Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
อพยพ 26

เต็นท์ศักดิ์สิทธิ์

(อพย. 36:8-34)

26 ให้เจ้าสร้างเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ด้วยม่านสิบผืนที่ทำจากผ้าลินินเนื้อดี และผ้าที่ทอจากด้ายสีน้ำเงิน สีม่วงและสีแดงเข้ม ปักลายเครูบลงไปอย่างประณีตบนผ้าม่านนั้นด้วย ให้ม่านแต่ละผืนยาวยี่สิบแปดศอก[a] กว้างสี่ศอก[b] ทุกผืนต้องมีขนาดเท่ากันหมด ผ้าม่านห้าผืนจะถูกเกี่ยวเข้าด้วยกันเป็นผืนใหญ่ และที่เหลืออีกห้าผืนก็จะเกี่ยวเข้าด้วยกันด้วย เอาผ้าสีน้ำเงินทำเป็นหูติดไว้กับขอบผ้าม่านผืนใหญ่ทั้งสองผืนนั้น ให้ที่ขอบม่านแต่ละผืนทำหูห้าสิบหู และให้หูของทั้งสองม่านอยู่ตรงกัน แล้วให้เจ้าทำตะขอจากทองคำห้าสิบอัน เอาไว้เกี่ยวผ้าม่านเหล่านั้นเข้าด้วยกันให้เป็นผืนเดียวกัน

เจ้าต้องทำผ้าม่านขึ้นอีกสิบเอ็ดผืนจากขนแพะ เพื่อไปคลุมเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์นี้อีกชั้นหนึ่ง ผ้าม่านขนแพะแต่ละผืนยาวสามสิบศอก[c] กว้างสี่ศอก ทุกผืนเท่ากันหมด เอาห้าผืนแรกมาเกี่ยวติดกันเป็นผืนใหญ่ ที่เหลืออีกหกผืน ก็เอามาเกี่ยวติดกันเป็นอีกหนึ่งผืนใหญ่ แล้วให้พับผ้าของผืนที่หกที่คลุมอยู่ด้านหน้าของเต็นท์นั้น 10 เจ้าต้องทำหูไว้ที่ขอบผ้าม่านของผ้าชิ้นบนสุดของชุดแรก และทำอย่างเดียวกันกับผ้าชิ้นบนสุดทั้งสองผืนใหญ่นั้นผืนละห้าสิบหู 11 และทำตะขอจากทองสัมฤทธิ์ ไว้เกี่ยวกับหูของผ้าม่านทั้งสองผืนนั้นให้เป็นผืนเดียวกัน 12 ส่วนของผ้าม่านครึ่งที่เหลือให้แขวนห้อยลงด้านหลังของเต็นท์ 13 และส่วนของผ้าที่เหลืออีกข้างละหนึ่งศอก[d] ให้แขวนห้อยลงมาปิดด้านข้างของเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองข้าง 14 เอาหนังแกะตัวผู้ทำเป็นหลังคาเต็นท์ชั้นใน ส่วนหลังคาเต็นท์ชั้นนอก ให้ทำจากหนังปลาโลมา

15 ให้เจ้านำไม้กระถินมาทำเป็นกรอบค้ำเต็นท์ 16 กรอบนี้มีความสูงสิบศอก[e] กว้างหนึ่งศอกครึ่ง[f] 17 ที่ส่วนปลายของไม้ทั้งสองข้างทำเป็นเดือยไว้สองเดือยเพื่อเชื่อมไม้ให้ติดกัน กรอบไม้ทุกอันให้ทำออกมาเป็นลักษณะเดียวกันนี้ทั้งหมด 18 ทำจำนวนทั้งหมดยี่สิบกรอบสำหรับทางทิศใต้ของเต็นท์ 19 และใช้เงินหล่อทำเป็นฐานของกรอบเหล่านั้นโดยทำสองฐานต่อหนึ่งกรอบ ให้ตั้งอยู่ทางส่วนปลายที่เป็นเดือยทั้งสองข้างของกรอบ รวมทั้งหมดสี่สิบฐาน 20 ส่วนอีกข้างที่อยู่ตรงกับทิศเหนือของเต็นท์ ให้ทำกรอบอีกยี่สิบกรอบ 21 ทำฐานเงินสี่สิบฐานโดยใช้สองฐานต่อหนึ่งกรอบเหมือนกัน 22 ส่วนด้านหลังของเต็นท์ที่อยู่ทิศตะวันตกให้ทำกรอบขึ้นหกกรอบ 23 และที่มุมด้านหลังทั้งสองมุมของเต็นท์ ให้สร้างกรอบสองกรอบสำหรับสองมุมนั้น 24 ทั้งสองกรอบนั้น ในส่วนล่างจะแยกกัน แต่ส่วนบนจะเชื่อมต่อกันด้วยห่วงหนึ่งห่วง ให้สร้างแบบเดียวกันนี้กับมุมทั้งสองมุม 25 อย่างนี้จะได้กรอบรวมแปดกรอบบนฐานเงินสิบหกฐาน โดยแบ่งเป็นสองฐานต่อหนึ่งกรอบ

26 นำไม้กระถินมาทำเป็นไม้ขัดห้าอัน สำหรับขัดกรอบเหล่านั้นบนด้านหนึ่งของเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ 27 และอีกห้าอันสำหรับขัดกรอบด้านที่สองของเต็นท์ และอีกห้าอันสำหรับขัดกรอบด้านหลังที่อยู่ทางตะวันตกของเต็นท์ 28 ไม้ขัดกรอบพวกนี้จะสอดขัดอยู่ระหว่างกลางของกรอบไม้เหล่านั้นเพื่อร้อยกรอบไม้เหล่านั้นเข้าด้วยกัน

29 เคลือบทองคำให้กรอบไม้เหล่านั้น และทำห่วงจากทองคำติดไว้ที่กรอบไม้ เพื่อเอาไว้สอดไม้ขัดนั้น เจ้าต้องเอาทองหุ้มสำหรับไม้ขัดกรอบเหล่านั้นด้วย 30 แล้วเจ้าจะสามารถติดตั้งเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์นี้ได้ตามแบบที่เราให้เจ้าดูบนภูเขาแห่งนี้

ภายในเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์

(อพย. 36:35-36)

31 เจ้าต้องทำผ้าม่านที่ทอจากเส้นใยลินินอย่างดี และผ้าที่ทอจากด้ายสีน้ำเงิน สีม่วง และสีแดงเข้ม และให้ปักลายเครูบลงไปอย่างประณีตบนผ้าม่านนั้นด้วย 32 แขวนผ้าม่านนี้ไว้ด้วยตะขอทองคำที่อยู่บนเสาไม้กระถินทั้งสี่ต้นที่หุ้มทองไว้แล้ว เสาเหล่านี้ตั้งอยู่บนฐานเงินสี่ฐาน 33 แขวนผ้านั้นไว้กับตะขอทองคำเหล่านั้น[g] และให้นำหีบที่ใส่แผ่นหินสองแผ่นแห่งข้อตกลง มาวางไว้หลังม่านนั้น ผ้าม่านนี้จะกั้นระหว่างสถานที่ศักดิ์สิทธิ์กับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด 34 เจ้าต้องวางฝาหีบที่ความไม่บริสุทธิ์จากบาปจะถูกชำระ ไว้บนหีบใส่แผ่นหินสองแผ่นแห่งข้อตกลง ที่วางอยู่ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดนั้น

35 ให้วางโต๊ะไว้ที่ด้านนอกของม่าน และวางตะเกียงที่มีขาตั้งไว้ตรงข้ามกับโต๊ะซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ ส่วนโต๊ะนั้นอยู่ทางทิศเหนือของเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์

ประตูของเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์

(อพย. 36:37-38)

36 ให้เอาผ้าที่ทอด้วยด้ายสีน้ำเงิน สีม่วง และสีแดงเข้ม รวมทั้งผ้าลินินที่ปักอย่างประณีต มาทำเป็นฉากกั้นปิดช่องประตู 37 นำไม้กระถินมาทำเป็นเสาห้าต้นสำหรับฉากกั้นนั้น และหุ้มทองทับเสาเหล่านั้นด้วย ทำตะขอจากทองคำติดไว้ และเอาทองสัมฤทธิ์หล่อทำเป็นฐานของเสาทั้งห้าต้นนั้น

ยอห์น 5

พระเยซูรักษาคนป่วยที่สระน้ำ

หลังจากนั้นก็ถึงช่วงเทศกาลของชาวยิว พระเยซูไปที่เมืองเยรูซาเล็ม ใกล้ๆกับประตูแกะในเมืองเยรูซาเล็ม มีสระน้ำอยู่แห่งหนึ่งชื่อเป็นภาษาอารเมค[a] ว่า “เบธซาธา”[b] รอบๆสระน้ำนั้นมีศาลาอยู่ห้าหลัง ภายในศาลามีคนเจ็บป่วยนอนอยู่เต็มไปหมด รวมทั้งคนตาบอด คนง่อย และคนเป็นอัมพาต[c] [d] มีชายคนหนึ่งที่ป่วยมานานถึงสามสิบแปดปี เมื่อพระเยซูเห็นเขานอนอยู่ที่นั่น ก็รู้ว่าเขาป่วยมานานแล้ว พระองค์ถามเขาว่า “อยากจะหายไหม”

ชายคนนั้นตอบว่า “ท่านครับ ตอนที่น้ำในสระกระเพื่อมก็ไม่มีใครเอาผมลงไป แต่พอผมจะลงไปคนอื่นก็แย่งลงไปก่อน”

พระเยซูสั่งเขาว่า “ลุกขึ้น เก็บที่นอนแล้วเดินไปสิ” เขาหายทันที เขาเก็บที่นอนแล้วเดินไป

วันนั้นเป็นวันหยุดทางศาสนา 10 พวกชาวยิวพูดกับชายที่หายป่วยว่า “รู้รึเปล่ามันผิดกฎวันหยุดทางศาสนา ที่เที่ยวเดินหอบที่นอนไปไหนมาไหน”

11 ชายคนนั้นตอบว่า “คนที่รักษาผมเป็นคนบอกว่า ‘เก็บที่นอนแล้วเดินไปสิ’”

12 พวกยิวจึงถามเขาว่า “ใครเป็นคนบอกให้เก็บที่นอนแล้วเดิน”

13 แต่ชายคนนั้นไม่รู้ว่าใครเป็นคนรักษาเขา เพราะพระเยซูได้หายเข้าไปในฝูงชนที่อยู่ที่นั่นเสียก่อน

14 ต่อมาพระเยซูได้เจอชายคนเดิมนั้นในวิหาร และพูดกับเขาว่า “ตอนนี้คุณหายแล้ว อย่าทำบาปอีกล่ะ จะได้ไม่มีเรื่องเลวร้ายกว่านี้เกิดขึ้นกับคุณอีก”

15 ชายคนนั้นก็จากไป และไปบอกพวกยิวว่า พระเยซูคือผู้ที่รักษาเขาจนหาย

16 พวกยิวจึงเริ่มคิดที่จะทำร้ายพระเยซู เพราะพระองค์ทำสิ่งเหล่านี้ในวันหยุดทางศาสนา

17 พระเยซูบอกพวกยิวว่า “พระบิดาของเราไม่เคยหยุดทำงาน แล้วทำไมเราจะต้องหยุดด้วย” 18 ทำให้พวกยิวยิ่งพยายามมากขึ้นที่จะฆ่าพระองค์ เพราะนอกจากพระองค์จะทำผิดกฎวันหยุดทางศาสนาแล้ว พระองค์ยังเรียกพระเจ้าเป็นพระบิดาของตัวเองอีกด้วย ซึ่งเท่ากับเป็นการทำตัวเสมอกับพระเจ้า

พระเยซูได้รับอำนาจจากพระเจ้า

19 พระเยซูบอกพวกยิวว่า “เราจะบอกให้รู้ว่า พระบุตรจะทำอะไรตามใจตัวเองไม่ได้เลย เขาจะทำได้แต่สิ่งที่เขาเห็นพระบิดาทำเท่านั้น พระบิดาทำอะไร พระบุตรก็จะทำสิ่งนั้นด้วย 20 พระบิดารักพระบุตร และให้พระบุตรเห็นทุกอย่างที่พระองค์ทำ พระบิดาจะแสดงบางสิ่งให้พระบุตรเห็น เป็นสิ่งที่พระองค์จะให้พระบุตรทำ ซึ่งยิ่งใหญ่กว่าการรักษาชายคนนี้เสียอีก แล้วพวกคุณจะตกตะลึง 21 พระบิดาทำให้คนที่ตายแล้วฟื้นขึ้นมาใหม่ พระบุตรก็ให้ชีวิตกับใครที่พระองค์อยากช่วยได้เหมือนกัน 22 พระบิดาไม่ได้ตัดสินลงโทษใคร แต่ได้มอบสิทธิอำนาจทั้งหมดในการตัดสินลงโทษให้กับพระบุตร 23 เพื่อทุกคนจะได้ให้เกียรติพระบุตรนั้นเหมือนกับที่พวกเขาให้เกียรติพระบิดา คนที่ไม่ให้เกียรติพระบุตรก็เท่ากับไม่ให้เกียรติพระบิดาผู้ส่งพระบุตรมาด้วย

24 เราจะบอกให้รู้ว่า คนที่ฟังคำพูดเราและไว้วางใจพระองค์ผู้ส่งเรามา ก็มีชีวิตกับพระเจ้าตลอดไป และเขาจะไม่ถูกตัดสินลงโทษ เขาได้ผ่านพ้นความตายไปสู่ชีวิตแล้ว 25 เราจะบอกให้รู้ว่าเวลานั้นกำลังมา และตอนนี้ก็มาถึงแล้วที่คนตายจะได้ยินเสียงของพระบุตรของพระเจ้า แล้วคนที่เชื่อฟังก็จะมีชีวิต 26 พระบิดามีฤทธิ์อำนาจที่จะให้ชีวิต และพระองค์ทำให้พระบุตรมีฤทธิ์อำนาจที่จะให้ชีวิตเหมือนกัน 27 พระบิดาให้พระบุตรมีสิทธิ์ที่จะเป็นผู้พิพากษาด้วย เพราะพระบุตรนั้นเป็นบุตรมนุษย์ 28 พวกคุณไม่ต้องแปลกใจในเรื่องนี้หรอก เพราะเวลาที่พวกคนตายทั้งหมดจะได้ยินเสียงบุตรมนุษย์ใกล้จะมาถึงแล้ว 29 แล้วพวกเขาจะออกมาจากอุโมงค์ฝังศพ คนที่ทำดีก็จะฟื้นขึ้นมามีชีวิตกับพระเจ้าตลอดไป ส่วนคนที่ทำชั่วก็จะฟื้นขึ้นมาเพื่อรับการตัดสินลงโทษ”

ผู้ที่เป็นพยานให้กับพระเยซู

30 “เราทำอะไรเองไม่ได้ เราได้ยินจากพระเจ้ามาอย่างไร เราก็ตัดสินไปอย่างนั้น และคำตัดสินของเรานั้นก็ถูกต้อง เพราะเราไม่อยากตามใจตัวเอง แต่อยากตามใจพระเจ้าที่ส่งเรามา

31 ถ้าเราเป็นพยานให้กับตัวเอง สิ่งที่เราพูดก็เชื่อถือไม่ได้ 32 แต่ยังมีอีกผู้หนึ่งที่เป็นพยานให้กับเรา เรารู้ว่าสิ่งที่เขาพูดเกี่ยวกับเรานั้นเป็นความจริง”

33 “พวกคุณได้ส่งคนไปถามยอห์นเกี่ยวกับตัวเรา และยอห์นก็ได้บอกความจริงกับพวกเขา 34 เราไม่จำเป็นต้องให้มนุษย์มาเป็นพยานให้กับเราหรอก แต่เราพูดถึงเรื่องนี้เพราะอยากให้คุณเชื่อและรอด 35 ยอห์นเป็นเหมือนตะเกียงที่จุดให้แสงสว่างอยู่ พวกคุณก็มีความสุขกับแสงสว่างนั้นอยู่พักหนึ่ง

36 แต่เรามีพยานที่ยิ่งใหญ่กว่ายอห์นอีก นั่นก็คืองานต่างๆที่เรากำลังทำอยู่นี้ ซึ่งเป็นงานที่พระบิดาให้เราทำให้เสร็จ งานนี้พิสูจน์ว่าพระบิดาส่งเรามา 37 พระบิดาผู้ที่ส่งเรามาเป็นพยานให้เราด้วย พวกคุณไม่เคยได้ยินเสียงของพระองค์ และไม่เคยเห็นรูปร่างหน้าตาของพระองค์ 38 คำพูดของพระองค์ไม่อยู่ในตัวคุณ เพราะพวกคุณไม่ไว้วางใจผู้ที่พระบิดาส่งมา 39 พวกคุณศึกษาพระคัมภีร์อย่างละเอียด เพราะคิดว่ามันจะให้คุณมีชีวิตกับพระเจ้าตลอดไป พระคัมภีร์นั้นได้พูดถึงเรา 40 แต่พวกคุณกลับไม่ยอมมาหาเราเพื่อจะได้มีชีวิตกับพระเจ้าตลอดไป

41 เราไม่สนใจคำชมจากมนุษย์ 42 แล้วเราก็รู้ด้วยว่า พวกคุณไม่ได้รักพระเจ้าจริงๆหรอก 43 เรามาพูดแทนพระบิดาผู้ที่ส่งเรามา พวกคุณกลับไม่ยอมรับเรา แต่เวลามีบางคนมาพูดเพื่อตัวเอง พวกคุณกลับยอมรับเขา 44 พวกคุณจะไว้วางใจเราได้อย่างไร ในเมื่อคุณชอบคำชมจากพวกเดียวกัน แต่ไม่อยากได้คำชมจากพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว 45 อย่าคิดว่าเราจะเป็นคนฟ้องคุณต่อหน้าพระบิดา โมเสสคนที่คุณคาดหวังว่าจะช่วยคุณนั่นแหละ จะเป็นคนที่ฟ้องคุณเอง 46 ถ้าคุณเชื่อโมเสสจริงๆคุณก็จะเชื่อเราด้วย เพราะโมเสสได้เขียนถึงเรา 47 ถ้าคุณไม่เชื่อในสิ่งที่โมเสสเขียน แล้วคุณจะเชื่อในสิ่งที่เราพูดได้ยังไง”

สุภาษิต 2

แสวงหาสติปัญญา

ลูกเอ๋ย ถ้าเจ้ายอมรับคำพูดต่างๆของเรา
    และเก็บรักษาคำสั่งต่างๆของเราไว้กับตัว
ด้วยการเงี่ยหูฟังสติปัญญา
    และตั้งจิตตั้งใจใฝ่หาความเข้าใจ
นั่นล่ะ เมื่อเจ้าร่ำร้องหาความหยั่งรู้อันลึกซึ้ง
    และร่ำร้องหาความรู้และความเข้าใจ
เมื่อเจ้าแสวงหาความเข้าใจเหมือนกับแสวงหาเงิน
    และเสาะหามันเหมือนหาขุมทรัพย์ที่ซุกซ่อนอยู่
เมื่อนั้นเจ้าก็จะเข้าใจว่าความยำเกรงพระยาห์เวห์เป็นอย่างไร
    และเจ้าจะได้มีความรู้ที่มาจากพระเจ้า
เพราะพระยาห์เวห์ให้สติปัญญา
    ความรู้และความเข้าใจออกมาจากปากของพระองค์
พระองค์จะสะสมวิธีแก้ปัญหาไว้ให้กับผู้ซื่อสัตย์
    พระองค์เป็นโล่กำบังให้กับผู้ที่ดำเนินชีวิตอยู่ในทางที่ดีพร้อม

พระองค์เฝ้าระวังทางของคนที่ยุติธรรม
    และเฝ้าปกป้องทางของคนที่จงรักภักดีต่อพระองค์
แล้วเจ้าจะเข้าใจว่าสิ่งไหนถูกต้อง ยุติธรรม และเป็นธรรม
    คือหนทางอันดีงามทั้งสิ้น
10 เพราะปัญญาจะซึมซับเข้าไปในใจของเจ้า
    ความรู้จะให้ความสุขกับจิตวิญญาณของเจ้า
11 ความสุขุมรอบคอบจะปกป้องตัวเจ้า
    ความคิดรอบคอบจะเฝ้าดูแลตัวเจ้าไว้
12 เพื่อช่วยเจ้าให้พ้นจากทางของคนชั่ว
    และให้พ้นจากคนพูดร้าย
13 เจ้าจะได้พ้นจากคนที่ละทิ้งทางตรงทั้งหลาย
    เพื่อไปเดินในทางมืดมิดเหล่านั้น
14 เจ้าจะได้พ้นจากคนที่ชอบทำชั่ว
    ที่สนุกสนานกับทางชั่วที่วิปริตผิดเพี้ยนไปนั้น
15 เจ้าจะได้พ้นจากคนที่มีหนทางคดเคี้ยว
    และคนที่เจ้าเล่ห์ในทางทั้งหลายของเขา
16 เจ้าจะได้พ้นจากภรรยาของผู้อื่น[a]
    จากหญิงเล่นชู้ที่พูดหวานหู
17 ผู้ที่ทอดทิ้งสามีที่นางแต่งด้วยตอนเป็นสาว
    และลืมข้อตกลงที่เธอทำไว้กับสามีต่อหน้าพระเจ้าของเธอ
18 ทางที่ไปหาเธอนั้น ลาดไปสู่แดนคนตายอย่างแน่นอน
    และรอยเท้าทั้งหลายของเธอนั้นนำไปสู่เมืองผี
19 ทุกคนที่ไปหานาง ไม่เคยได้กลับมาอีก
    ไม่มีใครในพวกนั้นพบเห็นหนทางแห่งชีวิตอีกเลย
20 ดังนั้นให้เดินบนหนทางของคนดี
    และยึดมั่นในหนทางของคนเหล่านั้นที่ทำตามใจพระเจ้า
21 เพราะคนสัตย์ซื่อจะได้อาศัยอยู่บนแผ่นดิน
    และคนบริสุทธิ์ก็จะยังคงอยู่ที่นั่น
22 แต่คนชั่วจะถูกตัดออกจากแผ่นดิน
    และคนไม่สัตย์ซื่อก็จะถูกถอนรากถอนโคน

กาลาเทีย 1

จากเปาโล ผมได้เป็นศิษย์เอก ไม่ใช่เพราะมนุษย์คนไหนหรือกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดแต่งตั้ง แต่เป็นพระเยซูคริสต์ และพระเจ้าพระบิดาผู้ทำให้พระเยซูฟื้นขึ้นจากความตาย เป็นผู้แต่งตั้งผมเอง

และ จากพี่น้องที่อยู่กับผมที่นี่ด้วย

ถึงหมู่ประชุมต่างๆของพระเจ้าที่แคว้นกาลาเทีย[a]

ขอให้พระเจ้าพระบิดาของเรา และพระเยซูคริสต์เจ้า ให้ความเมตตากรุณาและสันติสุขกับพวกคุณ พระเยซูได้สละพระองค์เองเป็นเครื่องบูชาสำหรับบาปของเรา เพื่อช่วยเราให้รอดพ้นจากยุคอันชั่วร้ายนี้ ทั้งหมดนี้เป็นไปตามความต้องการของพระเจ้าพระบิดาของเรา ขอให้พระเจ้าได้รับเกียรติตลอดไป อาเมน

ข่าวดีที่แท้จริง

ผมงงมากเลย ที่ยังไม่ทันไรพวกคุณก็ทิ้งพระเจ้าผู้ที่ได้เรียกคุณมาด้วยความเมตตากรุณาของพระคริสต์ แล้วหันไปติดตามข่าวดีอันอื่นเสียแล้ว[b] ซึ่งจริงๆแล้วไม่ใช่ข่าวดีเลย แต่มีบางคนทำให้คุณสับสน และพยายามบิดเบือนเรื่องข่าวดีของพระคริสต์ ถ้าใครมาประกาศข่าวดีอื่นๆที่แตกต่างไปจากที่เราเคยประกาศให้กับพวกคุณไว้แล้วนั้น ไม่ว่าจะเป็นพวกเราเอง หรือทูตสวรรค์ หรือใครก็ตาม ก็ขอให้คนนั้นถูกสาปแช่งให้ตกนรกตลอดไป ผมขอย้ำอีกครั้งหนึ่งเหมือนกับที่เคยพูดไปแล้วว่าใครก็ตามที่มาประกาศข่าวดีที่ขัดกับข่าวดีที่คุณได้รับไว้แล้วนั้น ก็ขอให้คนนั้นถูกสาปแช่งตลอดไป

10 ดูเหมือนผมกำลังพูดให้คนยอมรับ หรือให้พระเจ้ายอมรับกันแน่ ผมคิดแต่จะเอาใจคนอย่างนั้นหรือ ถ้าผมอยากจะเอาใจคน ผมก็คงไม่มาเป็นทาสของพระคริสต์หรอก

11 พี่น้องครับ ผมอยากจะบอกให้รู้ว่า ข่าวดีที่ผมประกาศอยู่นี้ไม่ได้มาจากมนุษย์ 12 ไม่มีมนุษย์คนไหนสอนผมหรือให้ผมมา แต่ผมได้มาจากพระเยซูคริสต์โดยตรง ตอนที่พระองค์มาปรากฏตัวให้ผมเห็น

13 พวกคุณก็รู้อยู่แล้วว่าเมื่อก่อนผมเป็นอย่างไร ตอนที่ยังใช้ชีวิตตามแบบของชาวยิวนั้น ผมได้ข่มเหงหมู่ประชุมของพระเจ้าอย่างรุนแรง และพยายามทำลายมันให้สิ้นซาก 14 ในสมัยนั้น ผมก้าวหน้าในลัทธิยิวมากกว่าทุกคนในรุ่นเดียวกัน และยิ่งกว่านั้น ผมยังทุ่มเทอย่างเต็มที่ต่อประเพณีที่สืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษของผม

15 แต่พระเจ้ามีความเมตตากรุณาต่อผม พระองค์เลือกผมตั้งแต่ผมยังอยู่ในท้องแม่ซะอีก แล้วพระองค์ก็เรียกให้ผมมารับใช้พระองค์ 16 พระองค์พอใจที่จะเปิดเผยพระบุตรของพระองค์กับผม เพื่อผมจะได้ประกาศข่าวดีเรื่องพระบุตรนั้นกับคนที่ไม่ใช่ยิว ตอนนั้นผมก็ไม่ได้ปรึกษาใครเลย 17 และก็ไม่ได้ขึ้นไปเมืองเยรูซาเล็ม เพื่อหารือกับพวกที่เป็นศิษย์เอกมาก่อนผมด้วย แต่ผมไปแถบอาระเบียทันที แล้วถึงค่อยกลับมาเมืองดามัสกัส

18 สามปีต่อมา ผมได้ขึ้นไปที่เมืองเยรูซาเล็ม เพื่อเยี่ยมเยียนเปโตร[c] และได้พักอยู่กับเขาสิบห้าวัน 19 ผมไม่ได้เจอกับศิษย์เอกคนอื่นๆเลย นอกจากยากอบน้องชายขององค์เจ้าชีวิตเท่านั้น 20 สาบานต่อหน้าพระเจ้าได้เลยว่า เรื่องที่เขียนมาทั้งหมดนี้เป็นความจริง 21 หลังจากนั้นผมก็ไปแคว้นซีเรียและแคว้นซีลีเซีย

22 แต่ในหมู่ประชุมต่างๆของพระเจ้าที่แคว้นยูเดีย ไม่มีใครรู้จักผมเป็นการส่วนตัวเลย 23 พวกเขาได้ยินแต่คนพูดกันว่า “คนที่เคยข่มเหงเราเมื่อก่อน ตอนนี้ได้กลับมาประกาศความเชื่อที่ครั้งหนึ่งเขาเคยพยายามจะทำลาย” 24 แล้วพวกเขาก็ได้สรรเสริญพระเจ้าเพราะผม

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International