Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
อพยพ 20

บัญญัติสิบประการ

(ฉธบ. 5:1-21)

20 พระเจ้าพูดว่า

“เราคือยาห์เวห์ พระเจ้าของเจ้า เราได้นำเจ้าออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ ออกมาจากการเป็นทาสนั้น

เจ้าต้องไม่มีพระอื่นๆนอกจากเรา

เจ้าต้องไม่สร้างรูปเคารพหรือรูปเหมือนอะไรที่มีอยู่ในท้องฟ้าเบื้องบนหรือในโลกเบื้องล่าง หรือในน้ำใต้พื้นดิน เจ้าต้องไม่กราบไหว้หรือบูชาสิ่งเหล่านั้น เพราะเราคือยาห์เวห์ พระเจ้าของเจ้า เราเป็นพระเจ้าที่หึงหวง บาปของพ่อเจ้าที่ทำไว้ เราจะลงโทษพวกเขาไปสามสี่ชั่วคน คือคนเหล่านั้นที่เกลียดเรา ส่วนคนที่รักเราและรักษาคำสั่งต่างๆของเรา เราจะรักลูกหลานของเขาไปเป็นพันๆรุ่น[a]

เจ้าต้องไม่อ้างชื่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าเล่นๆ เพราะพระยาห์เวห์จะไม่ถือว่าคนนั้นไร้ความผิด ที่อ้างชื่อของพระองค์มาสาบานกันเล่นๆ

อย่าลืมที่จะถือวันหยุดทางศาสนาเป็นวันศักดิ์สิทธิ์ ในช่วงหกวันแรกของแต่ละอาทิตย์ เจ้าก็ทำงานได้ตามปกติ

10 แต่ในวันที่เจ็ด เป็นวันหยุดพักผ่อน ที่อุทิศให้กับพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า เจ้าต้องไม่ทำงานอะไรเลยในวันนี้ ทั้งเจ้า ลูกชาย ลูกสาว ทาสชาย ทาสหญิง สัตว์ทุกตัว หรือแม้แต่คนต่างชาติที่อาศัยร่วมกับเจ้า 11 เพราะพระยาห์เวห์ได้สร้างท้องฟ้า พื้นดิน และมหาสมุทร รวมทั้งทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในพวกมัน เป็นเวลาหกวัน แต่พระองค์หยุดพักผ่อนในวันที่เจ็ด นั่นเป็นเหตุที่พระยาห์เวห์ ถึงได้อวยพรวันที่เจ็ดและตั้งให้มันเป็นวันศักดิ์สิทธิ์

12 ให้เคารพพ่อแม่ของเจ้า เพื่อพวกเจ้าจะได้มีชีวิตยืนยาวบนแผ่นดินที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้ากำลังให้กับเจ้า

13 ห้ามฆ่าคน

14 ห้ามมีชู้กับผัวเมียคนอื่น

15 ห้ามขโมย

16 ห้ามเป็นพยานเท็จปรักปรำเพื่อนบ้านของเจ้า

17 ห้ามโลภอยากได้บ้านของคนอื่น ห้ามโลภอยากได้ของของเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเป็นเมียของเขา ทาสชายหญิง วัว ลา หรืออะไรก็แล้วแต่ที่เป็นของเพื่อนบ้าน”

ประชาชนเกรงกลัวพระเจ้า

(ฉธบ. 5:22-33)

18 ประชาชนทั้งหมดต่างเห็นฟ้าร้อง ฟ้าผ่า และได้ยินเสียงแตรเขาสัตว์ รวมทั้งเห็นควันบนภูเขา พวกเขาจึงกลัวจนตัวสั่น และยืนอยู่ห่างๆ 19 พวกเขาพูดกับโมเสสว่า “ท่านพูดกับพวกเราเถอะ เพื่อพวกเราจะได้ฟัง อย่าให้พระเจ้าพูดกับพวกเราเลย เพราะพวกเรากลัวว่าเราอาจจะต้องตาย”

20 โมเสสบอกคนเหล่านั้นว่า “อย่ากลัวไปเลย พระเจ้าลงมาเพื่อทดสอบพวกท่าน เพื่อพวกท่านจะได้ยำเกรงพระองค์และไม่ทำบาป”

21 ประชาชนต่างยืนอยู่ห่างๆ แต่โมเสสเดินเข้าไปหาก้อนเมฆหนาทึบนั้น ที่มีพระเจ้าอยู่ 22 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “ให้บอกกับลูกหลานอิสราเอลอย่างนี้ว่า ‘พวกเจ้าได้เห็นแล้วว่า เราได้พูดกับเจ้าจากฟ้าสวรรค์ 23 พวกเจ้าต้องไม่สร้างพระอื่นๆจากเงินและทองให้กับตัวเอง เพื่อเอามาบูชาพร้อมๆกับบูชาเรา

24 แต่ให้เจ้าสร้างแท่นบูชาที่ทำจากดินให้เรา และให้พวกเจ้าเอาแกะและวัวของเจ้า มาถวายเป็นเครื่องเผาบูชา และเครื่องสังสรรค์บูชา ให้เจ้าทำอย่างนี้ในทุกที่ที่เราจะให้เอ่ยชื่อของเราในการนมัสการ เราจะมาหาเจ้าและอวยพรเจ้า 25 แต่ถ้าเจ้าจะสร้างแท่นบูชาที่ทำจากหินให้เรา เจ้าต้องไม่เอาหินที่ตัดแต่งแล้วมาใช้ เพราะถ้าพวกเจ้าใช้สิ่วตัดแต่งมัน เจ้าก็ทำให้มันเสื่อมไป 26 เจ้าจะต้องไม่ทำบันไดไว้เดินขึ้นไปบนแท่นบูชา เพื่อเจ้าจะได้ไม่โป๊ตอนอยู่บนนั้น’”

ลูกา 23

เจ้าเมืองปีลาตไต่สวนพระเยซู

(มธ. 27:1-2, 11-14; มก. 15:1-5; ยน. 18:28-38)

23 ทุกคนในที่ประชุมลุกขึ้น พาพระเยซูไปหาเจ้าเมืองปีลาต พวกเขาเริ่มกล่าวหาพระองค์ ว่า “เราได้พบว่า ชายคนนี้พยายามปลุกปั่นประชาชนให้กระด้างกระเดื่อง เขายุยงให้พวกประชาชนเลิกจ่ายภาษีให้แก่ซีซาร์ แถมยังอ้างตัวเองเป็นพระคริสต์ กษัตริย์ของพวกเราอีกด้วย”

ปีลาตจึงถามพระเยซูว่า “แกเป็นกษัตริย์ของชาวยิวหรือ”

พระเยซูจึงตอบเขาว่า “ใช่ อย่างที่ท่านว่า”

ปีลาตจึงพูดกับพวกหัวหน้านักบวชและฝูงชนว่า “เราไม่เห็นเขาผิดอะไร” แต่พวกเขายืนกรานเสียงแข็งว่า “แต่เขาก็ได้สอนและปลุกปั่นประชาชนไปทั่วแคว้นยูเดีย เริ่มจากแถวกาลิลีเรื่อยมาจนถึงเมืองเยรูซาเล็มนี้”

ปีลาตส่งตัวพระเยซูไปพบเฮโรด

เมื่อปีลาตได้ยินอย่างนั้น ก็สอบถามจนรู้ว่าพระเยซูเป็นชาวกาลิลี ซึ่งอยู่ในการปกครองของกษัตริย์เฮโรด เขาจึงส่งตัวพระเยซูไปให้กับกษัตริย์เฮโรด ซึ่งตอนนั้นอยู่ที่เมืองเยรูซาเล็มพอดี เมื่อกษัตริย์เฮโรดพบพระเยซูก็ดีใจมาก เพราะอยากพบมานานแล้ว เขาได้ยินชื่อเสียงของพระองค์ และเขาหวังว่าพระเยซูจะแสดงอิทธิฤทธิ์ให้ดูบ้าง เฮโรดถามพระเยซูหลายอย่าง แต่พระองค์ก็ไม่ได้ตอบอะไรเลย 10 พวกหัวหน้านักบวช และพวกครูสอนกฎปฏิบัติที่ยืนอยู่ที่นั่นก็พากันกล่าวหาพระองค์อย่างดุเดือด 11 เฮโรดกับพวกทหารของเขาต่างพากันหัวเราะเยาะ และดูถูกเหยียดหยามพระองค์ พวกเขาให้พระองค์แต่งชุดของกษัตริย์ แล้วส่งตัวกลับไปหาปีลาต 12 ในวันนั้นเอง ทั้งเฮโรดและปีลาตได้กลายมาเป็นเพื่อนกัน ก่อนหน้านี้ พวกเขาเป็นศัตรูกัน

พระเยซูต้องตาย

(มธ. 27:15-26; มก. 15:6-15; ยน. 18:39-19:16)

13 ปีลาตเรียกพวกหัวหน้านักบวช พวกผู้นำและประชาชนมาชุมนุมกัน 14 แล้วปีลาตบอกว่า “พวกคุณนำชายคนนี้มาหาเรา และกล่าวหาเขาว่าปลุกปั่นยุยงประชาชนให้กระด้างกระเดื่องนั้น หลังจากที่เราได้สอบสวนเขาต่อหน้าพวกคุณแล้ว ก็ไม่เห็นว่าเขาทำผิดอะไรตามที่พวกคุณกล่าวหา 15 ส่วนกษัตริย์เฮโรด ก็คิดอย่างนี้เหมือนกัน พระองค์ก็เลยส่งชายคนนี้กลับมาหาเรา เขาไม่ได้ทำผิดอะไรที่สมควรตาย 16 เราจะสั่งเฆี่ยนเขาแล้วปล่อยตัวไป” 17 [a]

18 แต่ฝูงชนร้องตะโกนเป็นเสียงเดียวกันว่า “ฆ่ามันซะ แล้วปล่อยบารับบัสให้เรา”

19 บารับบัสถูกขังอยู่ในคุก เพราะได้ก่อการจลาจลขึ้นในเมืองเยรูซาเล็มและฆ่าคนตาย

20 ปีลาตจึงเกลี้ยกล่อมพวกเขาอีก เพราะอยากปล่อยพระเยซู 21 แต่พวกเขากลับตะโกนว่า “ตรึงมันที่กางเขน ตรึงมันที่กางเขน”

22 ปีลาตถามพวกเขาอีกเป็นครั้งที่สามว่า “ทำไม เขาทำผิดอะไร เราไม่เห็นเขาทำผิดอะไรที่สมควรตาย เราจะสั่งให้เฆี่ยนเขา แล้วก็ปล่อยตัวไป”

23 แต่พวกเขาก็ร้องตะโกนดังขึ้นๆให้ตรึงพระเยซูที่กางเขน และในที่สุดเสียงนั้นก็ชนะ

24 ปีลาตตัดสินใจทำตามที่พวกนั้นขอ 25 คือปล่อยตัวบารับบาสที่ติดคุกเพราะก่อการจลาจลและฆ่าคน และให้ทำกับพระเยซูอย่างที่พวกเขาต้องการ

พระเยซูตายบนไม้กางเขน

(มธ. 27:32-44; มก. 15:21-32; ยน. 19:17-27)

26 ในระหว่างทางที่นำตัวพระเยซูไปนั้น พวกเขาก็จับตัวซีโมนชาวไซรีน ที่เพิ่งมาจากชนบท บังคับให้เขาแบกไม้กางเขนเดินตามหลังพระเยซูไป

27 ฝูงชนจำนวนมากเดินตามไป รวมทั้งผู้หญิงหลายคนที่ร้องห่มร้องไห้ คร่ำครวญสงสารพระเยซู 28 พระเยซูก็ได้หันไปบอกพวกนางว่า

“หญิงชาวเยรูซาเล็มเอ๋ย อย่าร้องไห้ให้กับเราเลย แต่ร้องไห้ให้กับตัวเองและลูกๆของคุณเองดีกว่า 29 เวลานั้นจะมาถึง ที่คนจะพูดว่า ‘หญิงที่เป็นหมัน ไม่เคยคลอดลูก และไม่เคยเลี้ยงนมลูก ก็ได้เปรียบจริงๆ’ 30 แล้วพวกเขาก็จะขอร้องกับภูเขาว่า ‘ช่วยพังลงมาทับเราด้วย’ และอ้อนวอนกับเนินเขาว่า ‘ช่วยฝังเราหน่อย’[b] 31 เพราะถ้าพวกเขาทำอย่างนี้กับคนที่บริสุทธิ์ แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นกับคนที่ทำผิด”[c]

32 ยังมีผู้ร้ายอีกสองคนที่ถูกนำตัวมาฆ่าพร้อมๆกับพระเยซูด้วย 33 เมื่อเขามาถึงสถานที่ที่เรียกว่า “หัวกะโหลก” พวกเขาก็ตรึงพระเยซูบนไม้กางเขนระหว่างผู้ร้ายสองคนนั้น ทางขวาคนหนึ่งและทางซ้ายคนหนึ่ง 34 แล้วพระเยซูก็พูดว่า “พระบิดา ช่วยยกโทษให้กับพวกเขาด้วย เพราะพวกเขาไม่รู้ตัวหรอกว่ากำลังทำอะไรลงไป”[d]

แล้วพวกเขาเอาเสื้อผ้าของพระองค์มาจับสลากแบ่งกัน 35 ประชาชนก็ยืนดูอยู่ ส่วนพวกผู้นำชาวยิวต่างพากันหัวเราะเยาะและพูดถากถางว่า “ในเมื่อเขาช่วยคนอื่นได้ ก็ให้เขาช่วยตัวเองด้วยสิ ถ้าเขาเป็นพระคริสต์ผู้ที่พระเจ้าได้เลือกไว้จริง”

36 พวกทหารก็พากันมาล้อเลียน พวกเขาเอาเหล้าองุ่นเปรี้ยวให้พระองค์ 37 พวกเขาพูดว่า “ถ้าแกเป็นกษัตริย์ของชาวยิวจริง ก็ช่วยตัวเองสิ”

38 เหนือตัวพระองค์ขึ้นไปมีป้ายเขียนไว้ว่า “นี่คือกษัตริย์ของชาวยิว”

39 ผู้ร้ายคนหนึ่งที่ถูกตรึงอยู่พูดเสียดสีว่า

“แกเป็นพระคริสต์ไม่ใช่หรือ ช่วยตัวแกเองและพวกเราด้วยสิ”

40 แต่ผู้ร้ายอีกคนหนึ่งห้ามเขา และพูดขึ้นว่า “แกก็มีโทษถึงตายเหมือนกับเขา แกไม่กลัวพระเจ้าหรือยังไง 41 พวกเรามันสมควรตายอยู่แล้ว แต่ชายคนนี้ไม่ได้ทำอะไรผิดเลย” 42 แล้วเขาก็พูดว่า “เยซู อย่าลืมผมนะครับ เมื่อพระองค์เข้าสู่อาณาจักรของพระองค์”

43 พระองค์จึงตอบว่า “เราจะบอกให้รู้ว่า วันนี้คุณจะได้อยู่กับเราในสวนสวรรค์อย่างแน่นอน”

พระเยซูตาย

(มธ. 27:45-56; มก. 15:33-41; ยน. 19:28-30)

44 ประมาณเที่ยง มีแต่ความมืดมิดปกคลุมไปทั่วทั้งแผ่นดินจนถึงบ่ายสามโมง 45 เพราะดวงอาทิตย์หยุดส่องแสงและม่านในวิหาร[e] ก็ขาดกลางออกเป็นสองท่อน 46 พระเยซูร้องตะโกนว่า “พระบิดา ลูกขอมอบจิตวิญญาณของลูกไว้ในมือพระองค์”[f] เมื่อพูดจบพระองค์ก็สิ้นใจตาย

47 เมื่อนายร้อยคนหนึ่งเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็สรรเสริญพระเจ้าและพูดว่า “เขาเป็นคนบริสุทธิ์แน่ๆ”

48 ส่วนฝูงชนที่ได้พากันมามุงดูเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้นนี้ เมื่อพวกเขาเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น ต่างก็กลับบ้านและทุบอกตัวเองด้วยความเสียอกเสียใจ 49 ส่วนเพื่อนสนิททั้งหมดของพระเยซู และพวกผู้หญิงที่ติดตามพระองค์มาจากแคว้นกาลิลีนั้น ยังคงยืนดูอยู่ห่างๆ

โยเซฟชาวอาริมาเธีย

(มธ. 27:57-61; มก. 15:42-47; ยน. 19:38-42)

50 มีชายคนหนึ่งชื่อว่า โยเซฟ เป็นสมาชิกสภาสูงของชาวยิว เขาเป็นคนซื่อสัตย์ที่ทำตามใจพระเจ้า 51 เขาไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจและการกระทำของพวกผู้นำชาวยิวคนอื่นๆเกี่ยวกับพระเยซู เขามาจากเมืองอาริมาเธียในแคว้นยูเดีย และเฝ้าคอยอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ 52 เขาไปหาปีลาตเพื่อขอศพพระเยซู 53 แล้วจึงเอาศพของพระองค์ลงมาจากไม้กางเขน และพันด้วยผ้าลินิน แล้วนำไปไว้ในอุโมงค์ฝังศพ ซึ่งเจาะไว้ในหิน และยังไม่เคยใช้วางศพใครมาก่อน 54 วันนั้นเป็นวันศุกร์[g] ซึ่งเป็นวันจัดเตรียมและวันหยุดทางศาสนา ก็ใกล้จะเริ่มต้นแล้ว 55 ส่วนพวกผู้หญิงที่ติดตามพระเยซูมาจากแคว้นกาลิลีก็ตามโยเซฟไปที่อุโมงค์ และเห็นว่าเขาวางศพไว้ที่นั่น 56 หลังจากนั้นพวกเขาก็กลับบ้านไปเตรียมเครื่องหอมกับน้ำมันหอมไว้อาบศพพระองค์ แล้วในวันหยุดทางศาสนาพวกเขาก็หยุดพักผ่อนตามที่กฎของโมเสสสั่ง

โยบ 38

พระยาห์เวห์ตอบโยบ

38 แล้วพระยาห์เวห์ตอบโยบออกมาจากพายุว่า

“ใครกันนี่ที่ทำให้แบบแผนของเรามืดมนไป
    ด้วยคำพูดที่ขาดความเข้าใจ
เตรียมตัวของเจ้าให้พร้อมราวกับนักรบเถิด
    เราจะสอบสวนเจ้า และเจ้าจะต้องตอบเรา
เจ้าอยู่ที่ไหน เมื่อครั้งที่เราวางรากฐานให้กับแผ่นดินโลก
    ถ้าเจ้ามีความเข้าใจก็บอกเรามา
ใครเป็นผู้กำหนดขนาดของโลก แน่นอน เจ้าต้องรู้สิ
    หรือใครขึงเชือกวัดขนาดของโลกนั้น
พวกเสาหลักของโลกตั้งอยู่บนอะไร
    หรือใครวางหินหัวมุมของมัน
ตอนที่เหล่าดวงดาวในยามเช้าร้องเพลงร่วมกัน
    และพวกทูตสวรรค์[a] ทั้งหมดก็โห่ร้องด้วยความสุข
หรือใครเอาประตูไปปิดกั้นน้ำทะเลไว้
    ตอนที่มันพังทะลักออกไป เหมือนเด็กที่คลอดออกจากท้องแม่
ตอนที่เราเอาพวกเมฆมาเป็นเสื้อผ้าให้กับทะเล
    และใช้ความมืดทึบเป็นผ้าอ้อมของมัน
10 และได้กำหนดขอบเขตให้กับมัน
    และตั้งโครงและประตูให้กับมัน
11 และพูดว่า ‘เจ้ามาได้ไกลแค่นี้ ห้ามเลยจากนี้ไป
    คลื่นอันมหึมาของเจ้าจะต้องหยุดอยู่แค่ตรงนี้’

12 ตั้งแต่เจ้าเกิดมา เจ้าเคยสั่งให้ยามเช้าขึ้นมาไหม
    หรือทำให้ยามรุ่งสางรู้จักที่ของมันไหม
13 เพื่อมันจะได้ยึดจับปลายขอบของโลก
    และสะบัดคนชั่วออกไปจากโลก
14 แสงอรุณเปลี่ยนหน้าตาของโลกไป เหมือนดินเหนียวเปลี่ยนรูปไปตามตราประทับ
    แสงอรุณย้อมสีโลกเหมือนเสื้อผ้า
15 ส่วนแสงสว่างของคนชั่ว (คือความมืด) ก็ถูกยึดไปจากมัน
    และแขนของคนชั่วที่เงื้อสูงเพื่อทำร้ายคน ก็ถูกหักไป
16 เจ้าเคยไปที่ตาน้ำแห่งท้องทะเลหรือ
    หรือเจ้าเคยเดินท่องไปในที่ลึกลับของมหาสมุทรหรือ
17 เจ้าเคยเห็นประตูของดินแดนแห่งความตายหรือ
    หรือเจ้าเคยเห็นประตูของความดำมืดมิดหรือ
18 เจ้าได้หยั่งรู้ถึงความกว้างใหญ่ของแผ่นดินโลกแล้วหรือ
    ถ้าเจ้ารู้ทั้งหมดนี้ ก็บอกมา

19 ทางที่จะนำไปสู่ที่อยู่อาศัยของแสงสว่างอยู่ที่ไหน
    และที่พักของความมืดนั้นอยู่ที่ไหน
20 เพื่อเจ้าจะได้พาพวกมันกลับยังเขตแดนของพวกมัน
    และจะได้รู้เส้นทางไปบ้านของพวกมัน
21 เจ้าคงต้องรู้แน่ เพราะเจ้าเกิดก่อนพวกมันเสียอีก
    และจำนวนวันปีของเจ้าก็มากมายมหาศาล

22 เจ้าเคยไปที่คลังเก็บหิมะแล้วหรือ
    หรือว่าเจ้าเคยเห็นคลังเก็บลูกเห็บ
23 ที่เราได้เก็บไว้ใช้ในยามยากลำบาก
    คือในวันศึกสงคราม
24 หนทางที่นำไปสู่จุดที่สายฟ้าแลบกระจายออกมาอยู่ที่ไหน
    หรือจุดที่ลมตะวันออกพัดกระจายออกมาไปบนแผ่นดินโลกอยู่ที่ไหน
25 ใครขุดร่องให้ฝนห่าใหญ่ไหลลงมา
    และทำทางสำหรับพายุฝนฟ้าคะนอง
26 เพื่อให้ฝนตกลงสู่ดินแดนที่ไม่มีคนอยู่
    และถิ่นทุรกันดารที่ไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่
27 ซึ่งจะให้ความชุ่มฉ่ำกับดินแดนร้าง
    และทำให้หญ้าผลิต้นขึ้น
28 ฝนมีพ่อหรือ
    หรือว่าใครเป็นพ่อของหยาดน้ำค้างหรือ
29 น้ำแข็งออกมาจากครรภ์ของใครหรือ
    หรือใครได้คลอดน้ำค้างแข็งแห่งฟ้าสวรรค์หรือ
30 น้ำจับตัวแข็งราวกับหิน
    ส่วนพื้นผิวของทะเลลึกก็จับตัวแข็ง
31 เจ้าสามารถเอาโซ่มัดดาวลูกไก่ไว้เป็นกลุ่มได้หรือ
    เจ้าสามารถแก้เชือกที่ร้อยดาวไถได้หรือ
32 เจ้าสามารถนำหมู่ดาวออกมาปรากฏตามเวลาของมันได้หรือ
    เจ้าสามารถนำหมู่ดาวหมีออกมาพร้อมกับดาวลูกๆของมันได้หรือ
33 เจ้ารู้ถึงกฎทั้งหลายของฟ้าสวรรค์หรือ
    เจ้าสามารถทำให้โลกทำตามกฎต่างๆนั้นได้หรือ
34 เจ้าตะเบ็งสั่งหมู่เมฆ
    ให้น้ำตกลงมาท่วมท้นเจ้าได้หรือ
35 เจ้าสามารถส่งพวกสายฟ้าผ่าออกไป
    และให้มันรายงานกับเจ้าว่า “เราอยู่ที่นี่แล้วท่าน” ได้หรือ
36 ใครสอนพวกเมฆให้รู้จักปล่อยฝนลงมา
    ใครสอนหมอกให้รู้จักลอยขึ้นมา
37 ใครมีสติปัญญาพอที่จะไปนับหมู่เมฆได้
    ใครสามารถเทน้ำออกจากไหทั้งหลายแห่งฟ้าสวรรค์ได้
38 เพื่อทำให้ฝุ่นละอองจับตัวกันเป็นก้อนดิน
    และก้อนดินจับตัวกันแน่น

39 เจ้าล่าเหยื่อให้กับสิงโตได้หรือ
    เจ้าสามารถทำให้พวกสิงห์หนุ่มอิ่มได้หรือ
40 ตอนที่พวกมันพากันหมอบอยู่ตามถ้ำ
    หรือดักซุ่มตัวอย่างลับๆล่อๆ
41 ใครให้อาหารกับกาหรือ ในยามที่ลูกๆของมันร้องขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า
    และเดินโซเซไปมาเพราะขาดอาหาร

2 โครินธ์ 8

เปาโลขอให้พี่น้องบริจาคเงิน

พี่น้องครับ ตอนนี้เราอยากให้พวกคุณรู้ว่า พระเจ้าเมตตากรุณาต่อหมู่ประชุมต่างๆของพระองค์ในแคว้นมาซิโดเนียขนาดไหน ถึงแม้พวกเขาจะยากจนและถูกทดสอบอย่างหนักด้วยความทุกข์มากมาย แต่พวกเขาก็มีความสุขจนล้นพ้นออกมาเป็นใจที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ผมรับรองว่าพวกเขาให้จนสุดกำลัง อันที่จริงเกินกำลังด้วยซ้ำ และให้ด้วยความสมัครใจด้วย พวกเขารบเร้าขอมีส่วนร่วมในการบริจาคช่วยเหลือคนที่เป็นของพระเจ้า พวกเขาให้อย่างเกินคาด คือให้ชีวิตของพวกเขากับองค์เจ้าชีวิตก่อน แล้วจากนั้นถึงได้ให้กับเราอย่างที่พระเจ้าต้องการ นี่เป็นเหตุที่เราได้ขอร้องให้ทิตัสไปช่วยพวกคุณจัดการกับเงินบริจาคนี้ให้เสร็จ เพราะเขาเป็นคนเริ่มชักชวนคุณให้บริจาคตั้งแต่แรก ในเมื่อพวกคุณเป็นเลิศไปซะทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเชื่อ คำพูด ความรู้ ความกระตือรือร้น หรือความรักที่คุณเรียนรู้จากเรา ก็ขอให้เป็นเลิศในเรื่องการบริจาคด้วย

ผมไม่ได้สั่งให้คุณทำนะครับ ผมแค่อยากจะเปรียบเทียบความรักของคุณกับความกระตือรือร้นของคนอื่น จะทดสอบดูว่าความรักของคุณนั้นแท้หรือเปล่า พวกคุณก็รู้กันอยู่แล้วถึงความเมตตากรุณาของพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ที่ว่าถึงแม้พระองค์ร่ำรวย แต่ก็ยอมยากจนเพื่อเป็นประโยชน์กับคุณ พระองค์ยอมยากจนเพื่อคุณจะได้ร่ำรวย

10 ในเรื่องนี้ผมขอแนะนำสิ่งที่จะเป็นประโยชน์ เมื่อปีที่แล้ว พวกคุณเป็นพวกแรกเลยที่อยากจะช่วย และได้ช่วยเป็นพวกแรกด้วย 11 ตอนนี้ ก็น่าจะทำให้สำเร็จตามที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก และให้ช่วยตามกำลังที่มีอยู่ 12 ถ้าคุณมีใจพร้อมที่จะให้อยู่แล้ว พระเจ้าก็จะยอมรับสิ่งที่คุณให้ตามความสามารถที่คุณมี ไม่ใช่เกินความสามารถของคุณ 13 ไม่อยากให้คุณไปช่วยคนอื่นแล้วตัวเองต้องมาเดือดร้อนแทน ผมแค่อยากจะให้ช่วยเหลือกันไปช่วยเหลือกันมาเท่านั้น 14 ผมตั้งใจว่าตอนนี้คุณมีเหลือเฟือขอให้แบ่งไปช่วยคนที่ขัดสนบ้าง เกิดวันหลังเขามีเหลือเฟือและคุณเกิดขัดสนขึ้นมา เขาก็จะได้มาช่วยคุณเหมือนกัน อย่างนี้ก็เป็นการช่วยเหลือกันไปช่วยเหลือกันมา 15 เหมือนกับที่พระคัมภีร์พูดไว้ว่า

“คนที่เก็บไว้มาก ก็ไม่ได้มีเหลือเฟือ
    ส่วนคนที่เก็บไว้น้อย ก็ไม่ได้ขาดแคลน”[a]

ทิตัสและเพื่อนร่วมเดินทาง

16 ผมห่วงใยพวกคุณมาก ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ก็ใส่ความห่วงใยมากขนาดนั้นไว้ในใจของทิตัสด้วย ทำให้เขาอยากจะช่วยพวกคุณเหมือนกัน 17 เราขอให้ทิตัสมาเยี่ยมพวกคุณ และเขาก็ยินดีทำตามนั้น จริงๆแล้วเขาก็อยากจะมาเยี่ยมคุณอยู่แล้ว 18 เราส่งพี่น้องคนหนึ่งมาพร้อมกับเขาด้วย พี่น้องคนนี้เป็นคนที่มีชื่อเสียงดีตามหมู่ประชุมต่างๆของพระเจ้าในด้านการประกาศข่าวดี 19 นอกจากนี้ หมู่ประชุมต่างๆได้เลือกเขาให้เดินทางมากับพวกเราเพื่อนำเงินที่เรารับผิดชอบอยู่ไปบริจาคครั้งนี้ การบริจาคนี้ทำเพื่อถวายเกียรติให้กับองค์เจ้าชีวิต และทำให้คนเห็นว่าเราเต็มใจที่จะช่วย

20 เราระมัดระวังมากในการจัดการกับเงินบริจาคก้อนโตนี้ เพราะไม่อยากให้ใครมาติได้ 21 คือเราเป็นห่วงเรื่องชื่อเสียง อยากจะให้มันดีไม่ใช่เฉพาะกับองค์เจ้าชีวิตเท่านั้น แต่กับคนอื่นๆด้วย

22 เราก็เลยส่งพี่น้องอีกคนหนึ่งมาพร้อมกับพวกเขาด้วย พี่น้องคนนี้แสดงให้เราเห็นหลายครั้งแล้วว่าเขาอยากจะช่วย ยิ่งตอนนี้เขายิ่งอยากจะช่วยมากขึ้น เพราะเขามีความเชื่อมั่นในพวกคุณมากขึ้น

23 ถ้ามีใครถามเกี่ยวกับทิตัส ผมขอบอกว่า เขาเป็นหุ้นส่วนและเพื่อนร่วมงานของผมที่ส่งมาช่วยพวกคุณ และถ้ามีใครถามเกี่ยวกับพี่น้องสองคนนี้ ผมขอบอกว่า พวกเขาเป็นตัวแทนของหมู่ประชุมต่างๆและเป็นคนที่นำเกียรติมาให้กับพระคริสต์ด้วย 24 ดังนั้นให้พิสูจน์ความรักของคุณให้พวกเขาเห็นด้วย และให้เขาเห็นว่าที่เราโอ้อวดในเรื่องของคุณนั้นเป็นจริง เพื่อหมู่ประชุมของพระเจ้าจะได้เห็น

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International