M’Cheyne Bible Reading Plan
23 เจ้าต้องไม่แพร่กระจายข่าวลือที่ไม่จริงออกไป อย่าไปร่วมมือกับคนชั่วเป็นพยานเท็จ
2 เจ้าต้องไม่ทำชั่วเพราะอยากทำตามคนส่วนใหญ่ เจ้าต้องไม่เป็นพยานเท็จในคดีโต้แย้ง เพื่อบิดเบือนความยุติธรรม เพราะต้องการเอาใจคนส่วนใหญ่ 3 หรือเข้าข้างคนจนในคดีของเขา เพราะเห็นว่าเขาจน
4 เมื่อเจ้าเผอิญไปเจอวัวตัวผู้หรือลาของศัตรูที่เดินหลงทางมา เจ้าต้องเอาไปคืนเจ้าของมัน
5 เมื่อเจ้าเห็นลาของศัตรู กำลังล้มลงเพราะแบกของหนัก เจ้าต้องไม่ทิ้งไว้อย่างนั้น เจ้าต้องเข้าไปช่วยมัน
6 เจ้าต้องไม่ปล่อยให้เพื่อนบ้านที่ยากจนไม่ได้รับความเป็นธรรมในคดีโต้แย้งของเขา
7 เจ้าต้องไม่ฟ้องร้องคนอื่นในเรื่องที่ไม่เป็นจริง อย่าฆ่าคนบริสุทธิ์และคนที่ทำสิ่งที่ถูกต้องในสายตาเรา เพราะเราจะไม่ยกโทษให้กับคนที่ทำผิดนั้นเลย
8 เจ้าต้องไม่รับสินบน เพราะสินบนจะทำให้คนตาบอด และบิดเบือนความยุติธรรมที่คนบริสุทธิ์ควรจะได้รับ
9 เจ้าต้องไม่กดขี่คนต่างด้าว พวกเจ้าก็รู้ดีว่ามันรู้สึกยังไงที่เป็นคนต่างด้าว เพราะพวกเจ้าก็เคยเป็นคนต่างด้าวมาก่อนในแผ่นดินอียิปต์
10 เจ้าสามารถเพาะปลูกบนแผ่นดินของเจ้า และเก็บเกี่ยวผลผลิตของมันในหกปี 11 แต่ในปีที่เจ็ด เจ้าต้องปล่อยให้มันพัก ห้ามเพาะปลูก ถ้ามีพืชผลอะไรงอกออกมา ก็ทิ้งไว้ให้คนจนมาเก็บกิน ส่วนที่เหลือจากคนจน สัตว์ป่าก็จะมากิน ส่วนไร่องุ่นและไร่มะกอกของเจ้า ก็ให้ทำอย่างเดียวกัน
12 ให้เจ้าทำงานเป็นเวลาหกวัน แต่ในวันที่เจ็ด ให้เจ้าหยุดพักผ่อน เพื่อวัวตัวผู้ และลาของเจ้าจะได้พักผ่อนด้วย และลูกชายของทาสหญิงของเจ้าและชาวต่างด้าวจะได้สดชื่นขึ้นด้วย
13 ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราได้บอกกับพวกเจ้านี้ ให้เชื่อฟังให้ดี และอย่าอ้างถึงชื่อของพวกพระอื่น ชื่อของพระเหล่านั้นไม่ควรจะออกมาจากปากของเจ้า
สามเทศกาลที่ต้องจัดทุกปี
(อพย. 34:18-26; ฉธบ. 16:1-17)
14 ในหนึ่งปี เจ้าจะต้องเฉลิมฉลองเทศกาลให้กับเราสามครั้ง 15 เทศกาลแรก จะเป็นเทศกาลขนมปังที่ไม่ใส่เชื้อฟู เจ้าจะต้องกินขนมปังที่ไม่ใส่เชื้อฟู เป็นเวลาเจ็ดวัน ในวันที่เราได้สั่งไว้ ในเดือนอาบีบ[a] เพราะพวกเจ้าได้ออกมาจากอียิปต์ในเดือนนั้น และให้แต่ละคนนำเครื่องบูชามาถวายกับเราด้วย
16 เทศกาลที่สองจะเป็นเทศกาลเก็บเกี่ยวผลผลิตแรกจากสิ่งที่เจ้าได้เพาะปลูกในท้องทุ่งของเจ้า
และเทศกาลที่สาม จะเป็นเทศกาลเก็บเกี่ยวปลายปี จะเป็นเทศกาลเก็บรวบรวมผลผลิตจากท้องทุ่งของเจ้าตอนปลายปี
17 ผู้ชายทุกคนของพวกเจ้า จะต้องมาอยู่ต่อหน้าพระยาห์เวห์ องค์เจ้าชีวิต ในสามเทศกาลนี้
18 เจ้าต้องไม่ถวายขนมปังที่ใส่เชื้อฟู ตอนที่เจ้าถวายสัตว์เป็นเครื่องบูชาให้กับเรา และจะต้องเผาไขมันของสัตว์จากเครื่องบูชาของเราในวันนั้นเลย อย่าปล่อยให้เหลือถึงวันรุ่งขึ้น
19 ทุกๆปี เจ้าต้องเอาผลผลิตที่ดีที่สุด ที่เก็บเกี่ยวครั้งแรกในปีนั้นไปยังสถานที่นมัสการพระยาห์เวห์ พระเจ้าของเจ้า
เจ้าต้องไม่ต้มลูกแพะในน้ำนมของแม่มัน
พระเจ้าช่วยชาวอิสราเอลยึดแผ่นดินของตน
20 เราจะส่งทูตสวรรค์ให้ไปนำหน้าเจ้า ให้ไปคุ้มครองเจ้าในระหว่างทาง และให้นำเจ้าไปยังสถานที่ที่เราได้เตรียมไว้แล้ว 21 ให้เชื่อฟังและติดตามทูตสวรรค์และอย่าไปกบฏต่อเขา เพราะเขาจะไม่อภัยให้กับความผิดของพวกเจ้า เพราะเราให้อำนาจกับเขาอย่างเต็มที่ 22 แต่ถ้าเจ้าเชื่อฟังคำของเขาจริงๆ และทำตามทุกอย่างที่เราบอก เราจะเป็นศัตรูกับศัตรูเจ้า และจะต่อสู้กับคู่ต่อสู้ของเจ้า 23 เมื่อทูตสวรรค์ของเรา นำหน้าเจ้าไป และนำเจ้าไปพบกับชาวอาโมไรต์ ชาวฮิตไทต์ ชาวเปริสซี ชาวคานาอัน ชาวฮีไวต์ และชาวเยบุส เราจะทำลายพวกเขาเสีย
24 เจ้าต้องไม่ก้มกราบพระต่างๆของพวกเขา หรือบูชาพวกมัน หรือทำตามที่พวกเขาทำกัน แต่เจ้าจะต้องทำลายรูปเคารพของพวกเขาทิ้งเสียให้สิ้นซาก และทุบพวกเสาศักดิ์สิทธิ์[b] ของพวกเขาให้แตกละเอียด 25 ถ้าพวกเจ้ารับใช้พระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า พระองค์จะอวยพรอาหารและน้ำของเจ้า และเราจะเอาเชื้อโรคออกไปจากเจ้า 26 จะไม่มีผู้หญิงคนไหนในแผ่นดินของเจ้า ที่จะแท้งลูกหรือเป็นหมัน เราจะทำให้เจ้ามีอายุยืนยาว
27 เราจะส่งความสยดสยองของเราไปก่อนที่เจ้าจะไปถึง[c] และเราจะทำให้เกิดความโกลาหลวุ่นวายกับประชาชนทั้งหมดที่เจ้าจะไปเผชิญหน้าด้วย เราจะทำให้ศัตรูของเจ้าหันหลังหนีต่อหน้าเจ้า 28 เราจะส่งฝูงแตน[d] ล่วงหน้าเจ้าไปก่อน เพื่อไปขับไล่ชาวฮีไวต์ ชาวคานาอัน ชาวฮิตไทต์ ออกไปจากหน้าเจ้า 29 เราจะไม่ขับไล่พวกเขาไปจนหมดในหนึ่งปี เพื่อว่าแผ่นดินนี้จะได้ไม่ร้างจนทำให้สัตว์ป่าเพิ่มทวีคูณขึ้นทำร้ายเจ้าได้ 30 เราจะค่อยๆขับไล่พวกเขาออกไปทีละเล็กทีละน้อย จนกว่าเจ้าจะเพิ่มทวีขึ้นจนครอบครองแผ่นดินทั้งหมดไว้
31 เราจะกำหนดเขตแดนของเจ้า ให้เริ่มจากทะเลแดง[e] ไปจนถึงทะเลของชาวฟีลิสเตีย และจากที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งจนถึงแม่น้ำยูเฟรติส เราจะยกคนที่อาศัยอยู่บนดินแดนนั้นให้อยู่ในกำมือเจ้า และเจ้าจะขับไล่พวกเขาออกไปต่อหน้าเจ้า
32 เจ้าต้องไม่ไปทำสัญญาเป็นพันธมิตรกับพวกเขา หรือกับพวกพระของพวกเขา 33 พวกเขาจะต้องไม่อยู่ในดินแดนของเจ้า เพื่อว่าพวกเขาจะได้ไม่ทำให้เจ้าต้องทำบาปต่อเรา ไม่อย่างนั้นเจ้าอาจจะไปรับใช้พวกพระของพวกเขาซึ่งจะเป็นกับดักสำหรับเจ้า
งานแต่งงานที่หมู่บ้านคานา
2 ในวันที่สาม มีงานแต่งงานที่หมู่บ้านคานาในแคว้นกาลิลี แม่ของพระเยซูก็อยู่ที่นั่นด้วย 2 พระเยซูและศิษย์ของพระองค์ก็ได้รับเชิญมาในงานนี้เหมือนกัน 3 เมื่อเหล้าองุ่นหมด แม่ของพระเยซูมาบอกพระองค์ว่า “เหล้าองุ่นหมดแล้ว”
4 พระเยซูพูดว่า “แม่ครับ มาบอกลูกทำไม ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาของลูก”
5 แล้วแม่ของพระเยซูก็ไปบอกกับพวกคนใช้ว่า “เขาสั่งอะไร ก็ให้ทำตามนั้น”
6 มีโอ่งใส่น้ำตั้งอยู่ที่นั่นหกใบเพื่อใช้ในพิธีชำระล้าง โอ่งแต่ละใบใส่น้ำได้ประมาณแปดสิบถึงหนึ่งร้อยยี่สิบลิตร[a]
7 พระเยซูได้สั่งพวกคนใช้ว่า “ไปตักน้ำใส่โอ่งพวกนั้นให้เต็ม” พวกเขาก็ตักน้ำใส่จนเต็มถึงปากโอ่ง
8 แล้วพระองค์สั่งอีกว่า “ตักน้ำนี้ไปให้ผู้ดูแลงานเลี้ยงสิ”
พวกคนใช้ก็ตักน้ำไปให้ผู้ดูแลงานเลี้ยง 9 เมื่อผู้ดูแลงานเลี้ยงได้ชิมน้ำที่กลายเป็นเหล้าองุ่นแล้ว (โดยที่เขาไม่รู้ว่า เหล้าองุ่นนั้นมาจากไหน มีแต่พวกคนใช้ที่ตักน้ำนั้นมาเท่านั้นที่รู้) ผู้ดูแลงานเลี้ยงก็เรียกเจ้าบ่าวมาบอกว่า 10 “ใครๆเขาก็เอาเหล้าองุ่นดีๆออกมาให้แขกดื่มก่อน พอดื่มจนเมาได้ที่แล้วถึงจะเอาเหล้าองุ่นถูกๆมาวาง แต่คุณกลับเก็บเหล้าองุ่นที่ดีที่สุดไว้จนถึงตอนนี้”
11 นี่เป็นเรื่องอัศจรรย์ครั้งแรกที่พระเยซูได้ทำ ตอนที่พระองค์อยู่ที่หมู่บ้านคานา ในแคว้นกาลิลี พวกศิษย์ต่างก็พากันไว้วางใจพระองค์เพราะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์
12 หลังจากนั้นพระเยซูไปเมืองคาเปอรนาอุมพร้อมกับแม่ น้องๆ และพวกศิษย์ของพระองค์ แต่ก็พักอยู่ที่นั่นเพียงไม่กี่วัน
สิ่งที่พระเยซูทำในวิหาร
(มธ. 21:12-13; มก. 11:15-17; ลก. 19:45-46)
13 เมื่อใกล้จะถึงเทศกาลวันปลดปล่อย พระเยซูเดินทางขึ้นไปเมืองเยรูซาเล็ม 14 ในบริเวณวิหารนั้น พระองค์เห็นคนขายวัว แกะ และนกพิราบ สำหรับใช้เป็นเครื่องบูชา และยังเห็นพวกรับแลกเงิน[b] นั่งอยู่ที่โต๊ะของพวกเขาด้วย 15 พระเยซูเอาเชือกมาทำเป็นแส้แล้วหวดไล่คนพวกนั้น รวมทั้งแกะและวัวออกไปจากบริเวณวิหาร พระองค์ยังเทเหรียญและคว่ำโต๊ะของพวกรับแลกเงินด้วย 16 พระองค์บอกพวกคนขายนกพิราบว่า “ขนออกไปให้หมด อย่ามาทำให้บ้านของพระบิดาเรากลายเป็นตลาด”
17 พวกศิษย์นึกขึ้นมาได้ถึงข้อความที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ ว่า
“การที่เราทุ่มเทใจให้กับบ้านของพระเจ้า จะเป็นเหตุทำให้เราถูกทำลาย”[c]
18 พวกยิวทักท้วงกับพระเยซูว่า “แกมีสิทธิ์อะไรไปทำอย่างนั้น ทำเรื่องอัศจรรย์พิสูจน์ตัวเองสิ”
19 พระเยซูตอบว่า “ทำลายวิหารนี้ลงมาสิ แล้วเราจะสร้างมันขึ้นมาใหม่ภายในสามวัน”
20 พวกยิวพูดว่า “วิหารนี้กว่าจะสร้างเสร็จต้องใช้เวลาถึงสี่สิบหกปี แล้วแกคิดว่าแกจะสร้างขึ้นใหม่ได้ภายในสามวันหรือ” 21 แต่วิหารที่พระองค์กำลังพูดถึงนั้น หมายถึงร่างกายของพระองค์เอง 22 เมื่อพระเยซูฟื้นขึ้นมาจากความตายแล้ว ศิษย์ของพระองค์ถึงนึกขึ้นได้ว่า พระองค์เคยพูดอย่างนี้ พวกเขาก็เลยเชื่อพระคัมภีร์ และเชื่อคำพูดของพระองค์
23 ช่วงที่พระเยซูอยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม เป็นช่วงฉลองเทศกาลวันปลดปล่อย พระองค์ได้ทำเรื่องอัศจรรย์มากมาย ทำให้มีคนจำนวนมากมาไว้วางใจพระองค์ 24 แต่พระเยซูก็ไม่ได้ไว้ใจพวกเขา เพราะพระองค์รู้จักมนุษย์ทุกคนดี 25 ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาบอกพระองค์ว่ามนุษย์เป็นอย่างไรเพราะพระองค์รู้จักความคิดของมนุษย์ดี
41 เจ้าจะเอาตะขอลากตัวเลวีอาธาน[a] ออกมาได้หรือ
หรือเอาเชือกมัดปากมันได้
2 เจ้าจะเอาเชือกไปคล้องจมูกมันได้หรือ
หรือใช้ตะขอเกี่ยวคางมันได้
3 มันจะวิงวอนเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า
หรือพูดอ่อนหวานกับเจ้าหรือ
4 มันจะทำสัญญากับเจ้า
หรือยอมเป็นข้ารับใช้เจ้าตลอดไปหรือ
5 เจ้าจะเล่นกับมันเหมือนเล่นกับนก
หรือเอาเชือกมาผูกให้พวกเด็กหญิงของเจ้าจูงเล่นหรือ
6 พวกพ่อค้าจะต่อรองราคาของมัน
หรือแบ่งสันปันส่วนขายกันหรือ
7 เจ้าจะใช้ฉมวกทิ่มแทงหนังของมัน
หรือใช้หอกแทงหัวของมันได้หรือ
8 เอามือจับมันสิ ลองคิดดูสิว่าการต่อสู้กับมันจะออกมาเป็นยังไง
เจ้าจะไม่ทำครั้งที่สองแน่
9 ความหวังที่มนุษย์จะปราบมันได้นั้นต้องพังทลายลง
แค่เห็นมันก็ล้มลงแล้ว
10 พอปลุกเร้ามันขึ้นมา มันดุร้ายไม่ใช่หรือ
แล้วใครจะบ้าบิ่นไปยืนต่อหน้ามัน
11 จะมีใครกล้ามาเผชิญหน้ากับมันและออกมาได้อย่างปลอดภัย
ไม่มีสิ่งใดภายใต้ฟ้าสวรรค์นี้ทำได้หรอก[b]
12 จะให้เราเงียบไม่พูดถึงขาอันแข็งแกร่งของมัน
หรือพละกำลังอันมหาศาลของมัน หรือรูปร่างที่สง่างามของมันก็ไม่ได้
13 ใครจะถอดเสื้อนอกของมันออกได้
ใครจะเจาะทะลวงผิวเกราะสองชั้นของมันไปได้
14 ใครจะง้างขากรรไกรอันแข็งแรง
ที่มีฟันอันน่าสยดสยองล้อมรอบอยู่ของมันได้
15 ส่วนหลังของมันเหมือนแผงของพวกโล่ที่เรียงกันเป็นแถวๆ
ซึ่งปิดแน่นสนิทต่อกัน
16 แต่ละอันอยู่ชิดกันมาก
แม้แต่ลมก็ยังผ่านไม่ได้
17 โล่แต่ละอันเชื่อมต่อกันไป มันเกาะติดกันแน่น
ไม่สามารถแยกมันจากกันได้
18 เมื่อมันจาม ก็เกิดแสงแลบออกมา
ตาของมันเหมือนอย่างแสงในยามรุ่งสาง
19 เปลวไฟพุ่งออกจากปากของมัน
ประกายไฟแตกออกมา
20 ควันออกจากรูจมูกของมัน
อย่างกับไอพวยพุ่งจากหม้อน้ำเดือด
21 ลมหายใจของมันทำให้ถ่านลุกเป็นไฟ
และเปลวไฟออกจากปากของมัน
22 ลำคอของมันมีพละกำลังมหาศาล
ใครเจอมันก็กลัวจนลนลาน
23 ใต้ท้องมันไม่ได้มีไขมันเป็นชั้นๆ
แต่แข็งอย่างกับเหล็ก
24 มันใจแกร่งกล้าอย่างกับหิน
ใช่แล้ว แข็งอย่างกับหินโม่แป้ง
25 เมื่อมันยกตัวขึ้น แม้แต่พวกเทพเจ้าก็พากันหวาดกลัว
เมื่อมันหันมาฟาดหาง พวกเทพเจ้าต่างถอยหนี
26 แม้ดาบจะเข้าถึงตัวมัน ก็ไม่อาจแทงทะลวงผิวหนังมันได้
ทั้งหอก ลูกธนู และทวนก็เหมือนกัน
27 มันมองว่าอาวุธเหล็กนั้นเป็นแค่เส้นฟาง
และทองสัมฤทธิ์เป็นแค่ไม้ผุ
28 ลูกธนูก็ไม่อาจทำให้มันหนีไปได้
หินที่ซัดจากสลิงใส่มันก็เหมือนแกลบ
29 ไม้กระบองมันมองเป็นเพียงแกลบ
มันหัวเราะเยาะใส่เสียงทวนที่กระเด็นจากหลังมัน
30 ส่วนท้องของมันคมอย่างกับพวกเศษหม้อแตก
มันครูดเป็นทางบนโคลนตมอย่างกับเลื่อนนวดข้าว
31 มันทำให้น้ำลึกเดือดอย่างกับน้ำในหม้อ
และทำให้ทะเลปั่นป่วนเหมือนหม้อต้มยา
32 รอยที่มันว่ายผ่านไปส่องประกายแวววาว
จนคนคิดว่าทะเลผมหงอก
33 ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่เหมือนมัน
มันเป็นสิ่งที่ถูกสร้างที่ไม่รู้จักความกลัว
34 มันมองไปทั่วทุกสิ่งที่สูงส่ง
มันเป็นราชาเหนือสัตว์ป่าทั้งหลาย”
เปาโลและศิษย์เอกจอมปลอม
11 ผมหวังว่าคุณจะทนได้ ถ้าผมพูดอะไรโง่ๆไปสักหน่อย ช่วยอดทนหน่อยก็แล้วกัน 2 ผมได้หมั้นหมายคุณไว้แล้วให้แต่งกับชายเพียงคนเดียวคือพระคริสต์ ผมก็เลยหวงคุณเหมือนกับที่พระเจ้าหวง เพื่อผมจะได้ส่งตัวคุณเหมือนเป็นสาวบริสุทธิ์ให้กับพระคริสต์ 3 แต่ผมกลัวว่าจิตใจของคุณจะถูกนำให้หลงไปจากความซื่อสัตย์และความบริสุทธิ์ที่มีต่อพระคริสต์ เหมือนกับที่เอวาถูกงูหลอกลวงด้วยเล่ห์เหลี่ยมของมัน 4 ดูคุณช่างมีความอดทนเหลือเกินนะกับคนพวกนั้นที่มาสอนเรื่องของพระเยซูที่แตกต่างไปจากที่เราเคยสอนไว้ หรือเรียกให้คุณรับวิญญาณอื่น หรือ “ข่าวดี” อื่นที่แตกต่างไปจากที่คุณเคยรับมาแล้ว
5 ผมคิดว่าผมก็ไม่ได้ด้อยไปกว่า “อภิมหาศิษย์เอก” พวกนั้นที่คุณยกย่องกันนะ 6 ใช่ ผมอาจจะพูดไม่เก่ง แต่ผมก็มีความรู้อย่างที่คุณก็เห็นแล้วจากทุกสิ่งทุกอย่างที่เราได้ทำ
7 ผมทำบาปหรือเปล่านี่ ที่ได้ถ่อมตัวลงเพื่อยกคุณขึ้น คือเมื่อผมประกาศข่าวดีให้กับพวกคุณ แล้วไม่ได้คิดค่าตอบแทน 8 ผมได้ “ปล้น” หมู่ประชุมอื่นโดยรับค่าจ้างจากพวกเขา เพื่อมารับใช้คุณ 9 ตอนที่ผมอยู่กับพวกคุณ เมื่อผมขาดอะไรที่จำเป็น ผมก็ไม่เคยรบกวนคุณเลย เพราะพวกพี่น้องที่มาจากแคว้นมาซิโดเนียจะจัดหามาให้ แล้วต่อไปนี้ ผมก็ยังตั้งใจว่าจะไม่ให้ตัวเองเป็นภาระของพวกคุณ 10 พระคริสต์พูดความจริงตลอดเวลาอยู่ในตัวผม ดังนั้นเชื่อเถอะว่าผมจะไม่ยอมให้ใครในแคว้นอาคายา[a] มาปิดปากผมไม่ให้โอ้อวดเกี่ยวกับเรื่องนี้ 11 ทำไมผมถึงไม่ยอมเป็นภาระกับคุณ ผมไม่รักคุณหรือ พระเจ้ารู้ดีว่าผมรักคุณ
12 ผมไม่ได้เป็นภาระให้กับคุณอย่างไร ผมก็จะทำอย่างนั้นต่อไป เพื่อไอ้ขี้คุยพวกนั้นจะได้ไม่มีข้ออ้างว่าพวกมันทำงานแบบเดียวกับผม 13 เพราะไอ้พวกนั้นมันศิษย์เอกจอมปลอม เป็นคนงานที่หลอกลวง พวกเขาปลอมตัวมาเป็นศิษย์เอกของพระคริสต์ 14 ไม่ต้องแปลกใจหรอก เพราะขนาดซาตานเองก็ยังปลอมตัวมาเป็นทูตแห่งความสว่างเลย 15 ไม่เห็นจะแปลกอะไรเลยที่คนรับใช้ของซาตานจะปลอมตัวมาแกล้งเป็นคนรับใช้ที่ทำในสิ่งที่ถูกต้อง แต่ในที่สุดพวกมันก็จะต้องรับผลกรรมตามที่มันได้ก่อไว้
เปาโลเล่าถึงเรื่องความทุกข์ทรมานของตนเอง
16 ขอย้ำอีกทีว่า อย่าให้ใครคิดว่าผมโง่ แต่ถ้าพวกคุณคิดอย่างนั้นก็ช่วยยอมรับผมอย่างคนโง่ๆคนหนึ่งก็แล้วกัน เพื่อผมจะได้โอ้อวดบ้างสักนิด 17 ที่ผมกำลังโอ้อวดตัวเองอยู่นี้ ผมพูดแบบคนโง่ๆนะครับ ไม่ได้พูดอย่างที่องค์เจ้าชีวิตพูดหรอก 18 ในเมื่อมีหลายคนพากันอวดตัวตามมาตรฐานของโลกนี้ ผมก็ขออวดบ้าง 19 ที่พวกคุณยินดีทนฟังพวกโง่ๆนั้นได้ ก็เพราะพวกคุณนี้ช่างฉลาดเสียเหลือเกิน 20 อันที่จริง ถึงแม้เขาจะเอาคุณไปเป็นทาส หลอกกินหลอกใช้คุณ เอารัดเอาเปรียบคุณ ยกตัวเหนือคุณ หรือแม้แต่ตบหน้าคุณ คุณก็ยังจะทนได้เลย 21 ผมอายที่จะต้องบอกว่าเราอ่อนแอเกินไปที่จะทำกับคุณอย่างนั้น
จะให้พูดแบบโง่ๆก็คือ เขากล้าอวดเรื่องอะไร ผมก็กล้าอวดเรื่องนั้นเหมือนกัน 22 เขาอวดว่าเขาเป็นคนฮีบรู[b]หรือ ผมก็เป็นเหมือนกัน เป็นชาวอิสราเอลหรือ ผมก็เป็นด้วย เป็นลูกหลานของอับราฮัมหรือ ผมก็เป็นเหมือนกัน 23 เป็นคนรับใช้ของพระคริสต์หรือ (ผมพูดอย่างคนเสียสติเลย) ผมเป็นมากกว่านั้นเสียอีก ผมทำงานหนักกว่าเขามาก ติดคุกบ่อยกว่าด้วย ถูกเฆี่ยนตีอย่างโหดเหี้ยม เกือบตายหลายครั้ง 24 ผมโดนพวกยิวเฆี่ยนด้วยแส้รวมห้าครั้ง ครั้งละสามสิบเก้าที 25 ถูกตีด้วยกระบองสามครั้ง ถูกหินขว้างหนึ่งครั้ง เรือล่มสามครั้ง ลอยคออยู่ในทะเลหนึ่งวันกับหนึ่งคืน 26 ผมเดินทางหลายครั้งที่ต้องฝ่าอันตรายในแม่น้ำ อันตรายจากโจรผู้ร้าย อันตรายจากคนยิวด้วยกัน และจากคนที่ไม่ใช่ยิว อันตรายทั้งในเมืองและนอกเมือง อันตรายในทะเล และอันตรายจากพี่น้องจอมปลอม 27 ต้องตรากตรำทำงานอย่างหนัก อดหลับอดนอนหลายครั้ง หิวข้าวหิวน้ำ อดอาหารหลายหน หนาวเหน็บและไม่มีเสื้อผ้าใส่กันหนาว 28 นอกจากปัญหาพวกนี้แล้ว ผมยังมีปัญหาที่บีบคั้นผมอยู่ทุกๆวันคือความห่วงใยที่ผมมีต่อหมู่ประชุมของพระเจ้าทั้งหลาย 29 มีใครบ้างที่อ่อนแอ แล้วผมไม่ได้อ่อนแอกับเขาด้วย มีใครบ้างที่ถูกชักนำให้ไปทำบาป แล้วผมไม่เป็นเดือดเป็นแค้นแทน 30 ถ้าผมต้องโอ้อวด ผมก็จะโอ้อวดแต่เรื่องที่แสดงว่าผมอ่อนแอ 31 พระเจ้า ผู้เป็นพระบิดาของพระเยซูเจ้า ผู้ที่คนจะสรรเสริญตลอดไปรู้ว่าผมไม่ได้โกหก 32 ตอนที่ผมอยู่ในเมืองดามัสกัสนั้น ผู้ว่าราชการเมืองของกษัตริย์อาเรทัสสั่งให้ทหารยามเฝ้าประตูไว้เพื่อคอยจับผม 33 แต่ผมถูกหย่อนลงมาในกระเช้าจากช่องกำแพงเมือง และหลบหนีจากเงื้อมมือของเขามาได้
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International