Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
อพยพ 36

36 เบซาเลลและโอโฮลีอับกับช่างผู้ชำนาญงานก็ได้มาทำงานตามที่พระยาห์เวห์สั่งให้ทำทุกอย่าง พระยาห์เวห์ได้ให้ความชำนาญและสติปัญญากับพวกเขา เพื่อพวกเขาจะได้รู้วิธีสร้างทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการรับใช้ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์นั้น โมเสสได้เรียกเบซาเลล โอโฮลีอับกับช่างผู้ชำนาญทั้งหมดที่พระยาห์เวห์ได้ให้ความสามารถ คือทุกคนที่มีใจมาช่วยทำงานนี้ โมเสสได้เอาของถวายทั้งหมดที่ลูกหลานชาวอิสราเอลเอามาถวายนั้นให้กับพวกเขา เพื่อพวกเขาจะได้เอาไปใช้สำหรับงานรับใช้ที่เกี่ยวข้องกับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์นั้น ชาวอิสราเอลยังคงเอาของมาถวายให้ทุกๆเช้าด้วยความเต็มใจ แล้วช่างผู้ชำนาญทุกคน จากแต่ละแผนก ที่ทำงานสร้างสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ได้มาหาโมเสส และพูดกับโมเสสว่า “คนเอาของมาให้มากเกินไปแล้วสำหรับงานที่พระยาห์เวห์สั่งให้ทำ”

โมเสสจึงสั่งการไป และพวกเขาก็ประกาศไปทั่วค่ายว่า “ชายหญิงทั้งหลาย ไม่ต้องทำของถวายอะไรอีกแล้วสำหรับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์” ประชาชนก็เลยหยุดเอาของมาให้ เพราะประชาชนได้เอาของมาให้เกินพอแล้วสำหรับงานที่จะทำทั้งหมด

เต็นท์ศักดิ์สิทธิ์

(อพย. 26:1-37)

ช่างผู้ชำนาญทั้งหลาย ได้สร้างเต็นท์ที่ศักดิ์สิทธิ์ ด้วยผ้าม่านสิบผืน ที่ทำจากผ้าลินินทอเนื้อดี และผ้าที่ทอจากด้ายสีน้ำเงิน สีม่วง และสีแดงเข้ม เขาได้ปักลายเครูบ ที่ได้ออกแบบมาอย่างประณีตลงบนผ้าม่านเหล่านั้น ผ้าม่านแต่ละผืนยาวยี่สิบแปดศอก[a] และกว้างสี่ศอก[b] ทุกผืนมีขนาดเท่ากันหมด 10 เบซาเลลได้เอาผ้าม่านห้าผืนมาเกี่ยวเข้าด้วยกัน และเอาผ้าม่านอีกห้าผืนมาเกี่ยวเข้าด้วยกันอีกชุดหนึ่ง 11 เขาเอาผ้าสีน้ำเงินมาทำเป็นหู ติดไว้ที่ขอบของผ้าม่านชุดแรก และทำแบบเดียวกันกับขอบของผ้าม่านชุดที่สอง 12 เขาทำหูห้าสิบหูสำหรับผ้าม่านชุดแรก และทำอีกห้าสิบหูสำหรับผ้าม่านชุดที่สอง หูของผ้าม่านสองชุดนี้จะอยู่ตรงข้ามกัน 13 เขาเอาทองคำมาทำเป็นตะขอห้าสิบอัน เพื่อใช้เกี่ยวผ้าม่านสองชุดนั้นเข้าด้วยกัน เพื่อให้เต็นท์ศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นชิ้นเดียวกัน

14 เขาทำผ้าม่านด้วยขนแพะสำหรับเต็นท์ ที่จะเอามาคลุมเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์อีกชั้นหนึ่ง เขาทำผ้าม่านขนแพะทั้งหมดสิบเอ็ดผืน 15 ผ้าม่านแต่ละผืนยาวสามสิบศอก[c] และกว้างสี่ศอก ทั้งสิบเอ็ดผืนมีขนาดเท่ากันหมด 16 เขาเอาผ้าม่านห้าผืนมาต่อติดกัน และเอาผ้าม่านอีกหกผืนมาต่อติดกัน 17 เขาได้ทำหูห้าสิบหูติดไว้ที่ขอบของผ้าม่านชิ้นบนสุดของชุดแรก และทำอีกห้าสิบหูติดไว้ที่ขอบของผ้าม่านชิ้นบนสุดของชุดที่สอง 18 เขาได้เอาทองสัมฤทธิ์ มาทำตะขอ ห้าสิบอัน เพื่อใช้เกี่ยวผ้าม่านทั้งสองชุดเข้าด้วยกัน เป็นเต็นท์หลังเดียวกัน 19 เขาได้ทำที่คลุมเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ไว้สองชั้น ชั้นในทำจากหนังแกะตัวผู้ ชั้นนอกทำจากหนังปลาโลมา

20 เขาได้สร้างกรอบไม้กระถินให้ตั้งขึ้นเพื่อค้ำเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ 21 กรอบแต่ละกรอบมีความยาวสิบศอก[d] กว้างหนึ่งศอกครึ่ง 22 กรอบไม้กระถินแต่ละกรอบมีเดือยกรอบละสองเดือย ซึ่งถูกยึดประกบติดกันไว้ เขาสร้างกรอบไม้กระถินทั้งหมดสำหรับเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ ด้วยวิธีเดียวกันนี้ 23 เขาสร้างกรอบไม้กระถินยี่สิบกรอบสำหรับทางด้านใต้ของเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ 24 แล้วทำฐานเงินสี่สิบฐานไว้ใต้กรอบไม้ยี่สิบกรอบ กรอบไม้หนึ่งกรอบมีฐานสองฐานรองรับเดือยสองเดือยของมัน 25 เขายังทำกรอบไม้กระถินอีกยี่สิบกรอบสำหรับทางทิศเหนือของเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ 26 พร้อมทั้งฐานเงินอีกสี่สิบฐาน กรอบไม้หนึ่งกรอบใช้ฐานเงินสองฐาน 27 ส่วนทางทิศตะวันตก ที่เป็นด้านหลังของเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์นั้น เขาก็ทำกรอบไม้ไว้หกกรอบ 28 เขาทำกรอบไม้อีกสองกรอบสำหรับมุมทางด้านหลังของเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ 29 กรอบไม้นั้นมีมุมแยกกันข้างล่าง แต่ตอนบนมุมเหล่านั้นถูกยึดติดกันด้วยห่วง เขาทำสองชุดอย่างนั้น สำหรับสองมุม 30 รวมทั้งหมดมีกรอบไม้แปดกรอบ ฐานเงินสิบหกฐาน มีสองฐานอยู่ใต้กรอบแต่ละกรอบ

31 เขาทำไม้สำหรับขัดฝาห้าอันด้วยไม้กระถิน สำหรับขัดพวกกรอบไม้ด้านหนึ่งของเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ 32 และอีกห้าอันสำหรับขัดพวกกรอบไม้อีกด้านหนึ่งของเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ และอีกห้าอันสำหรับขัดพวกกรอบด้านหลังทางทิศตะวันตกของเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ 33 เขาได้ทำไม้สำหรับขัดไว้สอดเข้าช่วงกลางของกรอบไม้ ตั้งแต่ปลายด้านนี้ไปสุดปลายอีกด้านหนึ่ง 34 เขาได้เคลือบกรอบไม้ด้วยทองคำ และทำห่วงทองคำเพื่อสอดไม้สำหรับขัดเหล่านั้นเข้าไป และเคลือบไม้สำหรับขัดเหล่านั้นด้วยทองคำ

35 เขาทำม่านกั้นด้วยผ้าทอจากด้ายสีน้ำเงิน สีม่วง สีแดงเข้ม และผ้าทอลินิน ที่ได้ปักลายเครูบไว้อย่างประณีต 36 เขาได้สร้างเสาสี่สิบเสาด้วยไม้กระถิน และเคลือบเสาเหล่านั้นและตะขอเกี่ยวเสานั้นด้วยทองคำ เขาหล่อฐานเงินสี่ฐานด้วยเพื่อรองรับเสา 37 เขาทำฉากกั้นไว้ที่ช่องทางเข้าเต็นท์ ด้วยผ้าทอจากด้ายสีน้ำเงิน สีม่วง สีแดงเข้ม และผ้าทอลินิน 38 เขาทำเสาห้าเสาและตะขอของเสาเหล่านั้น เขาเคลือบยอดเสาและห่วงของมันด้วยทองคำ และฐานเสาห้าฐานนั้นเป็นทองสัมฤทธิ์

ยอห์น 15

พระเยซูคือเถาองุ่นที่แท้จริง

15 “เราเป็นเถาองุ่นที่แท้จริง และพระบิดาของเราเป็นผู้ดูแลสวน พระองค์จะตัดกิ่ง[a] ของเราที่ไม่ออกลูกทิ้งไป และจะแต่งกิ่งที่ออกลูกให้สะอาดเพื่อให้ออกลูกมากขึ้น พวกคุณก็สะอาดแล้วเพราะคำสั่งสอนของเรา ให้ติดสนิทกับเราและเราก็จะติดสนิทกับคุณ กิ่งจะออกผลเองไม่ได้นอกจากจะติดสนิทกับเถาเท่านั้น คุณก็เหมือนกับกิ่ง คุณจะออกผลเองไม่ได้นอกจากจะติดสนิทกับเรา

เราเป็นเถาองุ่น พวกคุณเป็นกิ่ง ถ้าคุณติดสนิทกับเราและเราติดสนิทกับคุณ คุณจะออกลูกมาก ถ้าไม่มีเราคุณจะทำอะไรไม่ได้เลย ถ้าใครไม่ได้ติดสนิทกับเรา เขาก็จะเหมือนกับกิ่งที่ถูกตัดทิ้งให้เหี่ยวแห้งตาย และถูกเก็บไปเผาไฟ

ถ้าพวกคุณติดสนิทกับเรา และคำสั่งสอนของเราติดสนิทกับคุณ ไม่ว่าคุณจะขออะไรมันก็จะเป็นอย่างนั้น เมื่อคุณเกิดผลมาก แสดงว่าคุณเป็นศิษย์ของเรา และคุณได้ทำให้คนเห็นความยิ่งใหญ่ของพระบิดาของเรา เรารักคุณเหมือนกับที่พระบิดารักเรา ขอให้ยึดมั่นอยู่กับความรักของเรา 10 ถ้าคุณทำตามที่เราสั่ง ก็แสดงว่าคุณยังยึดมั่นอยู่ในความรักของเรา เหมือนกับที่เราทำตามคำสั่งของพระบิดา และยึดมั่นอยู่ในความรักของพระองค์ 11 เราบอกเรื่องพวกนี้กับคุณ เพื่อว่าคุณจะได้มีความสุขเหมือนกับที่เรามีและมีอย่างล้นเหลือ 12 คำสั่งของเราคือให้รักกันเหมือนกับที่เรารักคุณ 13 ไม่มีความรักที่ยิ่งใหญ่กว่านี้อีกแล้ว คือการที่คนๆหนึ่งจะยอมตายเพื่อเพื่อนของตน 14 พวกคุณก็เป็นเพื่อนของเราถ้าทำตามที่เราสั่ง 15 เราจะไม่เรียกพวกคุณว่า ‘ทาส’ อีกต่อไป เพราะทาสจะไม่รู้ว่านายของเขาทำอะไร แต่เราเรียกพวกคุณว่า ‘เพื่อน’ เพราะเราได้บอกให้คุณรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราได้ยินจากพระบิดาของเราแล้ว 16 พวกคุณไม่ได้เลือกเราหรอก แต่เราต่างหากที่เลือกคุณ และแต่งตั้งคุณให้ออกไปและเกิดผล เป็นผลที่ยั่งยืนตลอดไป แล้วพระบิดาจะให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณขอ เพราะคุณเป็นคนของเรา 17 คำสั่งของเราคือ ให้รักกันและกัน

พระเยซูเตือนพวกศิษย์

18 ถ้าโลกนี้เกลียดชังพวกคุณ ก็ให้จำไว้ว่าโลกนี้เกลียดชังเราก่อน 19 ถ้าพวกคุณเป็นของโลกนี้ โลกก็จะรักคุณเพราะคุณเป็นของมันเอง แต่เราได้เลือกคุณออกจากโลกนี้ คุณเลยไม่เป็นของโลกนี้อีกแล้ว โลกเลยเกลียดชังคุณ 20 จำได้ไหมที่เราเคยบอกว่า ‘ทาสไม่ยิ่งใหญ่ไปกว่านาย’ ถ้าพวกเขาข่มเหงเรา เขาก็จะข่มเหงพวกคุณด้วย ถ้าพวกเขาทำตามคำสั่งสอนของเรา พวกเขาก็จะทำตามคำสั่งสอนของพวกคุณด้วย 21 พวกเขาข่มเหงคุณก็เพราะเรา เพราะเขาไม่รู้จักพระองค์ผู้ที่ส่งเรามา 22 ถ้าเราไม่ได้มาพูดกับพวกเขา พวกเขาก็คงจะไม่มีความผิดบาปอะไร แต่ตอนนี้พวกเขาไม่มีข้อแก้ตัวสำหรับบาปของพวกเขาอีกต่อไป 23 คนที่เกลียดเราก็เกลียดพระบิดาของเราด้วย 24 เราได้ทำสิ่งอัศจรรย์ต่างๆที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนในหมู่พวกเขา ถ้าเราไม่ได้ทำสิ่งอัศจรรย์เหล่านี้ พวกเขาก็คงจะไม่มีความผิดบาป แต่ตอนนี้ทั้งๆที่พวกเขาเห็นสิ่งอัศจรรย์ต่างๆที่เราทำไปแล้ว แต่พวกเขาก็ยังคงเกลียดเราและพระบิดาของเรา 25 แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพื่อให้เป็นไปตามข้อพระคัมภีร์ที่เขียนไว้ว่า ‘พวกเขาเกลียดเราโดยไม่มีเหตุผล’[b]

26 เราจะส่งผู้ช่วยจากพระบิดามาให้คุณ พระองค์คือพระวิญญาณแห่งความจริง พระองค์จะประกาศเกี่ยวกับเรา 27 พวกคุณเองก็ต้องประกาศให้คนอื่นรู้เกี่ยวกับเราด้วย[c] เพราะพวกคุณได้อยู่กับเรามาตั้งแต่แรกแล้ว

สุภาษิต 12

12 คนที่รักความรู้ ก็ชอบให้คนอื่นแก้ไข
    แต่คนที่เกลียดชังการตักเตือนก็เป็นคนโง่เขลา
พระยาห์เวห์ชื่นชมคนดี
    แต่พระองค์จะประณามคนที่วางแผนชั่วร้าย
ไม่มีใครจะตั้งมั่นคงด้วยความชั่วร้ายได้
    แต่คนที่ทำตามใจพระเจ้าจะไม่ถูกถอนรากถอนโคน
ภรรยาที่ดีเปรียบเหมือนมงกุฎของสามี
    แต่ภรรยาที่นำความอับอายมาให้ ก็เปรียบเหมือนมะเร็งในกระดูกของเขา
แรงจูงใจของคนที่ทำตามใจพระเจ้าล้วนแต่ถูกต้อง
    แต่คำแนะนำของคนชั่วนั้นก็หลอกลวง
คำพูดของคนชั่วเป็นเหมือนกับการหมอบซุ่มฆ่าคน
    แต่คำพูดของคนสัตย์ซื่อช่วยคนให้รอดพ้น
คนชั่วถูกโค่นล้มแล้วหมดสิ้นไป
    แต่ครัวเรือนของคนที่ทำตามใจพระเจ้า จะตั้งมั่นคง
คนที่รู้จักคิดจะได้รับการยกย่อง
    แต่คนที่มีจิตใจสับสนวุ่นวายก็ย่อมเป็นที่ดูถูก
เป็นชาวบ้านธรรมดาๆแต่มีทาสรับใช้หนึ่งคน
    ก็ดีกว่าเสแสร้งเป็นคนมีหน้ามีตาแต่ไม่มีข้าวกิน
10 คนที่ทำตามใจพระเจ้า เข้าใจความต้องการของสัตว์ที่เขาเลี้ยง
    แต่ความเมตตาของคนชั่ว ก็ยังเป็นความโหดเหี้ยม
11 คนที่ทำงานในไร่นาของตน จะมีอาหารอย่างเหลือเฟือ
    แต่คนที่ไล่ตามสิ่งที่ไร้สาระ เป็นคนที่ไม่มีสมองคิด
12 คนชั่วร้าย โลภอยากได้สิ่งที่คนเลวอีกคนหนึ่งหามาได้
    แต่รากของคนที่ทำตามใจพระเจ้านั้นจะออกดอกออกผล
13 คนชั่วติดกับดักในคำพูดที่ผิดบาปของตนเอง
    แต่คนที่ทำตามใจพระเจ้าจะรอดพ้นจากปัญหา
14 เขาอิ่มไปด้วยสิ่งที่ดีๆที่เกิดมาจากคำพูดของเขาเอง
    และเขาจะได้รับผลตอบแทนจากการกระทำของเขา
15 หนทางของคนโง่นั้นก็ดูเหมือนว่าถูกต้องในสายตาของเขาเอง
    แต่คนที่ฟังคำแนะนำเป็นคนฉลาด
16 คนโง่มักโพล่งความโกรธของเขาออกมาทันที
    แต่คนฉลาดหลักแหลมกลับซ่อนความรู้สึกอับอายไว้
17 พยานที่เชื่อถือได้พูดความจริงในศาล
    แต่พยานเท็จพูดโกหก
18 การนินทาเชือดเฉือนเหมือนคมดาบ
    แต่คำพูดของคนฉลาดช่วยรักษาเยียวยา
19 ปากที่พูดความจริงจะคงอยู่ตลอดไป
    แต่ลิ้นที่พูดโกหกจะอยู่เพียงชั่วครู่เท่านั้น
20 ความหลอกลวงอยู่ในจิตใจของคนที่วางแผนทำชั่ว
    แต่ความชื่นชมยินดีย่อมอยู่ในจิตใจของคนที่วางแผนทำดี
21 ไม่มีอันตรายใดๆจะเกิดกับคนที่ทำตามใจพระเจ้าได้เลย
    แต่ชีวิตของคนชั่วจะมีปัญหาเต็มไปหมด
22 พระยาห์เวห์เกลียดคำพูดโกหก
    แต่พระองค์ชื่นชอบคนสัตย์ซื่อ
23 คนฉลาดไม่อวดในสิ่งที่เขารู้
    แต่จิตใจของคนโง่ป่าวประกาศความโง่ของตนออกมา
24 มือของคนขยันจะได้ปกครอง
    แต่คนขี้เกียจจะต้องทำงานอย่างทาส
25 ความวิตกกังวลทำให้ใจหดหู่
    แต่คำพูดที่ให้กำลังใจย่อมทำให้เขามีความสุข
26 คนที่ทำตามใจพระเจ้าย่อมให้คำแนะนำที่ดีแก่คนอื่น
    แต่หนทางของคนชั่วจะทำให้คนอื่นหลงผิดไป
27 คนขี้เกียจไม่เคยทำอะไรสำเร็จสักอย่าง[a]
    แต่คนขยันจะได้รับความมั่งคั่ง
28 หนทางที่พระเจ้าชอบใจนั้น นำไปสู่ชีวิต
    แต่อีกทางหนึ่งนำไปสู่ความตาย[b]

เอเฟซัส 5

ในฐานะที่เป็นลูกที่รักของพระเจ้า ก็ให้เลียนแบบพระองค์ ให้ใช้ชีวิตด้วยความรัก เหมือนกับที่พระคริสต์รักเราด้วย พระองค์ได้สละชีวิตเพื่อเรา เป็นเหมือนเครื่องถวาย และเครื่องบูชาที่หอมหวานให้กับพระเจ้า

เรื่องความผิดบาปทางเพศ เรื่องลามกทุกอย่าง หรือความมักมากในกาม แม้แต่จะพูดถึงก็อย่าเลย เพราะมันไม่เหมาะกับคนที่เป็นของพระเจ้า รวมทั้งการพูดจาหยาบคายไร้สาระไม่เป็นเรื่อง หรือพูดตลกลามก ก็ไม่เหมาะสมทั้งนั้น แต่ควรจะพูดขอบคุณพระเจ้าดีกว่า ให้พวกคุณรู้เอาไว้เลยว่าทุกคนที่ทำผิดบาปทางเพศ ไม่บริสุทธิ์ หรือมักมากในกาม[a] ซึ่งเป็นการบูชารูปเคารพ จะไม่มีส่วนในอาณาจักรของพระคริสต์และของพระเจ้า

อย่าให้ใครมาหลอกลวงพวกคุณด้วยคำพูดที่เหลวไหล เพราะเรื่องอย่างนี้แหละที่ทำให้พระเจ้าลงโทษคนพวกนั้นที่ไม่เชื่อฟัง เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ก็อย่าไปมีส่วนร่วมกับคนพวกนั้นเลย เมื่อก่อนนี้พวกคุณเคยเป็นความมืด แต่เดี๋ยวนี้เป็นความสว่างแล้ว เพราะมีส่วนในองค์เจ้าชีวิต อย่างนั้นก็ให้ใช้ชีวิตให้สมกับที่เป็นลูกของความสว่างนั้น (เพราะผลของความสว่างคือความดีทุกอย่าง ชีวิตที่พระเจ้าชอบใจ และการพูดความจริง) 10 ให้พยายามค้นหาว่าองค์เจ้าชีวิตชอบใจอะไรบ้าง 11 อย่ามีส่วนกับการกระทำต่างๆของความมืดที่ไร้ประโยชน์นั้น แต่ให้ชีวิตบริสุทธิ์ของพวกคุณเปิดโปงเรื่องพวกนั้นออกมาดีกว่า 12 เพราะแม้แต่จะพูดถึงเรื่องลับๆที่พวกเขาทำกัน ก็ยังน่าละอายเลย 13 แต่ความสว่างนั้นทำให้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างชัดเจน 14 เพราะความสว่างจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่มันส่องนั้นกลายเป็นความสว่างไปด้วย นั่นเป็นเหตุที่มีคำพูดว่า

“ตื่นได้แล้ว เจ้าที่หลับอยู่
    ลุกขึ้นมาจากความตายสิ
แล้วพระคริสต์จะส่องสว่างใส่เจ้า”

15 ถ้าอย่างนั้น ระวังให้ดีว่าพวกคุณใช้ชีวิตอย่างไร อย่าเป็นเหมือนคนโง่ แต่ให้เป็นเหมือนคนฉลาด 16 ให้ฉวยโอกาสที่จะทำดี เพราะทุกวันนี้มีแต่ความชั่วร้าย 17 ฉะนั้นอย่าเป็นคนโง่ แต่ให้เข้าใจว่าองค์เจ้าชีวิตต้องการให้คุณทำอะไร 18 อย่าเมาเหล้าองุ่น มันจะทำให้คุณเสียคนได้ แต่ให้เต็มไปด้วยพระวิญญาณดีกว่า 19 คือร้องเพลงสดุดี เพลงสรรเสริญ และเพลงจากพระวิญญาณให้กันและกัน และให้ร้องเพลงสรรเสริญองค์เจ้าชีวิตจากใจ 20 และขอบคุณพระเจ้าผู้เป็นพระบิดาของเราเสมอสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง ในฐานะเป็นคนของพระเยซูคริสต์เจ้า[b]

สามีกับภรรยา

21 ให้ยินยอมซึ่งกันและกัน เพราะยำเกรงพระคริสต์

22 พวกคุณที่เป็นภรรยา ให้ยินยอมสามี เหมือนที่ยินยอมองค์เจ้าชีวิต 23 เพราะสามีคือศีรษะของภรรยา เหมือนกับที่พระคริสต์เป็นศีรษะของหมู่ประชุม คือพระองค์เองเป็นผู้ช่วยให้รอดของร่างกาย 24 แต่หมู่ประชุมยินยอมพระคริสต์อย่างไร ภรรยาก็ควรจะยินยอมสามีของตนในทุกเรื่องอย่างนั้นด้วย

25 พวกคุณที่เป็นสามี ให้รักภรรยาของตนเหมือนกับที่พระคริสต์รักหมู่ประชุมของพระองค์ และได้สละพระองค์เองเพื่อประโยชน์ของหมู่ประชุม 26 ที่พระคริสต์ทำอย่างนี้ก็เพื่อชำระล้างหมู่ประชุมของพระองค์ ให้บริสุทธิ์ด้วยน้ำและถ้อยคำของพระองค์ 27 เพื่อพระองค์จะได้มอบหมู่ประชุมที่สง่างามให้กับพระองค์เอง เป็นเจ้าสาวที่ไม่มีตำหนิ ริ้วรอย หรือความบกพร่องอะไรเลย แต่จะบริสุทธิ์หมดจดทุกอย่าง 28 สามีก็เหมือนกัน ควรจะรักภรรยาของตนเหมือนกับรักร่างกายของตนเอง คนที่รักภรรยาก็รักตัวเองนั่นแหละ 29 เพราะไม่มีใครหรอกที่เกลียดร่างกายของตนเอง มีแต่จะเลี้ยงดูและเอาใจใส่ เหมือนกับที่พระคริสต์เลี้ยงดูและเอาใจใส่หมู่ประชุมของพระองค์ 30 เพราะเราเป็นอวัยวะในร่างกายของพระองค์ 31 เหมือนกับที่พระคัมภีร์พูดเอาไว้ว่า “ดังนั้นผู้ชายจะจากพ่อและแม่ของเขา ไปเป็นหนึ่งเดียวกับภรรยาของตน และเขาทั้งสองจะเป็นร่างกายเดียวกัน”[c] 32 เรื่องนี้เป็นเรื่องลึกลับมาก และผมเอาเรื่องนี้มาเปรียบเทียบกับสายสัมพันธ์ระหว่างพระคริสต์กับหมู่ประชุมของพระองค์ 33 อย่างไรก็ตาม พวกคุณแต่ละคน ต้องรักภรรยาของตน เหมือนกับรักตนเอง ส่วนภรรยาจะต้องเคารพสามีของตน

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International