M’Cheyne Bible Reading Plan
เสื้อผ้าของนักบวช
(อพย. 39:1-31)
28 ให้นำตัวอาโรนพี่ชายของเจ้าและพวกลูกชายของเขา คือ นาดับ อาบีฮู เอเลอาซาร์ และอิธามาร์ แยกออกมาจากลูกหลานของอิสราเอล เพื่อมาเป็นนักบวชของเรา
2 ให้เจ้าทำชุดศักดิ์สิทธิ์ให้กับอาโรน พี่ชายของเจ้า เพื่อเป็นเกียรติกับเขาและเพื่อความสวยงาม 3 ให้เจ้าไปบอกเรื่องนี้กับช่างพวกนั้นที่มีความชำนาญ เราได้ใส่วิญญาณแห่งผู้เชี่ยวชาญให้กับพวกเขาไว้แล้ว เพื่อพวกเขาจะได้ตัดเย็บเสื้อผ้าให้อาโรน เพื่อทำให้เขาศักดิ์สิทธิ์และเพื่อเขาจะได้เป็นนักบวชของเรา 4 เสื้อผ้าที่พวกเขาจะต้องเย็บมี ถุงผ้าทับอก เอโฟด ชุดกระโปรงยาว ผ้าคลุม ผ้าโพกหัว ผ้ารัดเอว พวกเขาจะต้องเย็บชุดศักดิ์สิทธิ์นี้ให้อาโรน พี่ชายของเจ้า เพื่อเขาจะได้เป็นนักบวชของเรา 5 บอกกับช่าง ให้ใช้ผ้าทอง ผ้าทอจากด้ายสีน้ำเงิน สีม่วง สีแดงเข้ม และผ้าทอลินินเนื้อดี
เอโฟดและผ้าคาดเอว
(อพย. 39:2-7)
6 ให้ทำเอโฟดจากผ้าทอง ผ้าที่ทอจากด้ายสีน้ำเงิน สีม่วง สีแดงเข้มและผ้าทอลินินเนื้อดี โดยใช้ช่างเย็บที่มีฝีมือ 7 ที่ไหล่ทั้งสองข้างของเอโฟดนี้ จะมีผ้าสองชิ้นเย็บติดอยู่ทั้งสองข้าง ข้างละชิ้น
8 ผ้าคาดเอวสำหรับเอโฟด จะต้องตัดเย็บอย่างประณีต และใช้วัสดุเดียวกับที่ใช้เย็บเอโฟด คือผ้าทอง ผ้าที่ทอจากด้ายสีน้ำเงิน สีม่วง สีแดงเข้ม และผ้าทอลินินเนื้อดี
9 ให้เอานิลมาสองก้อน มาแกะชื่อพวกลูกชายของอิสราเอลลงไป 10 ให้แกะชื่อหกชื่อลงในนิลก้อนแรก และอีกหกชื่อที่เหลือในนิลก้อนที่สองเรียงตามการเกิด 11 ในการแกะชื่อพวกลูกชายของอิสราเอล ให้ใช้วิธีเดียวกับที่ช่างเจียระไนพลอยแกะตราประทับ[a] แล้วใช้ทองคำทำเป็นตัวเรือน หุ้มนิลทั้งสองก้อนไว้ 12 และให้เอาไปติดไว้บนบ่าทั้งสองข้างของเอโฟด เพื่อให้พระยาห์เวห์ระลึกถึงลูกหลานของอิสราเอล อาโรนจะสวมชื่อของพวกเขาอยู่บนบ่า เมื่ออยู่ต่อหน้าพระยาห์เวห์ เพื่อพระองค์จะได้ระลึกถึงพวกเขา 13 เจ้าต้องทำตัวเรือนทองคำขึ้นมา 14 และให้ทำสายสร้อยทองคำบริสุทธิ์ ขึ้นมาสองเส้น เป็นสร้อยถักเป็นเกลียวเหมือนเชือก แล้วเอาไปติดกับตัวเรือนทองคำนั้น
ถุงผ้าทับอกสำหรับการตัดสินคดี
(อพย. 39:8-21)
15 เจ้าต้องทำถุงผ้าทับอกสำหรับตัดสินคดี อย่างประณีตเหมือนกับทำเอโฟด คือใช้ผ้าทอง ผ้าที่ทอจากด้ายสีน้ำเงิน สีม่วง สีแดงเข้ม และผ้าทอลินินเนื้อดี 16 ถุงผ้าทับอกนี้จะต้องพับครึ่งทบกันเป็นถุง เป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส ขนาดยาวหนึ่งคืบ[b] กว้างหนึ่งคืบ 17 ให้เอาพลอยมีค่ามาประดับไว้ที่ถุงผ้าทับอกนี้ เรียงเป็นสี่แถว แถวละสามเม็ด แถวแรกใส่พลอยสีแดง บุษราคัมและมรกต 18 แถวที่สองใส่ทับทิม ไพลิน และแก้วผลึก 19 แถวที่สามใส่เพทาย พลอยสีขุ่น และเขี้ยวแก้วหนุมาน 20 แถวที่สี่ใส่พลอยสีเขียว นิลและหินแจสเพอร์[c] พลอยประดับพวกนี้จะถูกฝังอยู่ในตัวเรือนที่ทำจากทองคำ 21 จะมีพลอยทั้งหมดสิบสองก้อน เพื่อใส่ชื่อของพวกลูกชายของอิสราเอล พลอยประดับแต่ละก้อนจะเหมือนตราประทับ จะมีชื่อของเผ่าทั้งสิบสองเผ่าแกะสลักไว้ก้อนละเผ่า
22 เจ้าต้องทำสายสร้อยจากทองคำบริสุทธิ์ ที่ถักเป็นเกลียวเหมือนเชือก สำหรับถุงผ้าทับอกนี้ 23 ให้ทำห่วงทองคำสองห่วง ติดไว้ที่มุมด้านบนของถุงผ้าทับอกนี้ มุมละอัน 24 แล้วให้เอาสร้อยทองสองเส้นนั้นมาคล้องเข้ากับห่วงทองคำสองห่วงที่ติดอยู่ที่มุมด้านบนของถุงผ้าทับอกนี้ 25 แล้วเอาอีกปลายของสร้อยทองนั้น ไปคล้องกับตัวเรือนทองคำที่ติดอยู่บนไหล่ทั้งสองของเอโฟด สร้อยทั้งสองนั้นจะติดอยู่ที่ไหล่ของเอโฟดด้านหน้า 26 เจ้าต้องทำห่วงทองคำขึ้นมาอีกสองห่วง แล้วเอามาติดไว้กับปลายด้านในของถุงผ้าทับอกที่ติดกับเอโฟดนี้ 27 เจ้าต้องทำห่วงทองคำอีกสองห่วงและติดห่วงนั้นไว้กับส่วนล่างของไหล่ทั้งสองข้าง ตรงด้านหน้าของเอโฟด ใกล้กับตะเข็บเหนือผ้าคาดเอวขึ้นมา 28 ให้เอาเชือกสีน้ำเงิน มาผูกห่วงทั้งสองอันของถุงผ้าทับอกกับห่วงสองอันของเอโฟดเข้าด้วยกัน เพื่อถุงผ้าทับอกจะได้อยู่ใกล้กับผ้าคาดเอว และจะได้ไม่หลวมหลุดจากเอโฟด
29 อาโรนจะสวมถุงผ้าทับอกแห่งการตัดสินคดี ที่มีชื่อของพวกลูกชายอิสราเอลแกะสลักอยู่ ตรงกับหัวใจของเขา เมื่อเขาเข้ามาในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ถุงผ้าทับอกนี้จะทำให้พระยาห์เวห์ระลึกถึงพวกลูกหลานของอิสราเอลตลอดไป 30 เจ้าต้องเอาอูริมและทูมมิมมาใส่ไว้ในถุงผ้าทับอกแห่งการตัดสินคดีด้วย มันจะอยู่ตรงกับหัวใจของอาโรน เมื่อเขามาอยู่ต่อหน้าพระยาห์เวห์ อาโรนจะสวมถุงผ้าทับอกที่มีชื่อพวกลูกชายของอิสราเอลสลักอยู่ ตรงกับหัวใจของเขา ต่อหน้าพระยาห์เวห์ตลอดไป
ผ้าชิ้นอื่นสำหรับนักบวช
(อพย. 39:22-31)
31 เจ้าต้องใช้ผ้าสีน้ำเงินล้วน มาตัดเป็นเสื้อชุดยาวของเอโฟด 32 ด้านบนให้ทำช่องสวมหัว เย็บขอบรอบๆช่องสวมหัวนี้เพื่อป้องกันไม่ให้มันฉีกขาด เป็นเหมือนช่องสวมหัวของเสื้อทหาร 33 เอาผ้าที่ทอจากด้ายสีน้ำเงิน สีม่วงและสีแดงเข้มมาเย็บเป็นผลทับทิม ติดไว้รอบๆปลายเสื้อชุดยาวนี้ และเอากระดิ่งทองมาติดสลับกับผลทับทิม 34 ปลายเสื้อชุดยาว จะมีกระดิ่งทองและผลทับทิมติดอยู่รอบๆ 35 อาโรนจะสวมมันเมื่อเขาเข้ามารับใช้พระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์จะได้ยินเสียงกระดิ่งของอาโรน เมื่อเขาเข้ามาในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ต่อหน้าพระยาห์เวห์ และเมื่อเขาออกไป เขาจะได้ไม่ตาย
36 เจ้าต้องทำแผ่นป้ายจากทองคำบริสุทธิ์ และแกะสลักบนแผ่นป้ายเหมือนแกะสลักบนตราประทับคำว่า “ศักดิ์สิทธิ์สำหรับพระยาห์เวห์” 37 ใช้ผ้าสีน้ำเงิน เย็บแผ่นป้ายทองนั้น แล้วเอาไปมัดติดไว้ด้านหน้าของผ้าโพกหัว 38 มันจะได้อยู่ตรงหน้าผากของอาโรน นี่แสดงว่า อาโรนจะแบกรับความผิดบาปทั้งหลาย ถ้ามีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้นกับพวกของขวัญศักดิ์สิทธิ์ที่ลูกหลานของอิสราเอลนำมาถวายให้กับพระยาห์เวห์ แผ่นป้ายนั้นจะอยู่บนหน้าผากของอาโรนตลอดไป เพื่อพระยาห์เวห์จะได้ยอมรับของขวัญศักดิ์สิทธิ์ของประชาชนเหล่านั้น
39 ให้เจ้าทอผ้าคลุมลายหมากรุก และทำผ้าโพกหัวจากลินินอย่างดี และให้ช่างปักมาปักลวดลายลงบนผ้าคาดเอว 40 ส่วนลูกชายของอาโรน ให้เจ้าทำผ้าคลุม ผ้าคาดเอว ให้กับพวกเขา และทำผ้าโพกหัวให้พวกเขาเพื่อให้เกียรติกับพวกเขาและเพื่อความสวยงาม 41 ให้เจ้าแต่งตัวให้กับอาโรนพี่ชายของเจ้า และพวกลูกชายของเขา เจิมพวกเขา แต่งตั้งพวกเขา และทำให้พวกเขาศักดิ์สิทธิ์ เพื่อพวกเขาจะได้มารับใช้เราในฐานะนักบวช
42 ให้เอาผ้าลินินมาทำเป็นชุดชั้นในให้กับพวกเขา เพื่อปกปิดร่างกาย ชุดชั้นในนี้เริ่มจากเอวลงไปถึงต้นขา 43 อาโรนกับพวกลูกชายของเขาจะใส่มันเมื่ออยู่ในเต็นท์นัดพบ หรือเมื่อพวกเขาเข้าใกล้แท่นบูชา เพื่อรับใช้ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาจะได้ไม่ต้องแบกรับความผิดและต้องตาย นี่จะเป็นกฎสำหรับอาโรนและลูกหลานรุ่นต่อๆไปของเขาตลอดไป
พระเยซูและพี่น้องของพระองค์
7 หลังจากนั้นพระเยซูเดินทางไปทั่วแคว้นกาลิลี พระองค์ไม่อยากไปแคว้นยูเดีย เพราะพวกยิวจ้องที่จะฆ่าพระองค์ 2 ขณะนั้นใกล้จะถึงเทศกาลอยู่เพิงแล้ว 3 น้องๆของพระเยซูจึงบอกพระองค์ว่า “พี่น่าจะไปแคว้นยูเดีย เพื่อพวกศิษย์ของพี่จะได้เห็นสิ่งอัศจรรย์ต่างๆที่พี่กำลังทำอยู่ด้วย 4 คนที่อยากจะมีชื่อเสียงเขาไม่แอบทำอะไรลับๆหรอก ไหนๆพี่ก็ทำสิ่งต่างๆเหล่านี้แล้ว แสดงตัวให้โลกรู้ไปเลยสิ” 5 (แม้แต่น้องๆของพระองค์ก็ยังไม่เชื่อพระองค์) 6 พระเยซูตอบว่า “เวลานี้ยังไม่เหมาะสำหรับพี่ แต่สำหรับน้องๆเวลาไหนก็เหมาะทั้งนั้น 7 คนในโลกนี้เขาไม่เกลียดพวกน้องหรอก เพราะไม่รู้จะเกลียดไปทำไม แต่เขาเกลียดพี่เพราะพี่บอกพวกเขาอยู่เสมอว่า การกระทำของพวกเขานั้นชั่วร้าย 8 พวกน้องไปกันเองเถอะ พี่ยังไม่ไปหรอก เพราะยังไม่ถึงเวลา” 9 หลังจากที่พูดอย่างนั้นแล้ว พระองค์ก็อยู่ที่แคว้นกาลิลีต่อไป
10 หลังจากที่น้องๆของพระองค์ไปร่วมงานเทศกาลกันแล้ว พระองค์ก็แอบไปทีหลังโดยไม่ให้ใครรู้ 11 พวกผู้นำชาวยิวต่างมองหาพระองค์ในงาน และถามกันว่า “ไอ้หมอนั่นอยู่ที่ไหน”
12 ผู้คนซุบซิบกันมากเกี่ยวกับพระเยซู บางคนว่า “เขาเป็นคนดีนะ” แต่บางคนว่า “ไม่หรอก เขาเป็นนักต้มตุ๋น” 13 แต่ไม่มีใครกล้าพูดถึงพระองค์อย่างเปิดเผยเพราะกลัวพวกผู้นำชาวยิว
พระเยซูสั่งสอนในเยรูซาเล็ม
14 เมื่อถึงช่วงกลางเทศกาลอยู่เพิง พระเยซูได้เข้าไปในบริเวณวิหาร และเริ่มสั่งสอนประชาชน 15 พวกหัวหน้าชาวยิวต่างรู้สึกแปลกใจในคำสอนของพระองค์ จึงพูดว่า “ทำไมเขารู้มากอย่างนี้ล่ะ ในเมื่อเขายังไม่เคยเรียนกับครูคนไหนมาก่อนเลย”
16 พระเยซูตอบว่า “คำสอนของเรานั้นไม่ใช่ของเราเอง แต่มาจากพระองค์ผู้ที่ส่งเรามา 17 คนไหนมีใจที่อยากทำตามใจพระเจ้า คนนั้นก็จะรู้ว่าสิ่งที่เราสอนนั้นมาจากพระเจ้าหรือเราพูดขึ้นมาเองกันแน่ 18 คนที่พูดตามใจตัวเองก็พยายามหาชื่อเสียงใส่ตัว แต่คนที่พยายามหาชื่อเสียงให้กับผู้ที่ส่งเขามา คนนั้นแหละเป็นคนที่จริงใจที่ไม่หลอกลวงใคร 19 โมเสสให้กฎปฏิบัติกับพวกคุณ แต่พวกคุณก็ไม่ได้ทำตามกฎนั้นสักคน แล้วทำไมพวกคุณถึงได้พยายามจะฆ่าเรา”
20 พวกนั้นจึงตอบว่า “แกถูกผีสิงแล้ว ใครกันที่พยายามจะฆ่าแก”
21 พระเยซูจึงตอบพวกเขาว่า “เราทำสิ่งอัศจรรย์อย่างหนึ่งในวันหยุดทางศาสนา พวกคุณก็พากันตกตะลึงเพราะเรื่องนั้น 22 โมเสสให้กฎปฏิบัติกับคุณเรื่องการทำพิธีขลิบ (ความจริงแล้ว บรรพบุรุษของพวกคุณได้ทำพิธีขลิบมาตั้งนานแล้วก่อนโมเสสเสียอีก) และถ้าวันที่คุณจะต้องทำพิธีขลิบตรงกับวันหยุดทางศาสนาพอดี พวกคุณก็ยังทำพิธีขลิบให้ลูกชายของคุณอยู่ดี 23 ถ้าคุณทำพิธีขลิบให้กับลูกชายเพื่อจะได้ไม่ผิดกฎของโมเสส แล้วพวกคุณจะมาโกรธแค้นเราที่รักษาคนทั้งคนให้หายในวันหยุดทางศาสนาทำไม 24 เลิกตัดสินอย่างผิวเผินได้แล้ว แต่ให้ตัดสินอย่างถูกต้อง”
พระเยซูคือพระคริสต์หรือไม่
25 บางคนในเมืองเยรูซาเล็มถามกันว่า “คนนี้ไม่ใช่หรือที่พวกผู้นำพยายามจะฆ่า 26 แต่ดูสิ เขากำลังพูดอยู่กลางที่สาธารณะ และพวกผู้นำก็ไม่ได้ว่าอะไรเขาเลย หรือเป็นไปได้ไหมว่าพวกผู้นำตัดสินใจกันแล้วว่าเขาคือพระคริสต์ 27 แต่พวกเรารู้นี่ว่าคนนี้มาจากไหน ถ้าพระคริสต์ตัวจริงมาละก็ จะไม่มีใครรู้หรอกว่าพระองค์มาจากไหน”
28 ขณะที่พระเยซูสอนอยู่ในบริเวณวิหาร พระองค์ตะโกนให้ทุกคนได้ยินว่า “ใช่แล้ว พวกคุณรู้จักเรา และรู้ว่าเรามาจากไหน แต่เราไม่ได้มาเอง มีผู้หนึ่งที่ส่งเรามาจริงๆ พวกคุณไม่รู้จักพระองค์ผู้นั้น 29 แต่เรารู้จักพระองค์เพราะเรามาจากพระองค์ และพระองค์ส่งเรามา”
30 พวกเขาจึงพยายามที่จะจับพระเยซู แต่ไม่มีใครจับตัวพระองค์ได้เพราะยังไม่ถึงเวลาของพระองค์ 31 แต่ก็มีคนเป็นจำนวนมากในฝูงชนนั้นที่เชื่อพระองค์และพูดว่า “เมื่อพระคริสต์มา พระองค์จะทำสิ่งอัศจรรย์มากกว่าที่ชายคนนี้ทำหรือ”
พวกยิวหาโอกาสจับพระเยซู
32 เมื่อพวกฟาริสีได้ยินว่ามีคนเป็นจำนวนมากแอบซุบซิบกันเรื่องพระเยซูอยู่ หัวหน้านักบวชและพวกฟาริสีส่งเจ้าหน้าที่ของวิหารไปจับตัวพระเยซู 33 พระเยซูพูดว่า “เราจะอยู่กับพวกคุณอีกสักพักหนึ่ง แล้วก็จะกลับไปหาพระองค์ผู้ที่ส่งเรามา 34 พวกคุณจะตามหาเรา แต่จะหาไม่เจอ เพราะพวกคุณไม่สามารถไปในที่ที่เรากำลังจะไป”
35 พวกผู้นำชาวยิวถามกันว่า “เขาจะไปไหนหรือ ที่พวกเราจะหาเขาไม่เจอ เขาจะไปหาคนของพวกเราที่เมืองกรีกและสอนพวกคนกรีกที่นั่นหรือ 36 แล้วเขาหมายถึงอะไรนะ ตอนที่เขาพูดว่า ‘คุณจะตามหาเราแต่จะหาไม่เจอ’ และ ‘พวกคุณไม่สามารถไปในที่ที่เรากำลังจะไป’”
พระเยซูพูดถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์
37 ในวันสุดท้ายของเทศกาลอยู่เพิง ซึ่งเป็นวันสำคัญที่สุด พระเยซูยืนขึ้นและพูดเสียงดังว่า “ถ้าใครหิวน้ำ ก็ให้มาหาเราและดื่มสิ 38 คนที่ไว้วางใจเราก็จะมีลำธารของน้ำที่ให้ชีวิตไหลออกมาจากหัวใจของเขา เหมือนกับที่พระคัมภีร์บอก” 39 พระเยซูกำลังพูดถึงพระวิญญาณ ซึ่งภายหลังคนที่ไว้วางใจพระองค์จะได้รับ แต่ที่ยังไม่มีใครได้รับตอนนี้ เพราะพระเยซูยังไม่ตายและยังไม่ได้ฟื้นขึ้นมารับเกียรติอันยิ่งใหญ่ของพระองค์
ประชาชนเถียงกันเรื่องพระเยซู
40 เมื่อประชาชนได้ยินสิ่งที่พระเยซูพูด ก็มีบางคนพูดว่า “ชายคนนี้เป็นผู้พูดแทนพระเจ้าคนนั้นที่คนรอคอยแน่ๆ”[a]
41 คนอื่นๆพูดว่า “เขาเป็นพระคริสต์”
แต่บางคนแย้งว่า “พระคริสต์จะมาจากแคว้นกาลิลีได้ยังไง 42 พระคัมภีร์บอกว่า พระคริสต์จะมาจากครอบครัวของดาวิด และมาจากหมู่บ้านเบธเลเฮม เมืองที่ดาวิดเคยอยู่ไม่ใช่หรือ” 43 จึงเกิดการแตกแยกกันขึ้นในหมู่ประชาชนเพราะตกลงกันไม่ได้ในเรื่องของพระเยซู 44 บางคนอยากจะจับกุมพระองค์ แต่ก็ไม่มีใครกล้าทำ
ผู้นำชาวยิวไม่ไว้วางใจพระเยซู
45 ดังนั้นเจ้าหน้าที่ของวิหารกลับไปหาพวกผู้นำนักบวช และพวกฟาริสีที่ถามว่า “ทำไมพวกเจ้าไม่จับมันมาที่นี่”
46 พวกเจ้าหน้าที่ตอบไปว่า “พวกเรายังไม่เคยได้ยินใครพูดเหมือนชายคนนี้มาก่อนเลย”
47 พวกฟาริสีถามอีกว่า “พวกแกก็ถูกมันหลอกด้วยหรือ 48 ดูซิ มีใครบ้างในกลุ่มผู้นำหรือพวกฟาริสีที่ไปหลงเชื่อมัน 49 ส่วนไอ้พวกนอกคอกที่ไม่รู้กฎปฏิบัติพวกนั้น ยังไงก็ถูกพระเจ้าสาปแช่งอยู่แล้ว”
50 นิโคเดมัส คนที่ไปหาพระเยซูก่อนหน้านี้ และเป็นผู้นำชาวยิวคนหนึ่งถามพวกเขาว่า 51 “ตามกฎปฏิบัติของพวกเราจะไม่ตัดสินใครจนกว่าจะฟังเขาพูดและรู้ว่าเขาทำอะไร ไม่ใช่หรือ”
52 แต่พวกเขาบอกนิโคเดมัสว่า “คุณก็มาจากกาลิลีกับเขาด้วยหรือ ลองไปค้นพระคัมภีร์ ดูสิ แล้วคุณจะรู้ว่าไม่มีผู้พูดแทนพระเจ้าที่มาจากกาลิลีเลย”
53 [b] แล้วพวกเขาทั้งหมดก็แยกย้ายกันกลับบ้าน
คำแนะนำของพ่อเกี่ยวกับสติปัญญา
4 ลูกๆเอ๋ย ฟังคำสั่งสอนของพ่อเจ้าเถิด
และเอาใจใส่ให้ดี เพื่อเจ้าจะได้รับความรู้ความเข้าใจ
2 เพราะเราได้ให้คำแนะนำที่ดีกับเจ้า
ดังนั้นอย่าได้ลืมคำสอนของเรา
3 สมัยที่เรายังเป็นเด็กอยู่ในบ้านของพ่อ
เป็นลูกเพียงคนเดียวของแม่ ที่แม่ทะนุถนอม
4 พ่อเริ่มสอนเราและพูดกับเราว่า
“ขอให้ใจของเจ้ายึดมั่นในคำพูดต่างๆของพ่อ
ให้รักษาคำสั่งต่างๆของพ่อไว้ แล้วชีวิตเจ้าจะยั่งยืน
5 ให้เอาสติปัญญาและความรู้ความเข้าใจเถิด
อย่าได้ลืมคำพูดเหล่านี้ที่ออกจากปากของพ่อและอย่าหันหนีไปจากมันเลย
6 อย่าได้หันหลังให้กับสติปัญญา แล้วเธอจะเฝ้ารักษาเจ้า
รักเธอ แล้วเธอจะปกป้องเจ้า
7 ก้าวแรกที่จะเป็นคนฉลาด ก็คือ การรับเอาคำสอนที่เฉลียวฉลาด
แม้ว่าจะต้องเสียทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่มีอยู่ก็ตาม ก็ให้รับเอาความเข้าใจเถิด
8 ให้เห็นคุณค่าของสติปัญญาเถิด แล้วเธอจะยกย่องเจ้า
เธอจะให้เกียรติกับเจ้า เมื่อเจ้าสวมกอดเธอไว้
9 สติปัญญาจะสวมมงกุฎดอกไม้อันงดงามไว้บนหัวของเจ้า
เธอจะมอบมงกุฎอันแสนวิเศษแก่เจ้า”
เลือกหนทางแห่งสติปัญญา
10 ฟังเถิด ลูกเอ๋ย ให้ยอมรับคำพูดทั้งหลายของเรา
แล้วเดือนปีแห่งชีวิตของเจ้าจะยืนยาว
11 เราสอนเจ้าในทางแห่งสติปัญญา
เรานำเจ้าสู่หนทางที่ถูกต้องทั้งปวง
12 เมื่อเจ้าเดิน ย่างก้าวของเจ้าจะไม่ถูกกีดขวาง
ถ้าเจ้าวิ่ง เจ้าก็จะไม่สะดุดล้ม
13 ให้ยึดคำสั่งสอนไว้ อย่าปล่อยให้หลุดไป
เฝ้าดูแลรักษาสติปัญญาไว้ เพราะเธอคือชีวิตของเจ้า
14 อย่าเข้าไปในทางของคนชั่ว
อย่าเดินตามทางของพวกคนชั่วช้า
15 หลีกเลี่ยงมันเสีย อย่าตามมันไปเลย
หันไปจากมันและเดินไปทางอื่น
16 เพราะถ้าคนชั่วพวกนั้นไม่ได้ทำชั่ว พวกมันก็จะนอนไม่หลับ
ถ้าพวกมันยังไม่ได้ทำให้คนหนึ่งคนใดสะดุดล้มลง เวลานอนของพวกมันก็จะถูกขโมยไป
17 พวกมันกินขนมปังแห่งความชั่วร้าย
และดื่มเหล้าองุ่นแห่งความรุนแรง
18 แต่ทางเดินของคนที่ทำตามใจพระเจ้าก็เปรียบเหมือนแสงอรุณรุ่ง
ที่ส่องสว่างมากขึ้นเรื่อยๆจนสว่างเต็มที่ของวันนั้น
19 หนทางของคนชั่วเปรียบเหมือนความมืดมิด
พวกมันไม่รู้ว่าตัวเองสะดุดอะไรล้ม
ให้เดินในทางที่ถูก
20 ลูกเอ๋ย ตั้งใจฟังคำพูดทั้งหลายของเราเถิด
เอียงหูมาฟังสิ่งที่เราพูดให้ดี
21 อย่าปล่อยให้คำพูดเหล่านี้เล็ดรอดไปจากสายตาเจ้า
เก็บรักษาพวกมันไว้ในใจ
22 เพราะคำสอนเหล่านี้ นำชีวิตมาให้กับคนที่ค้นพบพวกมัน
มันจะเยียวยารักษาทั้งกายและใจของคนที่พบพวกมัน
23 ยิ่งกว่าสิ่งใด ให้เฝ้าระวังใจ
เพราะใจเป็นแหล่งชีวิต
24 ให้เอาคำพูดที่คดโกงห่างจากปากของเจ้าเถอะ
ให้เอาคำพูดที่หลอกลวงห่างไปจากริมฝีปากเจ้า
25 ขอให้ตาของเจ้ามองตรงไปข้างหน้า
ให้ดูหนทางที่กำลังก้าวไป
26 ให้สนใจทางที่เจ้าจะก้าวไป
แล้วเจ้าจะปลอดภัยในทุกหนทางที่เจ้าไป
27 อย่าได้ออกนอกลู่นอกทางไปทางขวาหรือทางซ้าย
ให้ยั้งเท้าของเจ้าไว้จากความชั่ว
พระพรของพระเจ้าเกิดจากความไว้วางใจ
3 ชาวกาลาเทีย ทำไมถึงโง่อย่างนี้ มีใครมาร่ายมนตร์สะกดคุณหรืออย่างไร ผมได้อธิบายจนคุณเห็นภาพเรื่องที่พระเยซูคริสต์ถูกตรึงบนไม้กางเขนนั้นอย่างชัดเจนแล้ว 2 ผมขอถามสักคำว่า คุณได้รับพระวิญญาณ เพราะทำตามกฎ หรือเพราะเชื่อฟังข่าวดีกันแน่ 3 ทำไมคุณถึงโง่อย่างนี้ คุณได้เริ่มต้นชีวิตในพระคริสต์ด้วยพระวิญญาณ แล้วตอนนี้คุณคิดว่าคุณจะทำให้มันสำเร็จด้วยพลังอำนาจของคุณเองอย่างนั้นหรือ 4 ประสบการณ์มากมายที่คุณเจอมา ไม่มีความหมายอะไรเลยหรือ 5 ผมหวังว่ามันจะมีความหมายบ้าง ขอถามหน่อยว่า ที่พระเจ้าให้พระวิญญาณกับคุณและแสดงปาฏิหาริย์ท่ามกลางพวกคุณ เป็นเพราะคุณทำตามกฎหรือเป็นเพราะคุณเชื่อฟังข่าวดีที่ได้ยินกันแน่
6 ดูอย่างอับราฮัมสิ เขาไว้วางใจในพระเจ้า[a] และเพราะความไว้วางใจของเขานั่นเอง พระเจ้าถึงยอมรับเขา 7 ขอให้รู้เอาไว้ว่า คนที่ไว้วางใจในพระเจ้า ก็ถือว่าเป็นลูกหลานที่แท้จริงของอับราฮัม 8 พระคัมภีร์รู้ล่วงหน้านานมาแล้วว่า พระเจ้าจะยอมรับคนที่ไม่ใช่ยิวเพราะพวกเขาจะไว้วางใจในพระองค์ และพระเจ้าได้ประกาศข่าวดีนี้กับอับราฮัมก่อนล่วงหน้าแล้วว่า “ทุกชนชาติจะได้รับพระพรเพราะอับราฮัม”[b] 9 ดังนั้นคนที่ไว้วางใจในพระเจ้า จะได้รับพระพรด้วยกันกับอับราฮัมที่ไว้วางใจในพระองค์ 10 แต่คนที่พึ่งการทำตามกฎจะตกอยู่ภายใต้คำสาปแช่ง เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า “คนที่ไม่ทำตามกฎทุกข้อที่เขียนไว้ตลอดเวลา ก็จะตกอยู่ภายใต้คำสาปแช่ง”[c] 11 แต่เราก็รู้อยู่แล้วว่า ไม่มีใครเป็นที่ยอมรับของพระเจ้าได้เพราะทำตามกฎ เพราะพระคัมภีร์บอกว่า “คนที่พระเจ้ายอมรับนั้น จะต้องมีชีวิตอยู่โดยความไว้วางใจ”[d] 12 กฎไม่ได้ขึ้นอยู่กับความไว้วางใจ เพราะพระคัมภีร์พูดว่า “คนที่ทำตามกฎ ก็จะได้ชีวิตตามกฎนั้น”[e] 13 พระคริสต์ได้ช่วยพวกเราให้เป็นอิสระจากคำสาปแช่งของกฎโดยยอมถูกสาปแช่งเสียเอง เหมือนกับที่พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า “ทุกคนที่ถูกแขวนอยู่บนต้นไม้[f] คือคนที่ถูกสาปแช่ง”[g] 14 พระคริสต์ทำอย่างนี้เพื่อว่าคนที่ไม่ใช่ยิวจะได้รับพระพรตามที่พระเจ้าได้สัญญาไว้กับอับราฮัม โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ และเพื่อว่าพวกเราทุกคนจะได้รับพระวิญญาณตามที่พระเจ้าสัญญาไว้นั้นโดยความไว้วางใจ
กฎและคำสัญญา
15 พี่น้องครับ ผมขอยกตัวอย่างให้ฟังสักเรื่องหนึ่งจากชีวิตประจำวัน คือเมื่อคนสองฝ่ายตกลงเซ็นต์สัญญากันแล้ว ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลง แก้ไข หรือยกเลิกสัญญานั้นได้อีกแล้ว 16 มันก็เหมือนกับสัญญาที่พระเจ้าได้ทำไว้กับอับราฮัมและลูกหลานของเขา สัญญานั้นไม่ได้บอกว่า “ลูกหลานของเขา” หมายถึง ลูกหลานมากมายของเขา แต่หมายถึง “ลูกหลานคนนั้นของเขา” เพียงคนเดียวคือพระคริสต์ 17 ความหมายของผมคือว่า กฎของโมเสสที่มาทีหลังถึงสี่ร้อยสามสิบปีไม่สามารถมาเปลี่ยนแปลงแก้ไข หรือยกเลิกข้อตกลงที่พระเจ้าได้สัญญาไว้ก่อนหน้านี้แล้วกับอับราฮัมได้หรอก 18 แต่ถ้าการที่จะได้รับมรดกนี้ขึ้นอยู่กับกฎ ก็แสดงว่าไม่ได้ขึ้นอยู่กับคำสัญญาของพระเจ้า แต่ความจริงแล้ว พระเจ้าได้ให้มรดกนี้เปล่าๆกับอับราฮัมโดยผ่านทางคำสัญญาของพระองค์
19 ถ้าอย่างนั้นจะมีกฎเอาไว้ทำไมกัน ก็มีไว้ให้คนที่ทำผิดรู้ตัวว่าเขากำลังฝ่าฝืนกฎอยู่นั่นเอง กฎนี้จะอยู่แค่ชั่วคราวจนกว่าลูกหลานคนนั้นของอับราฮัมที่พระเจ้าได้พูดถึงในคำสัญญาจะมาถึง พระเจ้าได้ใช้ทูตสวรรค์ให้เอากฎนี้ไปให้กับโมเสส เพื่อโมเสสจะได้เป็นคนกลางเอาไปให้กับประชาชน 20 แต่พระเจ้าได้ให้คำสัญญานี้โดยตรงกับอับราฮัม จึงไม่ต้องมีคนกลาง เพราะพระองค์ทำเองฝ่ายเดียว
จุดมุ่งหมายของกฎโมเสส
21 ถ้าอย่างนั้น กฎที่พระเจ้าให้กับโมเสสขัดแย้งกับคำสัญญาที่พระเจ้าให้กับอับราฮัมหรือ ไม่มีทาง เพราะถ้ากฎที่พระเจ้าให้กับโมเสสนี้ สามารถให้ชีวิตกับเราได้ ป่านนี้พระเจ้าก็คงยอมรับเรา เพราะเราทำตามกฎนั้นแล้ว 22 แต่พระคัมภีร์บอกว่า มนุษย์ทุกคนถูกขังไว้ในบาป ที่เป็นอย่างนี้ ก็เพื่อว่า โดยความซื่อสัตย์ของพระเยซูคริสต์[h] พระเจ้าจะได้ให้สิ่งที่พระองค์สัญญาไว้กับพวกคนที่ไว้วางใจ
23 ก่อนที่ความซื่อสัตย์นั้นจะมาถึง เราได้ถูกขังไว้อย่างนักโทษภายใต้กฎ จนกว่าพระเจ้าจะแสดงความซื่อสัตย์นั้นให้เห็น 24 กฎก็เลยเป็นเหมือนพี่เลี้ยง[i] จนกว่าพระคริสต์จะมาถึง เพื่อว่าพระเจ้าจะได้ยอมรับเราเพราะเราไว้วางใจ 25 ตอนนี้ความซื่อสัตย์นั้นได้มาถึงแล้ว เราก็เลยไม่ต้องมีพี่เลี้ยงอีกต่อไป
26 พวกคุณทุกคนเป็นลูกของพระเจ้า เพราะความไว้วางใจในพระเยซูคริสต์ 27 เพราะพวกคุณทุกคนที่ได้เข้าพิธีจุ่มน้ำเพื่อมีส่วนในพระคริสต์ ก็ได้สวมใส่พระคริสต์ เหมือนกับใส่เสื้อผ้า 28 ไม่มีคนยิวหรือคนกรีก ไม่มีทาสหรือคนอิสระ ไม่มีชายหรือหญิง เพราะพวกคุณทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกันในพระเยซูคริสต์ 29 ถ้าคุณเป็นของพระคริสต์แล้ว คุณก็เป็นลูกหลานแท้ๆของอับราฮัม และเป็นผู้รับมรดกตามที่พระเจ้าได้สัญญาไว้กับอับราฮัม
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International