Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
อพยพ 16

อาหารจากสวรรค์

16 พวกเขาเดินทางจากเอลิม และที่ชุมนุมทั้งหมดของอิสราเอลได้เดินทางมาถึงที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งสีน ซึ่งอยู่ระหว่างตำบลเอลิมและภูเขาซีนาย ในวันที่สิบห้าของเดือนที่สอง[a] หลังจากที่พวกเขาออกจากประเทศอียิปต์มา ที่ชุมนุมทั้งหมดของอิสราเอล บ่นต่อว่าโมเสสกับอาโรนในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง พวกเขาบอกกับทั้งสองคนว่า “ให้มือของพระยาห์เวห์ฆ่าพวกเราตอนที่นั่งอยู่ข้างหม้อเนื้อ และกินจนอิ่มหนำในแผ่นดินอียิปต์ ยังจะดีกว่าที่พวกท่านนำชุมชนทั้งหมดนี้ออกมาอดตายในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งนี้”

พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “เรากำลังจะทำให้อาหารตกลงมาจากท้องฟ้า ในแต่ละวันให้ประชาชนออกไปเก็บอาหารนี้ได้ เก็บให้พอกินสำหรับวันหนึ่งๆเท่านั้น เพราะเราจะทดสอบดูว่า พวกเขาจะเชื่อฟังกฏของเราหรือไม่ ในวันที่หกเมื่อพวกเขาเตรียมอาหารที่พวกเขาเก็บมา อาหารนั้นจะมีมากขึ้นเป็นสองเท่าของอาหารที่พวกเขาเก็บมาในแต่ละวัน”[b]

โมเสสและอาโรนจึงพูดกับประชาชนชาวอิสราเอลทั้งหมดว่า “เย็นนี้พวกท่านจะได้รู้ว่า พระยาห์เวห์ได้นำพวกท่านออกจากแผ่นดินอียิปต์ และในตอนเช้าพวกท่านจะเห็นรัศมีของพระยาห์เวห์[c] เพราะพระองค์ได้ยินเสียงบ่นของพวกท่าน ที่บ่นต่อว่าพระองค์แล้ว ส่วนเราสองคนเป็นใครกัน พวกท่านถึงได้มาบ่นต่อว่าเรา”

โมเสสพูดว่า “เพราะพระยาห์เวห์ได้ยินเสียงบ่นของพวกท่าน ที่ท่านบ่นต่อว่าพระองค์ ดังนั้นเย็นนี้ พระองค์จะส่งเนื้อมาให้กิน ส่วนพรุ่งนี้ พระองค์จะส่งขนมปังมาให้จนท่านอิ่ม ส่วนเราสองคนเป็นใครกัน พวกท่านถึงได้มาบ่นต่อว่าเรา พวกท่านไม่ได้บ่นต่อว่าเราหรอกนะ แต่บ่นต่อว่าพระยาห์เวห์ต่างหาก”

โมเสสพูดกับอาโรนว่า “ให้บอกกับที่ชุมนุมของชาวอิสราเอลทั้งหมดว่า ให้เข้ามาใกล้พระยาห์เวห์ เพราะพระองค์ได้ยินเสียงบ่นของพวกเจ้าแล้ว”

10 เมื่ออาโรนพูดกับที่ชุมนุมของชาวอิสราเอลทั้งหมด พวกเขาก็หันหลังไปทางที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง และเห็นรัศมีของพระยาห์เวห์ปรากฏอยู่ในเมฆ

11 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า 12 “เราได้ยินเสียงบ่นของประชาชนชาวอิสราเอลแล้ว ให้บอกกับพวกเขาว่า ‘ในตอนเย็น พวกเจ้าจะได้กินเนื้อและในตอนเช้าพวกเจ้าจะได้กินอาหารจนอิ่ม เพื่อเจ้าจะได้รู้ว่า เราคือยาห์เวห์ พระเจ้าของพวกเจ้า’”

13 ในตอนเย็นฝูงนกคุ่มบินมาปกคลุมค่าย ในตอนเช้ามีน้ำค้างเกาะอยู่รอบๆค่าย 14 เมื่อน้ำค้างหายไปก็มีเกล็ดบางๆอยู่บนพื้นผิวที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง มันละเอียดเหมือนเกล็ดน้ำแข็งอยู่บนพื้น 15 เมื่อประชาชนชาวอิสราเอลเห็น พวกเขาก็ถามกันว่า “นี่อะไร”[d] เพราะพวกเขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร โมเสสจึงพูดกับพวกเขาว่า “มันคืออาหารที่พระยาห์เวห์ให้กับพวกท่านกิน” 16 พระยาห์เวห์สั่งไว้อย่างนี้ว่า “ให้แต่ละคนเก็บเท่าที่ตัวเองจะกินได้ และให้เก็บเผื่อคนที่อยู่ในเต็นท์ของเขาด้วย โดยเก็บให้คนละหนึ่งโอเมอร์”[e]

17 ลูกหลานชาวอิสราเอลก็ทำตามนั้น บางคนก็เก็บมาก บางคนก็เก็บน้อย 18 แต่เมื่อพวกเขาใช้โอเมอร์ตวง คนที่เก็บมามาก ก็ไม่ได้เกิน คนที่เก็บมาน้อย ก็ไม่ขาด แต่ละคนก็เก็บเท่าที่ตัวเองจะกินได้หมด

19 โมเสสบอกกับพวกเขาว่า “ห้ามไม่ให้ใครเหลืออาหารไว้จนถึงวันรุ่งขึ้น” 20 แต่พวกเขาไม่ฟังโมเสส บางคนเหลืออาหารไว้จนถึงวันรุ่งขึ้น มันก็เกิดเป็นหนอนเน่าเหม็น โมเสสจึงโกรธพวกเขา

21 ทุกๆเช้าแต่ละคนจะเก็บอาหารตามที่เขาจะกินได้หมด แต่เมื่อแดดจ้าแผดเผา มันก็ละลายไป

22 เมื่อถึงวันที่หก พวกเขาเก็บอาหารมากเป็นสองเท่า คนละสองโอเมอร์[f] พวกหัวหน้าทุกคนของที่ชุมนุมชน ได้มารายงานโมเสสเกี่ยวกับเรื่องนี้

23 โมเสสจึงบอกกับพวกเขาว่า “นี่คือคำสั่งของพระยาห์เวห์ ‘พรุ่งนี้คือวันหยุดทางศาสนา เป็นวันหยุดพักผ่อนอันศักดิ์สิทธิ์ให้กับพระยาห์เวห์ พวกท่านอยากอบอะไรก็ไปอบ อยากต้มอะไรก็ไปต้ม และให้แยกส่วนที่เหลือเก็บไว้จนถึงพรุ่งนี้เช้า’”

24 พวกเขาจึงแยกมันไว้ ตามที่โมเสสสั่งไว้ อาหารนั้นก็ไม่เน่าเหม็นและไม่มีหนอนด้วย

25 โมเสสพูดว่า “ให้กินอาหารนั้นในวันนี้ เพราะวันนี้เป็นวันหยุดทางศาสนาให้กับพระยาห์เวห์ วันนี้พวกท่านจะไม่เจออาหารในท้องทุ่ง 26 พวกท่านจะเก็บอาหารได้หกวัน แต่ในวันที่เจ็ด ซึ่งเป็นวันหยุดทางศาสนา จะไม่มีอาหารให้เก็บ”

27 ในวันที่เจ็ด ก็ยังมีบางคนออกไปเก็บอาหาร แต่ไม่พบอาหาร 28 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “พวกเจ้าจะไม่เชื่อฟังคำสั่งและกฎต่างๆของเราไปอีกนานแค่ไหน 29-30 ดูซิ พระยาห์เวห์ได้ให้วันหยุดทางศาสนากับพวกเจ้า นั่นเป็นเหตุที่ ในวันที่หก พระองค์ถึงได้ให้อาหารกับพวกเจ้า เพียงพอสำหรับสองวัน เพื่อในวันที่เจ็ด พวกเจ้าแต่ละคนจะได้หยุดพักผ่อนอยู่กับบ้าน ไม่ควรมีใครออกจากบ้านในวันที่เจ็ดนั้น”

31 ประชาชนชาวอิสราเอลเรียกอาหารนี้ว่า “มานา” มันเหมือนกับเมล็ดผักชี สีขาว และรสชาติเหมือนกับขนมปังแผ่นที่ทำจากน้ำเชื่อมผลไม้ 32 โมเสสพูดว่า “นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์ได้สั่งไว้ คือ ‘ให้เอามานามาหนึ่งโอเมอร์ เก็บไว้ให้ลูกหลานของเจ้าดูในอนาคต เพื่อพวกเขาจะได้เห็นอาหารที่เราได้ให้พวกเจ้ากินในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง ตอนที่เราพาพวกเจ้าออกมาจากแผ่นดินอียิปต์’”

33 โมเสสพูดกับอาโรนว่า “เอาภาชนะมา และเอามานาหนึ่งโอเมอร์ใส่ไว้ในมัน เอามันมาวางไว้ตรงหน้าพระยาห์เวห์ เพื่อจะเก็บไว้ให้ลูกหลานของพวกท่านดูในอนาคต” 34 อาโรนได้วางภาชนะนั้นลงตรงหน้าแผ่นหิน[g] ตามที่พระยาห์เวห์ได้สั่งโมเสสไว้ 35 ประชาชนชาวอิสราเอลได้กินมานาถึงสี่สิบปี จนพวกเขามาถึงแผ่นดินที่อาศัยอยู่ได้ พวกเขากินมานา มาจนกระทั่งมาถึงเขตแดนของแผ่นดินคานาอัน 36 (หนึ่งโอเมอร์ เท่ากับหนึ่งในสิบเอฟาห์[h])

ลูกา 19

ศักเคียสคนเก็บภาษีอยากเห็นพระเยซู

19 พระเยซูเดินเข้าไปในเมืองเยริโค มีชายคนหนึ่งชื่อศักเคียส เป็นหัวหน้าคนเก็บภาษี[a] ที่ร่ำรวยมาก เขาอยากจะดูว่าพระเยซูเป็นใคร แต่เขามองไม่เห็น เพราะตัวเตี้ยและคนแน่นมาก เขาจึงวิ่งไปข้างหน้าพระเยซู แล้วปีนขึ้นไปดักคอยพระองค์อยู่บนต้นมะเดื่อ เมื่อพระเยซูเดินมาถึง พระองค์ก็เงยขึ้นไปพูดกับศักเคียสว่า “ศักเคียส รีบลงมาเร็ว เราต้องไปพักที่บ้านคุณวันนี้”

เขารีบลงมา และพาพระองค์ไปบ้านของเขาด้วยความดีใจ ทุกคนที่เห็นอย่างนั้น ก็บ่นกันว่า “เขาไปเป็นแขกในบ้านของคนบาปได้ยังไง”

ในวันนั้นศักเคียสลุกขึ้นบอกองค์เจ้าชีวิตว่า “อาจารย์ ผมจะบริจาคทรัพย์สมบัติครึ่งหนึ่งของผมให้กับคนจน และถ้าผมได้โกงใครมา ผมยินดีจะคืนให้เขาถึงสี่เท่า”

พระเยซูจึงพูดถึงเขาว่า “วันนี้ความรอดมาถึงครอบครัวนี้แล้ว เพราะเขาก็เป็นลูกหลานของอับราฮัมด้วยเหมือนกัน 10 บุตรมนุษย์ มาก็เพื่อเรื่องนี้แหละคือเพื่อค้นหาและช่วยคนที่หลงหายให้รอด”

กษัตริย์กับทาสสิบคน

(มธ. 25:14-30)

11 ขณะที่พวกเขากำลังฟังเรื่องต่างๆนี้ พระเยซูก็เล่าเรื่องเปรียบเทียบอีกเรื่องหนึ่งให้ฟัง เพราะเกือบจะถึงเมืองเยรูซาเล็มแล้วและพวกชาวบ้านคิดว่า อาณาจักรของพระเจ้าจะปรากฏให้เห็นในเร็วๆนี้ 12 พระองค์เล่าว่า “มีเชื้อพระวงศ์องค์หนึ่งกำลังจะเดินทางไปแดนไกลเพื่อไปรับการแต่งตั้งให้เป็นกษัตริย์ แล้วเขาจะกลับมา 13 ก่อนไป เขาก็เรียกทาสมาสิบคน มอบเงินให้สิบมินา[b] และสั่งว่า ‘เอาไปทำการค้าจนกว่าเราจะกลับมา’ 14 แต่คนเมืองนั้นเกลียดเขา จึงส่งตัวแทนตามหลังเขาไปเพื่อบอกว่า ‘เราไม่อยากได้คนนี้มาเป็นกษัตริย์ของพวกเรา’

15 แต่สุดท้ายเขาก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นกษัตริย์ และได้เดินทางกลับมา เขาเรียกพวกทาสที่เขาฝากเงินมาพบ เพราะอยากรู้ว่าพวกเขาทำกำไรได้เท่าไหร่ 16 คนแรกมาถึงและบอกว่า ‘เจ้านายครับ เงินหนึ่งมินาของท่าน ผมเอาไปทำกำไร ได้สิบมินาครับ’ 17 เจ้านายชมเขาว่า ‘เยี่ยมมาก เจ้าเป็นทาสที่ดี ไว้ใจได้แม้แต่เรื่องเล็กๆเราจะให้เจ้าดูแลเมืองสิบเมือง’ 18 ทาสคนที่สองก็เข้ามาหาและบอกว่า ‘เจ้านายครับ เงินหนึ่งมินาของท่าน ผมเอาไปทำกำไรได้ห้ามินา’ 19 เขาก็บอกทาสคนนั้นว่า ‘เราจะให้เจ้าดูแลห้าเมือง’ 20 แล้วทาสอีกคนหนึ่งก็เข้ามาพบและบอกว่า ‘เจ้านายครับ นี่เงินหนึ่งมินาของท่าน ผมได้เอาผ้าห่อเก็บไว้ในที่ที่ปลอดภัย 21 เพราะกลัวที่ท่านเป็นคนที่โหดร้ายทารุณ ชอบยึดเอาของคนอื่นมาเป็นของตนเอง และชอบเอาเปรียบคนอื่นโดยเก็บเกี่ยวในสิ่งที่ตนเองไม่ได้หว่าน’ 22 นายผู้นั้นจึงด่าว่า ‘ไอ้ทาสชาติชั่ว เราจะลงโทษเจ้า ตามคำพูดของเจ้า ถ้าเจ้ารู้ว่า เราเป็นคนเข้มงวด ชอบยึดของของคนอื่นและชอบเอาเปรียบ 23 แล้วทำไมถึงไม่เอาเงินไปฝากธนาคาร เมื่อเรากลับมาจะได้รับทั้งเงินต้นพร้อมดอกเบี้ย’ 24 แล้วเขาก็สั่งพวกทาสที่ยืนอยู่ตรงนั้นว่า ‘เอาเงินที่เขามี ไปให้คนที่มีสิบมินานั่น’ 25 พวกเขาจึงพูดว่า ‘เจ้านาย เขามีตั้งสิบมินาแล้วนะ’ 26 เจ้านายตอบว่า ‘เราจะบอกให้รู้ว่า “คนที่ทำประโยชน์จากสิ่งที่เขามีอยู่ก็จะได้รับเพิ่มมากขึ้น แต่คนที่ไม่ได้ทำประโยชน์จากสิ่งที่เขามีอยู่ ทุกสิ่งที่เขามีก็จะถูกริบไปจนหมดด้วย” 27 แล้วไปจับพวกที่เป็นศัตรูของเราที่ไม่อยากให้เราเป็นกษัตริย์มาฆ่าต่อหน้าเราที่นี่’”

พระเยซูเข้าเมืองเยรูซาเล็มอย่างกษัตริย์

(มธ. 21:1-11; มก. 11:1-11; ยน. 12:12-19)

28 หลังจากที่เล่าเรื่องเสร็จแล้ว พระองค์เดินนำหน้าพวกเขาไปเมืองเยรูซาเล็ม 29 เมื่อพระองค์เดินทางมาใกล้หมู่บ้านเบธฟายีและหมู่บ้านเบธานีใกล้ภูเขามะกอกเทศ พระองค์ก็ได้ส่งศิษย์สองคนไปก่อนล่วงหน้า 30 พระองค์สั่งเขาว่า “ให้เข้าไปในหมู่บ้านข้างหน้านั้น เมื่อไปถึง คุณจะเห็นลูกลาตัวหนึ่งผูกอยู่ ยังไม่เคยมีใครขี่มันมาก่อน ให้แก้มัดมันแล้วจูงมาที่นี่ 31 ถ้ามีใครถามว่า ‘แก้มัดมันทำไม’ ให้ตอบเขาว่า ‘องค์เจ้าชีวิตต้องการใช้’”

32 พวกเขาก็ไปและพบทุกอย่างตามที่พระเยซูบอกไว้ 33 ขณะที่แก้มัดลูกลาอยู่นั้น เจ้าของลาก็ถามว่า “แก้มัดมันทำไม”

34 พวกเขาจึงตอบว่า “องค์เจ้าชีวิตต้องการใช้มัน”

35 แล้วพวกศิษย์ก็จูงลามาให้พระเยซู พวกเขาจัดแจงเอาเสื้อคลุมของตนปูบนหลังลา และช่วยพระเยซูขึ้นขี่ลานั้น 36 ระหว่างทางที่พระเยซูขี่ลาผ่านไป ชาวบ้านมากมายเอาเสื้อคลุมมาปูตามท้องถนน

37 เมื่อพระเยซูมาถึงสุดทางที่จะนำลงมาจากภูเขามะกอกเทศ พวกศิษย์จำนวนมากต่างก็พากันโห่ร้องสรรเสริญพระเจ้าด้วยความยินดีในสิ่งมหัศจรรย์ที่พวกเขาได้เห็นมา

38 พวกเขาโห่ร้องว่า “‘ขอพระเจ้าอวยพรกษัตริย์ผู้มาในนามขององค์เจ้าชีวิต’[c]

สรรเสริญพระเจ้าในสวรรค์ที่ให้สันติสุขกับเรา”

39 ส่วนพวกฟาริสีบางคนในฝูงชนก็พูดกับพระองค์ว่า “อาจารย์ห้ามลูกศิษย์ด้วย อย่าให้เขาพูดอย่างนั้น”

40 พระองค์ตอบว่า “เราจะบอกให้รู้ว่า ถึงแม้พวกเขาจะหยุดร้อง หินพวกนี้ก็จะโห่ร้องออกมาแทน”

พระเยซูร้องไห้ให้กับเมืองเยรูซาเล็ม

41 เมื่อพระเยซูมาใกล้และมองเห็นเมืองเยรูซาเล็ม พระองค์ก็ร้องไห้ให้กับเมืองนั้น 42 แล้วพูดว่า “เราเคยหวังเหลือเกินว่า วันนี้เจ้าจะรู้ว่าอะไรจะนำสันติสุขมาให้กับเจ้า แต่ตอนนี้สิ่งนั้นถูกปิดซ่อนไปจากเจ้าแล้ว 43 อีกไม่ช้าศัตรูของเจ้าจะสร้างเนินดินบุกขึ้นกำแพงของเจ้า เจ้าจะถูกล้อมไว้ทุกด้าน 44 เจ้าและคนของเจ้าจะถูกบุกทำลายลงอย่างราบคาบ ไม่เหลือแม้แต่ซากหินซ้อนทับกันให้เห็นอีกเลย เพราะเจ้ายังไม่รู้ตัวเลยว่า พระเจ้าได้มาช่วยเจ้าแล้ว”

พระเยซูเข้าไปที่วิหาร

(มธ. 21:12-17; มก. 11:15-19; ยน. 2:13-22)

45 พระเยซูเข้าไปในบริเวณวิหาร และเริ่มขับไล่คนที่ขายของกันอยู่ที่นั่น 46 พระองค์พูดว่า “พระคัมภีร์ เขียนไว้ว่า ‘บ้านของเราจะเป็นบ้านสำหรับอธิษฐาน[d] แต่พวกเจ้าเปลี่ยนให้มันเป็นรังโจร’”[e]

47 พระเยซูสั่งสอนอยู่ในบริเวณวิหารทุกวัน พวกหัวหน้านักบวช พวกครูสอนกฎปฏิบัติ กับพวกผู้นำชาวยิวพยายามหาทางที่จะฆ่าพระองค์ 48 แต่ยังหาโอกาสไม่ได้ เพราะประชาชนทุกคนต่างติดอกติดใจในถ้อยคำของพระองค์เป็นอย่างมาก

โยบ 34

34 แล้วเอลีฮูก็พูดต่อไปว่า

“ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย ขอฟังคำพูดผมหน่อย
    ท่านผู้มีความรู้ ขอเงี่ยหูฟังผมหน่อย
หูทดสอบคำพูดได้
    เหมือนกับปากแยกแยะรสชาติอาหาร
อย่างนั้นขอให้พวกเราช่วยกันเลือกว่าอะไรเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
    และช่วยกันหาข้อสรุปว่าอะไรเป็นสิ่งที่ดี
เพราะโยบพูดว่า ‘ข้าบริสุทธิ์
    แต่พระเจ้าไม่ได้ให้ความยุติธรรมกับข้า
ข้าถูกนับว่าเป็นคนโกหก ทั้งๆที่ข้าเป็นฝ่ายถูก
    แผลของข้ารักษาไม่หาย ทั้งๆที่ข้าไม่ได้ทำอะไรผิดเลย’
มีใครเหมือนโยบบ้าง
    เขากระหายที่จะเยาะเย้ยพระเจ้าเหมือนกระหายน้ำ
เขาคบกับคนชั่ว
    เขาเดินกับคนเลว
เพราะเขาพูดว่า ‘ไม่มีประโยชน์อะไรเลย
    ที่พยายามจะทำให้พระเจ้าพอใจ’

10 ดังนั้น ท่านผู้มีความเข้าใจ ฟังผมเถิด
    ไม่มีวันที่พระเจ้าจะทำชั่วหรอก
    พระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ไม่ทำผิดหรอก
11 เพราะพระองค์ตอบแทนมนุษย์ตามการกระทำของพวกเขา
    และให้สิ่งต่างๆเกิดขึ้นกับพวกเขาตามการใช้ชีวิตของพวกเขา
12 แน่นอน พระเจ้าไม่ทำชั่วแน่
    พระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ไม่บิดเบือนความยุติธรรม
13 มีคนแต่งตั้งให้พระเจ้าปกครองโลกหรือยังไง
    มีคนมอบโลกทั้งใบนี้ไว้กับพระองค์หรือยังไง
14 ถ้าพระองค์ตัดสินใจที่จะเอาวิญญาณ
    และลมหายใจที่พระองค์ให้ไปกลับคืนมา
15 ทุกชีวิตก็ต้องพินาศกันหมด
    และมนุษย์ทุกคนก็จะกลับไปเป็นดิน
16 ถ้าท่านมีความเข้าใจ ฟังเรื่องนี้เถิด
    ช่วยฟังสิ่งที่ผมพูดเถอะ
17 เป็นไปได้หรือที่พระเจ้าผู้ปกครองโลกนี้จะเกลียดชังความยุติธรรม
    แล้วท่านจะประณามพระองค์ผู้ชอบธรรมและมีอำนาจว่าทำผิดหรือ
18 พระองค์เป็นผู้ที่พูดกับกษัตริย์ว่า ‘เจ้านั้นไร้ค่า’
    หรือพูดกับเหล่าขุนนางว่า ‘พวกเจ้าชั่วร้าย’
19 พระองค์ไม่เข้าข้างพวกเจ้านาย
    และไม่ลำเอียงเห็นแก่คนรวยมากกว่าคนจน
    เพราะพวกเขาทุกคนเป็นฝีมือของพระองค์ทั้งนั้น
20 ในชั่วพริบตาพวกเขาก็ตายได้
    ในเที่ยงคืน พวกเขาชักกระตุก และตายไป
    แม้แต่ผู้ที่มีฤทธิ์อำนาจก็ยังถูกเอาไป แล้วก็ไม่ใช่ด้วยฝีมือมนุษย์
21 สายตาของพระองค์จับจ้องอยู่บนทางของมนุษย์
    และพระองค์มองเห็นทุกย่างก้าวของพวกเขา
22 ไม่มีความมืดมิดหรือความมืดทึบ
    ที่คนทำชั่วจะใช้เป็นที่หลบซ่อนตัวจากพระองค์ได้
23 แน่นอน มนุษย์ไม่มีสิทธิ์ที่จะกำหนดเวลา
    ให้พระองค์ไปเจอที่ศาล
24 พระองค์บดขยี้ผู้มีอำนาจโดยไม่ไต่สวน
    และตั้งคนอื่นขึ้นแทน
25 พระองค์รู้การกระทำของพวกเขา
    และคว่ำเขาในค่ำคืนเดียวและพวกเขาก็แตกละเอียดไป
26 พระองค์จะทุบตีเขาในที่สาธารณะ
    เพราะความชั่วร้ายของพวกเขา
27 เพราะพวกเขาเลิกติดตามพระองค์
    และไม่สนใจทางทั้งหลายของพระองค์
28 ซึ่งเป็นเหตุที่คนยากจนต้องร้องขอความช่วยเหลือจากพระองค์
    และพระองค์ฟังเสียงร้องของคนยากไร้เหล่านั้น
29 ถ้าพระองค์เงียบไม่ตอบ ใครจะประณามพระองค์ได้
    ถ้าพระองค์ซ่อนหน้าไม่ออกมา ใครจะได้เห็นพระองค์เล่า
    ไม่ว่าชนชาติใดหรือคนหนึ่งคนใดก็ตามพระองค์ครอบครองหมด
30 เพื่อคนที่ชั่วร้ายจะได้ไม่สามารถครอบครอง
    หรือวางกับดักให้กับชนชาติ

31 ท่านน่าจะพูดกับพระเจ้าว่า
    ‘ข้าบาปไปแล้ว ข้าจะไม่ทำผิดอีก
32 ช่วยสอนข้าเรื่องความผิดที่ข้ามองไม่เห็น
    ถ้าข้าได้ทำบาปอะไรไป ข้าจะไม่ทำอีกแล้ว’

33 พระเจ้าต้องตอบสนองท่านตามข้อกำหนดของท่านหรือ
    ในเมื่อท่านยังปฏิเสธข้อกำหนดของพระองค์เลย
แต่อย่างไรก็ตามท่านต้องเป็นคนเลือกไม่ใช่ผม
    ท่านคิดยังไงก็ว่ามา
34 ผู้ที่มีสติปัญญาจะพูดกับผม
    คือคนที่ฉลาดจะฟังผมและพูดว่า
35 ‘โยบพูดโดยขาดความเข้าใจ
    คำพูดของเขาไร้สาระ’
36 ผมอยากให้โยบถูกสอบสวนจนถึงที่สุด
    เพราะว่าเขาตอบเหมือนกับคนชั่วตอบ
37 เพราะนอกจากเขาจะทำบาป
    เขาก็ยังกบฏอยู่เรื่อยๆ เขาตบมือเย้ยพวกเรา
    และทวีถ้อยคำต่อว่าพระเจ้า”

2 โครินธ์ 4

สมบัติอันล้ำค่าจากสวรรค์ในโถดิน

เราไม่ย่อท้อง่ายๆเพราะงานนี้พระเจ้าเองเป็นผู้มอบให้เราทำ แล้วเราไม่ยอมใช้วิธีการต่างๆที่ต้องหลบๆซ่อนๆซึ่งน่าละอาย เราไม่ใช้เล่ห์เหลี่ยมและเราก็ไม่ทำให้พระคำของพระเจ้าเจือจางไป แต่เราสอนความจริงอย่างตรงไปตรงมา เราทำอย่างนี้ต่อหน้าพระเจ้าเพื่อรับรองให้คนอื่นรู้ในใจของเขาว่า เราเป็นคนอย่างไร ถ้าข่าวดีที่เราประกาศนี้ยังมีผ้าปิดอยู่ มันก็ปิดเฉพาะกับพวกที่กำลังจะพินาศไปเท่านั้น พระของยุคนี้[a] ได้ทำให้ใจของคนที่ไม่ไว้วางใจมืดมนไปเหมือนคนตาบอด คนพวกนี้ก็เลยมองไม่เห็นแสงสว่างที่มาจากข่าวดี ข่าวดีนี้พูดถึงสง่าราศีของพระคริสต์ผู้เป็นเหมือนกับพระเจ้าทุกอย่าง เราไม่ได้ประกาศตัวเราเอง แต่เราประกาศว่าพระเยซูคริสต์เป็นองค์เจ้าชีวิต และตัวเราเองเป็นทาสของพวกคุณ เพราะเห็นแก่พระเยซู พระเจ้าองค์ที่พูดว่า “ให้มีแสงสว่างส่องออกมาจากความมืด” ก็เป็นองค์เดียวกับที่ได้ส่องสว่างเข้ามาในจิตใจของเรา ทำให้เราเห็นสง่าราศีของพระองค์ซึ่งเห็นได้จากใบหน้าของพระเยซูคริสต์

แต่เราเป็นเหมือนโถดินที่เก็บสมบัติอันล้ำค่านี้ไว้ข้างใน เพื่อให้เห็นว่าพลังวิเศษนี้มาจากพระเจ้า ไม่ใช่เรา เราถูกบีบคั้นทุกเรื่องตลอดเวลาแต่ไม่ถึงกับบี้แบน เราหมดปัญญาไม่รู้จะทำอย่างไรดีแต่ก็ไม่ย่อท้อ เราถูกข่มเหงแต่ก็ไม่ถึงกับถูกทอดทิ้ง เราถูกตีล้มลงแต่ก็ไม่ถึงกับถูกฆ่า 10 เราแบกความตายของพระเยซูไว้กับตัวเสมอ เพื่อชีวิตของพระเยซูจะได้ปรากฏเด่นชัดในตัวเรา 11 เพราะเห็นแก่พระเยซู เราที่ยังมีชีวิตอยู่นี้จึงยอมเสี่ยงกับความตายอยู่ตลอดเวลา เพื่อชีวิตของพระเยซูจะได้ปรากฏเด่นชัดในร่างกายที่จะต้องตายนี้ 12 ดังนั้นเราจึงยอมตายเพื่อพวกคุณจะได้มีชีวิต

13 ในพระคัมภีร์เขียนไว้ “เพราะผมเชื่อ ผมถึงพูด”[b] เราก็เชื่อเหมือนกัน เราก็เลยพูด 14 เพราะเรารู้ว่าพระเจ้าผู้ที่ทำให้พระเยซูเจ้าฟื้นขึ้นจากความตายจะทำให้เราฟื้นขึ้นจากความตายเช่นกัน และพระเจ้าก็จะนำเราและพวกคุณมาอยู่ต่อหน้าพระองค์ 15 ที่เรายอมทนทุกข์อย่างนี้ ก็เพราะเห็นแก่พวกคุณ เพราะยิ่งมีคนได้รับความเมตตากรุณาจากพระเจ้ามากเท่าไหร่ คำขอบคุณต่อพระองค์ก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น อย่างนี้พระเจ้าจะได้รับเกียรติ

เกียรติยศที่เราจะได้รับ

16 เราจึงไม่ยอมท้อแท้ ถึงแม้สังขารภายนอกจะเสื่อมโทรมไป แต่จิตใจภายในของเราได้รับการสร้างขึ้นใหม่ในทุกๆวัน 17 ความทุกข์เล็กๆน้อยๆที่เกิดขึ้นกับเราแค่ประเดี๋ยวเดียวนี้จะทำให้เราได้รับเกียรติถาวรตลอดไป เกียรตินั้นมีค่าเกินกว่าที่จะไปคิดถึงความทุกข์พวกนั้นมากนัก 18 เราจึงไม่สนใจกับสิ่งที่เรามองเห็นได้ แต่สนใจกับสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่มองเห็นนั้นอยู่แค่ชั่วคราว แต่สิ่งที่มองไม่เห็นนั้นอยู่ถาวรตลอดไป

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International