M’Cheyne Bible Reading Plan
แท่นบูชาเผาเครื่องหอม
(อพย. 37:25-28)
30 เจ้าต้องสร้างแท่นบูชาเผาเครื่องหอมจากไม้กระถิน 2 เป็นรูปสี่เหลี่ยมด้านเท่า ขนาดยาวหนึ่งศอก[a] กว้างหนึ่งศอก สูงสองศอก[b] ส่วนปลายเชิงงอนให้ทำเป็นเนื้อเดียวกัน 3 หุ้มทองคำบริสุทธิ์ทับที่ด้านบนและด้านข้างให้ทั่ว รวมทั้งที่ปลายเชิงงอน และทำขอบให้กับมันโดยรอบ 4 เจ้าต้องทำห่วงทองคำสองห่วง ติดไว้ที่ใต้ขอบทั้งสองข้าง ให้อยู่ตรงข้ามกัน ห่วงนี้เอาไว้สอดไม้คานยกแท่นบูชา 5 เจ้าต้องทำไม้คานหามจากไม้กระถินและหุ้มทองทับ 6 ให้วางแท่นนั้นไว้ตรงหน้าฝาหีบใส่คำสอนที่ความไม่บริสุทธิ์จากบาปจะถูกชำระ เราจะแสดงตัวของเราต่อเจ้าตรงนั้น
7 อาโรนจะเผาเครื่องหอมบนแท่นบูชานั้น และจะต้องทำทุกเช้าเมื่อเข้ามาดูแลตะเกียง 8 เมื่ออาโรนเข้ามาดูแลตะเกียงในตอนเย็น เขาจะเผามันอีก อย่างต่อเนื่องต่อหน้าพระยาห์เวห์ และจะต้องทำอย่างนี้ไปตลอดชั่วลูกชั่วหลาน 9 พวกเจ้าจะต้องไม่เอาเครื่องหอมอื่นๆมาเผา หรือใช้แท่นนี้สำหรับเครื่องเผาบูชา พวกเจ้าต้องไม่ใช้แท่นบูชานี้สำหรับเครื่องบูชาจากเมล็ดพืช หรือเครื่องดื่มบูชา
10 อาโรนจะต้องชำระแท่นบูชา โดยเอาเลือดมาป้ายที่ปลายเชิงงอนของแท่นบูชานี้ปีละครั้ง เขาจะต้องใช้เลือดของเครื่องบูชาชำระล้าง เพื่อชำระล้างให้กับแท่นบูชานี้ปีละครั้ง และพวกเจ้าจะต้องทำอย่างนี้ตลอดไปทุกรุ่น แท่นบูชานี้ศักดิ์สิทธิ์มากสำหรับพระยาห์เวห์”
เงินภาษีวิหาร
11 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า 12 “เมื่อเจ้านับประชาชนชาวอิสราเอลเพื่อจะลงทะเบียน พวกเขาแต่ละคนจะต้องจ่ายค่าไถ่สำหรับชีวิตของเขากับพระยาห์เวห์เมื่อเขาถูกนับ จะได้ไม่เกิดภัยพิบัติขึ้นกับพวกเขาเพราะพวกเขาถูกนับ 13 คนที่ถูกนับจะต้องจ่ายครึ่งเชเขล[c] (ตามมาตรฐานการชั่ง คือหนึ่งเชเขลเท่ากับยี่สิบเกราห์) ครึ่งเชเขลนี้จะเป็นของถวายให้กับพระยาห์เวห์ 14 ทุกคนที่มีอายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไปที่ถูกนับจะต้องจ่ายเงินถวายนี้ให้กับพระยาห์เวห์ 15 คนรวยก็ห้ามจ่ายมากกว่านี้ ส่วนคนจนก็ห้ามจ่ายน้อยกว่านี้ ทุกคนจ่ายครึ่งเชเขลเท่ากันหมด เพราะเมื่อเจ้าถวายเงินนี้ให้กับพระยาห์เวห์ มันเป็นค่าไถ่สำหรับชีวิตของเจ้า 16 เงินค่าไถ่ชีวิตที่เก็บได้จากชาวอิสราเอลนี้ ให้เอาไปใช้สำหรับงานรับใช้ภายในเต็นท์นัดพบ ทำอย่างนี้พระยาห์เวห์จะได้ระลึกถึงประชาชนชาวอิสราเอลที่ได้จ่ายค่าไถ่ชีวิตของพวกเขาทุกคน”
อ่างสำหรับชำระล้าง
(อพย. 38:8)
17 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า 18 “ให้เจ้าใช้ทองสัมฤทธิ์ หล่อเป็นอ่างน้ำหนึ่งใบ พร้อมฐานรอง เอาไว้สำหรับการล้างทำความสะอาด แล้วให้ใส่น้ำ เอาไปวางไว้ระหว่างเต็นท์นัดพบกับแท่นบูชา 19 อาโรนกับพวกลูกชายของเขาจะได้ใช้ล้างมือและล้างเท้า 20 เมื่อพวกเขาจะเข้ามาในเต็นท์นัดพบ หรือจะเข้าใกล้แท่นบูชาเพื่อรับใช้พระเจ้า หรือเพื่อถวายของขวัญให้กับพระยาห์เวห์ พวกเขาจะต้องเอาน้ำในอ่างนี้ล้างมือและเท้าก่อน เพื่อพวกเขาจะได้ไม่ตาย 21 ทั้งอาโรนและลูกหลานรุ่นต่อๆไปของเขาต้องทำตามกฎข้อนี้ตลอดไป”
น้ำมันเจิม
(อพย. 37:29)
22 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า 23 “ให้เจ้านำเครื่องเทศต่อไปนี้คือ ยางไม้หอมเหลวอย่างดีที่สุดห้าร้อยเชเขล[d] อบเชยหอมครึ่งหนึ่งของยางไม้หอมเหลวคือประมาณสองร้อยห้าสิบเชเขล[e] ตะไคร้หอมสองร้อยห้าสิบเชเขล 24 การบูรห้าร้อยเชเขล ตามมาตรฐานการชั่ง และน้ำมันมะกอกหนึ่งฮิน[f]
25 เอาของพวกนี้ผสมกัน เป็นน้ำหอมชนิดหนึ่ง ใช้เป็นน้ำมันสำหรับเจิม 26 เจ้าต้องเอาน้ำมันนี้ไปเจิมที่เต็นท์นัดพบ ที่หีบใส่คำสอน 27 ที่โต๊ะและภาชนะทุกชิ้น ที่ตะเกียงที่มีขาตั้ง กับอุปกรณ์ทุกชิ้นของมัน ที่แท่นบูชาเครื่องหอม 28 ที่แท่นบูชาเผาเครื่องบูชา และภาชนะทุกอย่างของมัน รวมทั้งอ่างน้ำกับฐานของมันด้วย 29 เจ้าจะทำให้สิ่งเหล่านี้ศักดิ์สิทธิ์ และมันก็จะศักดิ์สิทธิ์มาก ทุกอย่างที่ถูกต้องสิ่งเหล่านี้ก็จะกลายเป็นของศักดิ์สิทธิ์
30 เจ้าต้องเจิมให้อาโรนกับพวกลูกชายของเขา เจ้าต้องทำให้พวกเขาศักดิ์สิทธิ์ เพื่อพวกเขาจะได้เป็นนักบวชให้กับเรา 31 เจ้าต้องพูดกับประชาชนชาวอิสราเอลว่า ‘นี่จะเป็นน้ำมันศักดิ์สิทธิ์สำหรับการเจิมของเรา สำหรับลูกหลานของพวกเจ้าตลอดไป 32 เจ้าต้องไม่เอาไปเทลงบนตัวคนทั่วไป และห้ามทำเลียนแบบน้ำมันนี้ เพราะมันศักดิ์สิทธิ์ และมันจะศักดิ์สิทธิ์สำหรับเจ้า 33 ใครก็ตามที่ทำเลียนแบบน้ำมันนี้ขึ้นมา หรือเอาไปเทบนคนต่างชาติ จะต้องถูกตัดออกจากการเป็นประชาชน’”
เครื่องหอม
34 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “ให้เอาเครื่องเทศเหล่านี้ คือ กำยาน ชะมด มหาหิงคุ์ และกำยานบริสุทธิ์ ในสัดส่วนที่เท่าๆกัน 35 ผสมกันเป็นเครื่องหอม เติมเกลือลงไปด้วย เพื่อทำให้เครื่องหอมนี้บริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ 36 แบ่งเครื่องหอมออกมาส่วนหนึ่ง นำมาบดและใส่ไว้ที่หน้าหีบใส่คำสอน[g] ในเต็นท์นัดพบซึ่งเป็นที่ที่เราจะแสดงตัวกับเจ้า กลิ่นของมันจะเป็นกลิ่นที่ศักดิ์สิทธิ์มากสำหรับพวกเจ้า 37 เจ้าต้องไม่ทำเลียนแบบเครื่องหอมนี้ไว้ใช้เอง เพราะมันเป็นของศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเจ้าจะต้องสงวนไว้ สำหรับพระยาห์เวห์ 38 ใครที่ทำเลียนแบบเครื่องหอมนี้เอาไว้ดมเอง คนๆนั้นจะต้องถูกตัดออกจากการเป็นประชาชนของเขา”
พระเยซูรักษาคนที่ตาบอดตั้งแต่เกิด
9 เมื่อพระเยซูกำลังเดินอยู่นั้น ก็เห็นชายคนหนึ่งที่เกิดมาตาบอด 2 พวกศิษย์ของพระองค์ถามว่า “อาจารย์ ที่เขาเกิดมาตาบอดเพราะบาปกรรมของเขา หรือของพ่อแม่เขาครับ”
3 พระเยซูตอบว่า “ไม่ใช่บาปกรรมของเขาหรือของพ่อแม่เขาหรอก แต่ที่เขาตาบอดก็เพื่อทุกคนจะได้เห็นสิ่งอัศจรรย์ที่พระเจ้าจะทำให้กับเขา 4 พวกเราต้องทำงานของพระองค์ผู้ที่ส่งเรามาในตอนกลางวัน เพราะกลางคืนกำลังมาและจะไม่มีใครทำงานได้ 5 ขณะที่เรายังอยู่ในโลกนี้ เราเป็นความสว่างของโลก”
6 เมื่อพระองค์พูดแล้ว ก็ถ่มน้ำลายผสมกับดินเคล้ากันเป็นโคลน แล้วเอามาทาที่ตาของชายตาบอด 7 พระองค์บอกเขาว่า “ไปล้างโคลนออกที่สระสิโลอัม” (คำว่าสิโลอัม หมายถึงส่งไป) ชายคนนั้นไปล้างโคลนออก เมื่อล้างแล้วกลับมา เขาก็สามารถมองเห็นได้
8 ดังนั้นเพื่อนบ้านของชายตาบอดและคนอื่นๆที่เคยเห็นเขาเป็นขอทานมาก่อน ต่างก็พูดกันว่า “คนนี้เป็นคนที่เคยนั่งขอทานอยู่ไม่ใช่หรือ”
9 บางคนก็บอกว่า “ใช่ เขานั่นแหละ” คนอื่นๆบอกว่า “ไม่ใช่เขาหรอก แต่เป็นคนอื่นที่มีหน้าตาคล้ายเขา” ชายคนนั้นบอกว่า “เป็นผมเองครับ”
10 พวกเขาถามว่า “แล้วมองเห็นได้ยังไง”
11 เขาตอบว่า “ชายที่ชื่อเยซู ได้ทำโคลนเอามาทาที่ตาของผม และเขาบอกว่า ‘ไปล้างโคลนออกที่สระสิโลอัม’ ผมก็ไปล้างโคลนออกที่สระนั้น และตาของผมก็มองเห็น”
12 คนเหล่านั้นถามว่า “แล้วชายคนนั้นอยู่ที่ไหนล่ะ”
เขาก็ตอบว่า “ผมไม่รู้”
พวกฟาริสีสอบสวนคนตาบอดที่พระเยซูรักษา
13 คนเหล่านั้นพาชายที่เคยตาบอดนี้ ไปหาพวกฟาริสี 14 (วันที่พระเยซูทำโคลนรักษาชายตาบอดเป็นวันหยุดทางศาสนา) 15 พวกฟาริสีถามเขาว่า เขามองเห็นได้อย่างไร
เขาก็ตอบว่า “เขาเอาโคลนมาทาที่ตาของผม แล้วผมก็ไปล้างโคลนออก และตอนนี้ผมก็มองเห็นแล้ว”
16 พวกฟาริสีบางคนก็พูดว่า “คนที่ทำอย่างนี้ไม่ได้มาจากพระเจ้าหรอก เพราะไม่ได้รักษากฎวันหยุดทางศาสนา” แต่คนอื่นๆพูดว่า “คนบาปจะทำสิ่งอัศจรรย์อย่างนี้ได้ยังไง” ดังนั้นพวกเขาก็เลยมีความเห็นขัดกันในเรื่องนี้
17 พวกฟาริสีถามชายที่เคยตาบอดอีกว่า “แกคิดว่าคนที่ทำให้ตาแกหายบอดเป็นใคร” เขาตอบว่า “เขาเป็นผู้พูดแทนพระเจ้า”
18 พวกผู้นำชาวยิวไม่เชื่อว่าเขาเคยตาบอด แล้วตอนนี้มองเห็นได้ พวกเขาจึงเรียกพ่อแม่ของชายคนนี้มาถาม 19 ว่า “เขาเป็นลูกที่พวกเจ้าบอกว่าเกิดมาตาบอดใช่ไหม แล้วทำไมเขาถึงมองเห็นแล้ว”
20 พ่อแม่ของเขาตอบว่า “เรารู้ว่าเขาเป็นลูกของเราและเกิดมาตาบอด 21 แต่เราไม่รู้หรอกว่าทำไมเขาถึงมองเห็นได้และใครรักษาเขา ไปถามเขาเอาเองสิ เพราะเขาก็โตแล้วและเล่าเรื่องให้คุณฟังได้แล้ว” 22 (ที่พ่อแม่ของเขาพูดอย่างนี้ เพราะกลัวพวกผู้นำชาวยิว พวกผู้นำชาวยิวได้ตกลงกันก่อนแล้วว่า ใครพูดว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์ ก็จะถูกไล่ออกจากที่ประชุมชาวยิว 23 นั่นเป็นเหตุที่พ่อแม่ของเขาพูดว่า “เขาโตแล้ว ไปถามเขาเอาเองเถิด”)
24 พวกผู้นำชาวยิวจึงเรียกชายที่เคยตาบอดมาอีกเป็นครั้งที่สอง แล้วบอกว่า “แกต้องให้เกียรติกับพระเจ้าโดยพูดความจริง เรารู้ว่าชายคนนั้นเป็นคนบาป”
25 เขาก็ตอบว่า “ผมไม่รู้หรอกว่าเขาเป็นคนบาปหรือเปล่า รู้แต่ว่าผมเคยตาบอดและตอนนี้มองเห็นแล้ว”
26 พวกเขาจึงถามชายที่เคยตาบอดว่า “เขาทำอะไรกับแกบ้าง เขารักษาตาแกยังไง”
27 เขาตอบว่า “ผมได้เล่าไปแล้วแต่พวกคุณไม่ยอมฟัง แล้วจะให้เล่าอีกทำไมล่ะ พวกคุณอยากจะเป็นศิษย์เขาด้วยหรือ”
28 พวกยิวจึงเยาะเย้ยเขาว่า “แกนี่แหละเป็นศิษย์ชายคนนั้น แต่พวกเราเป็นศิษย์ของโมเสส 29 เรารู้ว่าพระเจ้าได้พูดกับโมเสส แต่เราไม่รู้ว่าชายคนนั้นมาจากไหน”
30 ชายที่เคยตาบอดตอบกลับไปว่า “แปลกจริงๆนะที่พวกคุณไม่รู้ว่าเขามาจากไหน แต่เขาก็ทำให้ผมมองเห็นได้ 31 พวกเรารู้ว่าพระเจ้าไม่ฟังคนบาป พระองค์จะฟังคนที่ยำเกรงและทำตามพระองค์เท่านั้น 32 ยังไม่เคยมีใครได้ยินมาก่อนเลยว่า มีใครที่จะทำให้คนที่เกิดมาตาบอดมองเห็นได้ 33 ถ้าชายคนนี้ไม่ได้มาจากพระเจ้า เขาก็จะทำอะไรแบบนี้ไม่ได้เลย”
34 พวกยิวจึงพูดกับชายที่เคยตาบอดว่า “แกเกิดมาบาปหนา แล้วยังคิดที่จะมาสั่งสอนพวกเราหรือ” แล้วพวกเขาก็ขับไล่ชายคนนั้นออกไปจากที่ประชุม
ตาบอดฝ่ายจิตวิญญาณ
35 เมื่อพระเยซูได้ยินว่าพวกเขาได้ขับไล่ชายที่เคยตาบอดนั้นออกมา พระองค์ก็ไปหาเขาและถามเขาว่า “คุณไว้วางใจบุตรมนุษย์ไหม”
36 เขาถามว่า “ใครคือบุตรมนุษย์หรือครับท่าน ผมจะได้ไว้วางใจเขาคนนั้น”
37 พระเยซูจึงบอกว่า “คุณก็เห็นเขาแล้ว เขาก็คือคนที่กำลังพูดอยู่กับคุณตอนนี้”
38 แล้วชายที่เคยตาบอดก็พูดออกมาว่า “องค์เจ้าชีวิต ผมไว้วางใจท่านครับ” แล้วเขาก็ก้มลงกราบพระเยซู
39 พระเยซูพูดว่า “เรามาเพื่อพิพากษาโลกนี้ เรามาเพื่อคนตาบอด[a] จะได้มองเห็น และเพื่อคนที่คิดว่าตัวเองมองเห็นจะกลายเป็นคนตาบอด”
40 พวกฟาริสีบางคนที่ยืนอยู่แถวๆนั้นได้ยินที่พระเยซูพูด ถามพระองค์ว่า “แน่นอน แกคงไม่ได้หาว่าพวกเราตาบอดด้วย ใช่ไหม”
41 พระเยซูจึงพูดว่า “ถ้าพวกคุณตาบอดก็จะไม่มีความผิดบาป แต่เพราะตอนนี้พวกคุณอ้างว่า ‘เรามองเห็น’ พวกคุณก็เลยยังคงอยู่ในความบาป”
อย่าค้ำประกันหนี้ให้คนอื่น
6 ลูกเอ๋ย หากเจ้าไปค้ำประกันหนี้ให้กับเพื่อนบ้านของเจ้า
คือไปจับมือรับปากประกันหนี้ให้กับคนอื่น
2 เจ้าได้ตกหลุมพรางแล้วที่ไปรับปากเขาอย่างนั้น
คำพูดของเจ้าทำให้เจ้าติดกับดักแล้ว
3 ลูกเอ๋ย ให้เจ้าทำอย่างนี้ เพื่อเจ้าจะได้รอดตัวไปจากเรื่องนี้
ให้ไปหาเพื่อนบ้านคนนั้นอย่างถ่อมสุภาพ
และขอร้องเพื่อนบ้านคนนั้นของเจ้า
เพราะเจ้าตกอยู่ในกำมือของเขาแล้ว
4 อย่าได้นอนตาหลับ
หรือปล่อยให้หนังตาปรือ
5 เอาตัวรอดไว้ก่อน เหมือนกับกวางที่หนีจากนายพราน
หรือเหมือนกับนกที่หนีจากเงื้อมมือของนายพรานล่านก
ระวังอย่าเกียจคร้าน
6 เจ้าคนขี้เกียจ ไปดูมดไป
ไปดูชีวิตของมันซะ จะได้ฉลาดขึ้น
7 มดไม่มีผู้สั่งการ
ไม่มีเจ้าหน้าที่ หรือผู้ปกครอง
8 แต่มันหาอาหารในช่วงฤดูร้อน
และเก็บสะสมในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว
9 เจ้าคนขี้เกียจ เจ้าจะนอนอยู่ตรงนั้นอีกนานแค่ไหน
เมื่อไหร่เจ้าถึงจะลุกขึ้นจากที่นอน
10 คนเกียจคร้านพูดว่า “ขอนอนอีกสักงีบ ขอพักอีกสักหน่อย
ขอนอนกอดอกอีกสักนิด”
11 แล้วเมื่อนั้น ความยากจนก็จะจู่โจมเข้าใส่เจ้าเหมือนกับโจรบุกปล้น
และความอดอยากก็จะจู่โจมเข้ามาเหมือนนักรบ
ระวังคนที่ชอบก่อเรื่อง
12 คนชอบก่อเรื่อง
คือคนชั่วร้ายที่ชอบพูดโกหกไปทั่ว
13 พร้อมทั้งขยิบหูหยิบตา
ส่งสัญญาณด้วยมือและเท้า
14 เขาก่อการทะเลาะวิวาทอยู่เสมอ
ด้วยจิตใจคดโกงที่วางแผนการชั่วร้าย
15 ดังนั้น ความหายนะจะเกิดขึ้นกับเขาทันทีทันใด
และเขาจะถูกทำลายอย่างย่อยยับภายในพริบตา เกินกว่าที่จะเยียวยารักษาได้
สิ่งที่พระยาห์เวห์เกลียดชัง
16 มีหกสิ่งที่พระยาห์เวห์เกลียดชัง
อันที่จริงมีเจ็ดสิ่งที่พระองค์สะอิดสะเอียน
17 คือดวงตาที่หยิ่งยโส
ลิ้นที่พูดโกหก
มือที่ฆ่าคนบริสุทธิ์
18 จิตใจที่คิดแผนการชั่วร้าย
เท้าที่รีบวิ่งไปทำความชั่ว
19 อีกทั้งพยานเท็จที่พูดโกหก
และคนที่ก่อให้เกิดการทะเลาะวิวาทกันในหมู่พี่น้อง
ระวังเรื่องการเล่นชู้
20 ลูกเอ๋ย ให้รักษาคำสั่งของพ่อเจ้าไว้
และอย่าละทิ้งคำสั่งสอนของแม่เจ้า
21 ให้เอามันคล้องคอของเจ้าไว้
ให้มันห้อยอยู่ใกล้ใจของเจ้าตลอดเวลา
22 ไม่ว่าเจ้าจะเดินไปที่ไหน คำสั่งสอนนั้นจะนำทางเจ้า
จะคอยดูแลเจ้าเมื่อเจ้านอนลง
และจะคอยพูดคุยกับเจ้าเมื่อเจ้าตื่นขึ้น
23 เพราะคำสั่งนั้นเป็นตะเกียง
คำสั่งสอนนั้นเป็นแสงสว่าง
และการตักเตือนตีสอนนั้นเป็นทางที่นำไปสู่ชีวิต
24 คำสอนของพ่อแม่จะช่วยรักษาเจ้าให้รอดพ้นจากหญิงชั่ว
และรอดพ้นจากคำพูดยั่วยวนของหญิงที่เล่นชู้[a]
25 อย่าปล่อยให้ใจของเจ้ากระสันในความงามของเธอ
และอย่าปล่อยให้เธอสะกดเจ้าด้วยหางตาของเธอ
26 เพราะไปเที่ยวโสเภณี จ่ายค่าตัวเท่าขนมปังแค่ก้อนเดียว
แต่ถ้าไปยุ่งกับเมียคนอื่น เจ้าจะต้องเสียทั้งชีวิตไป
27 ใครบ้างที่ใส่ไฟเข้าไปในกระเป๋าหน้าอกเสื้อ
แล้วเสื้อไม่ไหม้
28 ใครบ้างที่เดินบนถ่านไฟ
แล้วเท้าไม่พอง
29 คนที่ไปร่วมหลับนอนกับเมียของเพื่อนบ้านก็เหมือนกัน
ไม่มีใครที่ไปแตะต้องตัวเธอ แล้วพ้นโทษไปได้
30 คนจะไม่เหยียดหยามหัวขโมยหรอก
ถ้าเขาขโมยไปเพื่อดับความหิวโหย
31 แต่ถ้าหากเขาถูกจับได้ เขาจะต้องจ่ายคืนถึงเจ็ดเท่า
เขาอาจจะต้องชดใช้ด้วยทุกสิ่งที่เขามีอยู่
32 ส่วนคนที่เป็นชู้กับเมียคนอื่น เป็นคนไม่มีสมองคิด
คนที่ทำอย่างนี้ทำลายตัวเอง[b]
33 เขาจะถูกโบยตี และเสื่อมเสียเกียรติ
ความอับอายของเขาไม่อาจถูกลบล้างไปได้
34 เพราะความหึงหวงจะกระตุ้นให้สามีของหญิงนั้นโกรธแค้น
และในวันที่เขาแก้แค้นนั้น เขาจะไม่ปรานีเลย
35 เขาจะไม่ยอมรับเงินชดใช้ใดๆ
และไม่ยอมรับค่าทำขวัญด้วย ไม่ว่าเจ้าจะพยายามให้เขามากแค่ไหนก็ตาม
5 เมื่อพระคริสต์ได้ปลดปล่อยให้เราเป็นอิสระแล้ว ก็ให้อยู่อย่างคนอิสระเถิด รักษามันไว้ให้ดี อย่ากลับไปเป็นทาสของกฎอีก 2 ฟังไว้ให้ดี ผมเปาโล ขอบอกให้รู้ว่า ถ้าพวกคุณยอมเข้าทำพิธีขลิบ พระคริสต์ก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับคุณอีกแล้ว 3 ผมขอย้ำว่า คนที่ยังทำพิธีขลิบนั้นก็จะต้องรักษากฎให้ครบทุกข้อ 4 ถ้าคุณพยายามที่จะให้พระเจ้ายอมรับคุณเพราะคุณรักษากฎ คุณก็ถูกแยกออกจากพระคริสต์แล้ว และหลุดจากความเมตตากรุณาของพระเจ้า 5 พวกเรามีพระวิญญาณเพราะได้ไว้วางใจ เราถึงได้ตั้งหน้าตั้งตาคอยสิ่งที่เราหวังไว้อย่างมั่นอกมั่นใจ ความหวังนั้นคือพระเจ้าจะยอมรับเราแน่ในวันสุดท้าย 6 เพราะในพระเยซูคริสต์ การทำหรือไม่ทำพิธีขลิบนั้นไม่สำคัญอะไรเลย แต่สิ่งที่สำคัญคือความเชื่อที่แสดงออกด้วยความรัก
7 พวกคุณก็กำลังวิ่งกันดีๆอยู่แล้ว ใครกันนะที่มาขัดจังหวะทำให้คุณเลิกติดตามความจริง 8 ใครก็ตามที่มาชักชวนให้คุณหยุด ไม่ได้มาจากพระเจ้าที่เรียกคุณมาแน่ 9 ระวังตัวให้ดี “เชื้อฟู[a]นิดเดียว ก็ทำให้แป้งทั้งก้อนฟูขึ้นมาได้”[b] 10 ผมมั่นใจในองค์เจ้าชีวิตว่า คุณจะไม่ยอมรับความคิดที่แตกต่างออกไปจากนี้ และใครก็ตามที่มาทำให้คุณสับสน จะต้องถูกพระเจ้าลงโทษแน่
11 พี่น้องครับ ถ้าผมยังสั่งสอนให้ทำพิธีขลิบอยู่ แล้วทำไมผมยังถูกข่มเหงอยู่ล่ะ ถ้าเป็นจริงตามนั้น เรื่องไม้กางเขนที่ผมสอน ก็จะไม่ถูกต่อต้านแล้ว 12 ผมอยากให้ไอ้พวกที่มาวุ่นวายกับคุณนี้ ตอน[c] ตัวมันเองเลยแทนที่จะแค่ขลิบเท่านั้น
13 พี่น้องครับ พระเจ้าเรียกคุณมาใช้ชีวิตอย่างอิสระ แต่อย่าใช้ความเป็นอิสระนั้นมาเป็นข้ออ้างที่จะทำตามสันดานที่เห็นแก่ตัว แต่ให้รับใช้กันและกันด้วยความรัก 14 เพราะกฎทั้งหมดสรุปออกมาได้ข้อเดียว คือ “รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง”[d] 15 แต่ถ้าคุณยังคงฉีกเนื้อกัดกินกันเหมือนสัตว์ป่า ระวังให้ดี เพราะจะย่อยยับด้วยกันทั้งหมด
พระวิญญาณกับสันดาน
16 แต่ผมขอบอกว่า ให้ใช้ชีวิตตามพระวิญญาณ แล้วคุณจะไม่ทำตามกิเลสตัณหาของสันดาน 17 ความต้องการของพระวิญญาณนั้นขัดแย้งกับกิเลสตัณหาของสันดาน ทั้งสองจึงต่อต้านกันโดยตรง เพื่อขัดขวางไม่ให้คุณทำในสิ่งที่คุณอยากจะทำ 18 แต่ถ้าคุณยอมให้พระวิญญาณนำชีวิตของคุณ คุณก็ไม่อยู่ภายใต้กฎอีกต่อไป
19 การกระทำที่เกิดจากสันดานมนุษย์ก็เห็นได้ชัดเจนคือ ความผิดบาปทางเพศ ความไม่บริสุทธิ์ ความคิดสกปรก กิเลสตัณหา 20 การนับถือรูปเคารพ การใช้เวทมนตร์คาถา[e] การเป็นศัตรูกัน การขัดแย้งกัน การริษยาอาฆาตกัน การโกรธเคืองกัน การชิงดีชิงเด่นกัน การไม่ลงรอยกัน การแบ่งพรรคแบ่งพวก 21 การอิจฉา การเมาเหล้า การมั่วสุมกันในงานเลี้ยง เป็นต้น ขอเตือนอีกครั้งอย่างที่เคยเตือนมาแล้วว่า คนที่ทำอย่างนี้จะไม่ได้รับอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดกอย่างแน่นอน 22 แต่ผลของพระวิญญาณคือ ความรัก ความชื่นชมยินดี สันติสุข ความอดทน การมีน้ำใจ ความดี ความซื่อสัตย์ 23 ความอ่อนโยน และการรู้จักควบคุมตนเอง สิ่งเหล่านี้ไม่ขัดแย้งกับกฎข้อไหน[f] 24 คนที่เป็นของพระเยซูคริสต์ ได้เอาสันดานมนุษย์พร้อมกับกิเลสตัณหาและความใคร่ที่มาจากมัน ไปตรึงไว้บนไม้กางเขนแล้ว 25 พระวิญญาณได้ให้ชีวิตกับเราแล้ว อย่างนั้นเราจึงควรจะติดตามพระวิญญาณในทุกสิ่งที่เราทำ 26 อย่าอวดดี ยั่วโมโหหรืออิจฉากันเลย
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International