M’Cheyne Bible Reading Plan
ข้อตกลงของพระเจ้ากับชาวอิสราเอล
19 ชาวอิสราเอลได้เดินทางมาถึงที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งซีนายในเดือนที่สาม หลังจากที่พวกเขาออกจากอียิปต์ 2 พวกเขาเดินทางจากตำบลเรฟีดิม มาถึงที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งซีนาย และตั้งค่ายอยู่ที่นั่น ขณะที่พวกเขาตั้งค่ายอยู่ที่นั่นตรงข้ามกับภูเขา 3 โมเสสได้ขึ้นไปบนภูเขา และพระยาห์เวห์เรียกเขาจากยอดเขาว่า “เจ้าต้องบอกกับชาวอิสราเอลลูกหลานของยาโคบว่า
4 ‘ตัวเจ้าเองได้เห็นแล้วว่า เราได้ทำยังไงกับอียิปต์ เราได้ยกพวกเจ้าขึ้นบนปีกของพวกนกอินทรี และพามาหาเรา 5 ต่อไปนี้ ถ้าพวกเจ้าเชื่อฟังเราอย่างแท้จริง และรักษาคำมั่นสัญญาของเรา พวกเจ้าจะเป็นของรักของหวงที่มีค่าของเราท่ามกลางชนชาติทั้งหลาย เพราะทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้เป็นของเรา 6 พวกเจ้าจะเป็นอาณาจักรของพวกนักบวช และเป็นชนชาติที่ศักดิ์สิทธิ์ให้กับเรา เจ้าจะต้องเอาคำพูดเหล่านี้ไปบอกกับลูกหลานของอิสราเอล’”
7 โมเสสจึงเรียกตัวผู้อาวุโสชาวอิสราเอลมาชุมนุมกัน และบอกพวกเขาเกี่ยวกับคำพูดทั้งหมดที่พระยาห์เวห์ได้สั่งเขามา 8 คนพวกนั้นต่างตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “พวกเราจะทำตามที่พระยาห์เวห์บอกทุกอย่าง”
แล้วโมเสสก็เอาคำพูดทั้งหมดของชาวอิสราเอลไปบอกกับพระยาห์เวห์ 9 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “เราจะมาหาเจ้าในก้อนเมฆที่หนาทึบ เพื่อประชาชนจะได้ยินเมื่อเราพูดกับเจ้า และพวกเขาจะได้เชื่อตลอดไป”
โมเสสได้บอกกับพระยาห์เวห์ถึงสิ่งที่ชาวอิสราเอลพูดทั้งหมด
10 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “ไปหาประชาชนพวกนั้น วันนี้และพรุ่งนี้ให้เจ้าไปเตรียมตัวพวกเขาเพื่อเข้าเฝ้า และเรียกให้พวกเขาซักเสื้อผ้าให้สะอาด 11 ในวันที่สาม พวกเขาต้องพร้อมแล้ว เพราะในวันที่สามนั้น พระยาห์เวห์จะลงมาให้ประชาชนทั้งหมดเห็นบนภูเขาซีนาย 12 เจ้าจะต้องกั้นเขตไว้ให้รอบภูเขานั้น และบอกกับประชาชนว่า ‘ระวังให้ดี อย่าได้ขึ้นไปบนภูเขานั้น หรือไปแตะต้องถูกมุมใดของภูเขา ถ้าใครแตะต้องถูกภูเขานั้น เขาจะต้องตาย 13 อย่าให้ใครไปแตะต้องคนที่ไปแตะถูกภูเขานั้น เขาต้องถูกหินขว้างหรือถูกยิงด้วยธนู ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ ก็ต้องตายทั้งนั้น แล้วเมื่อมีเสียงแตรเขาสัตว์ดังขึ้น พวกเขาจึงขึ้นมาบนภูเขานี้ได้’”
14 โมเสสจึงลงมาจากภูเขา มาหาประชาชนพวกนั้น โมเสสได้เตรียมตัวพวกเขาให้เข้าเฝ้าพระองค์ และพวกเขาก็ซักเสื้อผ้าของพวกเขาด้วย
15 แล้วโมเสสก็บอกกับประชาชนว่า “ในสามวันนี้ ให้เตรียมพร้อมทุกอย่าง และห้ามแตะต้องตัวผู้หญิงเด็ดขาด”
16 ในตอนเช้าของวันที่สาม ได้เกิดฟ้าร้อง ฟ้าแลบ และมีเมฆหนาทึบอยู่บนภูเขา และมีเสียงแตรดังสนั่น ประชาชนทั้งหมดที่อยู่ในค่าย ต่างกลัวจนตัวสั่น 17 โมเสสจึงนำประชาชนออกจากค่าย มาพบพระเจ้า พวกเขายืนอยู่ที่ตีนเขา 18 ภูเขาซีนายทั้งลูก ก็ถูกปกคลุมไปด้วยควันไฟ เพราะพระยาห์เวห์ได้ลงมาที่ภูเขานั้นในรูปแบบของไฟ ควันของมันพุ่งขึ้นเหมือนออกจากเตาเผา แล้วภูเขาทั้งลูกก็สั่นสะเทือนอย่างแรง 19 เสียงแตรก็ยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ โมเสสพูดกับพระเจ้า และพระองค์ตอบเขาด้วยเสียงฟ้าร้อง
20 พระยาห์เวห์ลงมาอยู่บนยอดเขาซีนาย พระองค์เรียกโมเสสขึ้นไปบนยอดเขา โมเสสจึงขึ้นไป
21 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “ลงไปเตือนประชาชน เพื่อพวกเขาจะได้ไม่ฝ่าขึ้นมาดูพระยาห์เวห์ แล้วทำให้หลายคนต้องตาย 22 ให้บอกพวกนักบวชที่จะเข้ามาใกล้กับพระยาห์เวห์ด้วยว่า พวกเขาจะต้องเตรียมตัวเข้าเฝ้าพระยาห์เวห์ พระองค์จะได้ไม่ลงโทษพวกเขา”
23 โมเสสบอกพระยาห์เวห์ว่า “คนพวกนั้นขึ้นมาบนภูเขาซีนายไม่ได้หรอก เพราะพระองค์เองได้เตือนพวกเราแล้วว่า ‘ให้กั้นเขตไว้รอบๆภูเขานี้ และทำให้ภูเขานี้ศักดิ์สิทธิ์’”
24 พระยาห์เวห์บอกโมเสสว่า “ลงไปพาอาโรนขึ้นมากับเจ้าด้วย แต่อย่าให้พวกนักบวชหรือคนอื่นๆฝ่าขึ้นมาหาพระยาห์เวห์ ไม่อย่างนั้นพระยาห์เวห์จะทำโทษพวกเขา”
25 โมเสสจึงลงไปหาประชาชน และพูดกับพวกเขา
พวกผู้นำชาวยิวอยากจะฆ่าพระเยซู
(มธ. 26:1-5, 14-16; มก. 14:1-2, 10-11; ยน. 11:45-53)
22 เมื่อใกล้ถึงเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อที่เรียกว่าเทศกาลวันปลดปล่อย 2 พวกผู้นำนักบวช และพวกครูสอนกฎปฏิบัติต่างพยายามหาทางที่จะฆ่าพระเยซู แต่พวกเขาก็กลัวชาวบ้าน
ยูดาสวางแผนหักหลังพระเยซู
(มธ. 26:14-16; มก. 14:10-11)
3 ซาตานได้เข้าสิงยูดาส อิสคาริโอทซึ่งเป็นศิษย์เอกคนหนึ่งในสิบสองคน 4 ยูดาสไปหาพวกผู้นำนักบวชและพวกทหารเฝ้าวิหาร เพื่อเสนอตัวที่จะช่วยจับพระเยซูให้ 5 พวกเขาดีใจมาก และสัญญาว่าจะให้เงินกับยูดาส 6 ยูดาสตกลงและเริ่มหาโอกาสที่จะส่งตัวพระเยซูไปให้พวกเขาตอนที่ไม่มีฝูงชนอยู่กับพระองค์
จัดเตรียมอาหารสำหรับเทศกาลวันปลดปล่อย
(มธ. 26:17-25; มก. 14:12-21; ยน. 13:21-30)
7 เมื่อถึงเทศกาลวันกินขนมปังไร้เชื้อ ซึ่งเป็นวันที่พวกยิวจะฆ่าลูกแกะถวายพระเจ้าสำหรับเทศกาลวันปลดปล่อยด้วย 8 พระเยซูบอกเปโตรกับยอห์นว่า “ไปเตรียมอาหารสำหรับเทศกาลวันปลดปล่อยให้พวกเรากินกัน”
9 พวกเขาจึงถามว่า “จะให้ไปเตรียมที่ไหนดีครับ” 10 พระองค์ตอบว่า “ให้เข้าไปในเมือง แล้วจะเจอผู้ชายที่แบกเหยือกน้ำ ให้ตามเขาเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง 11 ให้พูดกับเจ้าของบ้านนั้นว่า ‘อาจารย์ถามว่า ห้องที่เราจะใช้กินอาหารในเทศกาลวันปลดปล่อยกับพวกศิษย์อยู่ที่ไหน’ 12 เขาก็จะพาคุณขึ้นไปดูห้องใหญ่ชั้นบนที่เตรียมไว้พร้อมแล้ว ก็ให้จัดเตรียมอาหารที่นั่น” 13 พวกเขาก็ไปและมันก็เป็นไปตามที่พระเยซูบอกทุกอย่าง พวกเขาจึงจัดเตรียมอาหารสำหรับเทศกาลวันปลดปล่อยที่นั่น
อาหารมื้อเย็นขององค์เจ้าชีวิต
(มธ. 26:26-30; มก. 14:22-26; 1 คร. 11:23-25)
14 เมื่อถึงเวลากินอาหารสำหรับเทศกาลวันปลดปล่อย พระเยซูนั่งเอนตัวอยู่ที่โต๊ะอาหารกับพวกศิษย์เอก 15 แล้วพูดว่า “เราอยากจะกินอาหารสำหรับเทศกาลวันปลดปล่อยมื้อนี้กับพวกคุณมาก ก่อนที่เราจะถูกทรมาน 16 เราจะบอกให้รู้ว่า เราจะไม่กินอาหารสำหรับเทศกาลวันปลดปล่อยนี้อีก จนกว่าความหมายที่แท้จริงของเทศกาลวันปลดปล่อยนี้จะสำเร็จครบถ้วนในอาณาจักรของพระเจ้า”
17 แล้วพระองค์ก็ยกถ้วยขึ้นมาและขอบคุณพระเจ้า พร้อมกับพูดว่า “รับถ้วยนี้ไปแบ่งกันดื่ม 18 เราจะบอกให้รู้ว่า เราจะไม่ดื่มเหล้าองุ่นอีกจนกว่าอาณาจักรของพระเจ้าจะมาถึง”
19 หลังจากนั้นพระองค์ก็หยิบขนมปังขึ้นมา ขอบคุณพระเจ้า พร้อมหักส่งให้พวกเขา พระองค์พูดว่า “นี่คือร่างกายของเราที่ให้กับพวกคุณ ให้ทำอย่างนี้เพื่อเป็นการระลึกถึงเรา” 20 เมื่อพวกเขากินอาหารเย็นเสร็จแล้ว พระองค์ก็หยิบถ้วยขึ้นมาทำเหมือนเดิม แล้วพูดว่า “นี่เป็นเลือดของเราที่ได้หลั่งไหลออกมาเพื่อคุณ พระเจ้าได้ทำสัญญาขึ้นใหม่กับพวกคุณด้วยเลือดนี้”[a]
คนที่หักหลังพระเยซูเป็นใคร
21 พระเยซูพูดว่า “คนที่จะหักหลังเรา ก็นั่งอยู่ที่โต๊ะนี้กับเราด้วย 22 บุตรมนุษย์จะต้องตายตามที่พระเจ้าได้กำหนดไว้แล้วล่วงหน้า แต่คนที่หักหลังพระองค์นี้น่าละอายที่สุด”
23 พวกศิษย์เอกเหล่านั้นถามกันใหญ่ว่าใครจะทำอย่างนั้น
ให้เป็นเหมือนคนรับใช้
24 พวกศิษย์เอกต่างเถียงกันว่า พวกเขาคนไหนใหญ่ที่สุด 25 พระเยซูบอกว่า “พวกกษัตริย์ของคนต่างชาติชอบออกคำสั่งประชาชนของเขาไปทั่ว ส่วนพวกนั้นที่มีอำนาจ ก็ชอบให้คนเรียกว่า ‘ผู้ทำประโยชน์เพื่อสังคม’ 26 แต่พวกคุณต้องไม่เป็นอย่างนั้น ในพวกคุณ คนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดควรจะเป็นเหมือนเด็กที่สุด คนที่เป็นหัวหน้าควรจะเป็นเหมือนคนรับใช้ 27 ใครใหญ่กว่ากัน คนที่นั่งโต๊ะหรือคนที่ยืนรับใช้ คนนั่งไม่ใช่หรือ แต่เราอยู่ท่ามกลางพวกคุณเหมือนกับคนรับใช้
28 ตลอดเวลาที่ผ่านมา เมื่อเราถูกข่มเหง พวกคุณยืนเคียงข้างเราเสมอ 29 เราก็จะให้พวกคุณปกครองเป็นกษัตริย์ เหมือนกับที่พระบิดาของเราให้เราเป็นกษัตริย์ 30 เพื่อพวกคุณจะได้ดื่มกินกับเราในอาณาจักรของเรา และพวกคุณจะได้นั่งบนบัลลังก์ตัดสินชนชาติอิสราเอลสิบสองเผ่า”
อย่าทิ้งความเชื่อ
(มธ. 26:31-35; มก. 14:27-31; ยน. 13:36-38)
31 “เปโตรเอ๋ย เปโตร[b] ฟังให้ดี ซาตานได้ขอนำพวกคุณแต่ละคน ไปฝัดร่อนเหมือนข้าวเปลือก 32 แต่ เปโตร เราได้อธิษฐานให้คุณมีความเชื่อที่มั่นคง และเมื่อคุณหันกลับมาหาเราแล้ว ก็ให้ช่วยเหลือพี่น้องคนอื่นๆให้ตั้งมั่นคงอยู่ในความเชื่อด้วย”
33 เปโตรบอกว่า “ผมพร้อมที่จะติดคุกและตายพร้อมกับอาจารย์ครับ” 34 พระองค์ตอบว่า “เปโตร เราจะบอกให้รู้ว่า คืนนี้ก่อนไก่ขัน คุณจะพูดว่าไม่รู้จักเราถึงสามครั้ง”
ให้เตรียมพร้อมสำหรับปัญหายุ่งยาก
35 พระเยซูถามพวกศิษย์เอกว่า “แล้วตอนที่เราส่งพวกคุณออกไป โดยไม่มีกระเป๋าเงิน ถุงย่าม และรองเท้า พวกคุณขาดแคลนอะไรกันหรือเปล่า”
พวกเขาตอบว่า “ไม่ขาดแคลนอะไรเลยครับ”
36 พระองค์พูดว่า “แต่ตอนนี้ คนที่มีกระเป๋าเงินหรือถุงย่าม ก็ให้เอาติดตัวไปด้วย และถ้าใครไม่มีดาบ ก็ให้เอาเสื้อผ้าไปขาย แล้วไปซื้อดาบซะ 37 ที่เราบอกให้ทำอย่างนี้ ก็เพราะว่า มีข้อพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า
‘เขาถูกนับเป็นอาชญากรคนหนึ่งด้วย’ ซึ่งหมายถึงตัวเราเอง
และมันก็จะเป็นจริงตามนั้น”[c]
38 พวกเขาจึงบอกว่า “อาจารย์ครับ นี่ไง ดาบสองเล่ม” แต่พระองค์บอกว่า “เลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้ว”
อธิษฐานบนภูเขา
(มธ. 26:36-46; มก. 14:32-42)
39 พระเยซูออกไปที่ภูเขามะกอกเทศอีกตามเคย พวกศิษย์ก็ตามไปด้วย 40 เมื่อไปถึง พระองค์พูดว่า “ให้อธิษฐาน ขออย่าให้ตัวเองแพ้ต่อการยั่วยวน”
41 พระองค์ปลีกตัวออกไปใกล้ๆแค่ระยะขว้างหินตก แล้วพระองค์ก็คุกเข่าลงอธิษฐานว่า 42 “พระบิดา ถ้าพระองค์พอใจ ช่วยเอาถ้วย[d] แห่งความทุกข์นี้ไปจากลูกด้วยเถิด แต่ขอให้เป็นไปตามใจของพระบิดา ไม่ใช่ตามใจตัวลูกเอง” 43 แล้วก็มีทูตสวรรค์ลงมาให้กำลังใจพระองค์ 44 พระองค์ต่อสู้ดิ้นรนอย่างหนักในการอธิษฐาน จนเหงื่อไหลเหมือนหยดเลือดตกบนพื้นดิน[e] 45 เมื่ออธิษฐานแล้ว พระองค์ลุกขึ้นเดินกลับไป แต่เห็นพวกศิษย์นอนหลับกันหมด เพราะเสียใจจนหมดแรง 46 พระองค์จึงพูดว่า “ทำไมยังนอนกันอยู่อีก ลุกขึ้นมาอธิษฐานสิ จะได้ไม่แพ้ต่อการยั่วยวน”
พระเยซูถูกจับกุมตัว
(มธ. 26:47-56; มก. 14:43-50; ยน. 18:3-11)
47 พระเยซูพูดยังไม่ทันขาดคำ ยูดาสศิษย์คนหนึ่งในสิบสองคนของพระองค์ ก็นำคนกลุ่มหนึ่งเข้ามา ยูดาสทำท่าจะเข้ามาจูบทักทายพระองค์
48 พระเยซูถามยูดาสว่า “ยูดาส จะหักหลังบุตรมนุษย์ด้วยการจูบหรือ” 49 เมื่อพวกศิษย์ของพระเยซูเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น จึงถามพระองค์ว่า “อาจารย์ เอาดาบลุยมันเลยดีไหม” 50 ศิษย์คนหนึ่งของพระองค์ได้ชักดาบออกมา แล้วก็ฟันถูกหูขวาของทาสคนหนึ่งของหัวหน้านักบวชสูงสุดขาดไป
51 พระเยซูห้ามว่า “พอแล้ว” แล้วพระองค์ก็จับหูคนนั้นและรักษาให้เหมือนเดิม
52 แล้วพระเยซูหันไปพูดกับพวกหัวหน้านักบวช พวกนายทหารรักษาวิหาร และพวกผู้นำที่เป็นผู้ใหญ่ทั้งหลายที่มาจับพระองค์ว่า “เห็นเราเป็นโจรหรือยังไง ถึงได้ถือดาบและไม้กระบองมา 53 เราอยู่กับพวกคุณทุกวันในวิหาร ก็ไม่เห็นคุณจับเราเลย แต่ตอนนี้เป็นเวลาของคุณแล้ว เป็นเวลาที่ความมืดครอบครอง”
เปโตรกลัวที่จะยอมรับว่ารู้จักพระเยซู
(มธ. 26:57-58, 69-75; มก. 14:53-54, 66-72; ยน. 18:12-18, 25-37)
54 พวกเขาจับพระองค์ และนำตัวไปที่บ้านของหัวหน้านักบวชสูงสุด เปโตรได้ตามไปห่างๆ 55 เมื่อพวกเขาก่อกองไฟขึ้นกลางลานบ้าน และนั่งล้อมวงกัน เปโตรก็เข้าไปนั่งอยู่ด้วย 56 มีสาวใช้คนหนึ่งเห็นเปโตรนั่งอยู่ใกล้แสงไฟ นางก็จ้องมองดูเขาใกล้ๆและพูดขึ้นว่า “ชายคนนี้อยู่กับเยซูด้วย”
57 แต่เปโตรปฏิเสธว่า “แม่นาง ผมไม่รู้จักเขาเลย”
58 ต่อมาไม่นานอีกคนหนึ่งก็เห็นเปโตรและพูดขึ้นว่า “แกก็เป็นคนหนึ่งในพวกมันด้วยนี่”
แต่เปโตรปฏิเสธว่า “พ่อหนุ่ม ไม่ใช่ผมนะ”
59 ประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อมา ก็มีชายคนหนึ่งยืนยันว่า
“ไอ้คนนี้ ต้องอยู่กับเยซูแน่ๆเพราะมันเป็นชาวกาลิลีเหมือนกัน”
60 แต่เปโตรพูดว่า “พ่อหนุ่ม ผมไม่รู้ว่าคุณพูดเรื่องอะไร”
และเมื่อเปโตรพูดยังไม่ทันขาดคำก็มีเสียงไก่ขันขึ้นมา
61 พระเยซูหันมามองเปโตร ทำให้เขานึกขึ้นได้ถึงคำพูดของพระองค์ที่บอกว่า
“คืนนี้ก่อนไก่ขัน คุณจะพูดว่าไม่รู้จักเราถึงสามครั้ง”
62 แล้วเปโตรก็ออกไปร้องไห้อย่างขมขื่น
คนหัวเราะเยาะพระเยซู
(มธ. 26:67-68; มก. 14:65)
63 พวกที่ควบคุมตัวพระเยซูพากันเยาะเย้ยและทุบตีพระองค์ 64 พวกเขาเอาผ้ามาปิดตาพระองค์ และถามว่า “ทายดูซิว่าใครเป็นคนตีแก” 65 แล้วพวกเขาก็พูดดูถูก เหยียดหยามพระองค์อีกมากมาย
พระเยซูอยู่ต่อหน้าพวกผู้นำชาวยิว
(มธ. 26:59-66; มก. 14:55-64; ยน. 18:19-24)
66 เมื่อถึงตอนเช้า พวกผู้นำอาวุโส พวกหัวหน้านักบวช และพวกครูสอนกฎปฏิบัติ พากันมาประชุม และเอาตัวพระเยซูเข้ามาในศาลสูงของพวกเขา 67 พวกเขาพูดขึ้นว่า “บอกพวกเรามาซิว่า แกเป็นพระคริสต์หรือเปล่า”
พระเยซูจึงตอบพวกเขาว่า “ถึงเราบอก คุณก็ไม่เชื่ออยู่ดี 68 ถ้าเราถามอะไรคุณ คุณก็ไม่ตอบเหมือนกัน 69 แต่ว่านับจากนี้ไป บุตรมนุษย์จะนั่งอยู่ทางขวาของพระเจ้าผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้น”
70 พวกเขาทั้งหมดจึงถามพระองค์ว่า “ถ้างั้น แกก็เป็นบุตรของพระเจ้าสิ” พระองค์จึงตอบว่า “ใช่ อย่างที่ท่านว่า”
71 แล้วพวกเขาก็พูดขึ้นว่า “เรายังต้องการพยานอีกทำไม ในเมื่อเราก็ได้ยินจากปากของมันเองแล้วนี่”
37 พายุฝนฟ้าคะนองทำให้หัวใจของผมสั่นรัว
และเต้นออกมานอกอก
2 ฟังสิ ฟังเสียงอันกึกก้องของพระองค์
และฟังเสียงคำรามที่ออกมาจากปากของพระองค์
3 สายฟ้าของพระองค์สว่างจ้าไปทั่วใต้ฟ้า
และสว่างจ้าไปจนสุดปลายแผ่นดินโลก
4 แล้วเสียงของพระองค์ก็คำรามตามไป
พระองค์แผดเสียงกึกก้องอย่างน่าเกรงขาม
เมื่อได้ยินแล้ว ไม่มีใครหยั่งรู้ว่ามันจะไปไหนต่อ
5 พระองค์แผดเสียงกึกก้องด้วยวิธีการอันน่าอัศจรรย์
และพระองค์ทำสิ่งยิ่งใหญ่ทั้งหลายที่เราไม่อาจเข้าใจได้
6 พระองค์พูดกับหิมะว่า “ตกลงมาสู่แผ่นดินสิ”
พระองค์บอกกับหยาดฝนว่า “ตกลงมาอย่างหนัก”
7 พระองค์ทำให้ทุกคนต้องถูกกักไว้ข้างใน
เพื่อทุกคนจะได้รู้ถึงสิ่งที่พระองค์ทำ
8 ส่วนสัตว์ก็กลับไปยังที่ซ่อนของมัน
และไม่ออกมาจากรังของมัน
9 ลมพายุก็พัดมาจากคลังของมัน
ความหนาวเหน็บก็มาจากลมเหนือ
10 น้ำแข็งมาจากลมหายใจของพระเจ้า
และทะเลกว้างใหญ่ก็เริ่มแข็งตัว
11 พระองค์บรรจุความชุ่มชื้นไว้ในเมฆที่หนาทึบ
และทำให้สายฟ้าแลบของพระองค์กระจายออกจากหมู่เมฆ
12 หมู่เมฆหมุนวนไปรอบๆตามการนำของพระองค์
เพื่อพวกมันจะได้ทำให้คำสั่งของพระองค์สำเร็จบนผิวโลกที่มนุษย์อาศัยอยู่
13 ไม่ว่าพระองค์จะให้ฝนตกเพื่อการตีสอนหรือเพื่อเป็นประโยชน์ต่อแผ่นดินของพระองค์
หรือเพื่อแสดงความรักอันมั่นคงของพระองค์ พระองค์ก็เป็นผู้ทำให้มันเกิดขึ้นทั้งนั้น
14 ลุงโยบครับ ฟังเรื่องนี้ให้ดี
ให้อยู่นิ่งๆแล้วไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนถึงการกระทำต่างๆอันน่าทึ่งเหล่านี้ของพระองค์
15 ท่านรู้หรือว่าพระเจ้าประกาศสั่งหมู่เมฆ
และทำให้สายฟ้าแลบออกมาจากหมู่เมฆของพระองค์ได้ยังไง
16 ท่านรู้หรือว่าหมู่เมฆแผ่กระจายไปได้ยังไง
ท่านรู้ถึงการกระทำต่างๆอันน่าทึ่งของพระองค์ผู้รอบรู้หรือยังไง
17 เมื่อลมร้อนจากทิศใต้พัดมาทุกคนในแผ่นดินต่างก็หยุดนิ่ง
แล้วท่านก็เหงื่อแตกอยู่ในเสื้อของท่าน
18 แล้วแบบท่านนี่นะ จะมาคลี่หมู่เมฆออกเหมือนกับที่พระองค์ทำได้หรือ
คือให้มันแข็งราวกับกระจกที่ทำจากเหล็กที่เทลงในแม่พิมพ์
19 ไหน ช่วยสอนเราหน่อยสิว่าเราควรพูดอะไรกับพระองค์ดี
เพราะพวกเราอยู่ในความมืดและไม่รู้จะรวบรวมคดีฟ้องพระองค์ได้ยังไง
20 เหมาะแล้วหรือที่จะให้ใครไปบอกพระองค์ว่า มนุษย์อย่างผมนี่นะจะฟ้องร้องพระองค์
สับสนอย่างนี้จะไปพูดในศาลได้ยังไง
21 แค่แสงสว่างเจิดจ้าในท้องฟ้าตอนที่ลมพัดกวาดเอาหมู่เมฆไป
มนุษย์ก็ยังมองดูไม่ได้เลย
22 แต่พระองค์นั้นมาจากทางเหนือด้วยแสงทองสว่างไสว
พระเจ้าสวมใส่แสงที่แผ่รัศมีอันน่าเกรงขาม
23 พระองค์ผู้ทรงฤทธิ์นั้นพวกเราไม่สามารถเข้าใกล้ได้
พระองค์ยิ่งใหญ่ด้วยพลังอำนาจ ความยุติธรรม และความถูกต้อง
ซึ่งพระองค์ไม่มีวันฝ่าฝืน[a]
24 ดังนั้น มนุษย์จึงยำเกรงพระองค์
แม้แต่คนฉลาดทั้งหลายก็ยังไม่สามารถมองเห็นพระองค์ได้”
7 เพื่อนที่รัก ในเมื่อเรามีคำสัญญาพวกนี้ ก็ขอให้เราชำระตัวเองจากทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้ร่างกายและจิตใจสกปรก ทำตัวให้บริสุทธิ์ครบถ้วนเพราะยำเกรงพระเจ้า
ความยินดีของเปาโล
2 ช่วยเปิดใจรับเราด้วย เราไม่ได้ทำผิดต่อใคร เราไม่ได้ทำลายความเชื่อของใคร และเราไม่ได้โกงใคร 3 ที่ผมพูดอย่างนี้ผมไม่ได้โทษคุณนะ เพราะผมเคยบอกแล้วว่า พวกคุณอยู่ในใจเรา เราพร้อมที่จะร่วมเป็นร่วมตายกับพวกคุณอยู่แล้ว 4 ผมมั่นใจและภูมิใจในตัวพวกคุณมาก คุณทำให้ผมมีกำลังใจมาก ทั้งๆที่เรามีความทุกข์แสนสาหัส แต่ผมก็ยังมีความยินดีอย่างล้นเหลือ
5 เมื่อเรามาถึงแคว้นมาซิโดเนียนั้น เราไม่ได้พักผ่อนเลย มองไปทางไหนก็มีแต่ปัญหา ภายนอกก็มีแต่การทะเลาะวิวาทกัน ส่วนภายในใจก็มีแต่ความหวาดกลัว 6 แต่พระเจ้าผู้ปลอบโยนคนที่ท้อแท้ก็ปลอบโยนเราด้วย เพราะพระองค์ส่งทิตัสมาหาเรา 7 ไม่ใช่แค่เรื่องที่ทิตัสมาเท่านั้นที่ปลอบโยนเรา แต่ยังรวมถึงเรื่องที่พวกคุณให้กำลังใจทิตัสด้วย ทิตัสเล่าให้เราฟังหมดแล้วว่า พวกคุณอยากเจอเราขนาดไหน คุณเสียใจแค่ไหน และคุณห่วงใยผมขนาดไหน ทำให้ผมดีใจมากขึ้นไปอีก
8 ถึงแม้จดหมายของผมจะทำให้คุณเศร้าโศกเสียใจ ผมก็ไม่เสียใจหรอกที่เขียนไป แต่ยอมรับว่าผมเสียใจหลังจากเขียนไปแล้ว แต่ตอนนี้ผมก็เห็นแล้วว่าจดหมายนั้นทำให้คุณทุกข์ใจแค่ครู่เดียวเอง 9 ตอนนี้ผมดีใจ ไม่ใช่เพราะคุณเศร้าเสียใจหรอกนะ แต่เพราะความเศร้าเสียใจนั้นทำให้คุณกลับตัวกลับใจ เป็นความเศร้าเสียใจแบบที่พระเจ้าต้องการ พวกคุณก็เลยไม่ได้รับผลกระทบอะไรจากเราเลย 10 เพราะความเศร้าเสียใจแบบที่พระเจ้าต้องการนี้ทำให้คนกลับตัวกลับใจและได้รับความรอด ผมก็เลยไม่มีอะไรต้องเสียใจ แต่ความเศร้าเสียใจแบบโลกนี้สิที่นำไปถึงความตาย 11 ลองมาสังเกตดูสิว่าความเศร้าเสียใจแบบที่พระเจ้าต้องการนั้นมีผลอะไรกับคุณบ้าง เช่น ทำให้คุณเอาจริงเอาจัง อยากจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง โกรธคนที่ทำผิด กลัวถูกลงโทษ อยากจะเจอกับเราอีก ห่วงใยผม และลงโทษคนทำผิด คุณก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วในทุกๆทางว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่ความผิดของคุณ
12 ดังนั้น สาเหตุที่ผมเขียนมาให้พวกคุณไม่ใช่เพราะเห็นแก่คนที่ทำผิดหรือคนที่เสียหายหรอกนะ แต่อยากจะทำให้คุณรู้ต่อหน้าพระเจ้าว่าคุณห่วงใยเราขนาดไหน 13 เราได้รับกำลังใจจากเรื่องนี้ นอกจากจะมีกำลังใจแล้ว เราก็ยังดีใจเป็นพิเศษอีกด้วยที่เห็นทิตัสมีความสุข เพราะพวกคุณทำให้จิตใจของเขาสดชื่น 14 ผมเคยโอ้อวดเรื่องพวกคุณให้ทิตัสฟัง และผมก็ไม่ขายหน้าเลย เพราะเรื่องที่ผมบอกคุณเป็นจริงอย่างไร เรื่องที่ผมบอกกับทิตัสเกี่ยวกับคุณก็เป็นจริงอย่างนั้นด้วย 15 ทิตัสรักคุณมากยิ่งขึ้นเมื่อเขานึกถึงตอนที่คุณเชื่อฟังเขาในทุกเรื่อง และยังต้อนรับเขาด้วยความเคารพยำเกรงจนตัวสั่น 16 ผมดีใจที่สามารถมั่นใจในตัวคุณได้อย่างเต็มที่
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International