Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
อพยพ 33

เราจะไม่ไปกับเจ้า

33 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “ไปจากที่นี่ ทั้งเจ้าและประชาชนที่เจ้าได้พาออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ ไปยังแผ่นดินที่เราได้สาบานไว้กับอับราฮัม อิสอัคและยาโคบว่า ‘เราจะยกแผ่นดินนั้นให้กับลูกหลานของเจ้า’ เราจะส่งทูตสวรรค์นำหน้าเจ้าไป และเราจะขับไล่ชาวคานาอัน ชาวอาโมไรต์ ชาวฮิตไทต์ ชาวเปริสซี ชาวฮีไวต์ และชาวเยบุส ออกจากที่แห่งนั้น ให้พวกเจ้าไปยังดินแดนที่อุดมสมบูรณ์[a] นั้น แต่เราจะไม่ไปกับพวกเจ้า เพราะพวกเจ้าเป็นคนหัวแข็ง ดื้อรั้น เราเกรงว่าเราจะทำลายพวกเจ้าในระหว่างทาง”

เมื่อประชาชนได้ยินข่าวร้ายนี้ พวกเขาก็เศร้าโศกเสียใจ และไม่มีใครสวมใส่เครื่องประดับเลย พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “ให้บอกกับประชาชนอิสราเอลว่า ‘พวกเจ้าเป็นคนหัวแข็ง ดื้อรั้น ถ้าเราไปกับเจ้าแค่ครู่เดียว เราจะต้องทำลายเจ้าแน่ ตอนนี้ให้ถอดเครื่องประดับออก[b] และเราจะตัดสินใจว่า เราจะจัดการกับพวกเจ้ายังไงดี’” ประชาชนชาวอิสราเอลจึงถอดเครื่องประดับของพวกเขา ตั้งแต่อยู่ที่ภูเขาโฮเรบเป็นต้นมา

เต็นท์นัดพบชั่วคราว

โมเสสเคยตั้งเต็นท์หลังหนึ่งนอกค่าย ห่างออกไปจากค่าย และเขาเรียกมันว่าเต็นท์นัดพบ ใครที่แสวงหาพระยาห์เวห์ ก็จะออกมาที่เต็นท์หลังนี้ที่อยู่นอกค่าย เมื่อโมเสสออกไปที่เต็นท์นัดพบ ประชาชนทั้งหมดก็จะลุกขึ้น และยืนอยู่ที่ทางเข้าเต็นท์ของแต่ละคน พวกเขาจะเฝ้าดูโมเสส จนกระทั่งโมเสสเข้าไปในเต็นท์นั้น เมื่อโมเสสเข้าไปในเต็นท์ เสาเมฆก็จะลอยลงมาอยู่ตรงทางเข้าของเต็นท์นัดพบนั้น และพระยาห์เวห์ก็จะพูดกับโมเสส 10 เมื่อประชาชนทุกคนเห็นเสาเมฆลอยลงมาอยู่ตรงทางเข้าของเต็นท์นัดพบ พวกเขาทั้งหมดก็จะก้มกราบลงที่ตรงทางเข้าเต็นท์ของตัวเอง

11 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสแบบซึ่งๆหน้า เหมือนกับที่คนคุยกับเพื่อนของเขา และเมื่อโมเสสกลับมาที่ค่าย โยชูวาผู้ช่วยของเขา ลูกของนูน ก็จะยังคงอยู่ที่เต็นท์นั้น

โมเสสเห็นรัศมีของพระยาห์เวห์

12 โมเสสพูดกับพระยาห์เวห์ว่า “ดูสิ พระองค์บอกกับข้าพเจ้าว่า ‘ให้นำประชาชนเหล่านี้ขึ้นไป’ แต่พระองค์ไม่ได้เปิดเผยว่าพระองค์จะส่งใครไปกับข้าพเจ้าบ้าง พระองค์พูดว่า ‘เรารู้จักเจ้าดี และเราก็ชื่นชอบเจ้าด้วย’ 13 ตอนนี้ ถ้าข้าพเจ้าเป็นที่ชื่นชอบในสายตาของพระองค์ ขอพระองค์เปิดเผยทางของพระองค์ให้ข้าพเจ้าได้รู้จักด้วยเถิด เพื่อข้าพเจ้าจะได้รู้จักพระองค์ และเป็นที่ชื่นชอบในสายตาของพระองค์ อย่าลืมว่าประชาชนพวกนี้เป็นชนชาติของพระองค์เอง”

14 พระยาห์เวห์พูดว่า “ตัวเราจะไปกับเจ้า และนำทางเจ้า”

15 โมเสสพูดกับพระองค์ว่า “ถ้าพระองค์ไม่ไป ก็ขออย่าได้นำพวกข้าพเจ้าไปจากที่นี่เลย 16 ถ้าพระองค์ไม่ไปกับพวกข้าพเจ้า แล้วจะมีอะไรแสดงให้เห็นว่า พระองค์พอใจในตัวข้าพเจ้าและคนของพระองค์ แล้วข้าพเจ้าและคนของพระองค์จะแตกต่างจากชนชาติอื่นๆบนพื้นแผ่นดินโลกนี้อย่างไร”

17 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “เราจะทำตามสิ่งที่เจ้าได้พูดมานี้ เพราะเราชอบใจในตัวเจ้า และเรารู้จักเจ้าดี”

18 โมเสสพูดว่า “ขอได้โปรดแสดงรัศมีของพระองค์ให้ข้าพเจ้าเห็นด้วยเถิด”

19 พระยาห์เวห์จึงพูดว่า “เราจะทำให้ความดีทั้งหมดของเรา ผ่านไปต่อหน้าเจ้า และเราจะเรียกชื่อพระยาห์เวห์ต่อหน้าเจ้า เราอยากจะทำดีกับใคร เราก็จะทำดีกับคนนั้น เราอยากจะเมตตาใคร เราก็จะเมตตาคนนั้น” 20 พระยาห์เวห์พูดว่า “เจ้าจะไม่สามารถมองหน้าเราได้ เพราะไม่มีมนุษย์คนไหนที่เห็นหน้าเรา แล้วยังมีชีวิตอยู่ได้”

21 พระยาห์เวห์พูดว่า “มีที่อยู่แห่งหนึ่งใกล้ๆเรา เจ้าไปยืนอยู่บนก้อนหินนั้นได้ 22 เมื่อรัศมีของเราผ่านไป เราจะเอาเจ้าใส่เข้าไปในซอกหิน และเราจะเอามือเราปิดเจ้าไว้ที่นั่น จนกว่าเราได้ผ่านไป 23 แล้วเมื่อเราเอามือออกจากเจ้า เจ้าก็จะได้เห็นหลังของเรา แต่จะไม่เห็นหน้าของเรา”

ยอห์น 12

พระเยซูและเพื่อนๆอยู่ที่เบธานี

(มธ. 26:6-13; มก. 14:3-9)

12 หกวันก่อนถึงเทศกาลวันปลดปล่อย พระเยซูไปที่หมู่บ้านเบธานีเพื่อหาลาซารัส คนที่พระองค์ทำให้ฟื้นขึ้นมาจากความตาย ลาซารัส และพี่สาวของเขาได้เตรียมอาหารเย็นไว้ต้อนรับพระองค์ มารธาก็คอยให้บริการแขก ลาซารัสนั่งกินอาหารอยู่ที่โต๊ะเดียวกับพระเยซู มารีย์เอาน้ำมันหอมนาระดา[a] บริสุทธิ์ที่มีราคาแพงมากครึ่งลิตรมาเทลงที่เท้าทั้งสองข้างของพระเยซู และใช้ผมของตัวเองเช็ดเท้าของพระองค์จนแห้ง บ้านทั้งหลังก็หอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นน้ำมันหอม

ยูดาส อิสคาริโอท ศิษย์คนหนึ่งของพระเยซูที่ต่อมาได้ทรยศพระองค์พูดว่า “ทำไมไม่เอาน้ำมันหอมไปขาย แล้วเอาเงินมาแจกจ่ายให้กับคนจน คงจะขายได้เงินเท่ากับค่าแรงเป็นปี[b] เชียวนะ” (ที่ยูดาสพูดอย่างนี้ ไม่ใช่เพราะเขาเป็นห่วงคนจน แต่เพราะเขาเป็นหัวขโมย ชอบยักยอกเงินในถุงส่วนรวมที่เขาเป็นคนดูแล)

พระเยซูพูดว่า “อย่ายุ่งกับนาง นางทำถูกแล้วล่ะที่ได้เก็บน้ำมันหอมนั้นไว้จนถึงวันนี้ซึ่งเป็นวันเตรียมฝังศพของเรา คุณจะมีคนจนอยู่ด้วยเสมอ แต่เราจะไม่อยู่กับพวกคุณเสมอไป”

แผนฆ่าลาซารัส

เมื่อคนยิวเป็นจำนวนมากรู้ว่าพระเยซูอยู่ที่หมู่บ้านเบธานี พวกเขาก็พากันไปที่นั่น ไม่ใช่จะมาหาพระเยซูเท่านั้น แต่อยากจะมาดูลาซารัส คนที่พระองค์ทำให้ฟื้นขึ้นจากความตายด้วย 10 ดังนั้นพวกหัวหน้านักบวชจึงได้วางแผนฆ่าลาซารัสด้วย 11 เพราะเรื่องที่เกิดกับลาซารัสทำให้พวกยิวหลายคนทิ้งหัวหน้านักบวชพวกนั้น แล้วมาไว้วางใจพระเยซู

พระเยซูเข้าเมืองเยรูซาเล็มอย่างกษัตริย์

(มธ. 21:1-11; มก. 11:1-11; ลก. 19:28-40)

12 วันต่อมาคนจำนวนมากที่มาร่วมงานเทศกาลวันปลดปล่อยได้ยินว่า พระเยซูกำลังเดินทางมาที่เมืองเยรูซาเล็ม 13 พวกเขาก็พากันถือกิ่งปาล์มออกไปต้อนรับพระองค์ และร้องตะโกนว่า

“ไชโย[c] ขอพระเจ้าอวยพรคนที่มาในนามขององค์เจ้าชีวิต
    คือกษัตริย์ของอิสราเอล”[d]

14 พระเยซูเจอลาหนุ่มตัวหนึ่งจึงขึ้นขี่ เหมือนกับที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า

15 “เมืองศิโยนเอ๋ย ไม่ต้องกลัว
    ดูนั่นสิ กษัตริย์ของเจ้ากำลังมา
พระองค์ขี่หลังลาหนุ่ม”[e]

16 (ในตอนแรกพวกศิษย์ของพระองค์ยังไม่เข้าใจเหตุการณ์นี้ แต่เมื่อพระเยซูฟื้นขึ้นมาจากความตายและรับเกียรติอันยิ่งใหญ่แล้ว พวกเขาถึงนึกขึ้นได้ว่าพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า พวกเขาจะทำอย่างนี้ต่อพระเยซู)

17 คนจำนวนมากที่อยู่กับพระเยซูตอนที่พระองค์เรียกลาซารัสออกมาจากอุโมงค์ฝังศพและทำให้เขาฟื้นขึ้นจากความตายนั้น ได้พูดต่อๆกันไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้น 18 ทำให้มีคนจำนวนมากพากันมาหาพระเยซู เพราะได้ยินถึงสิ่งอัศจรรย์นี้ 19 พวกฟาริสี จึงพูดกันว่า “เห็นไหม แผนของพวกเราที่จะต่อต้านเขาล้มเหลวไม่เป็นท่า โลกทั้งโลกไปติดตามเขาหมดแล้ว”

พระเยซูพูดถึงชีวิตและความตาย

20 ในช่วงเทศกาลวันปลดปล่อยมีพวกกรีกบางคนมากราบไหว้บูชาพระเจ้าที่เมืองเยรูซาเล็มด้วย 21 พวกกรีกได้ไปหาฟีลิป ที่มาจากหมู่บ้านเบธไซดาในแคว้นกาลิลี และพูดว่า “คุณครับ พวกเราอยากจะเจอพระเยซู” ฟีลิปบอกอันดรูว์ 22 แล้วเขาทั้งสองก็ไปบอกพระเยซู

23 พระเยซูบอกเขาทั้งสองว่า “ถึงเวลาแล้วที่พระเจ้าจะแสดงให้เห็นว่า บุตรมนุษย์นั้นยิ่งใหญ่แค่ไหน 24 เราจะบอกให้รู้ว่า ถ้าเมล็ดพืชไม่ตกลงดินและตาย มันก็จะเป็นแค่เมล็ดเดียวเหมือนเดิม แต่ถ้ามันตาย มันจะงอกเป็นเมล็ดพืชอีกมากมาย 25 คนที่รักชีวิตของตนเองก็จะสูญเสียชีวิตไป แต่คนที่เกลียดชีวิตของตนในโลกนี้ก็จะได้รักษาชีวิตไว้ให้อยู่กับพระเจ้าตลอดไป 26 ถ้าใครรับใช้เรา เขาก็จะต้องติดตามเราไปไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ตาม คนรับใช้ของเราก็จะต้องอยู่ที่นั่นด้วย ถ้าใครรับใช้เรา พระบิดาก็จะให้เกียรติคนนั้น”

พระเยซูพูดถึงความตายของพระองค์

27 “ตอนนี้เรากำลังกลุ้มใจมากจนไม่รู้จะพูดยังไงดี จะให้เราพูดว่า ‘พระบิดา ช่วยลูกให้พ้นจากช่วงเวลาแห่งความทุกข์นี้ด้วย’ อย่างนั้นหรือ เราเข้ามาในโลกนี้ก็เพื่อจะทนต่อความทุกข์นี้ 28 พระบิดา ขอให้คนเห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์”

ทันใดนั้น ก็มีเสียงดังมาจากสวรรค์ว่า “เราได้ทำอย่างนั้นแล้ว และเราจะทำต่อไป”

29 คนที่อยู่ที่นั่นได้ยินเสียงจากท้องฟ้า บางคนบอกว่าเป็นเสียงฟ้าร้อง ส่วนคนอื่นบอกว่า “ทูตสวรรค์พูดกับเขา”

30 พระเยซูจึงบอกว่า “เสียงที่ได้ยินนั้น เกิดขึ้นเพื่อพวกคุณไม่ใช่เพื่อเรา 31 ถึงเวลาที่โลกนี้จะถูกตัดสินแล้ว เจ้าผู้ครอบครองโลกนี้[f] จะถูกขับไล่ออกไป 32 เมื่อเราถูกยกขึ้น[g] จากแผ่นดินโลก เราก็จะทำให้ทุกๆคนมาหาเรา” 33 (พระองค์พูดอย่างนี้ เพื่อบอกให้รู้ว่าพระองค์จะต้องตายแบบไหน)

34 ฝูงชนจึงพูดขึ้นมาว่า “ก็ไหนพระคัมภีร์บอกว่า พระคริสต์ จะมีชีวิตตลอดไป แล้วทำไมท่านมาพูดว่า ‘บุตรมนุษย์ต้องถูกยกขึ้น’ ‘บุตรมนุษย์’ คือใครหรือ”

35 พระเยซูบอกว่า “ความสว่างจะอยู่กับพวกคุณอีกประเดี๋ยวเดียว เพราะฉะนั้นให้เดินในขณะที่ยังมีความสว่างอยู่ เพื่อเมื่อความมืดมาถึง มันจะได้ไม่ปกคลุมพวกคุณ เพราะคนที่เดินอยู่ในความมืดจะมองไม่เห็นว่าจะไปทางไหน 36 ให้ไว้วางใจในความสว่างนั้นในขณะที่พวกคุณยังมีความสว่างอยู่ แล้วพวกคุณจะได้เป็นลูกของความสว่าง” เมื่อพูดจบแล้วพระองค์ก็จากไป และได้ซ่อนตัวจากฝูงชน

พวกยิวส่วนใหญ่ไม่เชื่อพระเยซู

37 ทั้งๆที่พระเยซูทำสิ่งอัศจรรย์มากมายต่อหน้าฝูงชน แต่พวกเขาก็ยังไม่เชื่อพระองค์ 38 ซึ่งเป็นจริงตามที่อิสยาห์ผู้พูดแทนพระเจ้าได้พูดไว้ว่า

“องค์เจ้าชีวิต มีใครบ้างที่เชื่อเรื่องที่เราบอก
    มีใครบ้างที่เห็นฤทธิ์อำนาจขององค์เจ้าชีวิต”[h]

39 และที่พวกเขาไม่เชื่อก็เพราะพระเจ้าได้พูดผ่านทางอิสยาห์ว่า

40 “เราทำให้ตาของพวกเขาบอด และใจของพวกเขาดื้อด้าน
    เพื่อตาของพวกเขาจะได้มองไม่เห็น
และจิตใจของพวกเขาจะได้ไม่เข้าใจ
    พวกเขาจึงไม่ได้หันกลับมาหาเราเพื่อให้เรารักษา”[i]

41 อิสยาห์พูดอย่างนี้เพราะเขาเห็นแล้วว่าต่อไปภายหน้าพระเยซูจะยิ่งใหญ่แค่ไหน

42 มีพวกยิวหลายคนรวมทั้งพวกผู้นำชาวยิวได้มาเชื่อพระเยซู แต่พวกเขาไม่กล้ายอมรับพระองค์อย่างเปิดเผย เพราะกลัวพวกฟาริสี และไม่อยากถูกไล่ออกจากที่ประชุมชาวยิว 43 พวกเขารักเกียรติที่มาจากมนุษย์มากกว่าเกียรติที่มาจากพระเจ้า

คำสอนของพระเยซูตัดสินประชาชน

44 พระเยซูได้ตะโกนว่า “ใครไว้วางใจเรา ไม่ใด้แค่ไว้วางใจในตัวเราเท่านั้น แต่ก็ไว้วางใจพระบิดาผู้ที่ส่งเรามาด้วย 45 คนที่มองเห็นเราก็เห็นพระองค์ผู้ส่งเรามาด้วย 46 เราเข้ามาเป็นแสงสว่างให้กับโลกนี้เพื่อว่าทุกคนที่ไว้วางใจเราจะไม่อยู่ในความมืดอีกต่อไป 47 ส่วนคนที่ฟังคำสั่งสอนของเราแต่ไม่ทำตาม เราก็ไม่ตัดสินลงโทษเขาหรอก เพราะเราไม่ได้มาเพื่อตัดสินลงโทษโลกนี้ แต่เรามาเพื่อจะช่วยโลกนี้ให้รอด 48 แต่จะมีสิ่งหนึ่งที่จะตัดสินลงโทษคนที่ไม่ยอมรับเราและคำพูดของเรา นั่นก็คือคำพูดของเรานี้เองที่จะลงโทษคนเหล่านั้นในวันสุดท้าย[j] 49 เพราะคำพูดเหล่านี้เราไม่ได้พูดเอาเอง แต่พระบิดาผู้ที่ส่งเรามาเป็นผู้สั่งให้พูด 50 และเราก็รู้ว่าคำสั่งนี้ของพระองค์จะนำไปถึงชีวิตที่อยู่กับพระเจ้าตลอดไป เราถึงพูดตามที่พระบิดาสั่ง”

สุภาษิต 9

คำเชิญของสติปัญญา

สติปัญญาได้สร้างบ้านของเธอขึ้น
    เธอได้สร้างบ้านที่มีเสาถึงเจ็ดต้น[a]
สติปัญญาได้ฆ่าสัตว์ของเธอ และผสมเหล้าองุ่นไว้
    และเธอได้จัดโต๊ะอาหารไว้พร้อม
สติปัญญาได้ส่งพวกสาวใช้ของเธอออกไป
    เธอร้องเชิญจากที่สูงสุดของเมืองว่า
“ใครก็ตามที่อ่อนต่อโลก เข้ามาหาฉันนี่”
    สติปัญญาพูดกับพวกที่ไม่มีสมองคิดว่า
“มาสิ มากินอาหารของฉัน
    และดื่มเหล้าองุ่นที่ฉันได้ผสมไว้แล้ว
ให้ทิ้งเพื่อนๆที่อ่อนต่อโลกพวกนั้น เพื่อเจ้าจะได้มีชีวิตยืนยาว
    ให้เดินไปในทางแห่งความเข้าใจ”
ใครก็ตามที่สั่งสอนคนยโสโอหัง เขาคนนั้นก็จะถูกดูหมิ่น
    ใครก็ตามที่ต่อว่าคนชั่ว เขาจะได้รับบาดเจ็บ
อย่าติเตียนคนหยิ่งยโส เพราะเขาจะเกลียดเจ้า
    ให้ต่อว่าคนฉลาด แล้วเขาจะรักเจ้า
ให้สั่งสอนคนฉลาด แล้วเขาจะยิ่งฉลาดขึ้น
    ให้สั่งสอนคนที่ทำตามใจพระเจ้า แล้วเขาจะยิ่งเรียนรู้มากขึ้น
10 จุดเริ่มต้นของสติปัญญา คือ การยำเกรงพระยาห์เวห์
    ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ คือ การรู้จักพระองค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์
11 สติปัญญาบอกว่า “ฉันจะทำให้วันคืนของเจ้าเพิ่มมากขึ้น
    และจะเพิ่มจำนวนปีเข้าไปในชีวิตของเจ้า
12 ถ้าหากเจ้ากลายเป็นคนฉลาด มันก็เป็นประโยชน์สำหรับตัวเจ้าเอง
    แต่ถ้าเจ้ากลายเป็นคนหยิ่งยโส เจ้าเองนั่นแหละที่จะต้องทนทุกข์ทรมาน”

คำเชิญของความโง่เขลา

13 ความโง่เขลาส่งเสียงเอะอะ เธออ่อนต่อโลก
    และไม่รู้อะไรเลย
14 เธอนั่งอยู่ที่ตรงประตูบ้านของเธอ
    บนที่นั่งที่ตั้งอยู่บนจุดที่สูงสุดของเมือง
15 เธอส่งเสียงร้องเรียกผู้คนที่เดินผ่านไปมา
    ผู้ที่เร่งรีบเดินไปตามทางของเขาว่า
16 “ใครก็ตามที่อ่อนต่อโลก ให้มาหาฉันทางนี้”
    และเธอก็พูดกับคนที่ไม่มีสมองคิดว่า
17 “น้ำที่ขโมยมานั้นรสชาติก็หวานกว่า
    ขนมปังที่ได้มาอย่างลับๆนั้นก็อร่อยกว่า”
18 แต่คนที่อ่อนต่อโลกพวกนั้นไม่รู้ว่ามีผีอยู่กับเธอที่นั่น
    พวกแขกของเธอก็อยู่ในที่ลึกของแดนคนตาย

เอเฟซัส 2

จากความตายไปสู่ชีวิต

เมื่อก่อนพวกคุณตายไปแล้วฝ่ายจิตวิญญาณ เพราะไม่เชื่อฟังพระเจ้าและทำบาป พวกคุณเคยใช้ชีวิตตามทางชั่วของโลกนี้ ตามผู้มีอำนาจในย่านฟ้าอากาศซึ่งเป็นวิญญาณที่กำลังทำงานอยู่ภายในตัวของคนที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ครั้งหนึ่งพวกเราทุกคนก็เคยใช้ชีวิตอย่างคนพวกนั้นเหมือนกัน คือชอบทำตามกิเลสตัณหาของตัวเอง ปล่อยตัวปล่อยใจไปตามกิเลสนั้น ซึ่งโดยสันดานของเราแล้ว เราก็สมควรที่จะถูกลงโทษเหมือนพวกเขานั่นแหละ

แต่พระเจ้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณา เพราะความรักอันยิ่งใหญ่ที่พระองค์มีต่อเรา พระองค์จึงให้เรามีชีวิตอยู่คู่กับพระคริสต์ ทั้งๆที่เราเคยตายไปแล้ว เพราะไม่เชื่อฟัง (ที่พวกคุณรอดนั้น ก็เพราะความเมตตากรุณาของพระเจ้า) พระเจ้าทำให้พวกเราฟื้นขึ้นจากความตายด้วยกันกับพระคริสต์ และให้เรานั่งกับพระคริสต์บนบัลลังก์ในโลกฝ่ายวิญญาณ ก็เพราะเรามีส่วนในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทำอย่างนี้ เพื่อแสดงให้ยุคต่อๆไปได้เห็นความเมตตากรุณาที่พระองค์ให้กับเรา เป็นความเมตตากรุณาอันมหาศาลอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะเรามีส่วนในพระเยซูคริสต์ ที่พวกคุณรอดนั้นเป็นเพราะความเมตตากรุณาของพระเจ้า ผ่านมาทางความเชื่อของคุณ ไม่ได้มาจากตัวของคุณเอง แต่เป็นของขวัญที่มาจากพระเจ้า มันไม่ได้เป็นผลมาจากการกระทำของใคร เพื่อจะได้ไม่มีใครโอ้อวดได้ 10 เพราะเราเป็นผลงานของพระเจ้าที่พระองค์สร้างผ่านมาทางพระเยซูคริสต์ เพื่อให้เราทำสิ่งดีๆที่พระเจ้าได้เตรียมไว้ล่วงหน้าแล้วให้เราทำ

ความเป็นหนึ่งเดียวในพระคริสต์

11 คุณไม่ได้เกิดมาเป็นคนยิว พวกคนยิวที่เรียกตัวเองว่า “พวกเข้าพิธีขลิบ” ก็ได้เรียกพวกคุณว่า “พวกไม่ได้เข้าพิธีขลิบ” 12 จำไว้ว่า ในตอนนั้น พวกคุณยังไม่มีพระคริสต์ ไม่ได้รวมอยู่ในชุมชนชาวอิสราเอล และไม่มีส่วนร่วมในข้อตกลงต่างๆที่พระเจ้าได้สัญญาไว้ คุณใช้ชีวิตอยู่ในโลกนี้แบบไม่มีความหวัง และไม่มีพระเจ้า 13 เมื่อก่อนพวกคุณอยู่ห่างไกลจากพระเจ้า แต่เดี๋ยวนี้พระเจ้าได้นำคุณเข้ามาใกล้พระองค์ โดยเลือดของพระเยซูคริสต์ 14 พระคริสต์ทำให้เกิดสันติภาพขึ้นระหว่างเรา พระองค์ทำให้คนยิวและคนที่ไม่ใช่ยิวกลายเป็นพวกเดียวกัน และโดยความตายของพระองค์ พระองค์ได้ทำลายกำแพงแห่งความเกลียดชังที่แบ่งแยกเราลง 15 พระองค์ได้ล้มเลิกกฎเกณฑ์และกฎข้อปฏิบัติต่างๆของโมเสส เพื่อจะสร้างสันติภาพขึ้นมา ด้วยการนำเอาคนสองฝ่ายมาสร้างเป็นคนใหม่ขึ้นในพระองค์ 16 พระองค์ได้ทำลายความเป็นศัตรูกันของคนสองฝ่าย และทำให้เขากลับมาคืนดีกันกับพระเจ้าในกายเดียวกัน ผ่านทางความตายของพระคริสต์บนไม้กางเขน 17 ดังนั้นพระองค์จึงมาประกาศข่าวดีเรื่องสันติภาพนี้กับพวกที่อยู่ห่างไกลพระเจ้า (คือพวกคุณที่ไม่ใช่ยิว) และกับคนยิวที่อยู่ใกล้พระเจ้าด้วย 18 เพราะโดยทางพระคริสต์พวกเราทั้งสองฝ่าย ก็มีสิทธิ์ที่จะเข้าใกล้ชิดพระบิดาผ่านทางพระวิญญาณองค์เดียวกัน

19 ผลที่ตามมาก็คือ พวกคุณไม่ได้เป็นคนแปลกหน้าและไม่ได้เป็นคนต่างด้าวอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นพลเมืองเดียวกันกับคนของพระเจ้า และเป็นสมาชิกในครอบครัวของพระเจ้าด้วย 20 พวกคุณคืออาคารที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา รากฐานของอาคารนี้เป็นพวกศิษย์เอกของพระเยซู และพวกผู้พูดแทนพระเจ้า และมีพระเยซูคริสต์เป็นหินก้อนที่สำคัญที่สุด 21 ในพระคริสต์นั้น ทุกส่วนของอาคารถูกเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน และเจริญขึ้นเป็นวิหารศักดิ์สิทธิ์ให้กับองค์เจ้าชีวิต 22 ในพระคริสต์นั้น พวกคุณกำลังถูกก่อขึ้นมาด้วยกันกับคนอื่นๆให้เป็นที่อยู่ของพระวิญญาณของพระเจ้า

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International