Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
อพยพ 29

คำสั่งต่างๆเรื่องการแต่งตั้งนักบวช

(ลนต. 8:1-36)

29 นี่คือสิ่งที่เจ้าต้องทำให้กับพวกเขา ที่จะทำให้พวกเขาศักดิ์สิทธิ์ เพื่อพวกเขาจะสามารถเป็นนักบวชให้กับเรา ให้เอาวัวตัวผู้หนึ่งตัว และแกะตัวผู้สองตัวที่ไม่มีตำหนิอะไรเลย ขนมปังที่ไม่ใส่เชื้อฟู พวกขนมปังคลุกน้ำมันที่ไม่ใส่เชื้อฟู และขนมปังบางๆที่ไม่ใส่เชื้อฟูทาด้วยน้ำมัน เจ้าต้องเอาแป้งสาลีอย่างดีมาทำขนมพวกนี้ ให้เอาขนมพวกนี้ใส่ในตะกร้า และเอาตะกร้าใบนี้ไปพร้อมกับวัวตัวผู้และแกะสองตัว

ให้เจ้านำตัวอาโรนและพวกลูกชายของเขาไปที่ประตูของเต็นท์นัดพบ และเอาน้ำมาชำระตัวพวกเขา เจ้าต้องเอาเสื้อผ้ามาแต่งตัวให้กับอาโรน ให้เขาใส่เสื้อคลุม ใส่เสื้อชุดยาวของเอโฟด เอโฟด และถุงผ้าทับอก ให้เจ้าเอาผ้าคาดเอวที่ปักลวดลายมาผูกเอโฟดบนตัวเขา แล้วพันผ้าโพกหัวบนหัวเขา และสวมมงกุฎศักดิ์สิทธิ์ไว้บนผ้าโพกหัวของเขา ให้เจ้าเอาน้ำมันสำหรับเจิม มาเทบนหัวเขา และเจิมเขา

ให้เจ้านำพวกลูกชายของอาโรนมา และเอาเสื้อคลุมไปแต่งตัวให้กับพวกเขา ผูกผ้าคาดเอวให้กับอาโรนและพวกลูกชายของเขา และพันผ้าโพกหัวให้กับพวกเขา หลังจากนั้นแล้ว พวกเขาจะได้เป็นนักบวช ตามกฎที่จะใช้ตลอดไป และนี่คือวิธีที่เจ้าจะใช้แต่งตั้งอาโรนกับพวกลูกชายของเขา

10 เจ้าต้องนำวัวตัวผู้ตัวนั้น มาไว้หน้าเต็นท์นัดพบ อาโรนกับพวกลูกชายของเขา จะวางมือลงบนหัวของวัวตัวนั้น 11 และเจ้าต้องฆ่าวัวตัวนั้นต่อหน้าพระยาห์เวห์ตรงประตูเต็นท์นัดพบ 12 ต่อจากนั้นเจ้าต้องเอาเลือดของมันบางส่วนไปที่แท่นบูชา แล้วเอานิ้วของเจ้าจุ่มเลือดมาทาบนเชิงงอนของแท่นบูชา และเทเลือดส่วนที่เหลือลงที่ฐานของแท่นบูชา 13 แล้วเจ้าก็เอาไขมันทั้งหมดที่ติดอยู่กับเครื่องใน ตับ ไตทั้งสองข้าง และไขมันรอบๆมัน ไปเผาบนแท่นบูชา 14 ส่วนเนื้อกับหนังและขี้ของมันให้เอาไปเผานอกค่าย มันเป็นเครื่องบูชาชำระล้าง

15 เจ้าต้องเอาแกะตัวแรกมาให้อาโรนและพวกลูกชายของเขาวางมือลงบนหัวของมัน 16 แล้วให้เจ้าฆ่าแกะตัวนั้น นำเลือดของมันไปพรมรอบๆแท่นบูชาให้ทั่ว 17 เจ้าต้องหั่นแกะตัวนั้นเป็นชิ้นๆ เจ้าต้องล้างเครื่องในและขาของมัน แล้วเอาไปวางรวมไว้กับส่วนอื่นๆ รวมทั้งหัวของมัน 18 แล้วเผาแกะตัวนั้นทั้งตัวบนแท่นบูชา มันเป็นเครื่องเผาบูชาให้กับพระยาห์เวห์ อันมีกลิ่นหอมเป็นของขวัญให้กับพระยาห์เวห์ 19 ให้เจ้าเอาแกะตัวที่สองมา แล้วให้อาโรนกับพวกลูกๆของเขาวางมือลงบนหัวของแกะตัวนั้น 20 ให้เจ้าฆ่าแกะตัวนั้น แล้วเอาเลือดของมันบางส่วน มาป้ายที่ติ่งหูข้างขวาของอาโรนกับพวกลูกชายของเขา และป้ายลงที่หัวแม่มือข้างขวา กับหัวแม่เท้าข้างขวาของพวกเขา แล้วนำเลือดไปพรมรอบๆแท่นบูชาให้ทั่ว 21 ให้เจ้าเอาเลือดบางส่วนบนแท่นบูชาและน้ำมันสำหรับเจิม พรมลงบนตัวอาโรนและบนเสื้อผ้าของเขา บนตัวพวกลูกชายของเขา และบนเสื้อผ้าของพวกเขา วิธีนี้จะทำให้อาโรนพร้อมกับพวกลูกชายของเขาและเสื้อผ้าของพวกเขาศักดิ์สิทธิ์

22 ให้เจ้าเอาไขมันของแกะ และไขมันส่วนหาง ไขมันที่ติดอยู่กับเครื่องใน ตับ ไตสองข้าง ไขมันส่วนอื่นๆและขาข้างขวามา เพราะมันคือแกะที่จะใช้ในการแต่งตั้งอาโรน 23 ให้เอาขนมปังหนึ่งก้อน ขนมปังคลุกน้ำมันหนึ่งแผ่น ขนมปังแผ่นบางๆหนึ่งชิ้น จากตะกร้าขนมปังที่ไม่ใส่เชื้อฟู ที่วางอยู่ตรงหน้าพระยาห์เวห์ 24 เจ้าต้องเอาของทั้งหมดนี้ มาใส่ไว้ในมือของอาโรนและพวกลูกชายของเขา และให้เจ้ายื่นพวกมันขึ้น เหมือนกับเครื่องยื่นบูชาให้กับพระยาห์เวห์ 25 แล้วเจ้าค่อยเอาพวกมันมาจากมือของพวกเขา แล้วเอาไปเผาบนแท่นบูชา พร้อมกับแกะที่เป็นเครื่องเผาบูชานั้น เป็นกลิ่นหอมให้กับพระยาห์เวห์ เป็นของขวัญให้กับพระยาห์เวห์

26 ให้เจ้าเอาส่วนอกของแกะที่ใช้ในการแต่งตั้งอาโรน มายื่นเป็นเครื่องยื่นบูชาต่อหน้าพระยาห์เวห์ มันจะเป็นส่วนแบ่งของเจ้า 27 เจ้าต้องเอาเนื้อส่วนอกและส่วนขาของแกะ ที่ใช้ในการแต่งตั้งอาโรน มาเป็นเครื่องยื่นบูชาให้กับเรา ให้เจ้าทำให้พวกมันศักดิ์สิทธิ์ และมอบทั้งสองส่วนนั้นให้กับอาโรนและพวกลูกชายของเขา 28 เนื้อแกะส่วนนี้จะเป็นส่วนแบ่งของอาโรนและพวกลูกชายของเขาจากประชาชนชาวอิสราเอลตลอดไป เพราะมันเป็นส่วนที่ประชาชนชาวอิสราเอลเอามาถวาย เป็นเครื่องสังสรรค์บูชา เป็นส่วนที่พวกเขาถวายให้กับพระยาห์เวห์

29 ชุดศักดิ์สิทธิ์ของอาโรน ก็จะตกเป็นของลูกชายคนต่อๆไปของเขาที่จะได้รับการเจิมและแต่งตั้งให้เป็นนักบวช 30 ลูกชายของอาโรน คนที่มาแทนเขา ก็จะสวมเสื้อนี้เป็นเวลาเจ็ดวัน เมื่อเขาเข้ามาในเต็นท์นัดพบเพื่อรับใช้ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์

31 เจ้าต้องเอาเนื้อแกะที่ใช้ในการแต่งตั้ง ไปต้มในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ 32 อาโรนกับพวกลูกชายของเขา ต้องกินเนื้อแกะนี้ กับขนมปังที่อยู่ในตะกร้าที่ประตูของเต็นท์นัดพบ 33 พวกเขาจะกินของบูชาเหล่านั้น ที่ถวายเพื่อกำจัดบาปและความไม่บริสุทธิ์ของพวกเขา เพื่อจะแต่งตั้งพวกเขาและทำให้พวกเขาบริสุทธิ์ คนนอกห้ามกิน เพราะเป็นอาหารที่ศักดิ์สิทธิ์ 34 ถ้ามีเนื้อแกะที่ใช้ในการแต่งตั้งกับขนมปังเหล่านั้น เหลืออยู่จนถึงวันรุ่งขึ้น เจ้าต้องเอาไปเผาไฟทิ้งให้หมด อย่าเอามากินอีก เพราะมันเป็นของศักดิ์สิทธิ์

35 ให้ทำกับอาโรนและพวกลูกชายของเขา ตามที่เราสั่ง พิธีแต่งตั้งพวกเขาเป็นนักบวชจะมีขึ้นเจ็ดวัน 36 ในเจ็ดวันนี้ เจ้าต้องฆ่าวัววันละหนึ่งตัว สำหรับเป็นเครื่องบูชาชำระล้าง เพื่อชำระแท่นบูชานี้ เจ้าจะต้องทำให้แท่นบูชาไม่เสื่อมไปโดยชำระมัน และเจ้าต้องเจิมมันด้วยน้ำมันเพื่อทำให้มันศักดิ์สิทธิ์ 37 ในเจ็ดวันนี้ เจ้าต้องชำระแท่นบูชา และทำให้แท่นบูชาศักดิ์สิทธิ์ แล้วแท่นบูชานั้นจะศักดิ์สิทธิ์มาก จนทุกสิ่งทุกอย่างที่มาถูกแท่นบูชานี้ ก็จะกลายเป็นของศักดิ์สิทธิ์ไปด้วย

38 ต่อไปนี้คือสิ่งที่เจ้าต้องถวายบนแท่นบูชา ให้เจ้าฆ่าลูกแกะอายุหนึ่งปีจำนวนสองตัว 39 ถวายตัวหนึ่งในตอนเช้าอีกตัวหนึ่งในตอนเย็น 40 เมื่อเจ้าถวายลูกแกะตัวแรก ก็ให้ถวายแป้งสาลีขนาดหนึ่งในสิบเอฟาห์[a] ผสมน้ำมันที่คั้นไว้หนึ่งในสี่ฮิน[b] และเหล้าองุ่นหนึ่งในสี่ฮินสำหรับเป็นเครื่องเทบูชา 41 เมื่อเจ้าถวายลูกแกะตัวที่สองในตอนเย็น ก็ให้ถวายพวกธัญพืชและเครื่องดื่มเหมือนกับที่ถวายในตอนเช้า มันจะเป็นของขวัญอันมีกลิ่นหอมให้กับพระยาห์เวห์

42 มันจะเป็นเครื่องเผาบูชาที่จะทำต่อไปเรื่อยๆตลอดชั่วลูกชั่วหลานของเจ้า ที่ประตูเต็นท์นัดพบ ต่อหน้าพระยาห์เวห์ ซึ่งเป็นที่ที่เราจะมาพบเจ้าและพูดกับเจ้า 43 เราจะพบกับประชาชนชาวอิสราเอลที่นั่น และรัศมี[c] ของเราจะทำให้เต็นท์นัดพบนั้นศักดิ์สิทธิ์

44 เราจะทำให้เต็นท์นัดพบและแท่นบูชาศักดิ์สิทธิ์ เราจะทำให้อาโรนและพวกลูกชายของเขาศักดิ์สิทธิ์ เพื่อพวกเขาจะได้เป็นนักบวชให้กับเรา 45 เราจะอยู่ท่ามกลางประชาชนชาวอิสราเอล และจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา 46 แล้วพวกเขาจะได้รู้ว่า เราคือยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขาที่นำพวกเขาออกจากแผ่นดินอียิปต์ เพื่อที่เราจะได้อยู่กับพวกเขา เราคือยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา

ยอห์น 8

หญิงคนหนึ่งถูกจับขณะมีชู้

ส่วนพระเยซูก็กลับไปที่ภูเขามะกอกเทศ ตอนเช้าตรู่พระองค์กลับไปที่วิหารอีกครั้งหนึ่ง คนทั้งหลายก็มาหาพระองค์ พระเยซูนั่งลงและเริ่มสั่งสอนผู้คน พวกครูสอนกฎปฏิบัติและพวกฟาริสีได้นำผู้หญิงคนหนึ่งมายืนอยู่ต่อหน้าคนทั้งปวง หญิงคนนี้ถูกจับได้คาหนังคาเขาขณะมีชู้อยู่ พวกเขาบอกพระองค์ว่า “อาจารย์ หญิงคนนี้ถูกจับได้ในขณะที่กำลังมีชู้อยู่ ในกฎปฏิบัตินั้น โมเสสสั่งให้เราเอาหินขว้างคนที่ทำอย่างนี้ให้ตาย แล้วอาจารย์จะว่ายังไง” (ที่พวกเขาถามอย่างนี้เพื่อจะให้พระองค์หลงกลและจะได้หาเรื่องฟ้องร้องพระองค์) พระเยซูได้แต่ก้มลงใช้นิ้วขีดเขียนไปมาบนพื้นดิน แต่พวกนั้นก็ยังคะยั้นคะยอให้พระองค์ตอบ พระองค์จึงยืนขึ้นพูดว่า “พวกคุณคนไหนที่ไม่มีความผิดเลย ก็ให้เอาหินขว้างหญิงคนนี้เป็นคนแรก” แล้วพระองค์ก็ก้มลงใช้นิ้วขีดเขียนบนพื้นดินต่อ

เมื่อได้ยินพระเยซูพูดอย่างนั้น พวกนั้นก็หลบไปทีละคนสองคน คนที่มีอายุมากที่สุดเริ่มเดินจากไปก่อนจนเหลือแต่พระเยซูกับหญิงคนนั้นอยู่ที่นั่น 10 พระเยซูลุกขึ้น และถามหญิงคนนั้นว่า “พวกเขาไปไหนกันหมดแล้ว ไม่มีใครลงโทษคุณหรือ”

11 หญิงคนนั้นตอบว่า “ไม่มีค่ะ” แล้วพระเยซูก็พูดว่า “เราก็ไม่ลงโทษคุณเหมือนกัน ไปเถอะแล้วอย่าทำบาปอีก”

พระเยซูเป็นความสว่างของโลก

12 แล้วพระเยซูก็พูดกับพวกที่ชุมนุมอยู่อีกครั้งหนึ่งว่า “เราเป็นความสว่างของโลก คนที่ติดตามเรามาจะไม่เดินอยู่ในความมืด แต่จะมีความสว่างที่นำไปสู่ชีวิต”

13 ดังนั้นพวกฟาริสีจึงพูดกับพระองค์ว่า “แกพูดเองเออเอง คำพยานของแกเชื่อถือไม่ได้หรอก”

14 พระเยซูตอบว่า “ถึงแม้ว่าเราจะเป็นพยานให้กับตัวเอง สิ่งที่เราพูดก็เป็นความจริง เพราะเรารู้ว่าตัวเราเองมาจากไหนและกำลังจะไปไหน แต่พวกคุณไม่รู้ว่าเรามาจากไหนหรือกำลังจะไปไหน 15 คุณตัดสินเราตามวิธีของมนุษย์ เราไม่ได้ตัดสินใครแบบนั้น 16 แต่ถ้าเราจะตัดสิน คำตัดสินของเราก็ถูกต้องเพราะเราไม่ได้ตัดสินคนเดียว แต่เราตัดสินร่วมกับพระบิดาผู้ส่งเรามา 17 ในกฎปฏิบัติของคุณบอกว่า ถ้ามีพยานสองคนพูดตรงกันก็ถือว่าเป็นความจริง 18 เราเป็นพยานให้กับตัวเอง และพระบิดาที่ส่งเรามาก็เป็นพยานให้กับเราอีกผู้หนึ่ง”

19 พวกเขาจึงถามว่า “แล้วไหนล่ะพ่อของแกที่แกพูดถึง”

พระเยซูตอบว่า “พวกคุณไม่รู้จักเราหรือพระบิดาของเราหรอก เพราะถ้าคุณรู้จักเรา คุณก็จะรู้จักพระบิดาของเราด้วย” 20 ตอนที่พระเยซูพูดเรื่องนี้ พระองค์กำลังสอนอยู่ในห้องที่เขาใช้ตั้งตู้บริจาคในบริเวณวิหาร ไม่มีใครมาจับกุมพระองค์เพราะยังไม่ถึงกำหนดเวลาของพระองค์

พวกยิวไม่เข้าใจพระเยซู

21 พระเยซูพูดกับพวกประชาชนอีกว่า “พวกคุณจะตามหาเรา แต่จะตายอยู่ในความบาปของตัวเอง ที่ซึ่งเรากำลังจะไปนั้นพวกคุณไปไม่ได้”

22 พวกผู้นำชาวยิวจึงถามกันว่า “มันกำลังจะฆ่าตัวตายหรือยังไงถึงพูดว่า ‘ที่ซึ่งเราจะไปนั้น พวกคุณไปไม่ได้’”

23 พระเยซูพูดว่า “พวกคุณมาจากโลกข้างล่าง แต่เรามาจากข้างบน พวกคุณเป็นของโลกนี้ แต่เราไม่ได้เป็นของโลกนี้ 24 เราถึงได้บอกว่า พวกคุณจะตายอยู่ในความบาปของตัวเอง ใช่แล้ว ถ้าคุณไม่เชื่อว่าเราเป็นคนๆนั้นที่เราบอกว่าเราเป็น[a] คุณก็จะตายอยู่ในความบาป”

25 พวกยิวถามพระองค์ว่า “แล้วแกเป็นใครล่ะ” พระเยซูตอบว่า “เราเป็นคนๆนั้นที่เราได้บอกพวกคุณตั้งแต่แรกแล้วว่าเราเป็น 26 ความจริงแล้วเรามีหลายเรื่องที่จะต่อว่าพวกคุณ แต่เราจะพูดเฉพาะเรื่องที่เราได้ยินมาจากพระองค์ผู้ที่ส่งเรามาเท่านั้น และพระองค์ก็พูดความจริง”

27 (พวกเขาไม่รู้ว่าพระเยซูกำลังพูดถึงพระบิดา) 28 ดังนั้นพระเยซูจึงพูดว่า “เมื่อพวกคุณยกบุตรมนุษย์ขึ้น คุณก็จะได้รู้ว่าเราเป็นคนๆนั้นที่เราบอกว่าเราเป็น เราไม่ได้ทำอะไรตามใจของตัวเอง แต่เราพูดเฉพาะสิ่งเหล่านั้นที่พระบิดาได้สอนเรามา 29 พระองค์ผู้ส่งเรามาก็อยู่กับเรา พระองค์ไม่เคยทิ้งเราไว้ให้อยู่คนเดียว เพราะเราทำตามใจพระองค์เสมอ” 30 เมื่อพระเยซูพูดอย่างนี้ก็มีหลายคนไว้วางใจพระองค์

พระเยซูพูดเรื่องการหลุดพ้นจากบาป

31 ดังนั้นพระเยซูจึงพูดกับชาวยิวที่ไว้วางใจในพระองค์ว่า “ถ้าพวกคุณยังคงทำตามคำสั่งสอนของเรา พวกคุณก็เป็นศิษย์ของเราจริงๆ 32 พวกคุณจะรู้จักความจริงและความจริงจะทำให้พวกคุณเป็นอิสระ”

33 พวกเขาตอบว่า “พวกเราเป็นลูกหลานของอับราฮัม และไม่เคยเป็นทาสใคร ทำไมอาจารย์ถึงพูดว่า ‘พวกคุณจะถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระ’”

34 พระเยซูตอบว่า “เราจะบอกให้รู้นะว่าจริงๆแล้วคนที่ยังทำบาปอยู่ก็เป็นทาสของความบาป 35 ทาสไม่ใช่คนในครอบครัว แต่ลูกเป็นคนในครอบครัวตลอดไป 36 ดังนั้นถ้าพระบุตรปลดปล่อยให้คุณเป็นอิสระ คุณก็จะเป็นอิสระจริงๆ 37 เราก็รู้อยู่แล้วว่าพวกคุณเป็นลูกหลานของอับราฮัม แต่พวกคุณพยายามจะฆ่าเรา เพราะว่าคุณไม่ทำตามคำสั่งสอนของเรา 38 เราได้บอกคุณถึงสิ่งที่เราได้เห็นจากพระบิดาของเรา แต่พวกคุณกลับไปทำตามสิ่งที่คุณได้ยินจากพ่อของคุณเอง”

39 พวกเขาพูดว่า “อับราฮัมเป็นพ่อของพวกเรานะ”

พระเยซูจึงพูดว่า “ถ้าพวกคุณเป็นลูกหลานของอับราฮัมจริง คุณจะต้องทำตามที่อับราฮัมทำ 40 เราได้เอาความจริงที่ได้ยินจากพระเจ้ามาบอกพวกคุณ แต่คุณกลับจะฆ่าเรา อับราฮัมไม่เคยทำอย่างนี้เลย 41 แต่คุณทำตามที่พ่อของคุณทำ”

พวกยิวจึงพูดกับพระเยซูว่า “พวกเราไม่ได้เป็นลูกชู้ พระเจ้าเท่านั้นคือพ่อที่แท้จริงของเรา”

42 พระเยซูพูดว่า “ถ้าพระเจ้าเป็นพ่อของพวกคุณจริงๆพวกคุณก็คงรักเราแล้ว เพราะเรามาจากพระเจ้า ที่เราอยู่ที่นี่ก็เพราะพระเจ้าส่งมา เราไม่ได้เป็นคนตัดสินใจเอง 43 ที่พวกคุณไม่เข้าใจเรื่องที่เราพูดก็เพราะคุณทนฟังไม่ได้ 44 พวกคุณมาจากพ่อของคุณที่เป็นมารร้าย และพวกคุณก็อยากจะทำตามใจพ่อของคุณ มันเป็นนักฆ่าคนมาตั้งแต่แรกแล้ว และมันก็ไม่เคยอยู่ฝ่ายความจริงเลย เพราะมันไม่มีความจริงในตัวเอง มันพูดโกหกตามสันดานของมัน เพราะมันเป็นนักโกหก และเป็นพ่อของการโกหก 45 เมื่อเราพูดความจริง พวกคุณก็เลยไม่เชื่อเรา 46 มีใครบ้างในพวกคุณที่พิสูจน์ได้ว่าเราทำบาป แล้วทำไมถึงไม่ยอมเชื่อเราเมื่อเราพูดความจริง 47 คนของพระเจ้าจะฟังคำพูดของพระเจ้า แต่ที่พวกคุณไม่ยอมฟังเรา ก็เพราะคุณไม่ได้เป็นคนของพระเจ้า”

พระเยซูพูดถึงตัวเองและอับราฮัม

48 พวกยิวได้ถามพระองค์ว่า “พวกเราพูดผิดตรงไหนที่ว่าแกเป็นชาวสะมาเรีย และมีผีสิง”

49 พระเยซูตอบว่า “เราไม่ได้ถูกผีสิง เราได้ให้เกียรติพระบิดาของเราแต่พวกคุณกลับลบหลู่เรา 50 เราไม่ได้อยากเด่นอยากดัง แต่พระเจ้าต้องการให้เรายิ่งใหญ่และพระองค์เป็นผู้ตัดสิน 51 เราจะบอกให้รู้ว่า ถ้าใครทำตามคำสั่งสอนของเรา คนๆนั้นจะไม่มีวันตาย”

52 พวกยิวพูดกับพระองค์ว่า “ตอนนี้เรารู้แล้วว่าแกถูกผีสิงแน่ เพราะทั้งอับราฮัมและพวกผู้พูดแทนพระเจ้า ก็ตายกันหมดแล้ว แต่แกกลับพูดว่า ‘ถ้าใครทำตามคำสั่งสอนของเรา คนๆนั้นจะไม่มีวันตาย’ 53 แกยิ่งใหญ่กว่าอับราฮัม พ่อของเราหรือไง อับราฮัมตาย พวกผู้พูดแทนพระเจ้าก็ตาย แล้วแกคิดว่าแกเป็นใคร”

54 พระเยซูตอบว่า “ถ้าเรายกย่องตัวเอง คำยกย่องนั้นก็ไม่มีความหมายอะไร พระบิดาของเรา ที่พวกคุณอ้างว่าเป็นพระเจ้าของพวกคุณนั่นแหละ เป็นผู้ที่ยกย่องเรา 55 จริงๆแล้วพวกคุณไม่รู้จักพระองค์หรอก แต่เรารู้จักพระองค์ ถ้าเราพูดว่า ‘เราไม่รู้จักพระองค์’ เราก็จะเป็นคนโกหกเหมือนกับพวกคุณ เรารู้จักพระองค์และทำตามที่พระองค์บอก 56 อับราฮัมบรรพบุรุษของคุณดีใจที่จะได้เห็นวันที่เรามา เขาได้เห็นแล้วและก็ดีใจแล้วด้วย”

57 พวกยิวพูดว่า “แกอายุยังไม่ถึงห้าสิบปี จะเคยเห็นอับราฮัมได้ยังไง”

58 พระเยซูตอบว่า “ความจริงแล้วเราเป็นอยู่ ก่อนที่อับราฮัมจะเกิดเสียอีก”[b] 59 คนเหล่านั้นจึงหยิบก้อนหินขึ้นมาจะขว้าง[c]พระเยซู แต่พระองค์ได้หลีกหนีออกไปจากวิหาร

สุภาษิต 5

สติปัญญาจะพาให้พ้นการผิดประเวณี

ลูกเอ๋ย ให้สนใจสติปัญญาของเรา
    เงี่ยหูฟังความรู้ความเข้าใจของเราให้ดี
แล้วเจ้าจะได้คิดรอบคอบ
    และริมฝีปากของเจ้าจะพูดด้วยความรู้แท้จริง
เพราะริมฝีปากของเมียคนอื่นนั้น[a] หยาดเยิ้มด้วยน้ำผึ้ง
    และคำพูดของเธอก็ลื่นยิ่งกว่าน้ำมันมะกอก
แต่สุดท้ายแล้วเธอจะขมเหมือนกับบอระเพ็ด
    และเจ็บปวดเหมือนดาบสองคม
เท้าของเธอนั้นเดินไปสู่ความตาย
    ทุกย่างก้าวของเธอตรงดิ่งไปยังแดนคนตาย
เธอไม่ยอมเดินตรงไปยังหนทางที่นำไปสู่ชีวิต
    หนทางของเธอนั้นคดเคี้ยว แต่เธอก็ไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำ
ดังนั้น ลูกๆเอ๋ย ฟังเราให้ดี
    และอย่าได้หันเหไปจากคำพูดทั้งหลายของเรา
อยู่ให้ห่างไกลจากผู้หญิงอย่างนั้น
    และอย่าเข้าไปใกล้ประตูบ้านของเธอ
ไม่อย่างนั้น ชื่อเสียงเกียรติยศของเจ้าก็จะตกไปเป็นของคนอื่น
    และเจ้าจะสูญเสียเดือนปีของเจ้าให้กับคนที่โหดร้าย
10 พวกคนแปลกหน้าจะฮุบทรัพย์สมบัติของเจ้าจนอิ่มหนำ
    ทรัพย์สมบัติที่เจ้าหามาได้ด้วยความยากลำบากก็จะตกไปอยู่ในบ้านของคนอื่น
11 ในที่สุดเจ้าจะร้องครวญคราง
    เมื่อเนื้อหนังและร่างกายของเจ้าถูกทำลาย
12 แล้วเจ้าจะพูดว่า “ข้าเคยเกลียดชังคำสั่งสอน
    และใจข้าก็เหยียดหยามการว่ากล่าวตักเตือน
13 ข้าไม่เชื่อฟังพวกครูข้า
    และไม่ยอมเงี่ยหูฟังครูผู้แนะนำข้า
14 ข้าก็เลยเจอกับปัญหาร้อยแปดอย่างรวดเร็ว
    แล้วต้องอับอายขายหน้าต่อหน้าที่ชุมนุมชน”
15 ดังนั้นให้ดื่มน้ำ[b]จากบ่อเก็บน้ำของเจ้าเอง
    เป็นน้ำใสบริสุทธิ์จากบ่อของเจ้าเอง
16 ไม่อย่างนั้น ตาน้ำของเจ้าอาจจะไหลนองไปตามท้องถนน
    และสายน้ำของเจ้าอาจจะไหลนองไปในที่ลานเมือง
17 ให้สายน้ำนั้นเป็นของเจ้าแต่เพียงผู้เดียว
    อย่าแบ่งปันกับคนอื่น
18 ขอให้ตาน้ำของเจ้าได้รับพร
    ขอให้เสพสุขกับภรรยาที่เจ้าแต่งตอนเป็นหนุ่ม
19 เธอเป็นเหมือนกวางเพศเมียที่เย้ายวนใจ หรือเลียงผาที่สง่างาม
    ขอให้เต้าของเธอนั้นดับกระหายเจ้าเสมอ
    ขอให้เมามันกับการร่วมรักกับนางอยู่สม่ำเสมอ
20 ลูกพ่อ ทำไมจะต้องไปเมามันกับหญิงอื่น
    และโอบกอดสองเต้าของหญิงชู้เล่า
21 เพราะวิถีทางของแต่ละคน หนีไม่พ้นสายตาของพระยาห์เวห์หรอก
    พระองค์ตรวจสอบทุกย่างก้าวของเขา
22 ความชั่วที่เขาทำเป็นกับดักสำหรับตัวเขาเอง
    เขาติดอยู่กับตาข่ายแห่งความบาปของตัวเขาเอง
23 เขาตายไปเพราะขาดการควบคุมตนเอง
    และหลงทางไปเพราะความงี่เง่าของตนเอง

กาลาเทีย 4

ผมกำลังพูดว่า ตอนที่ผู้รับมรดกยังเป็นเด็กอยู่ เขาก็ไม่แตกต่างไปจากทาสหรอก ถึงแม้เขาจะเป็นเจ้าของทุกสิ่งทุกอย่างก็ตาม เพราะเขาจะต้องเชื่อฟังผู้ปกครองและผู้ดูแลมรดก จนกว่าจะถึงเวลาที่พ่อของเขากำหนดไว้ พวกเราก็เหมือนกัน เมื่อพวกเรายังเป็นเด็ก พวกเราตกเป็นทาสอยู่ภายใต้อำนาจของพวกวิญญาณที่ครอบครองโลกนี้ แต่เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม พระเจ้าก็ได้ส่งพระบุตรของพระองค์โดยคลอดออกมาจากผู้หญิง และมีชีวิตอยู่ภายใต้กฎ เพื่อมาปลดปล่อยคนที่อยู่ภายใต้กฎให้เป็นอิสระ และเพื่อเราทุกคนจะได้เป็นลูกของพระเจ้า

คุณได้เป็นลูกของพระองค์แล้ว พระองค์จึงส่งพระวิญญาณของพระบุตรของพระองค์เข้ามาอยู่ในใจของพวกเรา เพื่อพวกเราจะร้องเรียกพระองค์ว่า “อับบา พ่อ” คุณจึงไม่ใช่ทาสอีกต่อไป แต่เป็นลูกของพระเจ้า และเมื่อเป็นลูกก็เป็นผู้รับมรดกด้วย

ความรักของเปาโลต่อพี่น้องคริสเตียนในแคว้นกาลาเทีย

แต่ก่อน ตอนที่พวกคุณยังไม่รู้จักพระเจ้านั้น คุณก็เป็นทาสของพวกวิญญาณที่ไม่ได้เป็นพวกเทพเจ้าอะไรเลย แต่ตอนนี้คุณได้รู้จักพระเจ้าแล้ว หรือที่ถูกคือพระเจ้าได้รู้จักคุณแล้ว คุณยังอยากจะกลับไปเป็นทาสของพวกวิญญาณที่ครอบครองโลกนี้ ที่อ่อนแอและน่าสมเพชเหล่านั้นอีกหรือ 10 คุณหันไปนับถือวัน เดือน ฤดู และปีของชาวยิว 11 ผมกลัวเหลือเกินว่า งานที่ผมได้ทุ่มเทไปกับพวกคุณนั้นจะเปล่าประโยชน์

12 พี่น้องครับ ผมขอร้องให้พวกคุณเป็นเหมือนผม เพราะผมได้เป็นเหมือนคุณ พวกคุณไม่ได้ทำอะไรผิดต่อผมเลย 13 คุณก็รู้อยู่แล้วว่า ตอนแรกที่ผมมาประกาศข่าวดีให้กับคุณนั้น เป็นเพราะผมเจ็บป่วย 14 ตอนนั้น ถึงแม้การเจ็บป่วยจะเป็นภาระให้กับคุณ แต่คุณก็ไม่ได้รังเกียจหรือขับไล่ผม แต่กลับต้อนรับผมเหมือนกับผมเป็นทูตสวรรค์ หรือเป็นพระเยซูคริสต์เสียเอง 15 แล้วตอนนี้ เกียรติพวกนั้นหายไปไหนหมดแล้ว ผมเป็นพยานได้ว่า ในตอนนั้น ถ้าคุณควักลูกตาให้กับผมได้ คุณก็คงทำไปแล้ว 16 แล้วตอนนี้ผมกลายเป็นศัตรูของคุณ เพราะผมพูดความจริงกับคุณหรือ

17 คนพวกนั้น[a] เอาใจใส่คุณเป็นพิเศษ แต่ไม่ได้หวังดีหรอก พวกเขาแค่อยากจะดึงคุณออกไปจากผม เพื่อคุณจะได้ไปสนใจพวกเขาแทน 18 แน่นอนมันดีอยู่แล้วที่จะมีคนเอาใจใส่คุณเป็นพิเศษจากแรงจูงใจที่ดีด้วยความหวังดี ไม่ใช่มาจากผมคนเดียวเท่านั้นตอนที่ผมอยู่ด้วย 19 ลูกๆที่รัก ผมจะต้องเจ็บปวดเหมือนเจ็บคลอดลูก เพราะพวกคุณไปอีกจนกว่าพระคริสต์จะก่อตัวขึ้นในชีวิตคุณ 20 ผมอยากจะอยู่กับคุณตอนนี้จริงๆผมจะได้ไม่ต้องพูดกับคุณด้วยน้ำเสียงแบบนี้ เพราะพวกคุณทำให้ผมสับสนไปหมด

ตัวอย่างของนางฮาการ์และนางซาราห์

21 พวกคุณบางคนอยากอยู่ภายใต้กฎของโมเสส คุณรู้หรือเปล่าว่ากฎนั้นเขียนไว้ว่าอย่างไร 22 พระคัมภีร์ เขียนไว้ว่า อับราฮัม มีลูกสองคน คนหนึ่งเกิดจากหญิงที่เป็นทาส ส่วนอีกคนเกิดจากหญิงที่เป็นอิสระ 23 ลูกของหญิงที่เป็นทาสนั้นเกิดตามธรรมชาติ แต่ลูกของหญิงที่เป็นอิสระนั้นเกิดจากคำสัญญาของพระเจ้า

24 เรื่องนี้ยังมีความหมายอีกอย่างหนึ่งคือ หญิงสองคนนี้เป็นตัวแทนของสัญญาสองฉบับ ฉบับแรกพระเจ้าทำขึ้นที่ภูเขาซีนาย นางฮาการ์ซึ่งเป็นหญิงทาส ก็เปรียบเหมือนสัญญาฉบับนี้ คนที่เกิดมาในครอบครัวของนางก็จะเป็นทาส 25 นางฮาการ์ถือเป็นตัวแทนของภูเขาซีนาย[b] ที่อยู่ในประเทศอาระเบีย และก็คือเมืองเยรูซาเล็มในตอนนี้ เพราะทั้งตัวเธอและลูกหลานต่างก็เป็นทาส 26 แต่นางซาราห์ที่เป็นหญิงอิสระ ก็เปรียบเหมือนเมืองเยรูซาเล็มที่อยู่บนสวรรค์ เธอเป็นแม่ของพวกเรา 27 เหมือนกับที่พระคัมภีร์เขียนถึงเธอว่า

“หญิงที่เป็นหมันและไม่เคยคลอดลูก
    ให้ดีใจเถิด
คนที่ไม่เคยเจ็บท้องคลอดลูก
    ให้เปล่งเสียงร้องยินดี
เดี๋ยวนี้คุณโดดเดี่ยวอ้างว้าง[c]
    แต่คุณจะมีลูกมากกว่าหญิงที่มีสามี”[d]

28 พี่น้องครับ พวกคุณเป็นลูกที่เกิดจากคำสัญญาของพระเจ้าเหมือนกับอิสอัค 29 แต่ในเวลานั้น ลูกที่เกิดตามธรรมชาติ ได้ข่มเหงอิสอัคผู้ที่เกิดจากอำนาจของพระวิญญาณ ซึ่งก็เหมือนกับเหตุการณ์ที่คุณเจอในตอนนี้ 30 แต่พระคัมภีร์พูดว่าอย่างไร “ไล่หญิงที่เป็นทาสและลูกของเธอออกไป เพราะลูกของหญิงที่เป็นทาส จะมารับมรดกร่วมกับลูกของหญิงที่เป็นอิสระไม่ได้”[e] 31 ดังนั้น พี่น้องครับ พวกเราไม่ใช่ลูกของหญิงที่เป็นทาส แต่เป็นลูกของหญิงที่เป็นอิสระ

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International