Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
อพยพ 32

ลูกวัวทองคำ

(ฉธบ. 9:6-29)

32 เมื่อประชาชนเห็นว่าโมเสสขึ้นไปบนภูเขานาน ไม่ยอมลงมาสักที พวกเขาจึงพากันไปหาอาโรน และพูดว่า “ลุกขึ้นมาสร้างพระต่างๆให้กับพวกเราหน่อย เพื่อพระพวกนั้นจะได้มานำหน้าพวกเรา เพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับโมเสส ชายคนที่นำพวกเราออกมาจากแผ่นดินอียิปต์”

อาโรนพูดกับพวกเขาว่า “ไปถอดต่างหูทองคำ จากหูของเมียพวกท่าน จากลูกชายและลูกสาวของพวกท่าน และเอามาให้เรา”

ดังนั้น ประชาชนจึงถอดต่างหูทองคำออก และเอามาให้อาโรน

อาโรนก็รับทองคำจากมือของพวกเขา แล้วเอาเครื่องมือมาตีทองที่หลอมแล้วนั้นขึ้นเป็นลูกวัว

พวกเขาพูดว่า “ชาวอิสราเอลทั้งหลาย นี่คือพวกพระของพวกท่าน ผู้ที่นำพวกท่านออกมาจากแผ่นดินอียิปต์”

เมื่ออาโรนเห็นเข้า เขาก็สร้างแท่นบูชาไว้ตรงหน้าลูกวัวตัวนั้น อาโรนประกาศว่า “พรุ่งนี้จะมีงานเทศกาลเฉลิมฉลองพระยาห์เวห์”

วันรุ่งขึ้นประชาชนก็ลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ และถวายเครื่องเผาบูชาและเครื่องสังสรรค์บูชา แล้วพวกเขาก็นั่งลงดื่มกิน และลุกขึ้นร้องรำกันอย่างสนุกสนาน

พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “ลงไปได้แล้ว ตอนนี้คนของเจ้า ที่เจ้าได้พาออกมาจากแผ่นดินอียิปต์นั้น กำลังทำตัวเสื่อมเสีย พวกเขาได้หันไปจากทางที่เราได้สั่งพวกเขาไว้ พวกเขาได้หล่อลูกวัวขึ้นมาสำหรับตัวพวกเขาเอง พวกเขาได้กราบไหว้มัน และถวายเครื่องบูชาให้กับมัน พวกเขายังพูดอีกว่า ‘ชาวอิสราเอลทั้งหลาย นี่คือพวกพระของพวกท่าน ที่ได้นำพวกท่านออกมาจากแผ่นดินอียิปต์’”

พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “เราได้เห็นชนชาตินี้แล้ว มันดื้อดึงเหลือเกิน 10 ตอนนี้ อย่ามายุ่งกับเรา เพื่อความโกรธของเราจะได้เผาผลาญกลืนกินพวกมันจนหมด แล้วเราจะสร้างเจ้าขึ้นมาเป็นชนชาติใหม่”

11 โมเสสได้อ้อนวอนพระยาห์เวห์พระเจ้าของเขาว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ อย่าปล่อยให้ความโกรธของพระองค์ เผาผลาญประชาชนของพระองค์เลย พระองค์เป็นผู้ที่พาคนพวกนี้ออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ ด้วยพลังอันยิ่งใหญ่และมือของพระองค์ที่ยื่นออกมาช่วย 12 พระองค์จะทำให้ชาวอียิปต์พูดได้ว่า ‘พระยาห์เวห์มีแผนชั่วในใจ ถึงได้พาชาวอิสราเอลออกมา เพื่อพระองค์จะได้ฆ่าพวกเขาที่ภูเขาและทำลายพวกเขาให้หมดสิ้นไปจากโลกนี้’ ขอให้หันจากความเกรี้ยวโกรธของพระองค์ด้วยเถิด และขอให้พระองค์เปลี่ยนใจ อย่าได้ทำสิ่งที่เลวร้ายกับประชาชนของพระองค์เลย 13 ขอให้พระองค์ระลึกถึงอับราฮัม อิสอัค และอิสราเอล พวกผู้รับใช้ของพระองค์ พระองค์ได้สาบานไว้กับพวกเขาโดยอ้างชื่อของพระองค์เองว่า ‘เราจะทำให้ลูกหลานของพวกเจ้าเพิ่มทวี อย่างกับดวงดาวบนท้องฟ้า และเราได้สัญญาว่าเราจะยกแผ่นดินทั้งหมดนี้ให้กับลูกหลานของพวกเจ้า และพวกเขาจะได้ครอบครองมันตลอดไป’”

14 แล้วพระยาห์เวห์ก็เปลี่ยนใจ เกี่ยวกับเรื่องเลวร้ายที่พระองค์บอกว่าจะทำกับประชาชนของพระองค์

15 แล้วโมเสสก็กลับลงมาจากภูเขา พร้อมกับถือแผ่นหินแห่งข้อตกลงสองแผ่นที่มีคำสั่ง[a] เขียนอยู่ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง 16 แผ่นหินนั้นเป็นผลงานของพระเจ้า ตัวหนังสือบนแผ่นหินก็เป็นลายมือของพระเจ้า สลักอยู่บนแผ่นหินทั้งสองนั้น

17 เมื่อโยชูวาได้ยินเสียงร้องตะโกนของประชาชน เขาจึงพูดกับโมเสสว่า “มีเสียงของสงครามอยู่ในค่าย”

18 โมเสสตอบว่า “เสียงที่เราได้ยินนั้น มันไม่ใช่เสียงร้องตะโกนแห่งชัยชนะหรือพ่ายแพ้ แต่เป็นเสียงร้องเพลง”

19 เมื่อโมเสสเข้ามาใกล้ค่าย เขาก็เห็นลูกวัวทองคำและการร้องรำทำเพลง โมเสสก็โกรธมาก จึงขว้างหินทั้งสองแผ่นนั้นจากมือ ทำให้มันแตกเป็นชิ้นๆอยู่ที่ตีนเขานั้น 20 แล้วโมเสสก็เอาลูกวัว ที่ประชาชนสร้างขึ้นมา เผาไฟ และบดจนเป็นผง แล้วโปรยลงในน้ำ และบังคับให้ประชาชนชาวอิสราเอลดื่มมัน

21 โมเสสพูดกับอาโรนว่า “คนพวกนี้ไปทำอะไรให้กับพี่หรือ พี่ถึงได้นำพวกเขาไปทำบาปอันยิ่งใหญ่มหาศาลนี้”

22 อาโรนตอบว่า “ขอเจ้านาย อย่าได้โกรธเลย ท่านก็รู้จักคนพวกนี้ดีอยู่แล้ว มันมีใจเอนเอียงที่จะทำชั่วอยู่แล้ว 23 พวกเขามาพูดกับผมว่า ‘สร้างพวกพระขึ้นมาให้กับเรา เพื่อมันจะได้นำหน้าพวกเราไป เพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับโมเสส ชายคนที่นำพวกเราออกมาจากแผ่นดินอียิปต์’ 24 ผมก็เลยบอกกับพวกเขาว่า ‘ใครที่มีทองคำ ก็ให้ถอดมาให้กับผม’ แล้วผมก็โยนมันเข้าไปในกองไฟ แล้วลูกวัวตัวนี้ก็ออกมา”

25 เมื่อโมเสสเห็นว่าประชาชนวุ่นวายมาก ไม่สามารถควบคุมได้แล้ว เพราะอาโรนได้ปล่อยพวกเขาจนไม่สามารถควบคุมได้ และนี่จะเป็นเหตุทำให้พวกศัตรูหัวเราะเยาะได้ 26 โมเสสจึงไปยืนอยู่ตรงประตูเข้าค่ายและพูดว่า “ใครที่อยู่ฝ่ายพระยาห์เวห์มาหาเรา” ชาวเลวีทั้งหมดได้มารวมตัวกับโมเสส

27 โมเสสพูดกับพวกเขาว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอล พูดอย่างนี้ว่า ‘ให้ทุกคนพกดาบไว้ข้างตัว แล้วเข้าไปในค่าย แล้วให้เดินกลับไปกลับมาจากประตูด้านนี้ไปสุดด้านโน้น ฆ่าคนพวกนั้นให้หมด ไม่ว่าจะเป็นพี่น้อง เพื่อนฝูง หรือเพื่อนบ้านของท่านก็ตาม’”

28 ชาวเลวีก็ทำตามที่โมเสสพูด มีประชาชนตายประมาณสามพันคนในวันนั้น 29 โมเสสพูดว่า “ให้อุทิศตัวของพวกท่านให้กับพระยาห์เวห์ในวันนี้ รวมทั้งลูกชายและพี่น้องของท่าน แล้วพระยาห์เวห์จะอวยพรพวกท่านในวันนี้”

30 ในวันต่อมา โมเสสได้พูดกับประชาชนว่า “ท่านได้ทำบาปที่ยิ่งใหญ่มาก ตอนนี้เราจะขึ้นไปหาพระยาห์เวห์ เผื่อว่าเราอาจจะทำอะไรสักอย่าง เพื่อพระองค์จะได้ยกโทษบาปให้กับพวกท่าน” 31 แล้วโมเสสก็กลับไปหาพระยาห์เวห์และพูดว่า “ได้โปรดเถิด คนเหล่านี้ได้ทำบาปอันใหญ่หลวง โดยสร้างพวกพระทองคำให้กับตัวเอง 32 เพราะอย่างนี้ ขอได้โปรดยกโทษให้กับความบาปของพวกเขาด้วยเถิด ถ้าพระองค์ไม่ยอม ก็ให้ลบชื่อของข้าพเจ้าออกจากสมุด[b]ของพระองค์ ที่พระองค์ได้เขียนไว้เถิด”

33 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “ใครทำบาปต่อเรา เราจะลบชื่อของคนนั้นออกจากสมุดของเรา 34 ตอนนี้เจ้าไปได้แล้ว ไปนำประชาชนพวกนั้นไปยังที่ที่เราได้บอกกับเจ้าไว้ ทูตสวรรค์ของเราจะนำหน้าเจ้าไป แต่เมื่อเราลงโทษ เราจะลงโทษพวกเขาเพราะบาปของพวกเขา 35 ดังนั้น พระยาห์เวห์จึงทำให้เกิดโรคระบาดอย่างร้ายแรงกับพวกเขา เพราะพวกเขาบอกให้อาโรนทำลูกวัวทองคำขึ้นมา”

ยอห์น 11

ลาซารัสตาย

11 มีชายคนหนึ่งชื่อลาซารัสล้มป่วย เขามาจากหมู่บ้านเบธานี ที่มารีย์และมารธาพี่สาวสองคนของเขาอาศัยอยู่ (มารีย์คนนี้ เป็นผู้หญิงที่ต่อมาได้เทน้ำมันหอมลงบนเท้าของพระเยซู แล้วเอาผมของเธอเช็ดเท้าให้พระองค์ ลาซารัสคนที่ป่วยนี้เป็นน้องชายของเธอ) พี่สาวทั้งสองก็เลยส่งคนไปบอกพระเยซูว่า “ท่านอาจารย์ คนที่อาจารย์รักกำลังล้มป่วยอยู่”

เมื่อพระเยซูได้ยินอย่างนั้น พระองค์ก็บอกว่า “ในที่สุดแล้ว ผลจากการป่วยนี้จะไม่ใช่ความตาย แต่จะทำให้คนเห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าและของพระบุตรของพระเจ้าด้วย” พระเยซูรักมารธา รวมทั้งน้องสาวของเธอและลาซารัส แต่เมื่อพระองค์ได้ยินว่าลาซารัสกำลังล้มป่วยอยู่ พระองค์ก็ยังคงอยู่ที่เดิมต่อไปอีกสองวัน หลังจากนั้นพระองค์จึงบอกพวกศิษย์ว่า “กลับไปแคว้นยูเดียกันเถอะ”

พวกศิษย์พูดกับพระองค์ว่า “อาจารย์ครับ เมื่อไม่กี่วันก่อนพวกยิวที่นั่นพยายามเอาหินขว้างอาจารย์ให้ตาย อาจารย์ยังจะกลับไปอีกหรือ”

พระเยซูตอบว่า “กลางวันมีสิบสองชั่วโมงไม่ใช่หรือ ถ้าใครเดินตอนกลางวัน ก็จะไม่สะดุดล้ม เพราะมีแสงสว่างจากโลกนี้ 10 แต่ถ้าใครเดินในตอนกลางคืนก็จะสะดุดล้มเพราะไม่มีแสงสว่าง”

11 หลังจากที่พระองค์พูดอย่างนั้นแล้วก็บอกพวกศิษย์ว่า “ลาซารัสเพื่อนของพวกเรากำลังหลับอยู่ แต่เราจะไปที่นั่นเพื่อปลุกเขาขึ้นมา”

12 พวกศิษย์บอกว่า “อาจารย์ ถ้าเขาหลับอยู่ก็คงจะดีขึ้น”

13 พระเยซูหมายความว่าลาซารัสตายแล้ว แต่พวกศิษย์คิดว่าพระองค์หมายถึงการนอนหลับตามปกติ 14 พระเยซูจึงต้องบอกพวกเขาตรงๆว่า “ลาซารัสตายแล้ว 15 และเพราะเห็นแก่พวกคุณ เราถึงดีใจที่ไม่ได้อยู่ที่นั่น เพื่อคุณจะได้ไว้วางใจเรา พวกเราไปหาเขากันเถอะ”

16 โธมัส (ที่ใครๆเรียกว่า “แฝด”) จึงพูดกับศิษย์คนอื่นๆว่า “ไปพวกเรา ไปตายด้วยกันกับอาจารย์”

พระเยซูอยู่ในเบธานี

17 เมื่อพระเยซูไปถึงเบธานี ก็พบว่าลาซารัสถูกฝังในอุโมงค์ได้สี่วันแล้ว 18 หมู่บ้านเบธานีอยู่ห่างจากเมืองเยรูซาเล็มแค่สามกิโลเมตร 19 พวกยิวหลายคนก็มาปลอบใจมารธาและมารีย์ที่ต้องสูญเสียน้องชายไป

20 เมื่อมารธาได้ยินว่าพระเยซูมา เธอออกไปหาพระองค์โดยที่มารีย์ยังอยู่ที่บ้าน 21 มารธาพูดกับพระเยซูว่า “อาจารย์คะ ถ้าอาจารย์อยู่ที่นี่ น้องชายของพวกเราก็คงไม่ตาย 22 แต่ถึงเดี๋ยวนี้แล้วดิฉันก็ยังรู้ว่าพระเจ้าจะให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่อาจารย์ขอ”

23 พระเยซูพูดว่า “น้องชายของคุณจะฟื้นขึ้นมามีชีวิตอีก”

24 มารธาพูดว่า “ดิฉันรู้ว่าเขาจะฟื้นขึ้นมาใหม่และมีชีวิตอีกในวันสุดท้ายที่ทุกคนจะฟื้นขึ้นมา”

25 พระเยซูพูดอีกว่า “เราเป็นคนที่ทำให้คนทั้งหลายฟื้นขึ้นมาใหม่และให้ชีวิตกับเขา ทุกคนที่ไว้วางใจเราแม้จะตายไปแล้วก็จะกลับมีชีวิตขึ้นมาใหม่อีก 26 และทุกคนที่ยังมีชีวิตอยู่และไว้วางใจในเราก็จะไม่มีวันตาย มารธาเชื่ออย่างนั้นไหม”

27 มารธาตอบพระองค์ว่า “ค่ะท่าน ดิฉันเชื่อว่าท่านคือพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้า ท่านคือผู้นั้นที่ผู้คนกำลังคอยกันว่าจะเข้ามาในโลกนี้”

พระเยซูร้องไห้

28 หลังจากที่มารธาพูดอย่างนี้แล้ว เธอก็กลับไปบอกมารีย์น้องสาวของเธอเป็นการส่วนตัว “อาจารย์มาแล้ว และถามหาน้องอยู่” 29 เมื่อมารีย์ได้ยินว่า พระเยซูมา เธอก็รีบไปหาพระองค์ 30 (พระเยซูยังไม่ได้เข้ามาในหมู่บ้าน แต่ยังคงอยู่ที่เดิมที่มารธาไปหา) 31 เมื่อพวกยิวที่ปลอบใจมารีย์อยู่ในบ้านเห็นมารีย์รีบลุกขึ้นออกไป พวกเขาก็ตามเธอไป เพราะคิดว่าเธอจะไปร้องไห้ที่หลุมฝังศพ 32 เมื่อมารีย์ไปถึงก็เห็นพระเยซู เธอก้มลงกราบที่เท้าของพระองค์ และคร่ำครวญว่า “อาจารย์คะ ถ้าอาจารย์อยู่ที่นี่ น้องชายของดิฉันก็คงไม่ตาย”

33 เมื่อพระเยซูเห็นมารีย์ร้องไห้ และพวกยิวที่ตามเธอมาร้องไห้ด้วย พระองค์ก็รู้สึกโกรธ[a] และเป็นทุกข์ 34 พระองค์ถามว่า “พวกคุณเอาศพเขาไปฝังไว้ที่ไหน” พวกเขาตอบว่า “ตามมาดูสิ อาจารย์”

35 พระเยซูร้องไห้

36 พวกยิวจึงพูดว่า “ดูสิ เขารักลาซารัสมากขนาดไหน”

37 แต่บางคนก็พูดว่า “ผู้ชายคนนี้ทำให้คนตาบอดมองเห็นได้ แล้วทำไมเขาจะช่วยให้ลาซารัสรอดตาย ไม่ได้ล่ะ”

พระเยซูทำให้ลาซารัสฟื้นขึ้น

38 พระเยซูรู้สึกโกรธอีก และเมื่อมาถึงอุโมงค์ฝังศพของลาซารัสก็มีหินใหญ่ปิดปากอุโมงค์อยู่ 39 พระองค์จึงสั่งว่า “เลื่อนหินออกไปสิ”

มารธาพี่สาวของลาซารัสจึงบอกพระองค์ว่า “อาจารย์คะ คงเหม็นแย่แล้วล่ะ เพราะเขาตายมาสี่วันแล้ว” 40 พระเยซูบอกเธอว่า “คุณลืมแล้วหรือที่เราบอกว่า ถ้าคุณไว้วางใจ คุณจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า”

41 พวกเขาจึงเลื่อนหินออก แล้วพระเยซูก็แหงนหน้าขึ้นพูดว่า “พระบิดา ลูกขอขอบคุณพระองค์ที่ฟังลูก 42 ลูกรู้ว่าพระองค์ฟังลูกอยู่เสมอ แต่ที่ลูกพูดก็เพื่อว่าทุกคนที่อยู่ที่นี่จะได้เชื่อว่าพระองค์ส่งลูกมา” 43 หลังจากพระเยซูพูดจบ พระองค์ร้องตะโกนเสียงดังว่า “ลาซารัส ออกมา” 44 ลาซารัสที่ตายไปแล้วก็เดินออกมา โดยที่ยังมีผ้าลินินพันมือพันเท้า ที่หน้าก็มีผ้าพันอยู่รอบ

พระเยซูสั่งพวกเขาว่า “เอาผ้าพวกนั้นออกให้เขาหน่อย เขาจะได้เป็นอิสระ”

พวกยิววางแผนฆ่าพระเยซู

(มธ. 26:1-5; มก. 14:1-2; ลก. 22:1-2)

45 เมื่อพวกยิวหลายคนที่มาหามารีย์ได้เห็นสิ่งที่พระเยซูทำ ก็พากันไว้วางใจพระองค์ 46 แต่มีบางคนในพวกนั้นไปเล่าเรื่องนี้ให้พวกฟาริสีฟัง 47 พวกหัวหน้านักบวช และพวกฟาริสีจึงเรียกประชุมสมาชิกสภาแซนฮีดริน แล้วพูดกันว่า “พวกเราจะทำยังไงดี ชายคนนี้ได้ทำสิ่งอัศจรรย์หลายอย่าง 48 ถ้าเราขืนปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป ประชาชนจะแห่กันไปเชื่อเขาหมด และพวกโรมันก็จะมาทำลายวิหารและชาติของเรา”

49 แต่มีชายคนหนึ่งในหมู่พวกเขาชื่อ คายาฟาส ซึ่งเป็นหัวหน้าสูงสุดของนักบวชในปีนั้น พูดกับพวกเขาว่า “พวกคุณนี่ช่างไม่รู้เรื่องอะไรเลย 50 แถมยังไม่เข้าใจอีกว่า การที่จะให้ชายคนหนึ่งตายแทนประชาชน ก็ยังดีกว่าให้คนทั้งชาติต้องมาถูกทำลาย” 51 คายาฟาสไม่ได้คิดที่จะพูดขึ้นมาเอง แต่พระเจ้าทำให้เขาพูดอย่างนั้น เพราะเขาเป็นหัวหน้าสูงสุดของนักบวชในปีนั้น พระเจ้าก็เลยทำให้คายาฟาสเป็นผู้พูดแทนพระเจ้าว่า พระเยซูกำลังจะตายแทนชนชาติยิว 52 แล้วพระเยซูไม่ได้ตายแทนชนชาติยิวเท่านั้น แต่พระองค์ตายเพื่อรวบรวมลูกๆของพระเจ้าทุกคนที่กระจัดกระจายไปทั่วโลก ให้มาอยู่รวมกันเป็นหนึ่งเดียว

53 ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พวกเขาก็หาทางที่จะฆ่าพระเยซู 54 พระเยซูจึงไม่ไปไหนมาไหนอย่างเปิดเผยในหมู่คนยิวอีก พระองค์ออกจากหมู่บ้านเบธานีไปที่หมู่บ้านเอฟราอิม ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง แล้วพระองค์กับพวกศิษย์ก็พักอยู่ที่นั่น

55 เมื่อใกล้ถึงเทศกาลวันปลดปล่อย มีคนมากมายจากชนบทหลั่งไหลเข้ามาในเมืองเยรูซาเล็มก่อนหน้าเทศกาลไม่กี่วันเพื่อชำระตัวให้บริสุทธิ์สำหรับเทศกาลนั้น 56 ผู้คนได้เที่ยวมองหาพระเยซู และเมื่อพวกเขาอยู่ในบริเวณวิหาร ก็ถามกันว่า “เขาจะมางานนี้หรือเปล่านะ” 57 พวกหัวหน้านักบวชและพวกฟาริสีสั่งผู้คนว่าถ้าใครรู้ว่าพระเยซูอยู่ไหนก็ให้มาบอกเพื่อว่าพวกเขาจะได้ไปจับพระองค์

สุภาษิต 8

สติปัญญาเล่าเรื่องของเธอให้ฟัง

สติปัญญากำลังส่งเสียงร้องเรียกอยู่
    ความรู้ความเข้าใจเปล่งเสียงของเธอ
เธอยืนอยู่ทั้งบนยอดเขา
    ตามถนนหนทางและตามทางแยกถนน
เธอส่งเสียงร้องอยู่ที่ข้างประตู
    และที่ทางเข้าเมือง
สติปัญญาร้องว่า “ท่านทั้งหลาย ข้าส่งเสียงเรียกพวกท่าน
    เสียงของข้าพูดกับมนุษย์ทุกคน”
คนทั้งหลายที่ขาดความเข้าใจ ให้เรียนรู้ที่จะเป็นคนฉลาดหลักแหลมเถิด
    คนโง่ทั้งหลาย หัดใช้สมองเสียบ้าง
ฟังให้ดี เพราะเรามีเรื่องสำคัญบางอย่างจะบอก
    เราจะสอนเจ้าในสิ่งที่ถูกต้อง
ด้วยว่าปากของเรานั้นพูดความจริง
    ริมฝีปากของเรานั้นเกลียดชังความชั่ว
คำพูดทุกคำที่ออกจากปากของเรานั้นล้วนสัตย์ซื่อ
    ไม่มีคำพูดใดที่บิดเบือนหรือทำให้หลงผิดเลย
ถ้อยคำทุกคำล้วนแต่ชัดแจ้งอยู่แล้วสำหรับคนที่มีความเข้าใจ
    และตรงไปตรงมาสำหรับคนที่มีความรู้
10 ให้ยอมรับการตักเตือนของเรา มันดีกว่าเงินเสียอีก
    ยอมรับความรู้ของเรา มันดีกว่าทองคำบริสุทธิ์
11 เพราะสติปัญญานั้นดีกว่าทับทิม
    สิ่งทั้งหลายที่เจ้าอยากได้ไม่อาจจะเทียบได้กับสติปัญญา

12 “เราเป็นสติปัญญา เราอยู่ร่วมชายคาเดียวกับความเฉลียวฉลาด
    และเรารู้ว่าจะหาความรู้และความคิดรอบคอบได้ที่ไหน
13 ความยำเกรงพระยาห์เวห์นั้น คือการเกลียดชังความชั่ว
    และเราก็เกลียดชังความหยิ่งจองหอง
    การกระทำชั่วร้ายและคำพูดหลอกลวง
14 เรามีคำแนะนำดีๆและวิธีการแก้ปัญหา
    เราเป็นความเข้าใจ และเรามีพลัง
15 เราช่วยพวกกษัตริย์ในการปกครอง
    และเราช่วยพวกผู้นำให้ออกกฎหมายที่ยุติธรรม
16 พวกเจ้าชายก็อาศัยเราในการปกครองบ้านเมือง
    พวกคนใหญ่คนโต และผู้พิพากษาที่ยุติธรรม ก็อาศัยเราด้วยเหมือนกัน
17 เรารักคนเหล่านั้นที่รักเรา
    คนเหล่านั้นที่แสวงหาเราจะพบเรา
18 ความร่ำรวยและเกียรติยศนั้นก็อยู่กับเรา
    อีกทั้งความมั่งคั่งอันถาวรที่ได้มาอย่างยุติธรรมก็อยู่กับเรา
19 ผลของเรานั้นดียิ่งกว่าทองคำหรือแม้แต่ทองคำบริสุทธิ์
    ผลผลิตของเรานั้นดีกว่าเงินบริสุทธิ์
20 เราเดินในทางที่ทำให้พระเจ้าชอบใจ
    เราอยู่ในทางที่ยุติธรรม
21 เรามอบความมั่งคั่งให้เป็นมรดกกับคนที่รักเรา
    เราทำให้คลังสมบัติของเขาเต็ม

22 พระยาห์เวห์สร้างเราขึ้นมาเมื่อพระองค์เริ่มต้นงานของพระองค์
    พระองค์สร้างเรานานมาแล้วก่อนอะไรทั้งหมด
23 เราถูกก่อร่างขึ้นเมื่อครั้งอดีตกาล
    ตอนแรกเริ่มก่อนที่จะมีแผ่นดินโลกเสียอีก
24 เราเกิดมาก่อนที่จะมีมหาสมุทร
    เมื่อครั้งที่ยังไม่มีตาน้ำไหลออกมามากมาย
25 เราเกิดมาก่อนที่ภูเขาจะถูกจัดวางในที่ของมัน
    ก่อนที่จะมีเนินเขาเสียอีก
26 เราเกิดมาก่อนที่พระองค์จะสร้างแผ่นดินโลก
    ท้องทุ่งและฝุ่นบนผืนโลก
27 เราอยู่กับพระองค์ตอนที่พระองค์จัดวางฟ้าสวรรค์ไว้ในที่ของมัน
    และตีเส้นขอบฟ้าไว้บนผิวน้ำของทะเลลึก
28 เราอยู่กับพระองค์ตอนที่พระองค์จัดวางฟ้ากับเมฆไว้เบื้องบนอย่างมั่นคง
    และเมื่อตาน้ำพุ่งขึ้นมาจากใต้ทะเลลึก
29 เราอยู่กับพระองค์ตอนที่พระองค์วางเส้นเขตแดนของทะเล
    เพื่อน้ำจะไม่ละเมิดคำสั่งของพระองค์
    เราอยู่กับพระองค์ตอนที่พระองค์วางรากฐานของแผ่นดินโลก
30 เมื่อนั้น เราได้อยู่กับพระองค์ ในฐานะช่างผู้ชำนาญงาน[a]
    เราทำให้พระองค์มีความสุขเพลิดเพลินในทุกๆวัน
    เราเต้นรำอยู่ต่อหน้าพระองค์อยู่เสมอ
31 เราเต้นรำไปทั่วพื้นโลกของพระองค์
    และมนุษย์ทำให้เรามีความสุขเพลิดเพลิน

32 ดังนั้น ลูกๆเอ๋ย ฟังเราให้ดี
    คนพวกนั้นที่ยึดมั่นอยู่ในทางของเรามีเกียรติจริงๆ
33 ให้ฟังคำสั่งสอนของเรา จะได้เป็นคนฉลาด
    อย่าได้เมินเฉยกับมัน
34 คนที่ฟังเรา มีเกียรติจริงๆ
    ในทุกๆวัน พวกเขาเฝ้ารออยู่ที่ประตูของเราคอยเราออกมา
35 เพราะว่าคนที่พบเราก็พบชีวิต
    และได้รับพระพรจากพระยาห์เวห์
36 แต่คนที่ไม่พบเรา ก็ทำร้ายตัวเอง
    ทุกคนที่เกลียดชังเรา ก็รักความตาย”

เอเฟซัส 1

จากเปาโล ศิษย์เอกของพระเยซูคริสต์ ตามความต้องการของพระเจ้า

ถึง คนทั้งหลายที่เป็นของพระเจ้า ที่ซื่อสัตย์ในพระเยซูคริสต์ ในเมืองเอเฟซัส[a]

ขอให้พระเจ้าพระบิดาของเรา และพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ให้ความเมตตากรุณาและสันติสุขกับพวกคุณทุกคน

พระพรจากพระวิญญาณ

ขอสรรเสริญพระเจ้าพระบิดาของพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา พระองค์เป็นผู้ที่ได้อวยพรเรามากมายในโลกฝ่ายวิญญาณ โดยผ่านทางพระวิญญาณ เพราะเรามีส่วนในพระคริสต์ พระเจ้ารักเรา พระองค์จึงเลือกเราผู้ที่มีส่วนในพระคริสต์ไว้ก่อนที่จะสร้างโลกนี้เสียอีก เพื่อเราจะได้เป็นคนของพระองค์และไม่มีที่ติต่อหน้าพระองค์ พระองค์กำหนดไว้ล่วงหน้าแล้วว่า จะรับเรามาเป็นลูกๆของพระองค์โดยทางพระเยซูคริสต์ นี่แหละเป็นความต้องการและความพอใจของพระองค์ พระองค์ทำอย่างนี้เพื่อเราจะได้สรรเสริญพระบารมีของพระองค์ สำหรับความเมตตากรุณาของพระองค์ที่ให้กับเราเปล่าๆผ่านมาทางพระบุตรที่พระองค์รักมาก พระเจ้าได้ปลดปล่อยพวกเราที่มีส่วนในพระคริสต์นั้นให้เป็นอิสระด้วยเลือดของพระองค์ และพระเจ้าได้อภัยโทษบาปของเรา เพราะความเมตตากรุณาอันมหาศาลของพระองค์ พระเจ้าได้เมตตาเราอย่างเหลือล้น พร้อมกับให้สติปัญญาทุกอย่างและความเข้าใจอย่างถ่องแท้กับเรา โดยที่พระองค์เต็มใจเปิดเผยแผนการลับที่อยู่ในใจของพระองค์ให้เรารู้ เป็นแผนการลับที่พระองค์ตั้งใจจะให้สำเร็จในพระคริสต์ 10 แผนการลับนั้นคือ เมื่อเวลาอันเหมาะสมมาถึงแล้ว พระเจ้าก็ได้รวบรวมทุกสิ่งทั้งในสวรรค์และบนโลกมาไว้ในพระคริสต์

11 พระเจ้าเลือกเราผู้ที่มีส่วนในพระคริสต์ไว้แล้ว ให้เป็นคนของพระองค์ สิ่งนี้ถูกกำหนดไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว ซึ่งก็เป็นไปตามความตั้งใจของพระเจ้า พระองค์ตั้งใจทำอะไร พระองค์ก็จะทำให้สำเร็จตามนั้น 12 พระองค์ตั้งใจให้เราผู้ที่มีความหวังในพระคริสต์ มีชีวิตอยู่เพื่อสรรเสริญพระบารมีของพระองค์ 13 พวกคุณก็มีส่วนในพระคริสต์เหมือนกัน พระองค์ประทับตราเป็นเจ้าของคุณแล้ว ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่พระองค์ได้สัญญาไว้ พระองค์ทำอย่างนี้ตอนที่คุณได้ยินและเชื่อในถ้อยคำแห่งความจริง คือข่าวดีที่ทำให้คุณรอดนั้น 14 พระวิญญาณนี้ เป็นเครื่องมัดจำงวดแรกสำหรับมรดกของเรา และเป็นผู้ที่รับรองว่า พระเจ้าจะปลดปล่อยพวกเราผู้ที่เป็นของพระองค์นั้นให้เป็นอิสระ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อเราจะได้สรรเสริญพระบารมีของพระองค์

คำอธิษฐานของเปาโล

15 ตั้งแต่ผมได้ยินเรื่องความเชื่อที่พวกคุณมีต่อพระเยซูเจ้า และความรักที่คุณมีให้กับทุกคนที่เป็นของพระเจ้า 16 เมื่อผมอธิษฐานก็ไม่เคยหยุดขอบคุณพระเจ้าสำหรับพวกคุณเลย 17 ผมขอพระเจ้าของพระเยซูคริสต์ของเรา คือพระบิดาผู้ยิ่งใหญ่ โปรดให้พระวิญญาณที่จะให้สติปัญญากับคุณ และเปิดเผยให้คุณรู้เรื่องของพระเจ้ามากขึ้น 18 ขอให้ตาใจของคุณสว่างไสวขึ้นมา เพื่อจะได้รู้ว่าพระเจ้าเรียกให้คุณมามีความหวังอะไร และรู้ด้วยว่ามรดกที่พระเจ้ามอบให้กับคนที่เป็นของพระองค์นั้น มันยิ่งใหญ่มหาศาลขนาดไหน 19 และให้คุณรู้อีกด้วยว่า ฤทธิ์อำนาจที่พระเจ้าให้กับเราผู้ที่เชื่อนั้น ยิ่งใหญ่ขนาดไหน อย่างหาที่เปรียบไม่ได้ 20 เป็นฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่ที่พระองค์ได้ใช้ตอนที่พระองค์ทำให้พระคริสต์ฟื้นขึ้นจากความตายและให้นั่งอยู่ทางขวามือของพระองค์ในโลกฝ่ายวิญญาณนั้น 21 พระเจ้าได้ตั้งให้พระคริสต์อยู่เหนือผู้ครอบครอง ผู้มีสิทธิอำนาจ ผู้มีฤทธิ์ ผู้ครอบครองแผ่นดิน และเหนือตำแหน่งใดๆที่ตั้งขึ้นมาได้ ไม่ใช่แต่ในยุคนี้เท่านั้นแต่ในยุคที่กำลังจะมาถึงด้วย 22 พระเจ้าวางทุกสิ่งไว้ใต้เท้าของพระคริสต์ และพระองค์ตั้งพระคริสต์เป็นศีรษะเหนือทุกสิ่งเพื่อหมู่ประชุมของพระองค์ 23 หมู่ประชุมนี้คือร่างกายของพระคริสต์ และหมู่ประชุมนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยพระคริสต์ และพระคริสต์ทำให้ทุกสิ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยพระองค์

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International