลกนี้ แต่คนรักความมืดมากกว่าความสว่างเพราะพวกเขาทำชั่ว 20 ทุกคนที่ทำชั่วก็เกลียดความสว่าง และจะไม่เข้ามาอยู่ในความสว่าง กลัวว่าความสว่างจะเปิดเผยความชั่วที่เขาทำออกมาให้เห็น 21 แต่คนที่ทำดีจะเข้ามาอยู่ในความสว่าง เพื่อว่าความสว่างจะทำให้ทุกคนเห็นว่าที่เขาทำดีได้นั้นเป็นเพราะพึ่งอำนาจของพระเจ้า[d]

พระเยซูกับยอห์นคนทำพิธีจุ่มน้ำ

22 หลังจากนั้นพระเยซูและพวกศิษย์ของพระองค์เดินทางไปในเขตแดนของแคว้นยูเดีย พระองค์พักอยู่ที่นั่นกับพวกศิษย์ และทำพิธีจุ่มน้ำให้กับประชาชน 23 ส่วนยอห์นทำพิธีจุ่มน้ำอยู่ที่อายโนนใกล้หมู่บ้านสาลิม เพราะที่นั่นมีน้ำมาก คนจึงมาให้ยอห์นทำพิธีจุ่มน้ำกัน 24 (เรื่องนี้เกิดขึ้นก่อนที่ยอห์นจะติดคุก)

25 วันหนึ่งพวกศิษย์ของยอห์นได้เถียงกับชาวยิวคนหนึ่งเรื่องพิธีชำระล้าง 26 พวกเขาจึงพากันมาหายอห์น และบอกกับยอห์นว่า “อาจารย์ครับ คนที่อาจารย์พูดถึงและเคยอยู่กับอาจารย์ที่ฝั่งโน้นของแม่น้ำจอร์แดน กำลังทำพิธีจุ่มน้ำอยู่ และคนก็แห่กันไปหาเขากันหมดแล้ว”

27 ยอห์นตอบว่า “คนเราเป็นได้แค่ที่พระเจ้าให้เป็นเท่านั้น 28 พวกคุณก็เป็นพยานได้ว่าผมบอกว่า ‘ผมไม่ใช่พระคริสต์ แต่ถูกส่งมาล่วงหน้าเพื่อเตรียมทางให้กับพระองค์’”

29 “เจ้าสาวเป็นของเจ้าบ่าว แต่เพื่อนเจ้าบ่าวที่ยืนรออยู่ก็ดีใจที่ได้ยินเสียงเจ้าบ่าวมีความสุขกับเจ้าสาว ก็เหมือนกับผมที่ดีใจที่สุดเมื่อได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นกับพระเยซู 30 พระเยซูต้องยิ่งใหญ่ขึ้น และตัวผมเองต้องด้อยลง”

ผู้ที่ลงมาจากสวรรค์

31 พระองค์ผู้ที่ลงมาจากเบื้องบนนั้นใหญ่เหนือทุกคน คนที่มาจากโลกก็เหมือนกับคนทั่วไปในโลกนี้ที่พูดแต่เรื่องของโลก แต่พระองค์ผู้ลงมาจากสวรรค์นั้นเป็นใหญ่เหนือทุกคน 32 พระองค์เล่าเรื่องที่พระองค์ได้เห็นและได้ยินมา แต่ไม่มีใครเชื่อในสิ่งที่พระองค์บอก 33 ส่วนคนที่เชื่อในสิ่งที่พระองค์บอกนั้นก็แสดงว่าเขาเชื่อว่า พระเจ้าพูดความจริงด้วย 34 เพราะผู้ที่พระเจ้าส่งมานั้นพูดตามที่พระเจ้าพูด เพราะพระเจ้าให้พระองค์มีฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างเต็มที่ไม่จำกัดเลย 35 พระบิดารักพระบุตร และให้ทุกสิ่งทุกอย่างกับพระบุตร 36 คนที่ไว้วางใจพระบุตรนั้นก็มีชีวิตอยู่กับพระเจ้าตลอดไป แต่คนที่ไม่ยอมเชื่อฟังพระบุตรนั้นก็จะไม่พบกับชีวิตนั้น และยังต้องตกอยู่ภายใต้การลงโทษของพระเจ้า[e]

โยบ 42

โยบพูดกับพระยาห์เวห์

42 แล้วโยบก็ตอบพระยาห์เวห์ว่า

“ข้าพเจ้ารู้ว่าพระองค์สามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างได้
    และแผนการของพระองค์ไม่มีวันถูกขัดขวาง
พระองค์พูดว่า ‘ใครกันนี่ ที่ปิดบังแบบแผนของเราโดยขาดความรู้’
    ใช่แล้ว ข้าพเจ้าแถลงถึงสิ่งต่างๆออกไปโดยไม่เข้าใจ
เป็นสิ่งลึกลับต่างๆที่ข้าพเจ้าคิดไม่ถึง
    เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่รู้
พระองค์พูดว่า ‘ฟังให้ดี เราจะพูด
    เราจะสอบสวนเจ้า และเจ้าจะต้องตอบเรา’
หูข้าพเจ้าเคยได้ยินเรื่องของพระองค์
    แต่ตอนนี้ตาของข้าพเจ้าได้เห็นพระองค์แล้ว
ข้าพเจ้าก็เลยขอถอนคดี
    และจะไม่นั่งในผงคลีและขี้เถ้านี้อีกแล้ว”[a]

คำตัดสินของพระยาห์เวห์

หลังจากที่พระยาห์เวห์พูดสิ่งต่างๆเหล่านี้กับโยบแล้ว พระยาห์เวห์ก็พูดกับเอลีฟัสชาวเทมานว่า “เราโกรธเจ้าและเพื่อนทั้งสองของเจ้ายิ่งนัก เพราะพวกเจ้าไม่ได้พูดความจริงเกี่ยวกับเรา อย่างที่โยบผู้รับใช้ของเราได้พูด

ตอนนี้ให้พวกเจ้าเอาวัวตัวผู้เจ็ดตัวและแกะตัวผู้เจ็ดตัวไปพบโยบผู้รับใช้ของเรา ให้ถวายสัตว์เหล่านั้นเป็นเครื่องเผาบูชาสำหรับพวกเจ้าเอง แล้วโยบผู้รับใช้ของเราจะอธิษฐานให้กับพวกเจ้า เพราะเราจะยอมรับเฉพาะคำอธิษฐานของโยบเท่านั้น แล้วเราจะไม่ฉีกหน้าพวกเจ้าตามที่พวกเจ้าสมควรจะได้รับ เพราะพวกเจ้าไม่ได้พูดถึงเราอย่างถูกต้อง อย่างที่โยบผู้รับใช้ของเราได้พูด”

แล้วเอลีฟัสชาวเทมาน บิลดัดตระกูลชูอาห์ และโศฟาร์ชาวนาอามาห์ ก็ไปทำตามสิ่งที่พระยาห์เวห์สั่ง และพระยาห์เวห์ยอมรับคำอธิษฐานของโยบ

ชีวิตใหม่ของโยบ

10 เมื่อโยบอธิษฐานให้กับเพื่อนๆของเขา พระยาห์เวห์ทำให้โยบกลับคืนสู่สภาพดี และพระองค์ให้โยบมีมากกว่าเดิมเป็นสองเท่า

11 พี่น้องชายหญิงของท่าน และคนที่รู้จักท่านมาก่อน ต่างมาร่วมกินอาหารกับโยบที่บ้าน และต่างแสดงความเห็นอกเห็นใจโยบ พร้อมทั้งปลอบประโลมท่านในเรื่องเลวร้ายทั้งหลายที่พระยาห์เวห์เคยนำมาสู่ท่าน แต่ละคนต่างมอบเงินชิ้นหนึ่ง และแหวนทองหนึ่งวงให้กับโยบ 12 แล้วพระยาห์เวห์ได้อวยพรชีวิตบั้นปลายของเขามากกว่าชีวิตในช่วงต้น โยบมีแกะและแพะหนึ่งหมื่นสี่พันตัว อูฐหกพันตัว วัวหนึ่งพันคู่ และลาตัวเมียหนึ่งพันตัว 13 ท่านมีลูกชายเจ็ดคน และลูกสาวสามคน 14 ท่านตั้งชื่อลูกสาวคนแรกว่า เยมีมาห์ คนที่สองชื่อว่า เคสิยาห์ ส่วนคนที่สามชื่อว่า เคเรนหัปปุค

15 ไม่มีสาวใดทั่วแผ่นดินที่สวยเท่ากับลูกสาวของโยบ พ่อของพวกเธอได้มอบมรดกให้กับพวกเธอพร้อมกับพวกพี่ชายน้องชายของเธอ

16 และหลังจากนั้น โยบก็มีชีวิตต่อไปอีกหนึ่งร้อยสี่สิบปี เขาได้เห็นลูกหลานไปสี่ชั่วรุ่น

17 แล้วโยบก็ตายเมื่อแก่ชรา

2 โครินธ์ 12

สิ่งต่างๆที่องค์เจ้าชีวิตเปิดเผยให้เปาโลรู้

12 ผมจะต้องโอ้อวดต่อไป ถึงแม้จะไม่มีประโยชน์อะไร แต่ผมก็จะโอ้อวดต่อไปในเรื่องของนิมิต และสิ่งที่องค์เจ้าชีวิตเปิดเผยให้รู้ ผมรู้จักกับชายคนหนึ่ง[a] ที่ไว้วางใจในพระคริสต์ และเมื่อสิบสี่ปีก่อน พระเจ้ายกเขาขึ้นไปบน “สวรรค์ชั้นที่สาม” (ไปในร่างนี้หรือนอกร่างนี้ผมก็ไม่รู้หรอก มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้) ผมรู้ว่าคนคนนี้ถูกรับขึ้นไปในสวนสวรรค์[b] (ไปในร่างนี้หรือนอกร่างนี้ ผมก็ไม่รู้หรอก มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้) เขาได้ยินคำพูดที่ไม่สามารถพูดได้ (เป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดถึงด้วย) ผมจะอวดถึงคนคนนี้ แต่จะไม่อวดถึงตัวผมเองหรอก แต่ถ้าผมต้องโอ้อวด ก็จะโอ้อวดแต่เรื่องที่แสดงว่าผมอ่อนแอเท่านั้น ถ้าผมอยากจะอวดตัว ผมก็ไม่ใช่คนโง่ เพราะสิ่งที่ผมจะอวดนั้นเป็นความจริง แต่ผมจะไม่ทำอย่างนั้นหรอก เพราะผมไม่อยากให้คนคิดกับผมเกินกว่าที่เขาเห็นผมทำหรือพูด

พระเจ้าได้เปิดเผยให้ผมได้เห็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่เหนือธรรมชาติ แต่เพื่อไม่ให้ผมหลงระเริง ผมได้รับหนามอยู่ในร่างกาย[c] หนามนั้นคือทูตของซาตานที่มาคอยทรมานผม ผมก็วิงวอนต่อองค์เจ้าชีวิตถึงสามครั้งให้ช่วยเอาหนามนี้ออกไปจากผมที แต่พระองค์ก็บอกว่า “ความเมตตากรุณาของเรามีเพียงพอแล้วสำหรับเจ้า เมื่อเจ้าอ่อนแอฤทธิ์อำนาจของเราก็ทำงานได้อย่างเต็มที่” ดังนั้นผมจึงยินดีที่จะโอ้อวดถึงความอ่อนแอของผม เพื่อฤทธิ์เดชของพระคริสต์จะได้อยู่ในผม 10 ถ้าเมื่อไหร่ที่ผมอ่อนแอ ถูกดูหมิ่น เจอกับความทุกข์ยาก ถูกข่มเหงและเจอกับความยุ่งยากต่างๆเพื่อพระคริสต์ ผมก็ยินดี เพราะผมอ่อนแอเมื่อไหร่ เมื่อนั้นผมก็กลับเข้มแข็ง

เปาโลรักชาวคริสต์ในเมืองโครินธ์มาก

11 ผมพูดโอ้อวดอย่างกับคนโง่ แต่ก็เพราะพวกคุณบังคับให้ผมพูดอย่างนั้น ความจริงแล้วคุณน่าจะชมเชยผม เพราะผมก็ไม่ได้ด้อยไปกว่า “อภิมหาศิษย์เอก” พวกนั้นที่พวกคุณยกย่องหรอกนะ ถึงแม้ผมจะไม่มีดีอะไรเลยก็ตาม 12 อย่างน้อยตอนที่อยู่กับพวกคุณ ผมก็ได้อดทนพิสูจน์ตัวเองว่าผมเป็นศิษย์เอกจริง คือได้ทำหมายสำคัญ การอัศจรรย์และปาฏิหาริย์ให้ดูแล้ว 13 ไหนบอกมาสิว่า เราทำให้พวกคุณด้อยกว่าหมู่ประชุมอื่นๆของพระเจ้าตรงไหน อ๋อ รู้แล้ว ก็มีอยู่แค่เรื่องเดียวเท่านั้น คือที่ผมไม่ได้เป็นภาระให้กับพวกคุณ เรื่องนี้ผมผิดเองโปรดอภัยให้ผมด้วยที่ช่างไม่ยุติธรรมกับคุณเลย

14 นี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่ผมจะมาเยี่ยมคุณ และผมจะไม่มาเป็นภาระให้กับคุณหรอก ผมไม่อยากได้ทรัพย์สมบัติของคุณ แต่อยากได้ตัวคุณ เพราะลูกๆไม่ต้องจัดหาอะไรให้กับพ่อแม่ แต่พ่อแม่ต่างหากที่ต้องจัดหาให้กับลูกๆ 15 ส่วนตัวผมเองก็ยินดีที่จะสละทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมมีรวมทั้งตัวผมเองให้กับพวกคุณ ถ้าผมรักคุณมากขึ้น คุณจะรักผมน้อยลงหรือ

เปาโลเล่าถึงความทุกข์ของตน

16 ใครๆก็รู้ว่าผมไม่ได้เป็นภาระให้กับพวกคุณเลย แต่ก็มีบางคนพูดว่าผมเป็นคนเหลี่ยมจัด และได้ใช้กลอุบายจับพวกคุณไว้ 17 คนที่ผมส่งมาเยี่ยมคุณนั้นผมใช้คนไหนโกงคุณแล้วหรือยัง 18 ผมขอให้ทิตัสมาเยี่ยมคุณ และส่งพี่น้องอีกคนมากับเขาด้วย ทิตัสไม่ได้โกงอะไรคุณใช่ไหมล่ะ คุณก็รู้ว่าทิตัสกับผมเดินตามพระวิญญาณองค์เดียวกันและเดินตามรอยเท้าเดียวกันด้วย

19 ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ คุณคิดว่าเราพยายามแก้ตัวให้กับตัวเองหรืออย่างไร แต่ความจริงแล้ว พี่น้องที่รัก ในฐานะคนที่มีส่วนในพระคริสต์ และต่อหน้าพระเจ้าด้วย จะบอกให้รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เราพูดมานี้ก็เพื่อเสริมสร้างคุณ 20 ผมกลัวว่าเมื่อผมมา คุณจะไม่เป็นอย่างที่ผมอยากให้เป็น และผมก็จะไม่เป็นอย่างที่คุณอยากให้ผมเป็นเหมือนกัน กลัวว่าจะเห็นพวกคุณทะเลาะวิวาทกัน อิจฉาริษยากัน ระเบิดโทสะใส่กัน ชิงดีชิงเด่นกัน ใส่ร้ายกัน นินทากัน อวดดีกัน และมีแต่ความวุ่นวายต่างๆ 21 ผมกลัวว่า เมื่อผมมาเยี่ยมพวกคุณอีกครั้งหนึ่ง พระเจ้าของผมจะทำให้ผมต้องอับอายขายหน้าต่อหน้าพวกคุณ และทำให้ผมเศร้าโศกเสียใจกับคนพวกนั้นที่ทำบาปมาแต่ก่อนและยังไม่ยอมกลับตัวกลับใจจากความโสโครก การทำผิดทางเพศ และความลุ่มหลงในกามที่พวกเขาทำกันอยู่

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International