M’Cheyne Bible Reading Plan
กฎเกี่ยวกับการชดใช้
22 1-4 ถ้าขโมยถูกจับและถูกตีจนตาย ในขณะที่กำลังบุกเข้าไปในบ้านตอนกลางคืน คนฆ่าก็ไม่มีความผิด แต่ถ้าฆ่าในตอนกลางวัน คนที่ฆ่าก็จะมีความผิดเป็นฆาตกร ถ้าจับขโมยได้ ขโมยนั้นจะต้องชดใช้เต็มจำนวน ถ้าเขาไม่มีจะชดใช้ เขาจะต้องถูกขายไปเป็นทาส เพราะการขโมยนั้น ถ้าสิ่งที่เขาขโมยมา ไม่ว่าจะเป็นวัวตัวผู้ ลา หรือแกะ ยังมีชีวิตอยู่ เขาต้องชดใช้เป็นสองเท่า
5 ถ้าใครปล่อยให้สัตว์ของเขาเข้าไปทำลายท้องทุ่งหรือไร่องุ่นของคนอื่น หรือปล่อยให้ฝูงสัตว์ของเขาเข้าไปกินหญ้าในท้องทุ่งของคนอื่น เขาต้องเอาของที่ดีที่สุดในทุ่งนา และไร่องุ่นของเขาเองมาชดใช้ให้กับคนที่ได้รับความเสียหายนั้น
6 ถ้าใครจุดไฟเผาพงหนาม แล้วลามไปเผากองข้าวหรือรวงข้าว หรือทุ่งนาของคนอื่น เขาจะต้องชดใช้สิ่งที่ถูกเผาไปนั้น
7 ถ้าใครฝากเงินหรือสิ่งของไว้กับเพื่อนบ้าน และมันถูกขโมยไปจากบ้านของเพื่อนคนนั้น ถ้าจับขโมยได้ ขโมยนั้นจะต้องชดใช้ให้เต็มจำนวน 8 แต่ถ้าจับขโมยไม่ได้ ต้องเอาเจ้าของบ้านไปอยู่ต่อหน้าพระเจ้า เพื่อพิสูจน์ว่าเป็นเจ้าของบ้านหรือเปล่าที่ขโมยทรัพย์สินของเพื่อนบ้านไป
9 ถ้าเกิดการโต้เถียงกันขึ้นเมื่อเจอของที่หาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวัวตัวผู้ ลา แกะ เสื้อผ้า หรืออะไรก็ตามที่หายไป ถ้าต่างคนต่างบอกว่า “นี่ของฉัน” ทั้งสองคนจะต้องไปพบพระเจ้า คนที่พระเจ้าตัดสินว่าเป็นคนผิด จะต้องชดใช้ให้กับเพื่อนบ้านของเขาสองเท่า
10 ถ้ามีใครฝาก ลา หรือวัวตัวผู้ หรือแกะ หรือสัตว์ชนิดไหนก็ตาม ไว้กับเพื่อนบ้าน แล้วมันเกิดตายไป หรือบาดเจ็บหรือมีใครไล่ต้อนไป โดยไม่มีใครเห็น 11 ทั้งสองคนจะต้องไปสาบานต่อพระยาห์เวห์ เพื่อพิสูจน์ว่าเขาเอาทรัพย์สินของเพื่อนบ้านไปหรือเปล่า เจ้าของสัตว์นั้นจะต้องยอมรับการสาบานนี้ และเพื่อนบ้านคนนั้นก็ไม่ต้องชดใช้อะไรเลย 12 แต่ถ้าเพื่อนบ้านคนนั้นขโมยสัตว์นั้นไปจริง เขาจะต้องชดใช้ให้กับเจ้าของสัตว์ 13 ถ้าสัตว์ป่ามาฉีกเนื้อสัตว์นั้น เพื่อนบ้านคนนั้นจะต้องเอาซากสัตว์มาให้ดู เขาก็ไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหาย
14 แต่ถ้ามีใครขอยืมอะไรจากเพื่อนบ้าน และมันเกิดได้รับบาดเจ็บหรือตายขึ้นมา ในขณะที่เจ้าของไม่อยู่ เขาจะต้องชดใช้เต็มจำนวน 15 แต่ถ้าเจ้าของอยู่ด้วย เขาก็ไม่ต้องชดใช้ให้ แต่ถ้าคนๆนั้นเช่าสัตว์นั้นมา เขาก็ไม่ต้องชดใช้ เพราะค่าเช่าก็พอสำหรับค่าชดใช้แล้ว
16 ถ้าชายใดล่อลวงหญิงสาวบริสุทธิ์ที่ยังไม่ได้หมั้นหมาย และได้มีเพศสัมพันธ์กับนาง ชายคนนั้นจะต้องจ่ายค่าสินสอดเต็มจำนวน เพื่อรับนางมาเป็นเมีย 17 แต่ถ้าพ่อของนางหัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ยอมยกนางให้กับชายคนนั้น เขาก็ยังจะต้องจ่ายค่าชดใช้เท่ากับค่าสินสอดของหญิงบริสุทธิ์
กฎอื่นๆ
18 หญิงคนไหนที่เป็นแม่มดหมอผี ต้องตาย
19 ใครร่วมเพศกับสัตว์ คนนั้นจะต้องถูกประหาร
20 ใครเซ่นไหว้พวกพระอื่นที่ไม่ใช่พระยาห์เวห์ ต้องถูกประหาร
21 เจ้าต้องไม่ทารุณหรือข่มเหงคนต่างชาติ เพราะว่าพวกเจ้าก็เคยเป็นคนต่างชาติในแผ่นดินอียิปต์มาก่อน
22 พวกเจ้าต้องไม่ทำร้ายหญิงหม้ายหรือเด็กกำพร้า 23 ถ้าเจ้าทำร้ายพวกเขา พวกเขาก็จะมาร้องทุกข์กับเรา และเราก็จะฟังเสียงร้องทุกข์ของพวกเขา 24 เราจะโกรธและเราจะฆ่าพวกเจ้าด้วยดาบ เมียพวกเจ้าก็จะกลายเป็นหม้าย ลูกของพวกเจ้าก็จะกลายเป็นเด็กกำพร้า
25 ถ้าเจ้าให้คนจนในหมู่คนของเรายืมเงิน เจ้าต้องไม่ทำตัวเป็นเจ้าหนี้เขา และห้ามคิดดอกเบี้ยเขาด้วย 26 ถ้าเจ้ายึดเสื้อของเพื่อนบ้านไว้เป็นมัดจำ เจ้าต้องคืนเสื้อนั้นให้กับเขาก่อนอาทิตย์ตกดิน 27 เพราะมันเป็นผ้าผืนเดียวที่เขาเอาไว้ห่มร่างกาย แล้วกลางคืนเขาจะเอาอะไรห่มนอน เมื่อเขามาร้องทุกข์กับเรา เราก็จะฟัง เพราะเราสงสารเขา 28 เจ้าต้องไม่หมิ่นประมาทพระเจ้า หรือสาปแช่งผู้นำประชาชนของเจ้า
29 เจ้าจะต้องไม่เก็บผลผลิตอันอุดมสมบูรณ์ หรือน้ำผลไม้ที่เจ้าผลิตได้ครั้งแรก เอาไว้เอง และเจ้าต้องยกลูกชายคนโตของเจ้าให้กับเรา 30 เจ้าต้องทำอย่างเดียวกันกับวัวตัวผู้และแกะของเจ้า สัตว์หัวปีที่เพิ่งเกิดมา ให้มันอยู่กับแม่ของมันก่อนในเจ็ดวันแรก ในวันที่แปดเจ้าถึงยกมันให้กับเรา
31 พวกเจ้าจะต้องเป็นประชาชนที่อุทิศไว้ให้กับเรา เนื้อที่ถูกสัตว์ป่าฉีกกินในท้องทุ่ง พวกเจ้าต้องไม่เอามากิน แต่เอาไปโยนให้หมากินซะ
พระคำได้มาเกิดเป็นมนุษย์
1 ตอนเริ่มต้นก่อนที่โลกนี้จะเกิดขึ้นก็มีพระคำอยู่แล้ว พระคำนี้อยู่กับพระเจ้า และเป็นพระเจ้าด้วย 2 พระคำอยู่กับพระเจ้าตั้งแต่เริ่มต้นก่อนที่โลกนี้จะเกิดขึ้น 3 ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นอยู่นี้เกิดมาจากพระคำทั้งนั้น ไม่มีอะไรเลยที่ไม่ได้เกิดมาจากพระคำ 4 พระคำเป็นแหล่งของชีวิตที่เที่ยงแท้ ชีวิตนั้นได้นำความสว่างมาให้มนุษย์ทุกคน 5 ความสว่างส่องเข้ามาในความมืดอยู่ แต่ความมืดไม่สามารถเอาชนะ[a] ความสว่างนั้นได้
6 พระเจ้าได้ส่งชายชื่อยอห์น มาเป็นผู้ส่งข่าวของพระองค์ 7 เขามาบอกผู้คนเกี่ยวกับความสว่าง เพื่อทุกคนจะได้เชื่อในเรื่องที่เขาบอก 8 ตัวยอห์นเองไม่ใช่ความสว่างนั้น แต่เขามาเพื่อเล่าเรื่องความสว่างนั้น 9 ความสว่างเที่ยงแท้ ที่ให้ความสว่างกับมนุษย์ทุกคนกำลังเข้ามาในโลก
10 พระองค์ได้อยู่ในโลกนี้ แต่โลกนี้กลับไม่รู้จักพระองค์ ทั้งๆที่โลกนี้ถูกสร้างผ่านทางพระองค์ 11 เมื่อพระองค์มาถึงบ้านเมืองของพระองค์เอง คนของพระองค์ก็ยังไม่ยอมรับพระองค์ 12 แต่ส่วนคนที่ยอมรับและไว้วางใจพระองค์ พระองค์ให้สิทธิ์พวกเขาเป็นลูกของพระเจ้า 13 ลูกของพระเจ้านี้ไม่ใช่ลูกที่เกิดมาจากเลือดเนื้อหรือจากความต้องการของมนุษย์ หรือจากความตั้งใจของพ่อ แต่เกิดมาจากพระเจ้า
14 พระคำได้กลายมาเป็นมนุษย์ และใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางพวกเรา พระคำนั้นเต็มไปด้วยความเมตตากรุณาและความจริง พวกเราได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์ ซึ่งเป็นความยิ่งใหญ่ของพระบุตรเพียงองค์เดียวของพระบิดา 15 ยอห์นร้องตะโกนบอกผู้คนเกี่ยวกับพระองค์ว่า “คนที่มาภายหลังผมนั้น ยิ่งใหญ่กว่าผมอีก เพราะเขาเป็นอยู่นานแล้วก่อนที่ผมจะเกิดเสียอีก”
16 พระองค์เต็มไปด้วยความเมตตากรุณา พวกเราทุกคนก็เลยได้รับพระพรจากพระองค์ครั้งแล้วครั้งเล่า 17 พระเจ้าได้ให้กฎปฏิบัติที่เป็นข้อบังคับผ่านมาทางโมเสส แต่พระเจ้าได้แสดงความเมตตากรุณาและความจริงผ่านมาทางพระเยซูคริสต์ 18 ไม่เคยมีใครเห็นพระเจ้า มีแต่พระบุตรเพียงองค์เดียวของพระองค์ ผู้ที่เป็นพระเจ้าเอง[b]และอยู่ใกล้ชิดกับพระบิดาด้วย ได้เปิดเผยพระเจ้าให้เรารู้จัก
ยอห์นพูดถึงตัวเองและคนที่ยิ่งใหญ่กว่าเขา
(มธ. 3:1-12; มก. 1:2-8; ลก. 3:1-9, 15-17)
19 นี่คือสิ่งที่ยอห์นบอก เมื่อพวกยิวในเมืองเยรูซาเล็มส่งพวกนักบวช และพวกเลวี[c] มาถามยอห์นว่า “คุณเป็นใคร”
20 ยอห์นไม่ได้ปิดบังความจริง เขาตอบไปอย่างเปิดเผยและชัดเจนว่า “ผมไม่ใช่พระคริสต์”
21 พวกเขาก็เลยถามอีกว่า “ถ้าอย่างนั้นคุณเป็นใคร เป็นเอลียาห์หรือ”
ยอห์นตอบว่า “ไม่ใช่”
“หรือเป็นผู้พูดแทนพระเจ้าคนนั้น”[d]
ยอห์นก็ตอบว่า “ไม่ใช่”
22 พวกเขาถามยอห์นว่า “แล้วคุณเป็นใครกันแน่ ช่วยบอกหน่อย เราจะได้ไปบอกคนที่ส่งเรามา ว่าไง คุณว่าคุณเป็นใครกันล่ะ”
23 ยอห์นตอบโดยยกเอาคำของอิสยาห์ผู้พูดแทนพระเจ้า ที่ว่า
“ผมเป็นเสียงของคนที่ร้องตะโกนอยู่ในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งว่า
ทำทางให้ตรงสำหรับองค์เจ้าชีวิต”[e]
24 ส่วนคนที่พวกฟาริสีส่งมา 25 ได้ถามยอห์นว่า “ถ้าคุณไม่ใช่พระคริสต์ ไม่ใช่เอลียาห์ แล้วก็ไม่ใช่ผู้พูดแทนพระเจ้าคนนั้น แล้วทำไมคุณถึงทำพิธีจุ่มน้ำให้ชาวบ้านล่ะ”
26 ยอห์นจึงตอบว่า “ผมทำพิธีจุ่มด้วยน้ำ แต่มีคนหนึ่งในท่ามกลางพวกคุณที่พวกคุณเองก็ไม่รู้จัก 27 คนๆนี้แหละที่มาภายหลังผม ขนาดสายรัดรองเท้าของเขาผมยังไม่มีค่าพอที่จะแก้ให้เลย”
28 เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นที่หมู่บ้านเบธานี ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน ซึ่งเป็นที่ที่ยอห์นกำลังทำพิธีจุ่มน้ำให้ผู้คนอยู่
29 ในวันต่อมา ยอห์นเห็นพระเยซูเดินตรงมาหาเขา แล้วยอห์นป่าวประกาศว่า “นี่ไง ลูกแกะของพระเจ้า ที่จะมาเอาความผิดบาปของโลกไป 30 คนนี้ไงที่ผมพูดถึงว่า ‘จะมีชายคนหนึ่งมาภายหลังผม เป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่กว่าผม เพราะเขาเป็นอยู่นานแล้วก่อนที่ผมจะเกิดเสียอีก’ 31 ตัวผมเองก็ไม่รู้มาก่อนหรอกว่าคนที่จะมาภายหลังนั้นจะเป็นใคร แต่ผมมาทำพิธีจุ่มด้วยน้ำก็เพื่อจะได้เปิดเผยตัวเขาให้คนอิสราเอลได้รู้จัก”
32 แล้วยอห์นก็บอกว่า “ผมได้เห็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ลงมาจากสวรรค์เหมือนนกพิราบ และมาอยู่บนชายคนนี้ 33 ตัวผมเองก็ไม่รู้มาก่อนว่าคนที่จะมาภายหลังนั้นจะเป็นใคร แต่พระองค์ผู้ที่ส่งผมมาให้ทำพิธีจุ่มน้ำบอกว่า ‘เมื่อเจ้าเห็นพระวิญญาณลงมาอยู่บนใคร คนนั้นแหละคือคนที่จะทำพิธีจุ่มด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์’ 34 ผมเห็นเรื่องนี้เกิดขึ้นกับตา และผมเป็นพยานได้ว่า ‘ชายคนนี้เป็นพระบุตรของพระเจ้า’”[f]
ศิษย์รุ่นแรกของพระเยซู
35 วันต่อมา ยอห์นยืนอยู่กับศิษย์ของเขาสองคน 36 เมื่อเขาเห็นพระเยซูเดินผ่านไป ยอห์นก็พูดขึ้นว่า “นั่นไง ลูกแกะของพระเจ้า”
37 พอศิษย์สองคนนั้นได้ยินอย่างนั้น เขาก็เดินตามพระเยซูไป 38 เมื่อพระองค์หันไปเห็นพวกเขาเดินตามหลังมา ก็ถามว่า “มีอะไรหรือ”
พวกเขาถามไปว่า “ราบีครับ ท่านพักอยู่ที่ไหนครับ” (ราบีแปลว่าอาจารย์)
39 พระเยซูตอบว่า “ตามมาดูสิ” พวกเขาก็ได้ตามไปยังที่พักของพระองค์ ตอนนั้นเป็นเวลาสี่โมงเย็นแล้ว พวกเขาจึงพักอยู่กับพระองค์ตลอดวันนั้น
40 อันดรูว์เป็นคนหนึ่งในสองคนนั้นที่เดินตามพระเยซูไป เขามีพี่ชายชื่อซีโมนเปโตร หลังจากได้ยินยอห์นพูด 41 สิ่งแรกที่อันดรูว์ทำ คือไปหาซีโมนพี่ชายของเขาและบอกซีโมนว่า “พวกเราได้พบพระเมสสิยาห์ (หมายถึง พระคริสต์) แล้ว”
42 อันดรูว์พาซีโมนไปหาพระเยซู เมื่อพระองค์เห็นเขาก็พูดว่า “คุณคือซีโมน ลูกของยอห์นสินะ คนจะเรียกคุณว่า เคฟาส” (เหมือนกับ เปโตร ซึ่งแปลว่า “หิน”)
43 วันต่อมา พระเยซูตัดสินใจไปแคว้นกาลิลี พระองค์พบฟีลิปและพูดกับเขาว่า “ตามเรามา” 44 ฟีลิปมาจากเมืองเบธไซดาเหมือนกับอันดรูว์และเปโตร 45 ฟีลิปพบนาธานาเอล และบอกเขาว่า “พวกเราพบคนที่โมเสสและพวกผู้พูดแทนพระเจ้าเขียนถึงแล้ว เขาคือเยซูชาวเมืองนาซาเร็ธ ลูกของโยเซฟ”
46 นาธานาเอลย้อนถามฟีลิปว่า “นาซาเร็ธน่ะหรือ จะมีของดีอะไรมาจากเมืองนั้นได้” ฟีลิปตอบว่า “ตามมาดูสิ”
47 เมื่อพระเยซูเห็นนาธานาเอลเดินเข้ามาหา พระองค์ก็พูดถึงเขาว่า “นี่ไง คนอิสราเอลขนานแท้ที่ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม”
48 นาธานาเอลถามพระองค์ว่า “ท่านรู้จักผมได้ยังไง”
พระเยซูตอบว่า “เราเห็นคุณตั้งแต่อยู่ใต้ต้นมะเดื่อแล้วก่อนที่ฟีลิปจะเรียกคุณเสียอีก”
49 นาธานาเอลตอบว่า “อาจารย์ ท่านเป็นบุตรของพระเจ้า เป็นกษัตริย์ของอิสราเอล”
50 พระเยซูก็พูดว่า “ที่คุณเชื่อเราก็เพราะเราบอกว่า ได้เห็นคุณอยู่ใต้ต้นมะเดื่อ ใช่ไหมล่ะ คุณจะได้เห็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านี้อีก” 51 แล้วพระเยซูพูดอีกว่า “เราจะบอกให้รู้ว่า พวกคุณจะได้เห็นสวรรค์เปิดออกเป็นช่อง และพวกทูตสวรรค์ของพระเจ้าก็จะขึ้นๆลงๆอยู่เหนือบุตรมนุษย์”[g]
40 แล้วพระยาห์เวห์ก็พูดกับโยบว่า
2 “คนที่มีคดีกับเราจะมาแก้ไขเราผู้ทรงฤทธิ์หรือ
คนที่มาฟ้องร้องพระเจ้าจะตอบไหม”
โยบตอบพระยาห์เวห์
3 แล้วโยบก็ตอบพระยาห์เวห์ว่า
4 “ดูสิ ข้าพเจ้านั้นก็กระจอกงอกง่อย
ข้าพเจ้าจะให้คำตอบกับพระองค์ได้ยังไง
ข้าพเจ้าจะเอามือปิดปากเงียบ
5 ข้าพเจ้าพูดไปครั้งหนึ่งแล้ว ข้าพเจ้าจะไม่ตอบอีก
ข้าพเจ้าพูดไปตั้งสองครั้งแล้ว ข้าพเจ้าจะไม่พูดอีกแล้ว”
พระยาห์เวห์พูดกับโยบต่อ
6 แล้วพระยาห์เวห์ก็พูดกับโยบออกมาจากพายุว่า
7 “เตรียมตัวของเจ้าให้พร้อมราวกับนักรบเถิด
เราจะสอบสวนเจ้า และเจ้าจะต้องตอบเรา
8 เจ้าจะบังอาจว่าเราไม่ยุติธรรมหรือ
เจ้าจะประณามว่าเราผิด เพื่อเจ้าจะได้เป็นฝ่ายถูกหรือ
9 เจ้ามีพละกำลังเหมือนกับพระเจ้าหรือ
เจ้าทำเสียงร้องกึกก้องเหมือนฟ้าร้องอย่างกับพระเจ้าได้หรือ
10 ให้เอาความยิ่งใหญ่ และศักดิ์ศรีตกแต่งตัวเจ้าเถิด
ให้เอาเกียรติยศและความสง่างามสวมไว้บนตัวเจ้า
11 ระบายความเกรี้ยวโกรธของเจ้าออกมาเลย
มองดูคนหยิ่งยโสทุกคน และทำให้พวกเขาเสียหน้าสิ
12 มองดูคนหยิ่งยโสทุกคน และทำให้พวกเขาตกต่ำลงไปสิ
ให้เหยียบย่ำคนชั่วตรงที่ที่เขายืนอยู่เถิด
13 ฝังพวกนี้ไว้ในดินด้วยกัน
ห่อพวกเขาไว้ในในโลกเบื้องล่างสิ
14 ถ้าเจ้าทำได้ เราจะยินดีด้วยกับเจ้า
ที่แขนขวาของเจ้าเองได้ให้ชัยชนะกับเจ้า
15 พิจารณาดูตัวเบเฮโมท[a] ที่เราสร้างขึ้นมาเหมือนกับที่เราสร้างเจ้า
มันกินหญ้าเหมือนวัวควาย
16 ดูสิ กำลังของมันอยู่ที่ต้นขา
และฤทธิ์ของมันอยู่ที่กล้ามเนื้อท้อง
17 มันทำหางแข็งๆเหมือนต้นสนซีดาร์
กล้ามเนื้อต้นขาของมันสานเข้าด้วยกันแน่น
18 กระดูกของมันเหมือนท่อทองสัมฤทธิ์
ขาของมันเหมือนท่อนเหล็ก
19 มันเป็นสัตว์ตัวเอกท่ามกลางสัตว์ทั้งหลายที่พระองค์สร้าง
มีแต่ผู้สร้างมันเท่านั้นที่สามารถใช้ดาบบุกเข้าโจมตีมัน
20 พวกเนินเขานำอาหารมาให้กับมัน
เป็นที่ที่พวกสัตว์ป่าทั้งหลายมาเล่นกัน
21 มันนอนอยู่ใต้ต้นบัว
และแอบซ่อนอยู่ในหนองน้ำที่ปกคลุมไปด้วยต้นอ้อ
22 ต้นบัวทอดเงามาปกคลุมตัวของมันไว้
ต้นไม้ที่อยู่ตามธารน้ำรายล้อมตัวมัน
23 ถึงแม่น้ำจะซัดใส่มันอย่างแรง มันก็ไม่ตกใจ
มันไม่หวั่นไหว แม้ว่าแม่น้ำจอร์แดนจะกระแทกใส่หน้ามัน
24 ใครจะสามารถทำให้ตามันบอดและจับมันได้
ใครจะเอาตะขอไปเกี่ยวจมูกมันได้หรือ
เปาโลแก้ข้อกล่าวหาให้กับตัวเอง
10 ผมเปาโล ขอร้องคุณเป็นการส่วนตัวด้วยความอ่อนโยน และด้วยความเมตตาของพระคริสต์ บางคนว่าผมขี้ขลาดเมื่ออยู่กับพวกคุณ แต่กลับกล้าหาญเมื่ออยู่ห่างไกล 2 เมื่อผมมาผมขอร้องว่าอย่าบังคับให้ผมต้องใช้ความกล้าหาญแบบที่ผมกะจะใช้กับคนพวกนั้นที่หาว่าผมใช้ชีวิตอย่างคนในโลกนี้ 3 ถึงแม้เราจะใช้ชีวิตอยู่ในโลกนี้ก็จริง แต่เราก็ไม่ได้ต่อสู้เหมือนกับคนของโลกนี้ 4 เพราะอาวุธที่เราใช้นั้นไม่เหมือนกับอาวุธของโลกนี้ อาวุธของเราเป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้าที่จะทำลายที่มั่นต่างๆ เราก็ใช้อาวุธนี้ทำลายข้อโต้แย้งต่างๆที่ต่อต้านพระเจ้า 5 ทำลายกำแพงสูงทั้งหมดที่ขัดขวางไม่ให้คนรู้เกี่ยวกับเรื่องพระเจ้า เรายังจับความคิดของคนมาเป็นเชลยเพื่อเขาจะได้เชื่อฟังพระคริสต์ 6 แล้วก็พร้อมที่จะลงโทษการกระทำที่ไม่เชื่อฟังทุกอย่างหลังจากที่พวกคุณเชื่อฟังจนครบถ้วนแล้ว
7 ลองดูความจริงที่อยู่ต่อหน้าคุณสิ ถ้าใครแน่ใจว่าตัวเองเป็นของพระคริสต์ ก็ให้คิดทบทวนและรู้เสียด้วยว่า เราก็เป็นของพระคริสต์พอๆกับเขา 8 ถ้าดูเหมือนว่าผมโอ้อวดมากไปเกี่ยวกับสิทธิอำนาจที่องค์เจ้าชีวิตให้กับเรา ผมก็ไม่อายหรอก เพราะมันมีไว้เพื่อเสริมสร้างพวกคุณ ไม่ใช่ทำลาย 9 ผมไม่อยากให้คุณคิดว่าผมกำลังใช้จดหมายพวกนี้ข่มขู่ให้คุณตกใจ 10 บางคนพูดว่า “จดหมายของเปาโลนั้นน่าประทับใจมากและมีพลังมาก แต่พอตัวเขามาอยู่ต่อหน้ากลับอ่อนแอและพูดไม่เอาไหน” 11 คนที่พูดอย่างนี้ก็ให้จำเอาไว้ว่า เมื่อผมมาถึง ในจดหมายผมเป็นยังไง ผมก็จะเป็นอย่างนั้นต่อหน้าพวกคุณด้วย
12 เราไม่กล้าไปเทียบชั้นหรือเอาตัวไปเปรียบกับคนพวกนั้นที่โอ้อวดเกี่ยวกับคุณสมบัติของเขาหรอก พวกนี้ได้แต่อวดโง่ คือเอาตัวเองเป็นมาตรฐานวัดกันและเปรียบเทียบกัน 13 แต่เราจะไม่โอ้อวดจนเกินไป เราจะโอ้อวดเฉพาะภายในขอบเขตงานที่พระเจ้ามอบหมายให้เราทำเท่านั้น ซึ่งขอบเขตนี้ก็รวมถึงงานที่เราทำกับพวกคุณด้วย 14 เราไม่ได้โอ้อวดจนเกินไป แต่ถ้าเราไม่ได้มาหาพวกคุณจริงๆสิ นั่นแหละแสดงว่าเราโอ้อวดเกินไป แต่แท้จริงแล้ว เราเป็นพวกแรกที่นำข่าวดีเกี่ยวกับพระคริสต์มาให้กับพวกคุณ 15 เราจะโอ้อวดเฉพาะงานที่เราทำ ไม่ใช่งานที่คนอื่นทำ แต่เราหวังว่าเมื่อพวกคุณมีความเชื่อมากขึ้น งานของเราก็จะขยายใหญ่โตมากขึ้นในหมู่พวกคุณด้วย 16 แล้วเราก็จะได้ไปประกาศข่าวดีในเมืองอื่นๆบ้างที่ยังไม่เคยมีใครไป เพราะเราไม่อยากจะอวดอ้างในผลงานที่คนอื่นทำไว้ในพื้นที่ของเขา 17 เหมือนกับที่พระคัมภีร์พูดไว้ว่า “คนที่อยากจะโอ้อวด ก็ให้โอ้อวดแต่องค์เจ้าชีวิตเท่านั้น”[a]
18 ไม่ใช่ว่าคนที่ยกย่องตัวเองจะผ่านการสอบและเป็นที่ยอมรับ แต่เป็นคนที่องค์เจ้าชีวิตยกย่องต่างหาก
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International