M’Cheyne Bible Reading Plan
โยเซฟเปิดเผยว่าเขาคือใคร
45 โยเซฟไม่สามารถที่จะควบคุมตัวเอง ต่อหน้าคนที่ยืนอยู่ข้างๆเขาได้อีกต่อไปแล้ว เขาจึงร้องตะโกนว่า “ให้ทุกคนออกไป” เมื่อไม่มีใครอยู่แล้ว โยเซฟบอกกับพวกพี่น้องว่าเขาเป็นใคร 2 โยเซฟร้องไห้เสียงดังมากจนชาวอียิปต์ได้ยิน คนในบ้านเรือนของฟาโรห์ก็ได้ยินเรื่องนี้ด้วย 3 โยเซฟพูดกับพวกพี่น้องของเขาว่า “ผมคือโยเซฟ พ่อของผมยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า” พี่ชายของเขาไม่สามารถตอบเขาได้ เพราะโยเซฟทำให้พวกเขาตกใจกลัว
4 โยเซฟได้พูดกับพวกพี่น้องของเขาว่า “ช่วยเข้ามาใกล้ๆผมหน่อย” แล้วพวกเขาก็เข้ามาใกล้ๆโยเซฟ โยเซฟจึงพูดว่า “ผมคือโยเซฟน้องชายของพวกพี่ ที่พี่ได้ขายให้เป็นทาสในอียิปต์ 5 ตอนนี้อย่าได้กังวลและอย่าโกรธตัวเองเลยที่ได้ขายผมมาที่นี่ เพราะพระเจ้าได้ส่งผมมาล่วงหน้าพวกพี่ เพื่อจะได้ช่วยชีวิต 6 เพราะเกิดกันดารอาหารบนแผ่นดินนี้มาสองปีแล้ว ยังเหลืออีกห้าปีที่จะไม่สามารถไถนาหรือเก็บเกี่ยวได้ 7 แต่พระเจ้าได้ส่งผมมาล่วงหน้าพี่ เพื่อให้แน่ใจว่าจะมีพวกพี่บางคนเหลืออยู่ในโลกนี้ และเพื่อที่จะช่วยชีวิตของพวกพี่ด้วยวิธีที่มหัศจรรย์ 8 ดังนั้นพวกพี่ไม่ได้ส่งผมมาที่นี่หรอก แต่เป็นพระเจ้าเองที่ส่งผมมา พระองค์ทำให้ผมเป็นเหมือนพ่อของฟาโรห์ เป็นเจ้านายเหนือบ้านเรือนของฟาโรห์ และปกครองเหนือแผ่นดินอียิปต์ทั้งหมด”
ยาโคบได้รับเชิญไปประเทศอียิปต์
9 รีบกลับไปหาพ่อของผมเร็ว และบอกพ่อว่า “โยเซฟลูกชายของพ่อพูดว่าอย่างนี้ ‘พระเจ้าได้ทำให้ผมเป็นผู้ปกครองเหนืออียิปต์ทั้งหมด ลงมาหาผมเร็วๆอย่าได้ชักช้า 10 แล้วพ่อจะได้อาศัยอยู่ที่แผ่นดินโกเชน พ่อจะได้อยู่ใกล้ๆผม ทั้งตัวพ่อ ลูกๆของพ่อ หลานๆของพ่อ ฝูงสัตว์ของพ่อ และทุกสิ่งทุกอย่างที่พ่อมี 11 ผมจะเลี้ยงดูพ่อที่นั่น เพื่อว่าพ่อและครอบครัวของพ่อ และทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของพ่อจะได้ไม่ต้องเจอกับความยากลำบากอีกต่อไป เพราะความอดอยากยังจะมีต่อไปอีกห้าปี’
12 ตอนนี้พวกพี่และเบนยามินน้องชายของพี่ ก็ได้เห็นกับตาตนเองแล้วว่า เป็นผมเองที่กำลังพูดกับพี่ 13 ให้พวกพี่ไปเล่าให้พ่อฟังถึงเกียรติที่ผมได้รับในอียิปต์ และเล่าให้พ่อฟังถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่พี่ได้เห็น แล้วรีบๆไปพาพ่อลงมาที่นี่” 14 แล้วโยเซฟก็กอดเบนยามินน้องชายของเขาและร้องไห้ เบนยามินก็ร้องไห้ขณะที่เขากอดโยเซฟเหมือนกัน 15 โยเซฟได้จูบพี่ชายของเขาทุกคน และร้องไห้ขณะที่เขากอดพี่ชายของเขา หลังจากนั้น พี่ชายของเขาเริ่มพูดกับโยเซฟ
16 ข่าวนี้ได้ไปถึงวังของฟาโรห์ ว่าพี่น้องของโยเซฟมา ฟาโรห์และเหล่าข้าราชสำนักของเขาต่างก็ดีใจ 17 ฟาโรห์ได้พูดกับโยเซฟว่า “บอกกับพี่ชายของเจ้า ให้ทำอย่างนี้ คือ ให้บรรทุกอาหารบนหลังลาของพวกเจ้า แล้วเดินทางไปแผ่นดินคานาอัน 18 แล้วพาพ่อและครอบครัวของเจ้ามาหาเรา แล้วเราจะให้แผ่นดินที่ดีที่สุดในอียิปต์กับเจ้า และพวกเขาจะได้กินอาหารที่ดีที่สุดในแผ่นดินนี้ 19 ให้สั่งพวกเขาให้ทำอย่างนี้ คือให้เอาพวกเกวียนจากอียิปต์ ไปรับเด็กๆของเจ้า และเมียของพวกเจ้าที่นั่น และพาพ่อของเจ้ากลับมาที่นี่ 20 ไม่ต้องเสียดายสิ่งของต่างๆที่จะต้องทิ้งไว้ที่นั่น เพราะสิ่งที่ดีที่สุดในอียิปต์จะเป็นของพวกเจ้า”
21 ลูกชายของอิสราเอลก็ทำตามนี้ โยเซฟได้ให้เกวียนกับพวกเขาไปตามคำสั่งของฟาโรห์ และโยเซฟได้จัดหาอาหารให้พวกเขาสำหรับการเดินทาง 22 โยเซฟได้ให้เสื้อผ้าใหม่ๆหนึ่งชุดกับพวกเขาทุกคน แต่สำหรับเบนยามินน้องสุดท้องของเขา เขาได้ให้เงินสามร้อยเหรียญกับเสื้อผ้าห้าชุด 23 โยเซฟได้ส่งสิ่งของเหล่านี้ไปให้พ่อของเขา มีลาสิบตัวที่บรรทุกของดีๆจากอียิปต์ และลาตัวเมียสิบตัวที่บรรทุกข้าวสาร ขนมปัง และอาหารสำหรับการเดินทางของพ่อเขา 24 โยเซฟได้ส่งพี่ชายของเขา และพวกเขาก็จากไป โยเซฟบอกกับพวกเขาว่า “อย่าได้ทะเลาะกันในระหว่างทาง” 25 พวกเขาได้ออกเดินทางจากอียิปต์ไปหายาโคบพ่อของพวกเขาในแผ่นดินคานาอัน 26 พวกเขาได้บอกพ่อว่า “โยเซฟยังมีชีวิตอยู่ เขากำลังปกครองแผ่นดินอียิปต์ทั้งหมด”
ยาโคบถึงกับตกตะลึง เพราะเขาไม่เชื่อพวกลูกๆของเขา 27 พวกลูกๆก็เล่าถึงสิ่งที่โยเซฟได้บอกกับพวกเขาทั้งหมดให้พ่อฟัง ยาโคบได้เห็นรถที่โยเซฟส่งมารับเขากลับไปยังอียิปต์ 28 ยาโคบพ่อของพวกเขาจึงตื่นเต้นและมีความสุขมาก และพูดว่า “พอแล้ว พ่อเชื่อพวกเจ้าแล้วว่าโยเซฟลูกชายของพ่อยังมีชีวิตอยู่ พ่อจะไปพบเขาก่อนตาย”
เจ้าเมืองปีลาตตั้งคำถามพระเยซู
(มธ. 27:1-2, 11-14; ลก. 23:1-5; ยน. 18:28-38)
15 พอรุ่งเช้าพวกหัวหน้านักบวช พวกผู้อาวุโสพวกครูสอนกฎปฏิบัติและสมาชิกสภา แซนฮีดริน ก็วางแผนกันว่าจะทำอย่างไรกับพระเยซูดี พวกเขามัดพระเยซูแล้วนำตัวไปมอบให้กับปีลาต
2 ปีลาตถามพระองค์ว่า “แกเป็นกษัตริย์ของชาวยิวหรือ” พระเยซูก็ตอบว่า “ใช่อย่างที่ท่านว่า”
3 พวกหัวหน้านักบวชกล่าวหาพระองค์ในหลายๆเรื่อง 4 ปีลาตถามพระองค์อีกว่า “แกจะไม่แก้ตัวเลยหรือ เห็นหรือเปล่าว่าพวกเขากล่าวหาแกตั้งหลายเรื่อง”
5 แต่พระเยซูก็ไม่ตอบ ซึ่งทำให้ปีลาตแปลกใจมาก
พระเยซูถูกตัดสินประหารชีวิต
(มธ. 27:15-31; ลก. 23:13-25; ยน. 18:39-19:16)
6 ตามปกติในช่วงเทศกาลวันปลดปล่อยเป็นประเพณีที่ปีลาตจะยอมปล่อยนักโทษคนหนึ่งตามที่พวกเขาขอ 7 ชายคนหนึ่งชื่อ บารับบัส ติดคุกอยู่กับพวกก่อการจลาจล เพราะพวกเขาได้ก่อการจลาจลและฆ่าคนในครั้งนั้นด้วย 8 คนก็มาทวงปีลาตให้ปล่อยนักโทษตามธรรมเนียมที่เคยทำมา
9 ปีลาตจึงถามพวกเขาไปว่า “พวกเจ้าอยากให้เราปล่อยกษัตริย์ของชาวยิวหรือเปล่า” 10 ที่พูดอย่างนี้ก็เพราะปีลาตรู้ดีว่า ที่พวกหัวหน้านักบวชจับพระเยซูส่งมาให้กับเขานั้นมันเกิดจากความอิจฉา 11 แต่พวกหัวหน้านักบวชนั้นยุแหย่ให้พวกชาวบ้านขอให้ปีลาตปล่อยบารับบัสแทนพระเยซู
12 ปีลาตก็ถามพวกเขาอีกครั้งหนึ่งว่า “แล้วพวกเจ้าจะให้เราทำยังไงกับคนที่พวกเจ้าเรียกว่า กษัตริย์ของพวกยิว”
13 พวกเขาตะโกนกลับมาว่า “ตรึงมัน”
14 แต่ปีลาตถามว่า “ทำไมล่ะ เขาทำผิดอะไร” แต่พวกเขายิ่งตะโกนดังขึ้นๆว่า “ตรึงมัน”
15 ปีลาตอยากจะเอาใจชาวบ้าน จึงปล่อยบารับบัสให้กับพวกเขา จากนั้นเขาสั่งให้เฆี่ยนตีพระเยซู และส่งตัวพระองค์ไปให้กับทหารเพื่อเอาไปตรึงที่ไม้กางเขน
พวกทหารล้อเลียนพระเยซู
16 พวกทหารพาพระเยซูเข้าไปในศูนย์บัญชาการใหญ่ (ที่เรียกว่า ศาลปรีโทเรียม) และเรียกทหารทั้งกองมา 17 พวกเขาเอาเสื้อคลุมสีม่วง[a] มาใส่ให้พระองค์ และเอาหนามมาสานเป็นมงกุฎสวมให้กับพระองค์ 18 แล้วพวกเขาก็แกล้งทำเป็นคำนับเพื่อล้อเลียนพระองค์ และพูดว่า “กษัตริย์ของชาวยิวจงเจริญ” 19 พวกเขาเอาไม้อ้อตีศีรษะพระองค์ ถ่มน้ำลายใส่ และแกล้งทำเป็นคุกเข่าลงกราบไหว้พระองค์ 20 เมื่อล้อเลียนกันจนพอใจแล้ว พวกเขาก็ถอดเสื้อคลุมสีม่วงออกแล้วใส่เสื้อผ้าชุดเดิมให้กับพระองค์ แล้วนำพระองค์ไปตรึงที่ไม้กางเขน
พระเยซูตายบนไม้กางเขน
(มธ. 27:32-44; ลก. 23:26-43; ยน. 19:17-27)
21 ในระหว่างทางที่แห่พระเยซูไปนั้นพวกเขาได้บังคับให้ซีโมนชาวไซรีนที่เพิ่งมาจากชนบทแบกไม้กางเขนแทนพระเยซู ซีโมนเป็นพ่อของอเล็กซานเดอร์และรูฟัส 22 พวกเขาพาพระเยซูมาถึงสถานที่หนึ่งชื่อ กลโกธา (แปลว่า “เนินหัวกระโหลก”) 23 เขาเอาเหล้าองุ่นผสมกับมดยอบ[b] มาให้พระองค์ดื่ม แต่พระองค์ไม่ยอมดื่ม 24 พวกเขาตรึงพระองค์ที่ไม้กางเขน ส่วนพวกทหารก็เอาเสื้อผ้าของพระองค์มาจับสลากแบ่งกัน
25 ตอนที่พวกเขาตรึงพระเยซูนั้นเป็นเวลาเก้าโมงเช้า 26 มีป้ายเขียนคำกล่าวหาพระองค์ว่า “กษัตริย์ของชาวยิว” 27 และเขาก็ตรึงโจรสองคนไว้ที่ไม้กางเขนข้างๆพระองค์ ทางขวาคนหนึ่งและทางซ้ายคนหนึ่ง 28 [c] 29 คนที่เดินผ่านไปมาพากันส่ายหัว และพูดเยาะว่า “อ้าว ไหนบอกว่าจะทำลายวิหารแล้วสร้างมันขึ้นมาใหม่ในสามวันไง 30 ตอนนี้ช่วยตัวเองลงมาจากไม้กางเขนสิ”
31 พวกหัวหน้านักบวช และพวกครูสอนกฎปฏิบัติก็พูดเยาะเย้ยพระเยซู เขาพูดกันว่า “มันช่วยคนอื่นให้รอดได้ แต่ช่วยตัวเองไม่ได้ 32 ให้พระคริสต์ กษัตริย์ของชาวอิสราเอลคนนี้ลงมาจากไม้กางเขนเสียก่อน เราจะได้เห็นและเชื่อ” และคนที่ถูกตรึงอยู่ข้างๆพระเยซูก็พูดดูถูกพระองค์ด้วย
พระเยซูตาย
(มธ. 27:45-56; ลก. 23:44-49; ยน. 19:28-30)
33 ในตอนเที่ยง มีแต่ความมืดมิดปกคลุมไปทั่วทั้งแผ่นดินจนถึงบ่ายสามโมง 34 เมื่อถึงบ่ายสามโมงแล้ว พระเยซูก็ร้องเสียงดังว่า “เอโลอี เอโลอี ลามา สะบักธานี” ซึ่งแปลว่า “พระเจ้าของลูก พระเจ้าของลูก ทำไมถึงทอดทิ้งลูกไป”[d]
35 เมื่อบางคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นได้ยิน พวกเขาก็พูดว่า “ฟังสิเขากำลังเรียกเอลียาห์”
36 มีคนหนึ่งรีบวิ่งเอาฟองน้ำไปจุ่มเหล้าองุ่นเปรี้ยวมาเสียบที่ปลายไม้อ้อแล้วยื่นขึ้นไปให้พระองค์ดื่ม ชายคนนั้นพูดว่า “ให้คอยดูซิว่าเอลียาห์จะมาเอาเขาลงจากไม้กางเขนหรือเปล่า”
37 เมื่อพระเยซูร้องเสียงดังแล้ว พระองค์ก็สิ้นใจตาย
38 ผ้าม่านในวิหาร ก็ขาดออกเป็นสองส่วนจากบนลงล่าง 39 เมื่อนายร้อยคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆนั้น เห็นการตายของพระองค์อย่างนี้ เขาก็พูดว่า “คนนี้เป็นบุตรของพระเจ้าแน่ๆ”
40 มีผู้หญิงบางคนยืนดูอยู่ห่างๆ ในกลุ่มนั้นมี มารีย์ชาวมักดาลา มารีย์แม่ของยากอบน้อยกับโยเสส และสะโลเม 41 ผู้หญิงพวกนี้เป็นคนที่ได้ติดตามดูแลพระเยซูตั้งแต่พระองค์อยู่ที่แคว้นกาลิลี และยังมีผู้หญิงคนอื่นๆอีกหลายคนที่ติดตามพระองค์มาจากเมืองเยรูซาเล็มอยู่ที่นั่นด้วย
พระเยซูถูกฝัง
(มธ. 27:57-61; ลก. 23:50-56; ยน. 19:38-42)
42 เมื่อถึงเวลาเย็นของวันจัดเตรียม (เป็นวันก่อนวันหยุดทางศาสนาหนึ่งวัน) 43 โยเซฟจากเมืองอาริมาเธียเป็นสมาชิกสภาแซนฮีดรินคนหนึ่งที่คนให้ความเคารพนับถือ เขากำลังคอยอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ เขากล้าที่จะเข้าไปหาปีลาตเพื่อขอศพของพระเยซู 44 ปีลาตก็รู้สึกแปลกใจที่พระเยซูตายแล้ว จึงเรียกนายร้อยเข้ามาถามว่าพระเยซูตายนานแล้วหรือยัง 45 เมื่อเขาฟังรายงานแล้ว เขาก็อนุญาตให้โยเซฟไปเอาศพได้ 46 โยเซฟซื้อผ้าลินิน และเอาศพพระเยซูลงมาจากไม้กางเขน พันพระองค์ไว้ด้วยผ้าลินินนั้น และฝังพระองค์ไว้ในอุโมงค์ที่เจาะเข้าไปในหิน จากนั้นก็กลิ้งหินก้อนใหญ่มาปิดปากอุโมงค์ไว้ 47 มารีย์ชาวมักดาลา และมารีย์แม่ของโยเสส ก็เห็นว่าพระองค์ถูกนำไปฝังไว้ที่นั่น
โศฟาร์พูดกับโยบ
11 แล้วโศฟาร์ชาวนาอามาห์ตอบโยบว่า
2 “คำพูดที่มากมายขนาดนี้จะปล่อยให้ไม่มีคำตอบหรือ
คนนี้ที่พูดมากจะต้องเป็นฝ่ายถูกอย่างนั้นหรือ
3 ท่านคิดว่าคำบ่นพึมพำอันไร้สาระของท่าน
จะทำให้คนอื่นเงียบงันไปอย่างนั้นหรือ
เมื่อท่านพูดเยาะเย้ยมากขนาดนี้
จะไม่ให้มีใครมาทำให้ท่านเสียหน้าเลยหรือ
4 ท่านพูดว่า ‘คำสอนของข้านั้นถูกต้อง’
และพูดว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า ข้าพเจ้านั้นสะอาดบริสุทธิ์ในสายตาของพระองค์’
5 แต่ข้าอยากให้พระเจ้าพูดเหลือเกิน
คือเปิดริมฝีปากของพระองค์พูดกับท่าน
6 และข้าอยากจะให้พระองค์
เปิดเผยความลับแห่งสติปัญญาให้กับท่าน
เพราะสติปัญญานั้นย่อมมีอีกแง่มุมหนึ่งที่ท่านคิดไม่ถึง
แล้วท่านจะได้รู้ว่าพระเจ้าได้ลงโทษท่านน้อยกว่าที่ท่านสมควรจะได้รับเสียอีก
7 ท่านสามารถค้นพบสติปัญญาอันลึกลับของพระเจ้าได้หรือ
ท่านสามารถค้นพบขอบเขตแห่งความรู้ของพระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ได้หรือ
8 มันสูงยิ่งกว่าฟ้าสวรรค์ ท่านจะไปทำอะไรได้
มันลึกยิ่งกว่าแดนคนตาย ท่านจะไปรู้อะไรได้
9 สติปัญญาของพระเจ้านั้น
วัดได้ยาวไกลกว่าผืนโลกและกว้างยิ่งกว่าทะเล
10 ถ้าพระองค์ผ่านมาและคุมขังใครไว้
และเรียกตัวผู้นั้นขึ้นตัดสินความ ใครจะไปห้ามพระองค์ได้
11 เพราะพระองค์รู้ว่าใครทำตัวไร้ค่า
แล้วเมื่อพระองค์เห็นความชั่วร้าย พระองค์จะมองข้ามมันไปหรือ
12 คนสมองกลวงจะมีสติปัญญาได้
ก็ต่อเมื่อลาป่าเกิดลูกออกมาเป็นคน
13 ถ้าท่านมอบจิตใจของท่านให้กับพระเจ้า
และยื่นมือของท่านไปยังพระองค์
14 ถ้าท่านเอาความชั่วร้ายในมือของท่านทิ้งไป
และไม่ยอมให้ความผิดบาปอาศัยอยู่ในพวกเต็นท์ของท่าน
15 เมื่อนั้น ท่านจะเชิดหน้าขึ้นได้แน่อย่างไม่มีที่ติ
ท่านจะมั่นคงและไม่หวั่นกลัวต่อสิ่งใด
16 เพราะท่านจะลืมความทุกข์ยากของท่าน
เหมือนสายน้ำที่ไหลผ่านไปแล้ว
17 ชีวิตของท่านจะส่องสว่างสดใสยิ่งกว่ายามเที่ยงวัน
แม้แต่ความมืดในชีวิตของท่านก็จะเป็นเหมือนแสงสว่างในยามเช้า
18 ท่านจะรู้สึกปลอดภัย เพราะมีความหวัง
ท่านจะได้รับการป้องกันอย่างแน่นหนา และนอนพักอย่างปลอดภัย
19 เมื่อท่านนอนลง จะไม่มีใครทำให้ท่านกลัว
ผู้คนมากมายจะมาร้องขอความช่วยเหลือจากท่าน
20 แต่ดวงตาของคนชั่วร้ายจะมืดมัวไป
มันหาทางหนีไม่เจอ
ความหวังของมันก็คือความตายนั่นเอง”
15 พวกเราที่มีความเชื่อเข้มแข็ง มีหน้าที่ที่จะต้องอดทนกับคนที่มีความเชื่ออ่อนแอ และ ไม่ควรทำตามใจตนเอง 2 ให้เราทุกคนเอาใจใส่เพื่อนบ้าน เพื่อเป็นประโยชน์และเสริมสร้างเขาด้วย 3 เพราะพระคริสต์ไม่ได้ทำตามใจตัวเอง แต่ตรงกันข้าม อย่างที่พระคัมภีร์ได้เขียนไว้ว่า “ข้าแต่องค์เจ้าชีวิต คำดูถูกของคนพวกนั้นที่ดูถูกพระองค์ได้ตกอยู่กับเราแล้ว”[a]
4 ทุกอย่างที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ในสมัยก่อนนั้น ก็เขียนไว้เพื่อสั่งสอนเรา เพื่อว่าในขณะที่เราอดทนและได้รับกำลังใจจากพระคัมภีร์ เราจะได้ยึดมั่นในความหวังที่เรามี 5 ขอให้พระเจ้าผู้เป็นแหล่งของความอดทนและกำลังใจ ช่วยให้พวกคุณเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันตามแบบอย่างของพระเยซูคริสต์ 6 เพื่อพวกคุณทั้งหมดจะได้สรรเสริญพระเจ้า ผู้เป็นพระบิดาของพระเยซูคริสต์เจ้าของเราเป็นเสียงเดียวกัน
7 ดังนั้นให้ยอมรับกันและกัน เหมือนกับที่พระคริสต์ยอมรับคุณ เพื่อพระเจ้าจะได้รับเกียรติ 8 ผมขอบอกพวกคุณว่า พระคริสต์ได้มาเป็นผู้รับใช้ของคนยิว เพื่อทำให้เห็นถึงความซื่อสัตย์สุจริตของพระเจ้า เพื่อยืนยันคำสัญญาที่พระองค์ได้ให้ไว้กับพวกบรรพบุรุษ 9 และเพื่อคนที่ไม่ใช่ยิวจะได้สรรเสริญพระเจ้าที่ได้เมตตากรุณากับพวกเขา เหมือนกับที่พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า
“เพราะเหตุนี้ข้าพเจ้าจะให้เกียรติพระองค์ในหมู่คนที่ไม่ใช่ยิว
และข้าพเจ้าจะร้องเพลงสรรเสริญชื่อของพระองค์”[b]
10 พระคัมภีร์พูดไว้อีกว่า
“คนที่ไม่ใช่ยิวทั้งหลายเอ๋ย
ให้มาชื่นชมยินดีพร้อมกับคนของพระเจ้า”[c]
11 และยังพูดอีกว่า
“คนที่ไม่ใช่ยิวทั้งหลายเอ๋ย สรรเสริญองค์เจ้าชีวิตเถิด
และขอให้ชนชาติทั้งหลายสรรเสริญพระองค์”[d]
12 และอิสยาห์ก็พูดไว้เหมือนกันว่า
“ลูกหลานคนหนึ่งของเจสซี[e] จะมา
และขึ้นปกครองคนที่ไม่ใช่ยิว
แล้วคนที่ไม่ใช่ยิวจะฝากความหวังกับพระองค์”[f]
13 ขอให้พระเจ้าผู้เป็นแหล่งของความหวัง ช่วยเติมให้คุณเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ไปด้วยความชื่นชมยินดีและสันติสุข ตามความไว้วางใจที่คุณมีในพระองค์ เพื่อคุณจะได้มีความหวังอย่างเหลือล้น ด้วยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์
เปาโลเล่าเรื่องงานของเขา
14 พี่น้องครับ ผมมีความเชื่อมั่นในตัวพวกคุณว่า พวกคุณนั้นเต็มไปด้วยความดี และเพียบพร้อมไปด้วยความรู้ทุกอย่าง พวกคุณสามารถที่จะตักเตือนกันและกันได้ 15 แต่ที่ผมกล้าเขียนบางเรื่องถึงคุณ เพื่อเตือนความจำของคุณ ที่ผมทำอย่างนี้ก็ทำตามพรสวรรค์ที่พระเจ้ามอบให้ 16 คือให้ผมเป็นผู้รับใช้คนที่ไม่ใช่ยิวเพื่อพระเยซูคริสต์เจ้า และทำหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์ในการประกาศข่าวดีของพระเจ้าเหมือนกับนักบวช เพื่อคนที่ไม่ใช่ยิวนั้นจะได้เป็นเครื่องบูชาที่พระเจ้ายอมรับ และที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทำให้เป็นของพระองค์โดยเฉพาะ 17 ในฐานะที่ผมเป็นคนของพระเยซูคริสต์ ผมภูมิใจในหน้าที่ของผมที่มีต่อพระเจ้า 18 ผมไม่กล้าพูดถึงเรื่องอื่นหรอก นอกจากเรื่องที่พระคริสต์ได้ทำผ่านผมในการนำคนที่ไม่ใช่ยิวให้มาเชื่อฟังพระเจ้า ผ่านทางคำพูดและการกระทำของผม 19 โดยฤทธิ์อำนาจแห่งปาฏิหาริย์ และการอัศจรรย์ที่มาจากฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณของพระเจ้า ดังนั้นผมได้ประกาศข่าวดีของพระคริสต์จนทั่วแล้ว ตั้งแต่เมืองเยรูซาเล็มไปจนถึงแคว้นอิลลีริคุม 20 ผมตั้งเป้าไว้เสมอว่า จะไปประกาศข่าวดีในที่ที่ยังไม่มีใครเคยรู้จักพระคริสต์มาก่อน ผมจะได้ไม่ไปสร้างบนรากฐานที่คนอื่นวางไว้แล้ว 21 แต่มันเป็นไปตามที่พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า
“คนที่ไม่เคยมีใครไปบอก ก็จะได้เห็น
และคนที่ไม่เคยได้ยิน ก็จะเข้าใจ”[g]
เปาโลวางแผนจะไปกรุงโรม
22 งานที่ผมทำอยู่ในแคว้นเหล่านี้ ขัดขวางผมหลายครั้งไม่ให้มาหาคุณ 23 แต่ตอนนี้ ไม่เหลือที่ไหนในแคว้นเหล่านี้ให้ผมไปทำงานอีกแล้ว และผมก็ตั้งใจจะมาหาคุณตั้งหลายปีแล้วด้วย 24 ผมจึงวางแผนที่จะแวะมาเยี่ยมคุณเมื่อผมไปสเปน และอยู่สังสรรค์กับพวกคุณสักพักหนึ่ง แล้วหวังว่าหลังจากนั้น คุณจะช่วยสนับสนุนให้ผมเดินทางต่อไปที่สเปน 25 แต่ตอนนี้ ผมกำลังจะเดินทางไปเมืองเยรูซาเล็มเพื่อช่วยเหลือคนที่เป็นของพระเจ้าที่นั่น 26 เพราะบรรดาหมู่ประชุมของพระเจ้าในแคว้นมาซิโดเนีย และแคว้นอาคายาได้ตัดสินใจเรี่ยไรเงินเพื่อช่วยเหลือคนที่เป็นของพระเจ้าที่ยากจนในเมืองเยรูซาเล็ม 27 ดีแล้วที่พวกเขาตัดสินใจทำอย่างนั้น เพราะพวกเขาเป็นหนี้บุญคุณคนพวกนั้นอยู่ เพราะพี่น้องชาวยิวได้แบ่งปันพระพรฝ่ายพระวิญญาณของพวกเขาให้กับคนที่ไม่ใช่ยิว พี่น้องที่ไม่ใช่ยิวก็ควรจะแบ่งปันพระพรฝ่ายวัตถุให้กับพี่น้องชาวยิวด้วย 28 ทันทีที่ผมทำงานนี้เสร็จ โดยมอบเงินที่เรี่ยไรมานี้ให้กับพวกเขาดูแลเรียบร้อยแล้ว ผมก็จะไปสเปนและแวะเยี่ยมคุณในระหว่างทาง 29 ผมรู้ว่าเมื่อผมมาหาคุณ ผมจะมาแบ่งปันพระพรอันเต็มเปี่ยมของพระคริสต์กับพวกคุณ 30 พี่น้องครับ เป็นเพราะเห็นแก่พระเยซูคริสต์เจ้า และความรักจากพระวิญญาณ ผมถึงขอร้องคุณให้มาร่วมต่อสู้กับผม คืออธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อผม 31 อธิษฐานขอให้พระองค์ช่วยผมให้ปลอดภัยจากพวกที่ไม่เชื่อในแคว้นยูเดีย และอธิษฐานให้คนที่เป็นของพระเจ้าที่เมืองเยรูซาเล็มเต็มใจรับเงินเรี่ยไรที่ผมเอามาให้ 32 เพื่อว่าถ้าเป็นไปตามความต้องการของพระเจ้า ผมจะได้แวะมาหาคุณด้วยความยินดี และผมจะได้พักผ่อนหย่อนใจร่วมกับคุณ
33 ขอให้พระเจ้าผู้เป็นแหล่งของสันติสุข อยู่กับคุณทุกคนเถิด อาเมน
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International