M’Cheyne Bible Reading Plan
น้ำจากก้อนหิน
(กดว. 20:1-13)
17 ขบวนอิสราเอลเดินทางจากที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งสีน ตามที่พระยาห์เวห์ได้สั่งไว้ พวกเขามาตั้งค่ายอยู่ที่เรฟีดิม แต่ไม่มีน้ำให้พวกเขาดื่ม 2 พวกเขามาโต้เถียงกับโมเสส และพูดว่า “หาน้ำให้เราดื่มซะ”
โมเสสบอกพวกเขาว่า “พวกท่านมาโต้เถียงกับเราทำไม ทำไมพวกท่านถึงได้ลองดีกับพระเจ้า”
3 แต่ผู้คนหิวกระหายน้ำมากที่นั่น พวกเขาบ่นต่อว่าโมเสส พวกเขาพูดว่า “ท่านพาเราออกมาจากอียิปต์ทำไมกัน เพื่อฆ่าเรา ลูกหลานของเรา และฝูงสัตว์เลี้ยงของเรา ด้วยการอดน้ำตายอย่างนั้นหรือ”
4 แล้วโมเสสได้ร้องต่อพระยาห์เวห์ว่า “จะให้ข้าพเจ้าทำยังไงดีกับคนพวกนี้ เดี๋ยวพวกนี้ก็จะเอาหินขว้างข้าพเจ้าแล้ว”
5 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “ให้เดินนำหน้าพวกเขาไป ให้พาผู้อาวุโสของอิสราเอลส่วนหนึ่งไปกับเจ้าด้วย และให้ถือไม้เท้าที่เจ้าเคยใช้ตีแม่น้ำไนล์ติดมือไปด้วย 6 เราจะยืนอยู่ต่อหน้าเจ้า บนหินก้อนหนึ่งของภูเขาโฮเรบ เมื่อเจ้าตีหินก้อนนั้น จะมีน้ำไหลออกมา แล้วคนจะได้ดื่มกินกัน”
แล้วโมเสสก็ทำตามนั้นต่อหน้าต่อตาพวกผู้อาวุโสของอิสราเอล 7 เขาตั้งชื่อสถานที่นั้นว่า มัสสาห์[a] และเมรีบาห์[b] เพราะชาวอิสราเอลได้โต้เถียงกับโมเสส และเพราะพวกเขาได้ลองดีกับพระยาห์เวห์ โดยพูดว่า “พระยาห์เวห์ยังอยู่กับพวกเราหรือเปล่า”
สงครามกับพวกอามาเลค
8 ชาวอามาเลคได้ยกทัพมาต่อสู้กับชาวอิสราเอลในตำบลเรฟีดิม 9 โมเสสพูดกับโยชูวาว่า “ไปเลือกพวกชายหนุ่มมาให้กับพวกเรา เพื่อออกไปสู้รบกับพวกอามาเลค พรุ่งนี้ข้าพเจ้าจะไปยืนอยู่บนยอดเขา และถือไม้เท้าของพระเจ้าในมือ”
10 โยชูวาจึงทำตามที่โมเสสสั่ง ออกไปสู้รบกับชาวอามาเลค ส่วนโมเสส อาโรน และเฮอร์ ขึ้นไปยืนอยู่บนยอดเขา 11 โมเสสยกแขนขึ้นเมื่อไหร่ เมื่อนั้นอิสราเอลก็มีชัยเหนือกว่า แต่เมื่อไหร่ที่โมเสสเอาแขนลง ชาวอามาเลคก็จะมีชัยเหนือกว่า
12 เมื่อโมเสสเมื่อยแขน พวกเขาก็เอาก้อนหินมาวางให้โมเสสนั่ง แล้วอาโรนกับเฮอร์ก็ช่วยพยุงแขนของโมเสสไว้คนละข้าง แขนของเขาจึงยังคงยกอยู่อย่างนั้นจนตะวันตกดิน 13 โยชูวาทำให้ชาวอามาเลคและกองทัพของมัน พ่ายแพ้ไปด้วยคมดาบของเขา
14 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “ให้จดบันทึกเหตุการณ์นี้ไว้ในสมุด เพื่อเป็นอนุสรณ์เตือนใจ และให้กรอกหูของโยชูวาว่า เราจะลบความทรงจำที่มีต่อพวกอามาเลคให้หมดไปจากทั่วใต้ฟ้า”
15 แล้วโมเสสก็สร้างแท่นบูชาขึ้น เขาตั้งชื่อแท่นบูชานี้ว่า “พระยาห์เวห์คือธงชัยของข้าพเจ้า” 16 เขาพูดว่า “ชูธงชัยของพระยาห์เวห์ไว้[c] พระยาห์เวห์จะทำสงครามกับพวกอามาเลคตลอดไปทุกรุ่น”
พวกผู้นำชาวยิวตั้งคำถามกับพระเยซู
(มธ. 21:23-27; มก. 11:27-33)
20 วันหนึ่งเมื่อพระเยซูกำลังสั่งสอนและประกาศเรื่องข่าวดีอยู่ในบริเวณวิหาร พวกหัวหน้านักบวช พวกครูสอนกฎปฏิบัติ และพวกผู้นำอาวุโสมาหาพระองค์ 2 พวกเขาถามว่า “ช่วยบอกหน่อยว่าแกมีสิทธิ์อะไรไปขับไล่พวกคนขายของนั้น ใครให้สิทธิ์นี้กับแก”
3 พระเยซูตอบไปว่า “ตอบเรามาก่อนว่า 4 พิธีจุ่มน้ำของยอห์น มาจากสวรรค์หรือมาจากมนุษย์”
5 พวกเขาปรึกษากันว่า “ถ้าเราตอบว่า ‘มาจากสวรรค์’ เขาก็จะถามว่า ‘แล้วทำไมพวกคุณถึงไม่เชื่อยอห์นล่ะ’ 6 แต่ถ้าเราตอบว่า ‘มาจากมนุษย์’ คนก็จะเอาหินขว้างเรา เพราะชาวบ้านพวกนี้เชื่อว่า ยอห์นเป็นผู้พูดแทนพระเจ้า”
7 พวกเขาก็เลยตอบพระองค์ว่า “เราไม่รู้ว่ามาจากไหน”
8 พระเยซูก็เลยตอบพวกเขาว่า “ถ้าอย่างนั้น เราก็จะไม่บอกเหมือนกันว่าเราใช้สิทธิ์ของใครทำสิ่งเหล่านี้”
พระเจ้าส่งลูกชายของพระองค์มา
(มธ. 21:33-46; มก. 12:1-12)
9 พระเยซูเล่าเรื่องเปรียบเทียบให้คนฟังว่า “มีชายคนหนึ่งทำสวนองุ่น แล้วให้ชาวสวนเช่า แล้วเขาก็ไปอยู่ต่างประเทศเป็นเวลานาน 10 เมื่อถึงเวลาเก็บเกี่ยว เขาส่งทาสคนหนึ่งมารับส่วนแบ่งจากผลองุ่น แต่พวกคนเช่ากลับทำร้ายทุบตีทาสคนนั้น และไล่กลับไปมือเปล่า 11 เจ้าของสวนองุ่นก็เลยส่งทาสอีกคนหนึ่งไป พวกคนเช่าก็ทำร้ายทุบตีเขาและทำให้เขาอับอายขายหน้า แล้วไล่กลับไปมือเปล่าอีก 12 เจ้าของสวนก็ส่งคนที่สามไปอีก พวกคนเช่าก็ทำเหมือนเดิม ทำเขาจนบาดเจ็บสาหัสแล้วโยนออกไปนอกสวน 13 เจ้าของสวนองุ่นพูดกับตัวเองว่า ‘จะทำยังไงดี รู้แล้ว เราจะส่งลูกชายสุดที่รักของเราไป พวกนั้นจะต้องเคารพยำเกรงลูกชายเราแน่ๆ’ 14 แต่พอพวกคนเช่าเห็นลูกชายของเขา ก็ปรึกษากันว่า ‘นี่ไงผู้รับมรดก ให้พวกเราฆ่ามันเลย สวนนี้จะได้ตกเป็นของพวกเรา’ 15 พวกเขาก็เลยจับลูกชายเจ้าของสวนโยนออกไปนอกสวนและฆ่าเขา พวกคุณคิดว่า เจ้าของสวนจะทำยังไงกับพวกคนเช่าเหล่านั้น 16 เขาจะกลับไปฆ่าพวกคนเช่าสวนเหล่านั้น และยกสวนองุ่นให้กับคนอื่นๆ” เมื่อผู้คนได้ยินอย่างนั้น ก็พูดขึ้นว่า “อย่าให้เป็นอย่างนั้นเลย”
17 แต่พระเยซูก็จ้องมองเขาและพูดว่า “ถ้างั้น ข้อความนี้ในพระคัมภีร์หมายถึงอะไร
‘หินก้อนนี้ที่ช่างก่อสร้างทิ้งแล้ว
กลับกลายมาเป็นหินก้อนที่สำคัญที่สุด’[a]
18 คนที่ล้มทับหินก้อนนั้น ร่างกายก็จะหักเป็นท่อนๆ แต่ถ้าถูกหินนี้ล้มทับ คนนั้นก็จะแหลกละเอียด”
19 เมื่อพวกครูสอนกฎปฏิบัติ และพวกหัวหน้านักบวชรู้ตัวว่าพระเยซูกำลังเปรียบพวกเขาว่าเป็นคนเช่าสวนพวกนั้น พวกเขาก็เลยหาทางที่จะจับพระเยซูตอนนั้นเลย แต่ก็ไม่กล้าเพราะกลัวประชาชน
พวกผู้นำชาวยิวพยายามใช้กลอุบายลวงพระเยซู
(มธ. 22:15-22; มก. 12:13-17)
20 พวกเขาจึงเฝ้าดูพระเยซูอย่างใกล้ชิด และส่งพวกสอดแนมที่แกล้งทำเป็นคนดีเพื่อไปจับผิดคำพูดของพระองค์ เพื่อจะได้จับตัวพระองค์ส่งไปให้ผู้พิพากษาและเจ้าเมืองโรม 21 พวกสอดแนมถามพระเยซูว่า “อาจารย์ครับ พวกเรารู้ว่าคำพูดและคำสอนของท่านนั้นถูกต้องและท่านก็ไม่กลัวว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร และสอนความจริงในสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้ทำ 22 อาจารย์ช่วยบอกหน่อยว่า มันถูกต้องตามกฎหรือเปล่าที่จ่ายภาษีให้กับซีซาร์”
23 พระเยซูรู้ถึงอุบายของพวกเขา จึงบอกพวกเขาว่า 24 “ไหน ส่งเหรียญอันหนึ่งมาให้ดูสิ นี่รูปใคร แล้วมีชื่อใครสลักอยู่”
พวกเขาก็ตอบว่า “ซีซาร์”
25 พระองค์จึงพูดกับพวกเขาว่า “ของๆซีซาร์ก็ให้ซีซาร์ ของๆพระเจ้าก็ให้พระเจ้า”
26 พวกเขาไม่สามารถจะจับผิดคำพูดของพระองค์ต่อหน้าผู้คนได้ ได้แต่ตะลึงในคำตอบจนถึงกับพูดไม่ออก
ชาวสะดูสีพยายามจับผิดพระเยซู
(มธ. 22:23-33; มก. 12:18-27)
27 มีพวกสะดูสีบางคนมาหาพระเยซู พวกนี้ไม่เชื่อว่าคนตายแล้วจะฟื้นขึ้นจากความตาย เขาถามพระองค์ว่า 28 “อาจารย์ครับ โมเสสเขียนสั่งไว้ว่า ถ้าชายคนไหนตายและทิ้งเมียไว้โดยยังไม่มีลูก ก็ให้น้องชายของคนตายแต่งกับหญิงม่ายคนนั้น จะได้มีลูกไว้สืบสกุลให้กับพี่ชายของเขา 29 ครั้งหนึ่งมีพี่น้องอยู่เจ็ดคน พี่ชายคนโตแต่งงาน แล้วตายไปแต่ยังไม่มีลูก 30 น้องคนที่สองก็ได้แต่งกับหญิงม่ายนั้น แต่เขาก็ตายไปและยังไม่มีลูกเหมือนกัน 31 น้องคนที่สามก็ทำแบบเดียวกัน และในที่สุด พี่น้องทั้งเจ็ดคนนี้ก็ได้แต่งงานกับหญิงนั้น แล้วพวกเขาก็ตายโดยไม่มีลูกสักคน 32 ต่อมาหญิงคนนั้นก็ตายด้วย 33 ช่วยบอกหน่อยสิว่า ในวันที่ทุกคนฟื้นขึ้นจากความตายนั้น ผู้หญิงคนนี้จะเป็นภรรยาของใคร ในเมื่อทั้งเจ็ดคนนั้นก็เคยเป็นสามีของเธอ”
34 พระเยซูจึงตอบว่า “คนในโลกนี้เท่านั้นที่แต่งงานกัน และยกให้เป็นผัวเมียกัน 35 ส่วนในโลกหน้า คนที่เหมาะสมที่จะได้อยู่ที่นั่นและฟื้นขึ้นจากความตายแล้ว จะไม่แต่งงานกัน หรือยกให้เป็นผัวเมียกันอีกต่อไปแล้ว 36 เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะตายอีกครั้ง แต่เขาจะเป็นเหมือนทูตสวรรค์และจะเป็นลูกของพระเจ้า เพราะพระเจ้าจะทำให้เขาฟื้นขึ้นจากความตาย
37 เรื่องการฟื้นขึ้นจากความตายนี้ ขนาดโมเสสก็ยังพูดถึงเลย ตอนที่เขาเขียนเรื่องพุ่มไม้ที่ลุกเป็นไฟ[b] เขาได้เรียกองค์เจ้าชีวิตว่า ‘พระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ’[c] 38 พระเจ้าเป็นพระเจ้าของคนมีชีวิต ไม่ใช่ของคนตาย เพราะสำหรับพระเจ้าแล้วทุกคนยังมีชีวิตอยู่”
39 พวกครูสอนกฎปฏิบัติบางคนชมพระเยซูว่า “อาจารย์ พูดได้เยี่ยมมากเลยครับ” 40 แล้วก็ไม่มีใครกล้าถามอะไรพระเยซูอีกเลย
พระคริสต์เป็นลูกของดาวิดหรือ
(มธ. 22:41-46; มก. 12:35-37)
41 พระเยซูถามว่า “คุณพูดได้ยังไงว่า พระคริสต์เป็นลูกของดาวิด 42 ทั้งๆที่ตัวดาวิดเองพูดในหนังสือสดุดีว่า
‘พระเจ้าได้พูดกับองค์เจ้าชีวิตของผมผู้เป็นพระคริสต์ว่า
นั่งลงทางขวามือของเรา
43 จนกว่าเราจะทำให้ศัตรูของท่านเป็นที่วางเท้าของท่าน’[d]
44 แม้แต่ดาวิดยังเรียกพระคริสต์ว่าเป็นองค์เจ้าชีวิตเลย แล้วพระคริสต์จะเป็นลูกของดาวิดได้ยังไง”
พระเยซูต่อว่าพวกครูสอนกฎปฏิบัติ
(มธ. 23:1-36; มก. 12:38-40; ลก. 11:37-54)
45 ขณะที่ฝูงชนกำลังฟังอยู่นั้น พระเยซูก็หันไปพูดกับพวกศิษย์ว่า 46 “ระวังพวกครูสอนกฎปฏิบัติให้ดี พวกนี้ชอบใส่เสื้อคลุมยาวๆเดินไปมาให้คนคำนับตามท้องตลาด และชอบนั่งในที่สำคัญๆในที่ประชุม และชอบนั่งที่หัวโต๊ะในงานเลี้ยงต่างๆ 47 พวกเขามักจะโกงเอาบ้านของหญิงม่าย และแกล้งอธิษฐานซะยืดยาวเพื่ออวดคน คนพวกนี้จะต้องถูกลงโทษหนักกว่าคนที่ไม่ได้ทำอย่างนั้น”
35 เอลีฮูพูดต่อไปว่า
2 “ท่านคิดว่าถูกแล้วหรือ
ที่ท่านพูดว่า ‘ข้าถูก พระเจ้าผิด’
3 หรือเมื่อท่านถามว่า ‘ข้าจะได้เปรียบอะไร
ข้าจะได้ประโยชน์อะไร จากการไม่ทำบาป’
4 ข้าจะตอบท่าน
และเพื่อนๆที่อยู่กับท่าน
5 มองขึ้นไปบนท้องฟ้า ดูสิ
ดูเมฆพวกนั้นที่อยู่สูงกว่าท่านมากนัก
6 ถ้าท่านทำบาป มันจะกระทบกระเทือนพระองค์ตรงไหน
ถ้าท่านละเมิดกฎหลายครั้งหลายครา พระองค์จะเป็นอะไรไปหรือ
7 ถ้าท่านทำดี ท่านได้ให้ความช่วยเหลืออะไรกับพระองค์หรือ
หรือพระองค์ได้รับอะไรจากมือของท่านหรือ
8 ความชั่วร้ายของท่านส่งผลกระทบต่อมนุษย์ด้วยกันเท่านั้น
ส่วนความดีของท่านก็เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์เท่านั้น
9 ดูสิ เมื่อคนถูกกดขี่ข่มเหงอย่างหนัก พวกเขาก็ร้องบ่นกัน
พวกเขาร้องขอความช่วยเหลือให้พ้นจากแขนของพวกผู้มีอำนาจ
10 แต่ไม่มีใครสักคนคิดจะพูดว่า ‘พระเจ้าอยู่ที่ไหน คือพระองค์ที่สร้างข้า
พระองค์ที่มอบเพลงให้ร้องในยามค่ำคืน
11 พระองค์ที่สอนเราให้มีความเข้าใจมากกว่าพวกสัตว์บนแผ่นดิน
พระองค์ที่ทำให้เราฉลาดกว่าพวกนกในอากาศ’
12 ดังนั้น พวกคนชั่วร้องบ่นกัน
แต่พระองค์ไม่ตอบ เพราะพวกเขาหยิ่งยโส
13 พระองค์ไม่ฟังเสียงร้องที่เป็นแค่ลมปาก
พระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ไม่สนใจมันเลย
14 แล้วนับประสาอะไรกับท่านที่พระองค์จะต้องมาสนใจ
ตอนที่ท่านบ่นว่าไม่เห็นพระองค์
และบ่นว่าคดีอยู่ต่อหน้าพระองค์แล้ว
และตัวท่านเองยังรอคอยพระองค์อยู่
15 และยิ่งกว่านั้น ท่านยังว่าพระเจ้าไม่เคยโกรธคนชั่วและลงโทษพวกเขา
และยังว่าพระองค์ไม่สนใจเลยว่าใครจะทำอะไรผิด
16 ลุงโยบคนนี้ก็เลยอ้าปากพูดคำลมๆแล้งๆ
พูดพร่ำมากมายอย่างขาดความเข้าใจ”
5 เพราะเรารู้ว่าถึงเต็นท์ของเราในโลกนี้ซึ่งก็คือร่างกายถูกรื้อลง เราก็จะมีบ้านที่มาจากพระเจ้า เป็นบ้านถาวรบนสวรรค์ที่ไม่ได้สร้างด้วยมือมนุษย์ 2 ดังนั้นตอนนี้ที่เรายังอาศัยอยู่ในเต็นท์นี้ เราจึงร้องคร่ำครวญเพราะอยากจะสวมใส่บ้านที่มาจากสวรรค์หลังนั้น เหมือนกับใส่เสื้อคลุม 3 (แน่นอน เมื่อเราสวมใส่แล้ว เราจะได้ไม่เปลือยกาย) 4 พวกเราที่อยู่ในเต็นท์นี้ ต่างก็คร่ำครวญกับภาระหนักที่เราแบกไว้ เราไม่ได้อยากจะถอดร่างในปัจจุบันออก แต่อยากจะสวมร่างใหม่ทับเข้าไป เพื่อร่างที่มีชีวิตถาวรจะได้กลืนร่างที่ต้องตายนี้ไป 5 พระเจ้าคือผู้ที่เตรียมเราไว้สำหรับสิ่งนี้ พระเจ้าได้ให้พระวิญญาณ กับเราเป็นมัดจำงวดแรกของทุกสิ่งที่พระองค์สัญญาว่าจะให้กับเรา
6 เราก็เลยมีความมั่นใจอยู่เสมอ ถึงแม้จะรู้ว่าเมื่อเรายังอยู่ในบ้านนี้ เราก็ยังห่างจากบ้านที่จะอยู่กับองค์เจ้าชีวิต 7 (เราจึงใช้ชีวิตตามความเชื่อ ไม่ใช่ตามสิ่งที่เรามองเห็น) 8 เราถึงมีความมั่นใจและอยากที่จะจากบ้านนี้ ไปอยู่บ้านกับองค์เจ้าชีวิตมากกว่า 9 เพราะอย่างนี้แหละ เราถึงได้ตั้งใจเอาไว้ว่าจะทำทุกอย่างเพื่อให้พระองค์พอใจ ไม่ว่าจะยังอยู่ในบ้านนี้หรือไม่อยู่แล้วก็ตาม 10 เพราะเราทุกคนจะต้องอยู่ต่อหน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ เพื่อแต่ละคนจะได้รับผลตอบแทนตามความดีหรือความชั่วที่ทำมาตอนที่ยังอยู่ในร่างกายนี้
งานนำคนมาคืนดีกับพระเจ้า
11 เราเกรงกลัวองค์เจ้าชีวิต เราก็เลยพยายามชักชวนคนให้หันมาหาพระองค์ พระองค์รู้ดีว่าเราเป็นคนอย่างไร และเราก็หวังว่าพวกคุณรู้จักเราอย่างนั้นด้วย 12 นี่เรากำลังรับรองคุณสมบัติตัวเองอีกแล้วหรือ ไม่ใช่หรอก แต่เราเปิดโอกาสให้พวกคุณอวดเราบ้าง จะได้ไปโต้ตอบกับคนพวกนั้นที่โอ้อวดแต่สิ่งที่อยู่ภายนอก แทนที่จะเป็นสิ่งที่อยู่ในใจ 13 ถ้าเราบ้าก็บ้าเพื่อพระเจ้า และถ้าเรามีสติดี ก็เพื่อเป็นประโยชน์กับพวกคุณ 14 ความรักของพระคริสต์บังคับเราอยู่ เพราะเราเชื่อว่า คนหนึ่งตายเพื่อมนุษย์ทุกคน ทุกคนก็เลยตายกันหมด 15 พระองค์ตายเพื่อทุกคน เพื่อคนที่ยังมีชีวิตอยู่จะได้ไม่อยู่เพื่อตัวเองอีกต่อไป แต่อยู่เพื่อพระองค์ที่ตายและฟื้นขึ้นมาใหม่เพื่อพวกเขา
16 เพราะอย่างนี้ จากนี้ไปเราจะไม่มองใครตามมาตรฐานของโลกนี้อีกแล้ว แม้ว่าครั้งหนึ่งเราเคยมองพระคริสต์อย่างนั้น 17 ถ้าใครก็ตามมีส่วนในพระคริสต์ คนนั้นได้เข้าสู่โลกใหม่ที่พระเจ้าได้สร้างขึ้นมาแล้ว[a] สิ่งเก่าๆหายไปหมดแล้ว ดูสิ สิ่งใหม่ๆก็เกิดขึ้น 18 ทั้งหมดนี้ก็เกิดมาจากพระเจ้า พระเจ้าทำให้เรากลับมาคืนดีกับพระองค์ใหม่ โดยผ่านทางพระคริสต์ และพระเจ้าได้มอบหมายงานให้กับเราทำคือไปนำคนอื่นๆกลับมาคืนดีกับพระองค์ด้วย 19 พระเจ้าเองทำให้คนในโลกนี้กลับมาคืนดีกับพระองค์ โดยผ่านทางพระคริสต์ และยกโทษบาปให้กับพวกเขา พระองค์ได้มอบเรื่องการกลับคืนดีนี้ให้กับเราเพื่อไปบอกคนอื่นๆต่อ 20 ดังนั้นเราจึงทำงานเป็นทูตของพระคริสต์ เพราะเชื่อมั่นว่าพระเจ้ากำลังขอร้องพวกคุณผ่านทางเรา เราขอวิงวอนคุณแทนพระคริสต์ว่า “กลับมาคืนดีกับพระเจ้าเถิด” 21 พระเจ้าทำให้พระคริสต์ผู้ที่ไม่มีบาปกลายเป็นคนบาปเพื่อเรา[b] เพื่อว่าในพระคริสต์นั้น ความซื่อสัตย์ของพระเจ้า[c] จะได้เห็นเด่นชัดในตัวเรา
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International