Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
ปฐมกาล 33

ยาโคบเจอกับเอซาวอีกครั้งหนึ่ง

33 ยาโคบมองเห็นเอซาวกำลังมาพร้อมกับพวกอีกสี่ร้อยคน ยาโคบจึงแบ่งเด็กๆให้เลอาห์ ราเชล และสาวใช้ทั้งสองคน เขาให้สาวใช้ทั้งสองกับลูกอยู่ข้างหน้า ถัดมาเป็นเลอาห์กับลูก และสุดท้ายเป็นราเชลและโยเซฟ

ส่วนตัวเขาเองอยู่ข้างหน้าพวกเขา และเขาก้มกราบลงกับพื้นถึงเจ็ดครั้ง จนเข้าใกล้พี่ชายของเขา

แต่เอซาววิ่งเข้ามาหาเขา สวมกอดและจูบเขา แล้วต่างก็ร้องไห้ แล้วเอซาวมองเห็นพวกผู้หญิงกับลูกๆ เอซาวจึงพูดว่า “คนพวกนี้ที่อยู่กับน้องเป็นใครกัน”

ยาโคบตอบว่า “ลูกๆที่พระเจ้าได้ให้กับน้องผู้รับใช้ของพี่”

สาวใช้ทั้งสองคนพร้อมกับลูกๆของพวกนาง ก็เข้ามาถึงเอซาวและก้มกราบลง เลอาห์และลูกๆของนางได้เข้ามาถึงและก้มกราบลง แล้วโยเซฟและราเชลก็เข้ามาถึงและก้มกราบลง

เอซาวพูดว่า “แล้วที่พี่เจอระหว่างทางมาที่นี่นั้น น้องกำลังจะทำอะไรหรือ”

ยาโคบตอบว่า “เพื่อให้พี่ผู้เป็นเจ้านายของน้องยอมรับน้องไง”

เอซาวตอบว่า “น้องพี่ พี่มีมากมายเหลือเฟือแล้ว เก็บของน้องไว้เถิด”

10 แต่ยาโคบพูดว่า “ไม่ได้ครับพี่ ถ้าพี่ยอมรับน้อง ช่วยรับของขวัญพวกนั้นจากมือน้องด้วย เพราะสำหรับน้องแล้ว ได้มาอยู่ต่อหน้าพี่ ก็เหมือนได้มาอยู่ต่อหน้าพระเจ้า เพราะพี่ยอมรับน้องแล้ว 11 ช่วยรับของขวัญที่น้องเอามาให้กับพี่ด้วยเถิด เพราะพระเจ้าได้เมตตาน้อง ทำให้น้องมีทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการ” ยาโคบได้อ้อนวอนให้เอซาวรับ สุดท้ายเอซาวก็ยอมรับของขวัญนั้นไว้

12 เอซาวพูดว่า “ให้พวกเราเดินทางต่อไปด้วยกันเถิด พี่จะเดินทางไปกับน้องด้วย”

13 แต่ยาโคบบอกเขาว่า “พี่ท่าน พี่ก็รู้อยู่แล้วว่าพวกเด็กๆนั้นอ่อนแอ และพวกฝูงแพะ แกะ และฝูงวัวกำลังเลี้ยงลูกอ่อนอยู่ น้องเป็นห่วงพวกมัน ถ้าน้องบังคับให้พวกมันเดินมากเกินไปในหนึ่งวัน สัตว์ทั้งหมดก็จะตาย 14 ขอให้พี่ท่านเดินทางล่วงหน้าไปก่อนผู้รับใช้เถิด แล้วน้องจะเดินตามไปช้าๆตามกำลังของสัตว์ที่อยู่ข้างหน้า และตามกำลังของเด็กๆจนกว่าจะไปพบพี่เจ้านายของน้องที่เสอีร์”

15 เอซาวพูดว่า “พี่จะทิ้งคนของพี่ไว้กับน้องบ้าง”

ยาโคบพูดว่า “ไม่ต้องหรอกพี่ ขอให้พี่ยอมรับน้องก็พอแล้ว”

16 ในวันนั้นเอซาวจึงมุ่งหน้ากลับไปที่เสอีร์ 17 แต่ยาโคบไปยังสุคคท และเขาได้สร้างบ้านให้กับตนเองที่นั่น และสร้างที่พักให้กับฝูงวัวของเขา เพราะอย่างนี้เขาจึงตั้งชื่อสถานที่นั้นว่า “สุคคท”[a]

18 ยาโคบจึงได้เดินทางจากปัดดาน อารัม มาถึงเมืองเชเคมแผ่นดินคานาอันอย่างปลอดภัย เขาได้ตั้งเต็นท์อยู่ทางตะวันออกของเมืองนั้น 19 ยาโคบได้ซื้อส่วนหนึ่งของทุ่งหญ้าที่เขาได้ใช้ตั้งเต็นท์นั้น จากลูกๆของฮาโมร์พ่อของเชเคม เป็นเงินหนึ่งร้อยเหรียญ 20 ยาโคบได้สร้างแท่นบูชาไว้ที่นั่นและได้เรียกมันว่า “เอล[b] พระเจ้าของอิสราเอล”

มาระโก 4

เรื่องชาวนาหว่านพืช

(มธ. 13:1-9; ลก. 8:4-8)

พระองค์สั่งสอนอยู่ริมทะเลสาบอีก มีคนเป็นจำนวนมากมาห้อมล้อมพระองค์ พระองค์จึงลงไปนั่งอยู่ในเรือแล้วลอยอยู่ข้างๆฝั่ง ส่วนประชาชนยืนฟังอยู่ริมฝั่ง พระเยซูใช้เรื่องเปรียบเทียบสอนพวกเขาหลายอย่าง พระองค์เล่าให้ฟังว่า “ฟังให้ดีๆมีชาวนาคนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพืช ขณะที่หว่านอยู่นั้น บางเมล็ดก็ตกบนทางเดิน นกก็มาจิกกินหมด บางเมล็ดก็ตกบนดินที่ชั้นล่างเป็นหิน มีดินไม่มาก เมล็ดนั้นก็งอกขึ้นอย่างรวดเร็วแต่เนื่องจากมีดินไม่ลึก เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นพืชนั้นถูกแดดแผดเผาและเนื่องจากมีรากตื้นๆพืชนั้นก็เหี่ยวแห้งตายไป บางเมล็ดตกในพงหนาม หนามก็งอกขึ้นมาปกคลุมพืชนั้นไว้จึงไม่ออกดอกออกผล และบางเมล็ดตกลงในดินดีก็เจริญงอกงามขึ้นมาเกิดดอกออกผลสามสิบเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง และหนึ่งร้อยเท่าบ้าง”

แล้วพระองค์ก็พูดว่า “ใครมีหูก็ฟังไว้ให้ดี”

สาเหตุที่พระเยซูใช้เรื่องเปรียบเทียบ

(มธ. 13:10-17; ลก. 8:9-10)

10 ต่อมาเมื่อพระเยซูอยู่คนเดียว ศิษย์ทั้งสิบสองคนพร้อมกับคนที่ติดตามก็มาถามถึงความหมายของเรื่องเปรียบเทียบพวกนั้น

11 พระองค์บอกว่า “มีแต่พวกคุณเท่านั้นที่เราจะบอกให้รู้เรื่องความลับของอาณาจักรของพระเจ้านี้ ส่วนพวกคนนอกนั้นเราจะใช้แต่เรื่องเปรียบเทียบสอน 12 เพื่อว่า

‘พวกเขาจะดูแล้วดูอีก แต่ก็จะไม่เห็น
ฟังแล้วฟังอีก แต่ก็จะไม่เข้าใจ เพราะถ้าเขาเห็นและเข้าใจ
เขาจะกลับมาหาพระเจ้าและได้รับการยกโทษ’”[a]

พระเยซูอธิบายเรื่องชาวนาหว่านพืช

(มธ. 13:18-23; ลก. 8:11-15)

13 แล้วพระองค์ถามพวกเขาว่า “คุณยังไม่เข้าใจเรื่องเปรียบเทียบเรื่องนี้อีกหรือ แล้วคุณจะไปเข้าใจเรื่องเปรียบเทียบอื่นๆได้ยังไง 14 ชาวนาคนนี้หว่านถ้อยคำของพระเจ้า 15 เมล็ดที่ตกลงบนถนนหนทางก็เหมือนกับคนที่ฟังถ้อยคำของพระเจ้า แต่ซาตานมาแย่งเอาถ้อยคำที่ได้หว่านไว้ในพวกเขานั้นไปทันที 16 ส่วนเมล็ดที่ตกลงบนดินตื้นๆที่มีหินอยู่ข้างล่าง ก็เหมือนกับคนที่ฟังถ้อยคำนั้น แล้วรีบรับไว้ด้วยความยินดี 17 แต่รากไม่ลึกจึงไม่ทนทาน เมื่อเจอกับความทุกข์เดือดร้อนหรือถูกข่มเหงเพราะเชื่อในถ้อยคำนั้น เขาก็เลิกเชื่อทันที 18 เมล็ดที่ตกลงในพงหนามก็เหมือนกับคนที่ฟังถ้อยคำแล้ว 19 แต่ยังเป็นห่วงกังวลเกี่ยวกับชีวิตในโลกนี้ หลงไหลอยู่กับทรัพย์สมบัติและความโลภที่ไม่สิ้นสุด สิ่งเหล่านี้มาคลุมถ้อยคำไว้เลยไม่เกิดผล 20 เมล็ดที่ตกในดินดี ก็เหมือนกับคนที่ฟังถ้อยคำแล้วรับไว้ และออกดอกออกผล สามสิบเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง และหนึ่งร้อยเท่าบ้าง”

ให้ใช้สิ่งที่มีอยู่

(ลก. 8:16-18)

21 แล้วพระองค์พูดกับพวกเขาว่า “มีใครบ้างที่จุดตะเกียงแล้วเอาไปไว้ใต้ถังหรือใต้เตียง เขาจุดตะเกียงเอาไว้บนเชิงตะเกียงไม่ใช่หรือ 22 สิงใดที่แอบซ่อนอยู่จะถูกเปิดโปง และความลับทุกอย่างจะถูกเปิดเผยหมด 23 ใครมีหูก็ฟังไว้ดีๆ”

24 พระองค์พูดกับพวกเขาอีกว่า “คิดให้ดีๆในสิ่งที่คุณได้ฟัง ยิ่งทำอย่างนี้มากเท่าไร ก็จะยิ่งเข้าใจมากขึ้นเท่านั้น และจะได้มากกว่านั้นเสียด้วยซ้ำ 25 คนที่เข้าใจอยู่แล้วก็จะเข้าใจมากยิ่งขึ้น ส่วนคนที่ไม่เข้าใจแล้วยังไม่สนใจฟังอีก แม้สิ่งที่เขาเข้าใจก็จะหายไปด้วย”

เรื่องเปรียบเทียบการงอกของเมล็ดพืช

26 พระองค์พูดต่อว่า “อาณาจักรของพระเจ้าเปรียบเหมือนกับชายคนหนึ่งที่หว่านเมล็ดพืชลงในดิน 27 ไม่ว่าชายคนนั้นจะหลับหรือตื่น พืชนั้นก็แตกหน่อและเจริญงอกงามขึ้นเรื่อยๆทุกวันทุกคืน โดยที่ชายคนนี้ไม่รู้ว่ามันงอกขึ้นมาได้ยังไง 28 เพราะดินเป็นตัวที่ทำให้เมล็ดพืชนั้นงอกขึ้นเป็นลำต้น เริ่มจากต้นอ่อนก่อนแล้วต่อมาก็เป็นรวง และมีเมล็ดเต็มรวง 29 เมื่อเมล็ดสุกเหลืองอร่ามชาวนาก็รีบเอาเคียวมาเกี่ยวพืชทันที เพราะถึงฤดูเก็บเกี่ยวแล้ว”

เมล็ดมัสตาร์ด

(มธ. 13:31-32, 34-35; ลก. 13:18-19)

30 แล้วพระองค์ก็ถามว่า “จะเปรียบเทียบอาณาจักรของพระเจ้าเหมือนกับอะไรดี เปรียบเทียบกับเรื่องอะไรให้ฟังดี 31 เปรียบกับเมล็ดมัสตาร์ดก็แล้วกัน เมล็ดชนิดนี้ตอนที่ปลูกลงในดินนั้นมันเล็กมาก 32 แต่พอโตขึ้นมากลายเป็นต้นที่ใหญ่ที่สุดในพวกพืชสวนครัวทั้งหมด และได้แผ่กิ่งก้านสาขาจนนกมาทำรังใต้ร่มไม้ได้” 33 พระองค์ใช้เรื่องแบบนี้อีกหลายเรื่องสั่งสอนฝูงชน เกี่ยวกับถ้อยคำของพระเจ้าเท่าที่พวกเขาจะรับไหว 34 พระองค์เล่าทุกเรื่องโดยใช้เรื่องเปรียบเทียบหมด และเมื่ออยู่กันตามลำพังกับศิษย์พระองค์ก็จะอธิบายให้พวกเขาเข้าใจทุกอย่าง

พระเยซูห้ามพายุ

(มธ. 8:23-27; ลก. 8:22-25)

35 ในเย็นวันนั้นพระองค์บอกกับพวกศิษย์ว่า “ข้ามไปฝั่งโน้นกันเถอะ” 36 พวกเขาก็ทิ้งฝูงชนมาขึ้นเรือที่พระเยซูนั่งอยู่ก่อนแล้ว มีเรือลำอื่นๆตามไปด้วย 37 มีพายุใหญ่เกิดขึ้น ทำให้คลื่นซัดน้ำเข้ามาจนเกือบเต็มลำเรือ 38 แต่พระเยซูยังนอนหนุนหมอนหลับอยู่ท้ายเรือ พวกศิษย์จึงมาปลุกพระองค์และบอกว่า “อาจารย์ ไม่ห่วงกันบ้างเลยหรือ พวกเรากำลังจะจมน้ำตายกันอยู่แล้ว”

39 พระองค์จึงลุกขึ้นสั่งห้ามลมและคลื่นว่า “เงียบสงบซะ” และทันใดนั้นเอง ลมก็หยุดพัดและคลื่นก็สงบลง

40 แล้วพระองค์พูดกับพวกเขาว่า “กลัวอะไรกัน ยังไม่ไว้วางใจเราอีกหรือ” 41 แต่พวกเขากลับกลัวมากและพูดกันว่า “คนนี้เป็นใครกันนะ ขนาดลมและคลื่นยังฟังเขาเลย”

เอสเธอร์ 9-10

ชัยชนะของชาวยิว

เมื่อถึงวันที่สิบสามของเดือนสิบสอง ซึ่งเป็นเดือนอาดาร์ นี่เป็นวันที่คำสั่งของกษัตริย์เริ่มมีผลบังคับใช้ เป็นวันที่พวกศัตรูของชาวยิวหวังจะเอาชนะชาวยิว แต่มันกลับกลายเป็นว่า ชาวยิวได้ชนะพวกศัตรูของพวกเขาแทน

บรรดาชาวยิวต่างมารวมตัวกันตามเมืองต่างๆของตน ในทุกมณฑลของกษัตริย์อาหสุเอรัส เพื่อมาต่อต้านคนเหล่านั้นที่อยากจะทำลายพวกเขา ไม่มีใครสามารถต่อต้านการโจมตีของชาวยิวได้ เพราะคนเหล่านั้นล้วนเกรงกลัวพวกยิว เจ้าหน้าที่ทั้งหลายตามมณฑลต่างๆ พวกผู้ควบคุมภาค รวมทั้งผู้ว่าราชการ และเจ้าหน้าที่ในวัง ต่างก็สนับสนุนชาวยิว เพราะพวกเขาเกรงกลัวโมรเดคัย เนื่องจากโมรเดคัยเป็นคนสำคัญของวัง ซึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทุกมณฑล เพราะเขามีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ

แล้วชาวยิวก็โจมตีศัตรูทั้งหมดของพวกเขาด้วยดาบ พวกยิวฆ่าและทำลายพวกนั้น ชาวยิวทำกับคนที่เกลียดชังพวกเขาตามความพอใจ พวกยิวได้ฆ่าและทำลายผู้ชายห้าร้อยคนที่เป็นศัตรูของพวกเขาในเขตวังของเมืองสุสา ในจำนวนนี้มี ปารชันดาธา ดาลโฟน อัสปาธา โปราธา อาดัลยา อารีดาธา ปารมัชทา อารีสัย อารีดัย และไวซาธา 10 คนพวกนี้เป็นลูกชายทั้งสิบคนของฮามาน ลูกของฮัมเมดาธา ศัตรูของพวกยิว แต่พวกยิวไม่ได้ปล้นข้าวของของพวกศัตรูนั้น

11 ในวันเดียวกันนั้น กษัตริย์ก็ได้รับรายงานถึงจำนวนคนที่ถูกฆ่าในเขตวังของเมืองสุสา 12 พระองค์ได้พูดกับราชินีเอสเธอร์ว่า “พวกชาวยิวได้ฆ่าและทำลายผู้ชายไปห้าร้อยคนในเขตวังของเมืองสุสานี้ รวมทั้งลูกชายทั้งสิบคนของฮามานด้วย พวกเขาคงจะทำมากยิ่งกว่านั้นอีกในมณฑลอื่นๆของเรา มีอะไรอีกไหมที่เจ้าอยากจะให้จัดการ บอกเรามา แล้วเราจะจัดการให้”

13 เอสเธอร์ตอบว่า “ถ้าพระองค์พอใจ ขออนุญาตให้พวกชาวยิวที่อาศัยอยู่ในเขตวังของเมืองสุสา ทำอย่างเดียวกันนี้อีกในวันพรุ่งนี้ และขอให้เสียบลูกทั้งสิบคนของฮามานบนเสาไม้”

14 กษัตริย์จึงสั่งให้เป็นไปตามที่เอสเธอร์ขอ และได้ประกาศให้มันเป็นกฎหมายในเขตวังของเมืองสุสา และพวกเขาก็ได้เสียบลูกชายทั้งสิบคนของฮามาน 15 จากนั้นพวกยิวที่อยู่ในเมืองป้อมสุสาก็ได้รวมตัวกันอีกครั้งในวันที่สิบสี่ของเดือนอาดาร์ และได้ฆ่าคนในเมืองป้อมสุสาไปอีกสามร้อยคน แต่ไม่ได้ปล้นข้าวของของพวกเขา

16 ส่วนพวกยิวที่อาศัยอยู่ตามมณฑลต่างๆของกษัตริย์ ก็ได้รวมตัวกันเพื่อปกป้องตัวเองให้รอดพ้นจากศัตรู พวกเขาได้ฆ่าศัตรูไปเจ็ดหมื่นห้าพันคน แต่ไม่ได้ปล้นข้าวของของพวกเขา 17 เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นในมณฑลต่างๆในวันที่สิบสาม ของเดือนอาดาร์ แล้วในวันที่สิบสี่ คนยิวก็ได้หยุดพักและเลี้ยงเฉลิมฉลองกันในวันนั้น

เทศกาลปูริม

18 แต่พวกชาวยิวที่อยู่ในเขตวังของเมืองสุสาได้รวมตัวกันเพื่อปกป้องตัวเองในวันที่สิบสามและสิบสี่ของเดือนอาดาร์ แล้วหยุดพักในวันที่สิบห้า และชาวยิวเหล่านั้นก็ได้เลี้ยงเฉลิมฉลองกันในวันนั้น 19 นั่นเป็นเหตุที่พวกชาวยิวที่อาศัยอยู่ตามชนบทต่างๆที่ไม่มีกำแพงเมือง ถือเอาวันที่สิบสี่ของเดือนอาดาร์ เป็นวันหยุดเพื่อเลี้ยงเฉลิมฉลองกัน และต่างก็ส่งอาหารเป็นของขวัญให้แก่กันและกันในวันนั้น

20 โมรเดคัยได้บันทึกเหตุการณ์เหล่านี้ไว้ทั้งหมด และเขาได้ส่งจดหมายไปถึงชาวยิวทุกคน ที่อาศัยอยู่ในมณฑลทุกแห่งของกษัตริย์อาหสุเอรัส ทั้งใกล้และไกล 21 เขาเขียนไปให้กับชาวยิวทุกคน ให้ถือวันที่สิบสี่และวันที่สิบห้าของเดือนอาดาร์ เป็นวันหยุดประจำปี 22 เพราะวันเหล่านั้นเป็นวันที่บรรดาชาวยิวได้กำจัดพวกศัตรูของพวกเขา และเป็นเดือนที่ความทุกข์โศกของพวกเขาได้กลายเป็นความชื่นชมยินดี การคร่ำครวญของพวกเขากลายเป็นการเลี้ยงฉลอง เขาบอกให้พวกเขาให้เฉลิมฉลองเลี้ยงกันในวันเหล่านั้น และส่งอาหารเป็นของขวัญให้แก่กันและกัน และส่งอาหารเป็นของขวัญให้กับคนยากจนด้วย

23 ดังนั้นชาวยิวจึงตกลงที่จะรักษาเทศกาลนี้ที่พวกเขาได้เริ่มต้นไว้ตลอดไป ตามที่โมรเดคัยได้เขียนมา

24 ฮามาน ลูกชายฮัมเมดาธา ชาวอากัก ศัตรูของพวกชาวยิว ได้วางแผนชั่วเพื่อทำลายชาวยิว เขาได้ทำการเสี่ยงทาย ที่เรียกว่า “เปอร์” เพื่อทำลายพวกยิวให้พินาศสิ้น 25 แต่เมื่อกษัตริย์ได้ล่วงรู้แผนการนั้น พระองค์พูดว่า “ขอให้คำสั่งชั่วร้ายที่ฮามานเขียนเพื่อทำลายชาวยิวนี้ เกิดขึ้นกับเขาแทน” ดังนั้นฮามานและลูกชายจึงถูกเสียบที่เสาไม้

26-27 ดังนั้น ประชาชน จึงเรียกวันเหล่านั้นว่า “ปูริม” ซึ่งมาจากคำว่า “เปอร์” โมรเดคัยได้เขียนจดหมายบอกให้ชาวยิวเฉลิมฉลองเทศกาลนี้ในสองวันที่กำหนดนี้ของทุกปี เพื่อให้ระลึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขา ดังนั้นพวกยิวจึงถือเป็นประเพณีสำหรับพวกเขาและลูกหลานของพวกเขาตามที่โมรเดคัยบอก 28 เพื่อพวกเขาจะถือเทศกาลนี้ไว้ และรักษาไว้สืบต่อไปในทุกยุคทุกสมัย ในทุกครอบครัว ในทุกมณฑล และในทุกเมือง คนยิวจะต้องเฉลิมฉลองเทศกาลปูริมนี้ทุกปีไม่หยุดหย่อน และรักษาเทศกาลนี้ตลอดไป และไม่ปล่อยให้มันหมดสิ้นไปจากผู้สืบเชื้อสายของชาวยิว

29 จากนั้น ราชินีเอสเธอร์ ลูกสาวอาบีฮาอิล กับโมรเดคัยชาวยิว ก็เขียนจดหมายออกมาอย่างเป็นทางการ เพื่อรับรองเทศกาลปูริม นี่เป็นจดหมายฉบับที่สอง 30 ซึ่งถูกส่งไปยังชาวยิวทั้งหลาย ในหนึ่งร้อยยี่สิบเจ็ดมณฑล ในอาณาจักรของกษัตริย์อาหสุเอรัส ในจดหมายนั้น พวกเขาบอกว่า “ขอให้พวกท่านอยู่เย็นเป็นสุข และมีความมั่นคง 31 พวกท่านและลูกหลานของพวกท่านต้องไม่ลืมที่จะเฉลิมฉลองเทศกาลปูริมในเวลาที่กำหนดไว้และตามอย่างที่เราสั่ง และพวกท่านก็ต้องทำตามคำแนะนำเกี่ยวกับการคร่ำครวญและอดอาหารที่เราสั่งด้วย” 32 กฎเกี่ยวกับเทศกาลปูริมนี้ได้ถูกเขียนขึ้นมาตามคำสั่งของราชินีเอสเธอร์ และได้ถูกจดไว้ในหนังสือบันทึกเหตุการณ์ต่างๆ

โมรเดคัยได้รับเกียรติ

10 ต่อมา กษัตริย์อาหสุเอรัสได้เรียกเก็บภาษีจากทั่วแผ่นดินของพระองค์ รวมไปถึงชายฝั่งทะเลด้วย เรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับอำนาจ และความยิ่งใหญ่ของพระองค์ รวมทั้งสาเหตุที่พระองค์ได้เลื่อนยศให้โมรเดคัยได้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือประจำวันของกษัตริย์แห่งมีเดีย และเปอร์เซีย เนื่องจากโมรเดคัยมีตำแหน่งรองจากกษัตริย์อาหสุเอรัส เขาเป็นที่นับถือของพวกชาวยิว และมีชื่อเสียงโด่งดังในหมู่พี่น้องชาวยิวทั้งหลาย เขาแสวงหาความเป็นอยู่ที่ดีให้ประชาชนของเขา และนำสันติสุขมาให้กับคนยิวทั้งหมด

โรม 4

ตัวอย่างจากชีวิตอับราฮัม

แล้วเราได้รับรู้อะไรเกี่ยวกับอับราฮัมบรรพบุรุษของชนชาติยิวเรา เพราะถ้าพระเจ้ายอมรับอับราฮัมเพราะการกระทำทั้งหลายของท่าน ท่านก็มีสิทธิ์ที่จะโอ้อวดได้ แต่จริงๆแล้วในสายตาของพระเจ้า ท่านไม่มีอะไรที่จะโอ้อวดได้ พระคัมภีร์เขียนไว้ว่าอย่างไร “อับราฮัมไว้วางใจพระเจ้า พระเจ้าก็เลยนับว่าความไว้วางใจของท่านนั้นเป็นสาเหตุเพียงพอที่พระองค์จะยอมรับท่าน”[a]

ดูอย่างคนที่ทำงานสิ ค่าแรงของเขาไม่ได้นับว่าเป็นของขวัญจากนายจ้าง แต่เป็นสิ่งที่เขาสมควรจะได้รับอยู่แล้ว ส่วนคนที่ไม่ทำงาน แต่กลับไว้วางใจในพระเจ้า พระเจ้าก็ยอมรับเขาถึงแม้เขาทำบาป พระองค์ก็นับความไว้วางใจนี้เป็นเหตุเพียงพอที่จะยอมรับเขา คนที่พระเจ้ายอมรับโดยไม่ได้นับว่าการงานที่เขาทำไปนั้น กษัตริย์ดาวิดได้พูดถึงเกียรติของคนแบบนี้ว่า

“เมื่อพระเจ้ายกโทษให้กับความผิดที่คนทำ
    และกลบเกลื่อนความบาปของเขา
ถือว่าเป็นเกียรติจริงๆ
เมื่อองค์เจ้าชีวิตไม่ได้นับความผิดของเขา
    นั่นนับว่าเป็นเกียรติจริงๆ”[b]

เกียรตินี้มีไว้สำหรับคนที่ทำพิธีขลิบเท่านั้นหรือ มันมีไว้สำหรับคนที่ไม่ได้ทำพิธีขลิบด้วยไม่ใช่หรือ ที่ผมถามก็เพราะเราพูดว่า “อับราฮัมไว้วางใจในพระเจ้า พระเจ้าก็เลยนับว่าความไว้วางใจของท่านนั้นว่าเป็นสาเหตุเพียงพอที่พระองค์จะยอมรับท่าน” 10 พระเจ้ายอมรับท่านตอนไหน ก่อนหรือหลังจากที่ท่านทำพิธีขลิบ จริงๆแล้วพระเจ้ายอมรับท่านก่อนที่ท่านจะทำพิธีขลิบเสียอีก 11 แล้วตอนหลังท่านถึงทำพิธีขลิบ เพื่อทำให้เห็นว่าพระเจ้ายอมรับท่านแล้วเพราะท่านมีความไว้วางใจก่อนที่ท่านจะทำพิธีขลิบเสียอีก ดังนั้นอับราฮัมจึงกลายเป็นบรรพบุรุษของทุกคนที่ไว้วางใจแต่ไม่ได้ทำพิธีขลิบ และพระเจ้านับว่าความไว้วางใจของพวกเขานี้ว่าเป็นสาเหตุเพียงพอที่จะยอมรับพวกเขา 12 นอกจากนั้นอับราฮัมก็ยังเป็นบรรพบุรุษของคนที่ทำพิธีขลิบด้วย ถ้าพวกเขาไม่ได้แค่ทำพิธีขลิบเท่านั้น แต่ยังดำเนินรอยตามอับราฮัมบรรพบุรุษของเราคือมีความไว้วางใจในพระเจ้าเหมือนกับที่อับราฮัมมีก่อนที่ท่านจะทำพิธีขลิบ

ต้องไว้วางใจพระเจ้าจึงจะได้ตามสัญญา

13 พระเจ้าสัญญากับอับราฮัมและลูกหลานของท่านว่า พวกเขาจะได้รับโลกนี้เป็นมรดก แต่ที่พระเจ้าสัญญากับท่านอย่างนั้น ไม่ใช่เพราะท่านทำตามกฎ แต่เพราะท่านไว้วางใจพระเจ้าต่างหาก พระเจ้าถึงยอมรับท่าน 14 ถ้าคนเราได้รับโลกนี้เป็นมรดกเพราะการทำตามกฎ การไว้วางใจพระเจ้าก็ไม่มีความหมายอะไรเลย และสัญญาของพระองค์ก็ต้องถูกยกเลิกไปด้วย 15 เพราะกฎนำไปสู่การลงโทษจากพระเจ้า เพราะคนทำผิดกฎเสมอ แต่ถ้าที่ไหนไม่มีกฎ ที่นั่นก็ไม่มีการทำผิดกฎ

16 ดังนั้นคำสัญญาของพระเจ้าจึงขึ้นอยู่กับความไว้วางใจ เพื่อคำสัญญานั้นจะได้เป็นของขวัญที่ให้กับเราเปล่าๆ และลูกหลานของอับราฮัมทุกคนจะได้รับสิ่งที่พระเจ้าสัญญาไว้อย่างแน่นอน ไม่ใช่แต่เฉพาะคนที่อยู่ใต้กฎเท่านั้นที่จะได้รับ แต่รวมถึงคนที่มีส่วนร่วมในความไว้วางใจของอับราฮัมด้วย เพราะท่านเป็นบรรพบุรุษของเราทุกคน 17 เหมือนกับที่พระคัมภีร์ได้เขียนไว้ว่า “เราได้ทำให้เจ้าเป็นบรรพบุรุษของคนหลายชนชาติ”[c] อับราฮัมเป็นบรรพบุรุษของเราต่อหน้าพระเจ้าที่ท่านไว้วางใจ เป็นพระเจ้าที่ทำให้คนตายฟื้นขึ้นมาใหม่ และทำให้สิ่งที่ยังไม่เคยมีมาก่อนเกิดขึ้น

18 เมื่อพระเจ้าสัญญากับอับราฮัมว่าเขาจะได้เป็นบรรพบุรุษของคนหลายชนชาติ ท่านก็ไว้วางใจและมีความหวังอย่างเต็มที่ ทั้งๆที่คำสัญญานั้นเหลือเชื่อ แต่ในที่สุดท่านก็ได้เป็นบรรพบุรุษของคนหลายชนชาติจริงตามที่พระเจ้าบอกกับท่านว่า “ลูกหลานของเจ้าจะมีมากมายเหมือนกับดวงดาวบนท้องฟ้า”[d] 19 ความไว้วางใจของอับราฮัมก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลย ทั้งๆที่อับราฮัมรู้ว่าร่างกายของท่านหมดสภาพเหมือนตายแล้ว (เพราะท่านมีอายุประมาณหนึ่งร้อยปี) และท่านยังรู้อีกด้วยว่าครรภ์ของนางซาราห์เมียของท่านเป็นหมันเหมือนกับตายไปแล้ว 20 แต่อับราฮัมไม่เคยสงสัยในคำสัญญาของพระเจ้าเลย กลับมีความไว้วางใจมากขึ้น ซึ่งเป็นการให้เกียรติกับพระเจ้า 21 อับราฮัมเชื่ออย่างแน่วแน่ว่า พระเจ้าสามารถทำในสิ่งที่พระองค์ได้สัญญาไว้ 22 “พระเจ้าจึงนับว่าความไว้วางใจของท่านนั้นเป็นสาเหตุเพียงพอที่จะยอมรับท่าน”[e] 23 อย่างที่พระคัมภีร์เขียนไว้นั้น คำพูดเหล่านี้ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องของอับราฮัมเท่านั้น 24 แต่เกี่ยวกับพวกเราด้วย พระเจ้าจะนับว่าความไว้วางใจของเรานั้นเป็นสาเหตุเพียงพอที่จะยอมรับเราด้วย คือพวกเราที่ไว้วางใจในพระเจ้า ผู้ทำให้พระเยซูคริสต์เจ้าของเราฟื้นขึ้นจากความตาย 25 เป็นเพราะความผิดบาปของเรา พระเจ้าถึงได้มอบพระเยซูให้คนเอาไปฆ่า และพระเจ้าทำให้พระเยซูฟื้นขึ้นจากความตาย เพื่อเราจะได้เป็นคนที่พระองค์ยอมรับ

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International