M’Cheyne Bible Reading Plan
ของถวายใช้ทำสิ่งศักดิ์สิทธิ์
(อพย. 35:4-9)
25 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า 2 “บอกกับประชาชนอิสราเอลให้นำของถวายมาให้เรา ให้แต่ละคนตัดสินใจเองว่า เขาอยากให้อะไรกับเรา แล้วให้เจ้ารับของถวายนี้แทนเรา 3 ของถวายที่เจ้าจะได้รับจากพวกเขา คือ ทองคำ เงิน ทองสัมฤทธิ์ 4 ด้ายสีน้ำเงิน สีม่วงและสีแดงเข้ม ผ้าลินิน[a] อย่างดี ขนแพะ 5 หนังแกะตัวผู้ หนังปลาโลมา ไม้กระถิน 6 น้ำมันสำหรับจุดตะเกียง เครื่องเทศที่ใช้ทำน้ำมันสำหรับเจิม และทำเครื่องหอม 7 หินจำพวกนิลและพลอยที่จะเอาไปฝังในเอโฟด และถุงผ้าทับอก
เต็นท์ศักดิ์สิทธิ์
8 แล้วให้พวกเขาสร้างสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ให้กับเรา และเราจะอยู่ท่ามกลางพวกเจ้า 9 เราจะแสดงให้เห็นว่าเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์และเครื่องใช้ไม้สอยของมัน มีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร พวกเจ้าจะต้องสร้างตามแบบนั้นทุกอย่าง
หีบศักดิ์สิทธิ์
(อพย. 37:1-9)
10 ให้พวกเขาทำหีบด้วยไม้กระถิน ที่มีความยาวสองศอกครึ่ง[b] กว้างหนึ่งศอกครึ่ง[c] สูงหนึ่งศอกครึ่ง 11 หีบนั้นจะต้องเคลือบด้วยทองคำบริสุทธิ์ทั้งด้านในและด้านนอก เจ้าต้องทำขอบของหีบด้วยทองโดยรอบ 12 ทำห่วงทองคำสี่ห่วงสำหรับหีบนั้นและติดห่วงนั้นไว้ที่ขาทั้งสี่ขา ติดสองห่วงไว้ด้านหนึ่งและอีกสองห่วงไว้อีกด้านหนึ่ง 13 ให้ทำคานที่ทำด้วยไม้กระถินและเคลือบคานด้วยทองคำ 14 สอดคานเหล่านั้นเข้าที่ห่วงด้านข้างของหีบ เพื่อใช้ยกหีบนั้น 15 คานเหล่านั้นจะต้องสอดอยู่ในห่วงของหีบและต้องไม่ถอดออกจากหีบเลย
16 ให้เจ้าใส่แผ่นหินสองแผ่นที่มีข้อตกลงเขียนไว้ ที่เราจะให้กับเจ้าลงในหีบนั้น 17 เจ้าจะต้องทำฝาหีบขึ้นจากทองคำบริสุทธิ์ ตรงฝาที่ความไม่บริสุทธิ์จากบาปจะถูกชำระ ฝาหีบจะมีความยาวสองศอกครึ่ง กว้างหนึ่งศอกครึ่ง 18 ให้สร้างเครูบสององค์ด้วยทองคำ เจ้าต้องขึ้นรูปเครูบนี้ด้วยค้อน และตั้งแต่ละองค์ไว้ที่ปลายของฝาหีบทั้งสองข้าง 19 ตั้งไว้ที่ปลายทั้งสองข้างของฝาหีบที่ความไม่บริสุทธิ์จากบาปจะถูกชำระ ให้สร้างเครูบทั้งสององค์นั้นติดเป็นเนื้อเดียวกับฝาหีบที่ปลายทั้งสอง 20 เครูบทั้งสององค์นั้นมีปีกทั้งสองข้างที่กางออก ปีกด้านหนึ่งของเครูบนั้นทำให้เกิดเงาขึ้นบนฝาหีบที่ความไม่บริสุทธิ์จากบาปจะถูกชำระ และเครูบทั้งสองหันหน้าเข้าหากัน ทั้งสองจะหันหน้าไปทางที่ซึ่งความไม่บริสุทธิ์จากบาปจะถูกชำระ
21 ให้เจ้าเอาฝาหีบที่ความไม่บริสุทธิ์จากบาปจะถูกชำระ มาวางลงบนหีบนั้น และใส่หลักฐานที่เราจะมอบให้เจ้าลงไปในหีบนั้น 22 ตรงนี้แหละ เราจะพบกับเจ้าเหนือฝาหีบที่ความไม่บริสุทธิ์จากบาปจะถูกชำระ ที่อยู่ระหว่างเครูบทั้งสองนั้น ซึ่งอยู่บนหีบแห่งข้อตกลง เราจะบอกเจ้าทุกเรื่องที่เราอยากให้เจ้าไปสั่งกับประชาชนชาวอิสราเอล
โต๊ะวางขนมปัง
(อพย. 37:10-16)
23 ให้เจ้าเอาไม้กระถินมาทำโต๊ะที่มีความยาวสองศอก[d] กว้างหนึ่งศอก[e] สูงหนึ่งศอกครึ่ง 24 ให้เคลือบโต๊ะนั้นด้วยทองคำบริสุทธิ์ และทำลวดลายด้วยทองคำบริสุทธิ์รอบๆโต๊ะ 25 ทำกรอบกว้างหนึ่งฝ่ามือรอบๆโต๊ะ และทำลวดลายบนกรอบนั้น 26 แล้วทำห่วงทองคำสี่ห่วงเอาไว้ติดกับมุมขาโต๊ะทั้งสี่มุม 27 ห่วงทั้งสี่ห่วงจะต้องติดอยู่กับกรอบเพื่อยึดคานเวลาหามโต๊ะ 28 ให้ทำคานด้วยไม้กระถินและเคลือบมันด้วยทองคำ คานนี้จะใช้หามโต๊ะ 29 ให้เจ้าทำพวกจาน ชาม ไหและโถที่ใช้รินเครื่องดื่มบูชา สิ่งเหล่านี้จะต้องทำด้วยทองคำบริสุทธิ์ 30 ให้จัดขนมปังไว้บนโต๊ะตรงหน้าเราอย่าให้ขาด
ตะเกียงที่มีขาตั้ง
(อพย. 37:17-24)
31 ให้เจ้าทำตะเกียงที่มีขาตั้งด้วยทองคำบริสุทธิ์ ให้ขึ้นรูปฐานและลำตัวของตะเกียงที่มีขาตั้งด้วยค้อน ส่วนฐานดอก ตัวดอก และกลีบดอกให้ทำติดเป็นเนื้อเดียวกัน
32 ให้มีก้านหกก้านยื่นออกมาจากตะเกียงที่มีขาตั้งนั้น ข้างละสามก้าน 33 แต่ละก้านจะต้องมีดอกไม้สามดอกที่เหมือนดอกอัลมอนต์ ทุกๆดอกให้มีฐานดอกและกลีบดอก ให้ทำตามนี้ทั้งหกก้าน 34 สำหรับลำตัวตะเกียงที่มีขาตั้งนั้น ให้มีถ้วยสี่ใบที่มีรูปร่างเหมือนกับดอกอัลมอนด์ มีฐานดอกและกลีบดอก 35 ใต้กิ่งทุกๆคู่ ทั้งหกกิ่งที่ยื่นออกมาจากลำตัวของตะเกียงที่มีขาตั้งนั้น จะต้องมีฐานดอกติดเป็นเนื้อเดียวกัน 36 ฐานดอกและก้านเหล่านั้นจะต้องทำให้ติดเป็นเนื้อเดียวกัน ทุกชิ้นส่วนของตะเกียงที่มีขาตั้งนั้น จะต้องใช้ค้อนขึ้นรูปจากทองคำบริสุทธิ์ 37 ให้ทำตะเกียง[f] เจ็ดดวงใส่ที่ตะเกียงที่มีขาตั้งนั้น แล้วจุดตะเกียงเหล่านั้นเพื่อตะเกียงเหล่านั้นจะได้ส่องแสงไปยังพื้นที่หน้าตะเกียงที่มีขาตั้ง 38 ให้ใช้ทองคำบริสุทธิ์ทำกรรไกรตัดไส้ตะเกียงและถาดใส่ไส้ตะเกียงที่ตัดนั้น 39 ข้าวของเครื่องใช้ทั้งหมดจะต้องใช้ทองคำบริสุทธิ์หนักหนึ่งตะลันต์[g] 40 ให้เจ้าทำสิ่งเหล่านี้ตามแบบที่เราได้ให้เจ้าดูบนภูเขานี้
พระเยซูคุยกับหญิงชาวสะมาเรีย
4 เมื่อพระเยซูรู้เรื่องที่พวกฟาริสีได้ข่าวว่า พระองค์มีศิษย์มากกว่ายอห์น และทำพิธีจุ่มน้ำให้กับผู้คนอยู่ 2 (ความจริงพระเยซูไม่ได้เป็นคนทำพิธีจุ่มน้ำเอง แต่พวกศิษย์ของพระองค์เป็นคนทำให้) 3 พระเยซูก็เลยออกจากแคว้นยูเดีย กลับไปแคว้นกาลิลีอีกครั้งหนึ่ง 4 ซึ่งจะต้องผ่านแคว้นสะมาเรีย
5 ในแคว้นสะมาเรีย พระองค์เดินทางมาถึงเมืองสิคาร์ที่อยู่ใกล้ๆกับที่ดินที่ยาโคบได้ยกให้กับโยเซฟลูกชายของเขา[a] 6 บ่อน้ำของยาโคบตั้งอยู่ที่นั่น พระเยซูนั่งพักเหนื่อยอยู่ข้างๆบ่อน้ำนั้นเพราะเดินทางมาไกล ตอนนั้นเป็นเวลาเที่ยงวัน 7 มีหญิงชาวสะมาเรีย คนหนึ่งมาตักน้ำที่บ่อ พระเยซูพูดกับเธอว่า “ขอน้ำดื่มหน่อย” 8 (พระเยซูอยู่คนเดียว เพราะพวกศิษย์ไปหาซื้ออาหารในเมือง)
9 หญิงชาวสะมาเรียพูดว่า “คุณมาขอน้ำฉันดื่มได้ยังไงกัน คุณเป็นคนยิว ฉันเป็นหญิงสะมาเรีย” (ปกติแล้วคนยิวจะไม่ยุ่งเกี่ยว[b] กับคนสะมาเรีย)
10 พระเยซูตอบหญิงนั้นว่า “นี่ถ้าคุณรู้ว่าพระเจ้าอยากให้อะไรกับคุณ และรู้ว่าเราที่ขอน้ำคุณดื่มอยู่นี้เป็นใคร คุณก็คงจะขอจากเรา และเราก็จะให้น้ำที่ให้ชีวิต[c] กับคุณ”
11 หญิงคนนั้นพูดว่า “คุณคะ แล้วคุณจะไปเอาน้ำที่ให้ชีวิตนั้นมาจากไหนล่ะ ในเมื่อถังตักน้ำก็ไม่มี แถมบ่อนี้ก็ลึก 12 คุณคงไม่ได้ยิ่งใหญ่ไปกว่ายาโคบ บรรพบุรุษของเราที่ให้บ่อน้ำนี้มาหรอกนะ ตัวยาโคบเองกับลูกๆและฝูงสัตว์เลี้ยงของเขาก็ดื่มน้ำจากบ่อนี้กันทั้งนั้นแหละ”
13 พระองค์ตอบว่า “ทุกคนที่ดื่มน้ำจากบ่อนี้ก็จะหิวน้ำอีก 14 แต่คนที่ดื่มน้ำที่เราให้จะไม่หิวน้ำอีกเลย เพราะน้ำที่เราให้เขาดื่มจะกลายเป็นน้ำพุที่ไหลไม่หยุดอยู่ในตัวเขาและนำชีวิตที่อยู่กับพระเจ้าตลอดไปมาให้”
15 หญิงคนนั้นจึงพูดว่า “คุณคะ ขอน้ำนั้นให้ฉันดื่มบ้างสิคะ จะได้ไม่หิวน้ำอีกและไม่ต้องกลับมาตักน้ำอีก”
16 พระองค์จึงบอกเธอว่า “ไปเรียกสามีของคุณมาที่นี่หน่อย”
17 เธอตอบว่า “ฉันไม่มีสามีค่ะ” พระองค์บอกว่า “เออ ก็จริงของคุณที่บอกว่าไม่มีสามี 18 เพราะคุณมีสามีมาห้าคนแล้ว และคนที่อยู่ด้วยตอนนี้ก็ไม่ใช่สามีของคุณ มันก็จริงอย่างที่คุณบอก”
19 เธอร้องว่า “คุณคะ ฉันเชื่อแล้วว่าคุณเป็นผู้พูดแทนพระเจ้า 20 บรรพบุรุษของเราได้กราบไหว้บูชาพระเจ้าที่ภูเขานี้ แต่พวกคุณชาวยิวกลับพูดว่าจะต้องไปกราบไหว้บูชาพระเจ้าที่เมืองเยรูซาเล็มเท่านั้น”
21 พระองค์ตอบว่า “เชื่อเราสิ ใกล้จะถึงเวลาแล้วที่มันจะไม่สำคัญอีกต่อไปว่าจะกราบไหว้บูชาพระเจ้าพระบิดาที่ภูเขานี้หรือที่เมืองเยรูซาเล็ม 22 จริงๆแล้วพวกคุณชาวสะมาเรียไม่รู้จักพระเจ้าที่พวกคุณกราบไหว้บูชาอยู่ แต่พวกเราชาวยิวรู้จักพระเจ้าที่พวกเรากราบไหว้บูชา เพราะพระเจ้าจะช่วยโลกนี้ให้รอดโดยผ่านทางชาวยิว 23 แต่เวลานั้นใกล้จะมาถึงแล้ว และตอนนี้ก็มาถึงแล้ว ที่ผู้คนกราบไหว้บูชาอย่างแท้จริงจะต้องกราบไหว้บูชาพระบิดาด้วยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยความจริง คนอย่างนี้แหละที่พระบิดาตามหาให้มากราบไหว้บูชาพระองค์อยู่ 24 พระเจ้าเป็นพระวิญญาณ ดังนั้นคนที่กราบไหว้บูชาพระองค์จะต้องกราบไหว้บูชาด้วยอำนาจของพระวิญญาณและด้วยความจริง”
25 หญิงคนนั้นจึงพูดว่า “ฉันรู้ว่าพระเมสสิยาห์ (ที่เรียกว่า ‘พระคริสต์’) กำลังจะมา และเมื่อพระองค์มาแล้ว พระองค์จะอธิบายทุกอย่างให้เรารู้”
26 พระเยซูบอกเธอว่า “เราเองที่กำลังคุยกับคุณอยู่นี่ คือพระเมสสิยาห์”
27 ขณะนั้นพวกศิษย์ของพระองค์กลับมาถึงพอดี พวกเขาแปลกใจที่เห็นพระองค์กำลังพูดคุยอยู่กับผู้หญิง แต่ก็ไม่มีใครกล้าถามพระองค์ว่า “อาจารย์ต้องการอะไรหรือครับ” หรือ “ไปพูดกับเธอทำไมครับ”
28 ผู้หญิงคนนั้นทิ้งหม้อน้ำเอาไว้ และเข้าไปบอกผู้คนในเมืองว่า 29 “มาดูผู้ชายที่บอกอดีตของฉันได้สิ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเป็นพระเมสสิยาห์ก็ได้” 30 คนก็พากันออกจากเมืองไปหาพระเยซู
31 ขณะนั้น พวกศิษย์กำลังคะยั้นคะยอพระเยซูว่า “อาจารย์ กินอะไรบ้างสิครับ”
32 แต่พระองค์บอกว่า “เรามีอาหารที่พวกคุณไม่รู้จัก”
33 พวกศิษย์ต่างก็ถามกันว่า “คงไม่มีใครแถวนี้เอาอาหารมาให้อาจารย์นะ”
34 พระองค์จึงบอกกับพวกเขาว่า “อาหารของเราคือการทำตามใจพระองค์ผู้ส่งเรามา และทำงานที่พระองค์ให้เราทำให้เสร็จ 35 เมื่อหว่านเมล็ดพืช คุณพูดว่า ‘ต้องคอยอีกสี่เดือนถึงจะเก็บเกี่ยว’ แต่เราบอกให้คุณลืมตาขึ้นมาดูทุ่งนาที่เต็มไปด้วยพืชผล ซึ่งพร้อมแล้วที่จะให้เก็บเกี่ยวเดี๋ยวนี้ 36 ตอนนี้คนเก็บเกี่ยวก็รับค่าจ้างอยู่ และพืชผลที่เก็บรวบรวมมานี้ก็คือคนที่จะได้รับชีวิตที่อยู่กับพระเจ้าตลอดไป ดังนั้นทั้งคนปลูกและคนเก็บเกี่ยวก็จะมีความสุขร่วมกัน 37 จะได้เป็นไปตามคำพูดที่ว่า ‘คนหนึ่งปลูก และอีกคนหนึ่งเก็บเกี่ยว’ 38 เราได้ส่งคุณไปเก็บเกี่ยวสิ่งที่คุณไม่ได้ลงแรงปลูก คนอื่นเป็นคนลงแรงและคุณก็ได้ผลประโยชน์จากน้ำพักน้ำแรงของเขา”
39 จากคำพูดของผู้หญิงคนนั้นที่บอกว่า “ชายที่บอกอดีตของฉันได้” ทำให้ชาวสะมาเรียจำนวนมากในเมืองนั้นมาไว้วางใจในพระองค์ 40 เมื่อชาวสะมาเรียมาหาพระองค์ พวกเขาขอร้องให้พระองค์พักอยู่กับพวกเขา พระองค์จึงพักอยู่ที่นั่นสองวัน 41 คำพูดของพระองค์ ทำให้อีกหลายคนมาไว้วางใจพระองค์
42 ชาวเมืองบอกกับหญิงคนนั้นว่า “ตอนนี้พวกเราได้ไว้วางใจพระเยซู ไม่ใช่เพราะได้ยินจากคุณเท่านั้น แต่เพราะได้ยินกับหูของพวกเราเอง ตอนนี้เรารู้ว่าชายคนนี้เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของโลกนี้อย่างแน่นอน”
พระเยซูรักษาลูกชายของข้าราชการ
(มธ. 8:5-13; ลก. 7:1-10)
43 หลังจากนั้นสองวันพระเยซูเดินทางต่อไปที่แคว้นกาลิลี 44 (พระเยซูเคยพูดว่า ผู้พูดแทนพระเจ้าจะไม่ได้รับเกียรติในบ้านเมืองของตน) 45 เมื่อพระองค์มาถึงแคว้นกาลิลี ชาวกาลิลีต้อนรับพระองค์เป็นอย่างดี เพราะพวกเขาเห็นทุกสิ่งที่พระองค์ทำในเทศกาลวันปลดปล่อยที่เมืองเยรูซาเล็ม (พวกเขาได้ไปร่วมงานที่นั่นด้วย)
46 พระเยซูไปหมู่บ้านคานาในแคว้นกาลิลีอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่พระองค์เคยเปลี่ยนน้ำให้กลายเป็นเหล้าองุ่นมาก่อน ข้าราชการคนหนึ่งของกษัตริย์อาศัยอยู่ที่เมืองคาเปอรนาอุม ลูกชายของเขากำลังป่วยหนัก 47 เมื่อข้าราชการคนนั้นได้ยินว่าพระเยซูเดินทางจากแคว้นยูเดียมาที่แคว้นกาลิลี เขามาขอร้องให้พระเยซูไปรักษาลูกของเขาที่เมืองคาเปอรนาอุม เพราะลูกของเขากำลังจะตาย 48 พระเยซูพูดกับเขาว่า “คนอย่างพวกคุณคงไม่เชื่อเราหรอก นอกจากจะได้เห็นเรื่องอัศจรรย์หรือปาฏิหาริย์เสียก่อน”
49 ข้าราชการคนนั้นบอกพระองค์ว่า “ท่านครับ ช่วยไปก่อนที่ลูกของผมจะตายด้วยเถิด”
50 พระเยซูบอกว่า “กลับบ้านไปเถอะ ลูกคุณหายดีแล้ว” เขาก็เชื่อในคำพูดของพระเยซู แล้วกลับไป 51 ในระหว่างทางนั้นเขาก็ได้พบกับพวกคนใช้ของเขาที่มาส่งข่าวว่าลูกชายของเขาหายเป็นปกติแล้ว
52 เขาถามพวกคนใช้ว่าลูกชายของเขาหายป่วยตอนไหน
พวกคนใช้ตอบว่า “หายไข้เมื่อวานนี้ตอนบ่ายโมงครับ”
53 พ่อของเด็กก็รู้ว่าเป็นเวลาเดียวกับที่พระเยซูพูดว่า “ลูกคุณหายดีแล้ว” ดังนั้นตัวเขาและทุกคนในบ้านเขาได้ไว้วางใจในพระเยซู
54 นี่เป็นเรื่องอัศจรรย์ครั้งที่สองที่พระเยซูทำตั้งแต่ออกจากแคว้นยูเดียมาที่แคว้นกาลิลี
บทเริ่มต้น
1 สุภาษิตเหล่านี้มาจากซาโลมอน ผู้เป็นบุตรชายของดาวิดและเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล
2 สุภาษิตเหล่านี้มีไว้เพื่อให้คนได้เรียนรู้เกี่ยวกับปัญญาและคำสั่งสอน
เพื่อทำให้คนเข้าใจถึงคำพูดที่นำความเข้าใจลึกซึ้งมาให้
3 สุภาษิตเหล่านี้มีไว้เพื่อสั่งสอนให้คนใช้ชีวิตอย่างฉลาดรอบคอบ
คือทำในสิ่งที่ถูกต้อง ยุติธรรม และเป็นธรรม
4 สุภาษิตเหล่านี้มีไว้เพื่อให้คนที่อ่อนต่อโลก กลายเป็นคนฉลาดหลักแหลม
เพื่อให้คนหนุ่มมีความรู้และมีความคิดรอบคอบ
5 ขอให้คนที่ฉลาดอยู่แล้ว ฟังเรื่องนี้ด้วย จะได้ไปเสริมคำสั่งสอนของเขา
คนที่รู้จักแยกแยะว่าอะไรเป็นอะไรอยู่แล้ว จะได้มีความสามารถในการชี้แนะทั้งต่อตนเองและผู้อื่น
6 สุภาษิตเหล่านี้มีไว้เพื่อให้คนเข้าใจสุภาษิตและคำพูดที่เข้าใจยาก
รวมทั้งคำคมทั้งหลายของคนที่ฉลาดล้ำและพวกคำพูดที่เป็นปริศนาซ่อนเงื่อนของพวกเขา
7 การยำเกรงพระยาห์เวห์คือจุดเริ่มต้นของความรู้
แต่คนโง่เกลียดชังปัญญาและคำสั่งสอน
เชื่อฟังพ่อแม่และหลีกเพื่อนชั่ว
8 ลูกเอ๋ย ให้เชื่อฟังคำสั่งสอนของพ่อเจ้า
และอย่าได้ละทิ้งคำสอนของแม่เจ้าด้วย
9 เพราะคำสั่งสอนของท่านทั้งสองนั้น มีเสน่ห์ดึงดูด มันจะเป็นมงกุฎดอกไม้สำหรับหัวเจ้า
และเป็นสร้อยสำหรับคอเจ้า
10 ลูกเอ๋ย ถ้าพวกคนบาปพยายามล่อลวงเจ้าให้ไปกับพวกมัน
ก็อย่าได้ไปเลย
11 ถ้าพวกมันพูดว่า “มากับพวกเราสิ
ให้เราไปดักซุ่มฆ่าคนกันเถอะ
ไปดักซุ่มฆ่าคนบริสุทธิ์เล่นๆกันเถอะ
12 ให้พวกเราไปกลืนกินคนพวกนั้นทั้งเป็นเหมือนแดนคนตายกลืนกินคนเป็น
ถึงเขาจะแข็งแรงดี เราก็จะกลืนกินเขาเหมือนคนที่กำลังใกล้ตาย
13 พวกเราจะได้ของมีค่ามากมายหลายอย่าง
บ้านของพวกเราจะเต็มไปด้วยข้าวของที่ปล้นมาได้
14 มาร่วมกับเราสิ
เราจะแบ่งของที่ปล้นมาได้ให้เท่าๆกัน”
15 ลูกเอ๋ย อย่าได้ไปเดินตามทางของพวกมัน
ยั้งเท้าของเจ้าจากทางเหล่านั้นของพวกมัน
16 เพราะเท้าของพวกมันวิ่งไปทำชั่ว
พวกมันรีบเร่งไปทำให้เกิดการนองเลือด
17 มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะขึงตาข่าย
ในขณะที่นกกำลังจ้องมองอยู่
18 แต่คนชั่วพวกนี้ไม่รู้ตัวว่ากำลังวางกับดักตัวเอง
พวกมันดักรอปลิดชีวิตตัวเอง
19 นี่แหละคือชะตากรรมของคนที่หาทรัพย์สมบัติมาได้จากการทารุณโหดร้าย
ทรัพย์สมบัตินั้นก็จะคร่าชีวิตของพวกมันไป
สติปัญญาร้องเตือนผู้คน
20 สติปัญญาร้องเสียงดังอยู่บนถนน
เธอแผดเสียงร้องที่ลานเมือง
21 เธอส่งเสียงร้องตามหัวมุมถนนที่พลุกพล่าน
เธอเปล่งเสียงพูดออกมาตรงทางเข้าประตูเมืองว่า
22 “เจ้าคนอ่อนต่อโลกทั้งหลาย เจ้าจะรักที่จะอ่อนต่อโลกอย่างนี้ไปอีกนานแค่ไหน
เจ้าคนชอบเยาะเย้ย เจ้าจะยินดีอยู่กับการเยาะเย้ยไปอีกนานแค่ไหน
เจ้าคนโง่ เจ้าจะเกลียดความรู้ไปอีกนานแค่ไหน
23 ถ้าพวกเจ้าจะหันมาสนใจคำตักเตือนของเรา
เมื่อนั้นเราก็จะบอกให้เจ้ารู้ถึงสิ่งที่อยู่ในจิตใจของเรา
และจะแสดงความคิดต่างๆของเราให้กับเจ้า
24 เพราะเราได้ร้องเรียก แต่เจ้าไม่ยอมฟัง
เราได้กวักมือเรียก แต่ไม่มีใครสนใจ
25 พวกเจ้าเพิกเฉยต่อคำแนะนำของเรา
และไม่ยอมรับฟังคำตักเตือนของเรา
26 ดังนั้นเมื่อเจ้าเจอกับความหายนะ เราเองจะหัวเราะเยาะเจ้า
เมื่อสิ่งที่เจ้าหวาดกลัวเกิดขึ้นกับเจ้า เราจะเยาะเย้ยซ้ำเติมเจ้า
27 เมื่อสิ่งที่เจ้าหวาดกลัวถาโถมใส่เจ้าเหมือนกับพายุ
และความหายนะจู่โจมใส่เจ้าเหมือนกับลมมรสุม
เมื่อความทุกข์ยากและความเจ็บปวดรวดร้าวเกิดขึ้นกับเจ้า
28 เมื่อนั้นแหละ พวกเขาจะร้องเรียกหาเรา แต่เราจะไม่ตอบ
พวกเขาจะมองหาเรา แต่จะไม่พบ
29 เพราะพวกเขาเกลียดความรู้
และไม่ยอมเลือกที่จะยำเกรงพระยาห์เวห์
30 เพราะพวกเขาไม่ยอมฟังคำแนะนำของเรา
และพวกเขาทิ้งคำตักเตือนของเรา
31 พวกเขาจะต้องกินผลที่เกิดจากวิถีชีวิตของเขา
และจะจุกแน่นไปด้วยแผนการร้ายต่างๆของพวกเขาเอง
32 คนอ่อนต่อโลกจะตาย เพราะเขาหันไปจากสติปัญญา
คนโง่จะถูกทำลาย เพราะเขาพอใจกับความโง่นั้น
33 แต่ใครก็ตามที่ฟังเรา จะได้อยู่อย่างปลอดภัย
และสุขสบายโดยไม่ต้องหวาดกลัวอันตรายใดๆ”
คำเตือนและคำทักทายสุดท้าย
13 นี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่ผมจะได้มาเยี่ยมพวกคุณ ตามที่มีข้อพระคัมภีร์เขียนเอาไว้ว่า “ข้อกล่าวหาทุกข้อจะต้องมีพยานสองหรือสามปาก ถึงจะเชื่อถือได้”[a]
2 เมื่อมาเยี่ยมครั้งที่สองนั้น ผมก็ได้เตือนพวกคุณไปแล้ว ตอนนี้ถึงแม้ผมจะไม่อยู่ก็ขอย้ำอีกครั้ง ครั้งหน้าที่จะมา ผมจะไม่เว้นโทษให้กับคนพวกนั้นที่ทำบาปอยู่ก่อนแล้ว และคนอื่นๆทุกคน 3 ที่ผมทำอย่างนี้ก็เพราะพวกคุณต้องการให้ผมพิสูจน์ว่าพระคริสต์พูดผ่านผมจริง พระคริสต์ไม่ได้ทำตัวอ่อนแอกับพวกคุณ แต่เต็มไปด้วยฤทธิ์อำนาจในหมู่พวกคุณ 4 จริงอยู่พระองค์เคยถูกตรึงบนไม้กางเขนเพราะความอ่อนแอของพระองค์ แต่เดี๋ยวนี้พระองค์ก็มีชีวิตอยู่โดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ใช่แล้ว ในพระคริสต์เราก็อ่อนแอ แต่เราจะมีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า และใช้ฤทธิ์อำนาจนั้นจัดการกับพวกคุณ
5 สำรวจตัวเองดูสิว่า คุณใช้ชีวิตอย่างคนที่ไว้วางใจในพระเจ้าหรือเปล่า ทดสอบตัวเองดู คุณไม่รู้หรือว่าพระเยซูคริสต์อยู่ในตัวคุณ นอกเสียจากว่าคุณจะสอบตก 6 แต่เราหวังว่า คุณจะรู้ว่าเราไม่ได้สอบตก 7 เราอธิษฐานต่อพระเจ้า ว่าคุณจะไม่ทำอะไรผิดเลย ที่อธิษฐานอย่างนี้ ไม่ใช่เพื่อให้คนมองว่าเราเป็นคนวิเศษอะไร แต่เพื่อคุณจะได้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง ถึงแม้คนอื่นจะมองว่าเราล้มเหลวก็ไม่เป็นไร 8 มันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะทำในสิ่งที่ขัดกับความจริง แต่เราจะทำเพื่อความจริงเท่านั้น 9 เมื่อไรก็ตามที่เราอ่อนแอและพวกคุณเข้มแข็ง เราก็ยินดี และเราอธิษฐานขอให้พระเจ้าทำให้พวกคุณกลับไปอยู่ในสภาพสมบูรณ์แบบอย่างที่คุณควรจะเป็น 10 ผมเขียนเรื่องนี้มาให้คุณตอนนี้ที่ผมไม่อยู่ ก็เพื่อว่าตอนที่ผมมา ผมจะได้ไม่ต้องใช้อำนาจเข้มงวดกวดขันกับพวกคุณ เพราะอำนาจที่องค์เจ้าชีวิตให้กับผมมานี้ เอาไว้สำหรับเสริมสร้างคุณ ไม่ใช่เอาไว้ทำลายคุณ
11 สุดท้ายนี้ ลาก่อนพี่น้อง ขอพยายามกลับไปอยู่ในสภาพสมบูรณ์แบบอย่างที่คุณควรจะเป็น ให้ทำในสิ่งที่ผมบอกให้ทำด้วย ขอให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันและอยู่กันอย่างสันติ แล้วพระเจ้าแห่งความรักและสันติสุขจะอยู่กับพวกคุณ
12 ให้ต้อนรับกันด้วยจูบอันบริสุทธิ์ 13 คนที่เป็นของพระเจ้าทุกคนฝากความคิดถึงมาให้กับคุณด้วย
14 ขอให้ความเมตตากรุณาของพระเยซูคริสต์เจ้า ความรักของพระเจ้า รวมถึงการมีส่วนร่วมในพระวิญญาณบริสุทธิ์ อยู่กับพวกคุณทุกคน
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International