Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
1 พงศ์กษัตริย์ 21

สวนองุ่นของนาโบท

21 ต่อมา เกิดเหตุการณ์หนึ่งขึ้น เป็นเรื่องเกี่ยวกับสวนองุ่นของนาโบทชาวยิสเรเอล ไร่องุ่นของเขาอยู่ในยิสเรเอลใกล้กับวังของกษัตริย์อาหับแห่งสะมาเรีย กษัตริย์อาหับพูดกับนาโบทว่า “มอบไร่องุ่นของเจ้าให้กับเราเถิด เราจะได้เอาไปปลูกผัก เพราะมันอยู่ใกล้กับวังของเรา แล้วเราจะให้สวนองุ่นที่ดีกว่านี้กับเจ้าเป็นการแลกเปลี่ยน หรือถ้าเจ้าต้องการ เราก็จะจ่ายให้เจ้าตามมูลค่าของสวนนั้น”

แต่นาโบทตอบว่า “พระยาห์เวห์ห้ามไม่ให้ข้าพเจ้ายกมรดกของบรรพบุรุษให้กับท่าน”

อาหับจึงกลับบ้านไปด้วยความขุ่นเคืองและโกรธเพราะนาโบทชาวยิสเรเอลได้พูดว่า “ข้าพเจ้าจะไม่ยกมรดกของบรรพบุรุษให้กับท่าน” เขานอนอยู่บนเตียง ไม่ยอมพูดจาหรือกินอาหารเลย

เยเซเบลเมียของเขาเข้ามาและถามเขาว่า “ทำไมท่านจึงว้าวุ่นอย่างนี้ ทำไมท่านจึงไม่ยอมกินอาหาร”

เขาตอบนางว่า “เพราะเราได้ไปพูดกับนาโบทชาวยิสเรเอลว่า ‘ขายสวนองุ่นของเจ้าให้กับเราเถิด หรือถ้าเจ้าต้องการ เราจะให้สวนองุ่นอื่นกับเจ้าแทน’ แต่เขากลับตอบมาว่า ‘ข้าพเจ้าจะไม่มอบสวนองุ่นของข้าพเจ้าให้กับท่าน’”

เยเซเบลเมียของเขาพูดว่า “ท่านทำตัวแบบนี้หรือ นี่หรือกษัตริย์ของอิสราเอล ลุกขึ้นและไปกินอาหารเถิด ทำตัวให้ร่าเริงเข้าไว้ ข้าพเจ้าจะไปจัดการเอาสวนองุ่นนั้นมาให้ท่านเอง”

นางจึงเขียนจดหมายขึ้นหลายฉบับ แล้วเอาตราที่มีชื่อของกษัตริย์อาหับ ประทับลงไปบนจดหมายเหล่านั้น แล้วส่งไปให้ผู้ใหญ่และผู้นำแต่ละคนที่อาศัยอยู่ในเมืองเดียวกับนาโบท ในจดหมายเหล่านั้นเขียนว่า

“ประกาศให้มีพิธีถือศีลอดอาหารขึ้นหนึ่งวัน และจัดที่นั่งให้นาโบทอยู่ในจุดที่สำคัญท่ามกลางประชาชนทั้งหมด 10 แต่จัดอันธพาลไว้สองคนให้นั่งฝั่งตรงข้ามเขาและให้พวกเขากล่าวหาว่านาโบทสาปแช่งพระเจ้าและกษัตริย์ แล้วนำตัวเขาออกไป และเอาหินขว้างเขาให้ตาย”

11 พวกผู้ใหญ่และผู้นำที่อาศัยอยู่เมืองเดียวกับนาโบท จึงทำตามจดหมายที่นางเยเซเบลได้เขียนส่งมาให้กับพวกเขา 12 พวกเขาได้ประกาศให้มีพิธีถือศีลอดอาหารขึ้นหนึ่งวัน และได้จัดที่นั่งให้นาโบทอยู่ในจุดที่เด่นท่ามกลางประชาชน 13 แล้วก็มีอันธพาลสองคนมานั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเขาและนำข้อกล่าวหานาโบทมาบอกต่อหน้าประชาชน พวกเขาพูดว่า “นาโบทได้สาปแช่งพระเจ้าและกษัตริย์” พวกเขาจึงนำตัวนาโบทออกไปนอกเมืองและขว้างก้อนหินใส่เขาจนตาย 14 แล้วพวกเขาก็ส่งข่าวมาถึงเยเซเบลว่า “นาโบทถูกหินขว้างจนตายแล้ว”

15 ทันทีที่เยเซเบลได้ยินว่านาโบทถูกหินขว้างตาย นางก็พูดกับอาหับว่า “ลุกขึ้น ไปยึดครองสวนองุ่นของนาโบทชาวยิสเรเอลที่ตอนนั้นไม่ยอมขายให้ท่าน เขาไม่มีชีวิตแล้ว เขาตายแล้ว” 16 เมื่ออาหับได้ยินว่านาโบทตายแล้ว เขาจึงลุกขึ้นและลงไปยึดสวนองุ่นของนาโบท

17 แล้วพระยาห์เวห์ก็พูดกับเอลียาห์ชาวเมืองทิชบีว่า 18 “ไปพบกษัตริย์อาหับของอิสราเอลที่ปกครองอยู่ในเมืองสะมาเรีย ตอนนี้เขาอยู่ในสวนองุ่นของนาโบทที่เขาเข้าไปยึดเป็นเจ้าของ 19 ไปพูดกับเขาว่า ‘พระยาห์เวห์พูดไว้อย่างนี้ว่า เจ้าฆ่านาโบทและยึดเอาสมบัติของเขามา’ แล้วให้พูดกับเขาอีกว่า ‘พระยาห์เวห์พูดไว้อย่างนี้ว่า ตรงที่หมาได้เลียเลือดของนาโบท หมาจะเลียเลือดของเจ้าด้วย ใช่แล้ว เลือดของเจ้านั่นแหละ’”

20 กษัตริย์อาหับพูดกับเอลียาห์ว่า “ไอ้ศัตรู ในที่สุด เจ้าก็หาเราจนเจอนะ”

เอลียาห์ตอบกลับไปว่า “ข้าพเจ้าเจอท่านแล้ว เพราะท่านได้ขายตัวไปทำความชั่วในสายตาของพระยาห์เวห์ 21 พระยาห์เวห์พูดว่า ‘เราจะนำความหายนะมาสู่เจ้า เราจะฆ่าเจ้า และเราจะตัดพวกลูกหลานผู้ชายของเจ้าทิ้งไปไม่ให้เหลือสักคนในอิสราเอล ไม่ว่าจะเป็นทาสหรือไม่เป็นทาส 22 เราจะทำให้ครอบครัวของเจ้าเป็นเหมือนกับครอบครัวของเยโรโบอัมลูกชายของเนบัท และเหมือนกับครอบครัวของบาอาชาลูกชายของอาหิยาห์ เพราะเจ้าได้ยั่วเราให้โกรธและเป็นต้นเหตุให้อิสราเอลพลอยทำบาปไปด้วย’ 23 ส่วนนางเยเซเบล พระยาห์เวห์ได้พูดไว้ว่า ‘พวกหมาจะมารุมทึ้งนางเยเซเบลที่ข้างกำแพงเมืองยิสเรเอล’ 24 พวกหมาจะกินคนของอาหับที่ตายอยู่ในเมือง และพวกอีแร้งบนท้องฟ้าจะกินคนที่ตายอยู่ในชนบท”

25 (ยังไม่เคยมีใครที่เป็นเหมือนอาหับที่ขายตัวเอง ไปทำความชั่วในสายตาของพระยาห์เวห์ ตามที่นางเยเซเบลเมียของเขายุให้เขาทำ 26 เขาทำสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนที่สุด ด้วยการไปกราบไหว้พวกรูปเคารพ เหมือนกับที่พวกชาวอาโมไรต์เคยทำ ที่พระยาห์เวห์ได้ขับไล่ออกไปต่อหน้าชาวอิสราเอล)

27 เมื่ออาหับได้ยินคำพูดเหล่านี้ เขาก็ฉีกเสื้อผ้าของเขา ใส่เสื้อกระสอบและอดอาหาร เขาใส่เสื้อกระสอบนั้นนอนและเดินไปมาอย่างเศร้าซึม

28 แล้วคำพูดของพระยาห์เวห์ก็มาถึงเอลียาห์ชาวเมืองทิชบีว่า 29 “เจ้าเห็นไหมว่าอาหับได้ถ่อมตัวลงต่อหน้าเรา เราก็จะไม่นำความหายนะมาให้เขาในวันนี้เพราะเขาได้ถ่อมตัวลง แต่เราจะให้มันเกิดขึ้นกับครอบครัวของเขาในยุคของลูกชายของเขา”

1 เธสะโลนิกา 4

ชีวิตที่พระเจ้าพอใจ

พี่น้องครับ เรายังมีเรื่องอื่นที่จะบอก ตามที่เราได้สอนคุณแล้วว่า ให้ใช้ชีวิตอย่างไร พระเจ้าถึงจะชอบใจเรา คุณก็กำลังทำอย่างนี้อยู่แล้วในเวลานี้ พวกเราขอร้องและขอปลุกใจพวกคุณในนามของพระเยซูเจ้า ให้ทำแบบนี้มากยิ่งขึ้น คุณก็รู้อยู่แล้วว่า เราได้สั่งอะไรไว้กับคุณบ้างด้วยสิทธิอำนาจของพระเยซูเจ้า พระเจ้าต้องการให้พวกคุณบริสุทธิ์ และอยู่ห่างจากความผิดบาปทางเพศ ให้แต่ละคนหาภรรยาของตัวเองมาในทางที่บริสุทธิ์และมีเกียรติ[a] ไม่ลุ่มหลงมัวเมาในราคะตัณหา เหมือนกับคนนอกศาสนาที่ไม่รู้จักพระเจ้าทำกัน อย่าเอาเปรียบหรือทำบาปต่อพี่น้องด้วยการเป็นชู้กับภรรยาเขา เพราะพวกเราได้บอกและเตือนคุณไปแล้วว่าองค์เจ้าชีวิตจะลงโทษคนที่ทำเรื่องพวกนี้ พระเจ้าไม่ได้เรียกให้พวกเรามาเป็นคนสกปรกลามก แต่เรียกให้พวกเรามาเป็นคนบริสุทธิ์สำหรับพระองค์ ดังนั้นคนที่ปฏิเสธคำสอนนี้ ก็ไม่ได้ปฏิเสธมนุษย์ แต่ได้ปฏิเสธพระเจ้าผู้ที่มอบพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ให้กับคุณ

ส่วนเรื่องที่จะรักพี่น้องนั้น พวกเราไม่จำเป็นต้องเขียนถึงเลย เพราะเป็นพระเจ้าเองที่ได้สอนให้พวกคุณรักซึ่งกันและกันอยู่แล้ว 10 แน่นอน พวกคุณรักพี่น้องทุกคนทั่วทั้งมาซิโดเนีย แต่พี่น้องครับ เราขอหนุนใจให้คุณรักกันมากขึ้นเรื่อยๆ

11 ให้ตั้งเป้าไว้เลยว่า จะพยายามอย่างดีที่สุดที่จะใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ยุ่งแต่เรื่องของตัวเอง ลงมือทำงานด้วยตัวเอง เหมือนกับที่เราได้บอกไว้แล้ว 12 ถ้าคุณทำอย่างนี้ คนภายนอกก็จะเคารพนับถือชีวิตของคุณ และคุณจะได้ไม่ต้องไปพึ่งพาใครเลย

องค์เจ้าชีวิตกำลังจะมา

13 เราอยากให้พี่น้องเข้าใจเรื่องเกี่ยวกับคนที่ล่วงลับไปแล้ว คุณจะได้ไม่เศร้าโศกเสียใจเหมือนกับคนอื่นๆที่ไม่มีความหวัง 14 ถ้าเราเชื่อว่าพระเยซูตายไปแล้วและได้ฟื้นขึ้นมาอีก เราก็ต้องเชื่อว่า พระเจ้าจะนำผู้เชื่อเหล่านั้นที่ได้ตายไปแล้วกลับมาพร้อมกับพระเยซู โดยทางพระเยซู 15 เรื่องที่พวกเราจะบอกคุณต่อไปนี้ องค์เจ้าชีวิตเป็นผู้พูดเอง คือว่าในวันนั้นตอนที่องค์เจ้าชีวิตมา พวกเราที่ยังมีชีวิตอยู่จะไม่ได้เปรียบคนพวกนั้นที่ตายไปแล้วหรอก 16 เพราะเมื่อคนได้ยินคำสั่งอันดังกึกก้องของหัวหน้าทูตสวรรค์ และเสียงเป่าแตรของพระเจ้าดังขึ้น องค์เจ้าชีวิตเองก็จะลงมาจากสวรรค์ และบรรดาคนที่ได้ตายไปแล้วในพระคริสต์ จะฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาก่อน 17 หลังจากนั้นพวกเราที่ยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ก็จะถูกนำตัวขึ้นไปในเมฆพร้อมๆกับคนเหล่านั้น เพื่อไปพบกับองค์เจ้าชีวิตบนท้องฟ้า และพวกเราก็จะได้อยู่กับพระองค์ตลอดไป 18 ขอให้พูดเรื่องนี้เพื่อให้กำลังใจซึ่งกันและกัน

ดาเนียล 3

รูปปั้นทองคำและเตาไฟ

ต่อมากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ให้คนสร้างรูปปั้นทองคำขึ้นมา สูงหกสิบศอกและยาวหกศอก พระองค์ตั้งมันไว้ในที่ราบดูราในมณฑลบาบิโลน กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์มีคำสั่งออกไปว่าให้พวกผู้นำภาค พวกผู้นำจังหวัด พวกผู้นำอำเภอ พวกที่ปรึกษา พวกผู้ดูแลด้านการเงิน พวกผู้พิพากษา พวกตำรวจชั้นผู้ใหญ่ รวมทั้งเจ้าหน้าที่อื่นๆทั้งหมดที่อยู่ตามมณฑลต่างๆจะต้องมาชุมนุมกันในงานเฉลิมฉลองรูปปั้น ที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ตั้งขึ้น

ดังนั้น พวกผู้นำภาค พวกผู้นำจังหวัด พวกผู้นำอำเภอ พวกที่ปรึกษา พวกผู้ดูแลด้านการเงิน พวกผู้พิพากษา พวกตำรวจชั้นผู้ใหญ่ รวมทั้งเจ้าหน้าที่อื่นๆทั้งหมดที่อยู่ตามมณฑลต่างๆ ก็ได้มาชุมนุมในงานเฉลิมฉลองรูปปั้นที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ตั้งขึ้น พวกเขามายืนชุมนุมกันอยู่ต่อหน้ารูปปั้นที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ตั้งขึ้นนั้น แล้วโฆษกก็ตะโกนเสียงดังว่า

“คนทุกเชื้อชาติทุกภาษา เมื่อไรก็ตามที่ท่านได้ยินเสียงของแตรเขาสัตว์ ปี่ พิณเขาคู่ พิณสี่สาย พิณใหญ่ ปี่ถุง หรือเครื่องดนตรีชนิดอื่นๆดังขึ้นมา ท่านจะต้องก้มกราบนมัสการรูปปั้นทองคำที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ตั้งขึ้นมา ใครที่ไม่ยอมก้มกราบก็จะถูกจับโยนลงในเตาไฟที่ร้อนแรงทันที”

ดังนั้น เมื่อคนได้ยินเสียงแตรเขาสัตว์ ปี่ พิณเขาคู่ พิณสี่สาย พิณใหญ่ ปี่ถุง หรือเครื่องดนตรีชนิดอื่นๆดังขึ้นมา ทุกคนไม่ว่าจะมาจากชนชาติไหนหรือพูดภาษาใด ต่างก็พากันก้มกราบนมัสการต่อรูปเคารพทองคำที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ตั้งขึ้น

ทันทีที่มีเรื่องนี้เกิดขึ้น พวกคาสดิมก็ไปเข้าเฝ้ากษัตริย์ และไปฟ้องเรื่องของคนยูดาห์บางคน พวกนั้นฟ้องกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ว่า “ข้าแต่กษัตริย์ ขอให้พระองค์มีชีวิตยืนยาว 10 ข้าแต่กษัตริย์ พระองค์ได้ออกกฎว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ได้ยินเสียงของแตรเขาสัตว์ ปี่ พิณเขาคู่ พิณสี่สาย พิณใหญ่ ปี่ถุง หรือเครื่องดนตรีชนิดอื่นๆดังขึ้นมา ทุกคนจะต้องก้มกราบนมัสการต่อหน้ารูปปั้นทองคำ 11 และใครก็ตามที่ไม่ยอมทำตามนั้น ก็จะถูกโยนลงไปในเตาไฟที่ร้อนแรง 12 เรื่องมีอยู่ว่า มีคนพวกหนึ่ง ก็คือพวกยิวที่พระองค์ได้แต่งตั้งให้เป็นผู้บริหารมณฑลบาบิโลน ชื่อชัดรัค เมชาค และเอเบดเนโก สามคนนี้ไม่สนใจคำสั่งของพระองค์ พวกมันไม่ยอมนมัสการเทพเจ้าของพระองค์ พวกมันไม่ยอมก้มกราบรูปปั้นทองคำที่พระองค์ตั้งขึ้น”

13 เมื่อกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ได้ยินอย่างนั้น ก็โกรธจัด สั่งให้คนไปเอาตัวชัดรัค เมชาค และเอเบดเนโกมาหาพระองค์ พวกนั้นจึงไปพาทั้งสามคนมาเข้าเฝ้าต่อหน้ากษัตริย์ 14 กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ถามว่า “ชัดรัค เมชาค และเอเบดเนโก จริงหรือเปล่าที่เจ้าไม่ยอมนมัสการเทพเจ้าของเรา และไม่ยอมก้มกราบรูปปั้นทองคำที่เราตั้งขึ้นมา 15 ฟังให้ดีนะ เจ้าจะต้องพร้อมที่จะก้มกราบนมัสการต่อรูปปั้นที่เราสร้างขึ้น เมื่อเจ้าได้ยินเสียงแตรเขาสัตว์ ปี่ พิณเขาคู่ พิณสี่สาย พิณใหญ่ ปี่ถุง หรือเครื่องดนตรีชนิดอื่นๆดังขึ้นมา เพราะถ้าเจ้าไม่ยอมทำละก็ เจ้าจะถูกโยนลงไปในเตาไฟที่ร้อนแรงทันที แล้วเทพเจ้าองค์ไหนจะมาช่วยเจ้าให้รอดจากอำนาจของเราได้”

16 ชัดรัค เมชาค และเอเบดเนโกตอบว่า “พวกเราไม่จำเป็นจะต้องแก้ตัวต่อพระองค์ในเรื่องนี้ 17 ข้าแต่กษัตริย์ เพราะพระเจ้าของเราที่พวกเรารับใช้อยู่นี้มีจริง พระเจ้าสามารถช่วยพวกเราให้รอดพ้นจากเตาไฟที่ร้อนแรงนั้น และพระเจ้าจะช่วยให้พวกเรารอดพ้นจากเงื้อมมือของพระองค์ด้วย 18 แต่ถ้าหากว่าพระเจ้าจะไม่ช่วยพวกเรา ก็ขอให้พระองค์รู้ไว้เถิดว่า เราก็จะไม่นมัสการเทพเจ้าของพระองค์ และเราก็จะไม่ก้มลงกราบรูปปั้นทองคำที่พระองค์ตั้งขึ้น”

19 ถึงตอนนี้ กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ก็ยิ่งโกรธจัด หน้าตาของพระองค์ก็บูดเบี้ยวไปต่อชัดรัค เมชาค และเอเบดเนโก และพระองค์ก็สั่งให้เพิ่มไฟในเตาให้ร้อนแรงขึ้นกว่าของเดิมเป็นเจ็ดเท่า 20 และพระองค์สั่งทหารบางคนที่แข็งแรงมากในกองทัพของพระองค์ มัดตัวชัดรัค เมชาค และเอเบดเนโก และให้โยนพวกเขาลงไปในเตาไฟที่กำลังลุกไหม้อยู่

21 ทั้งสามคนก็เลยถูกมัด ในขณะที่ยังมีเสื้อคลุม กางเกง หมวก รวมทั้งเสื้อผ้าอื่นๆสวมใส่อยู่ แล้วพวกทหารก็โยนทั้งสามคนลงไปในเตาไฟที่ร้อนแรง 22 เป็นเพราะกษัตริย์สั่งอย่างเฉียบขาด ให้คนทำเตาไฟให้ร้อนกว่าเดิมมาก พวกทหารที่โยนชัดรัค เมชาค และเอเบดเนโก ลงไปในเตา ก็ถูกเปลวไฟเผาตาย 23 ชายทั้งสามคน คือชัดรัค เมชาค และเอเบดเนโก หล่นลงไปในเตาไฟ ในขณะที่ถูกมัดอยู่

24 แล้วกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ก็สะดุ้งสุดตัว ลุกพรวดพราดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และร้องถามพวกที่ปรึกษาที่อยู่ข้างๆว่า “เรามัดแค่สามคนโยนลงไปในเตาไฟไม่ใช่หรือ”

พวกเขาตอบว่า “ข้าแต่กษัตริย์ พระองค์พูดถูกแล้ว”

25 พระองค์จึงถามว่า “แล้วทำไมเราถึงเห็นสี่คนเดินไปเดินมาอยู่ในกองไฟนั้นละ แล้วยังไม่ถูกมัดอีกต่างหาก และไม่เป็นอันตรายอะไรเลย แถมคนที่สี่ก็ดูเหมือนเป็นเทพเจ้าอีกด้วย”

26 แล้วกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ก็เข้าไปใกล้ๆประตูของเตาไฟและพูดว่า

“ชัดรัค เมชาค และเอเบดเนโก ผู้รับใช้ของพระเจ้าสูงสุด ออกมาเถิด”

จากนั้นชัดรัค เมชาค และเอเบดเนโก ก็ออกมาจากเตาไฟ

27 แล้วพวกผู้นำภาค พวกผู้นำจังหวัด พวกผู้นำอำเภอ และพวกที่ปรึกษาของกษัตริย์ ต่างก็เข้ามามุงดู แล้วก็เห็นว่าไฟไม่ได้ทำอันตรายกับร่างกายของพวกเขาเลย ผมบนหัวก็ไม่ไหม้ เสื้อผ้าก็ไม่ไหม้ ไม่มีแม้แต่กลิ่นไหม้ติดตัวพวกเขาเสียด้วยซ้ำ

28 แล้วกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ก็พูดว่า “ขอสรรเสริญพระเจ้าของชัดรัค เมชาค และ เอเบดเนโก พระองค์ได้ส่งทูตสวรรค์ลงมาช่วยผู้รับใช้ของพระองค์ ที่ไว้วางใจในพระองค์ พวกเขากล้าขัดคำสั่งของกษัตริย์ ถึงขนาดยอมเสี่ยงชีวิตของพวกเขาเอง แทนที่จะรับใช้หรือนมัสการเทพเจ้าองค์ใดนอกเหนือจากพระเจ้าของพวกเขา 29 บัดนี้ เราขอสั่งว่าใครก็ตามไม่ว่าจะเป็นคนเชื้อชาติใดหรือภาษาไหน ที่ว่าร้ายพระเจ้าของชัดรัค เมชาค และเอเบดเนโก จะต้องถูกหั่นเป็นชิ้นๆและบ้านของมันผู้นั้นจะต้องกลายเป็นส้วมสาธารณะ เพราะไม่มีเทพเจ้าองค์ไหนที่สามารถช่วยชีวิตคนของพระองค์ได้อย่างนี้หรอก” 30 จากนั้นกษัตริย์ก็เลื่อนขั้นให้กับชัดรัค เมชาค และเอเบดเนโก ในมณฑลบาบิโลน

สดุดี 107

หนังสือเล่มที่ห้า

(สดุดี 107-150)

ขอบคุณพระยาห์เวห์ที่ช่วยให้พ้นจากความเดือดร้อนทั้งหลาย

ให้ขอบคุณพระยาห์เวห์เพราะพระองค์ดี
    ความรักมั่นคงของพระองค์จะคงอยู่ตลอดไป
ให้พูดอย่างนี้แหละ พวกคนที่พระยาห์เวห์ได้ไถ่ไว้แล้ว
    คือพวกคนที่พระองค์ได้ไถ่จากเงื้อมมือของศัตรู
พระองค์รวบรวมพวกเขามาจากดินแดนต่างๆของคนต่างชาติ
    จากทั่วทุกสารทิศ ออกถึงตก เหนือถึงใต้[a]

พวกเขาบางคนเร่ร่อนอยู่ในทะเลทราย
    เพื่อมองหาเมืองที่จะอยู่อาศัย แต่ก็หาไม่พบ
พวกเขาหิวโหยและกระหายน้ำ
    และเหนื่อยอ่อนแทบขาดใจตาย
ในช่วงทุกข์ยากนั้น พวกเขาร้องขอความช่วยเหลือจากพระยาห์เวห์
    และพระองค์ช่วยเหลือพวกเขาให้พ้นจากความเดือดร้อนต่างๆนั้น
พระองค์ก็นำพวกเขาตรงไป
    ยังเมืองที่พวกเขาจะอยู่อาศัยได้
ขอให้พวกเขาขอบคุณพระยาห์เวห์สำหรับความรักมั่นคงของพระองค์
    และสิ่งน่าทึ่งทั้งหลายที่พระองค์ทำให้กับมวลมนุษย์
เพราะพระองค์ทำให้คนที่กระหายได้ดับกระหาย
    และพระองค์ทำให้คนที่หิวโหยอิ่มหนำด้วยของดีๆ

10 พวกเขาบางคนอยู่ในห้องขังที่มืดมิดราวกับความตาย
    ถูกล่ามด้วยโซ่ตรวนและมีปลอกเหล็กอยู่รอบคอ
11 เพราะพวกเขากบฏต่อคำสั่งของพระเจ้า
    และดูหมิ่นคำแนะนำสั่งสอนของพระเจ้าผู้ใหญ่ยิ่งสูงสุด
12 พระองค์ทำให้จิตใจของพวกเขาถ่อมลงด้วยงานหนัก
    และพวกเขาล้มลงโดยไม่มีใครช่วย
13 ในช่วงทุกข์ยากนั้น พวกเขาร้องขอความช่วยเหลือจากพระยาห์เวห์
    และพระองค์ช่วยกู้พวกเขาให้พ้นจากความเดือดร้อนต่างๆนั้น
14 พระองค์เอาพวกเขาออกมาจากความมืดมิดราวกับความตาย
    และตัดโซ่ตรวนที่มัดตัวเขาออกเสีย
15 ขอให้พวกเขาขอบคุณพระยาห์เวห์สำหรับความรักมั่นคงขอพระองค์
    และสิ่งน่าทึ่งทั้งหลายที่พระองค์ทำให้กับมวลมนุษย์
16 เพราะพระองค์พังประตูทองสัมฤทธิ์ทั้งหลายของคุก
    และทำลายกลอนเหล็กของพวกเขาจนแหลกละเอียด

17 พวกเขาบางคนก็กลายเป็นคนโง่ไปเพราะกบฏต่อพระเจ้า
    และต้องทนทุกข์ทรมานเพราะสิ่งชั่วร้ายที่พวกเขาทำ
18 พวกเขาเบื่ออาหารทุกอย่าง
    และเฉียดใกล้ประตูแห่งความตาย
19 ในช่วงทุกข์ยากนั้น พวกเขาร้องขอความช่วยเหลือจากพระยาห์เวห์
    และพระองค์ช่วยกู้พวกเขาให้พ้นจากความเดือดร้อนต่างๆนั้น
20 เมื่อพระองค์สั่ง พวกเขาก็ได้รับการรักษา
    พวกเขาจึงรอดพ้นจากหลุมศพของพวกเขา
21 ขอให้พวกเขาขอบคุณพระยาห์เวห์สำหรับความรักมั่นคงของพระองค์
    และสิ่งน่าทึ่งทั้งหลายที่พระองค์ทำให้กับมวลมนุษย์
22 ให้พวกเขาถวายเครื่องบูชาต่างๆเพื่อขอบคุณพระองค์
    และเล่าด้วยความชื่นชมยินดีถึงเรื่องที่พระองค์ได้ทำ

23 พวกเขาบางคนลงเรือไปในทะเล
    เพื่อไปทำมาหากินอยู่ในท้องทะเลอันกว้างใหญ่
24 พวกเขาเห็นถึงการงานต่างๆของพระยาห์เวห์
    และเห็นสิ่งน่าทึ่งทั้งหลายที่พระองค์ได้ทำในทะเลลึก
25 เมื่อพระองค์สั่ง พายุก็พัดเข้ามา
    และคลื่นในทะเลก็ก่อตัวสูงขึ้น
26 ลำเรือต่างถูกซัดขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วตกลงมาอย่างรวดเร็วสู่ห้วงทะเลลึก
    พวกเขาขวัญหนีดีฝ่อไปในช่วงที่ตกอยู่ในอันตรายนี้
27 พวกเขาโซเซไปมาราวกับคนเมา
    และความเป็นลูกเรือที่ชำนาญก็ช่วยอะไรพวกเขาไม่ได้
28 ในช่วงทุกข์ยากนั้น พวกเขาร้องขอความช่วยเหลือจากพระยาห์เวห์
    และพระองค์นำพวกเขาออกมาจากความเดือดร้อนต่างๆนั้น
29 พระองค์ทำให้พายุหยุดนิ่ง
    และทำให้คลื่นสงบลง
30 พวกเขาต่างก็ดีใจที่มันสงบลงได้
    และพระองค์นำพวกเขาไปสู่ท่าเรือที่พวกเขาอยากไป
31 ขอให้พวกเขาขอบคุณพระยาห์เวห์สำหรับความรักมั่นคงของพระองค์
    และสิ่งน่าทึ่งทั้งหลายที่พระองค์ทำให้กับมวลมนุษย์
32 ขอให้พวกเขายกย่องเชิดชูพระองค์ต่อหน้าที่ชุมนุมของประชาชน
    และสรรเสริญพระองค์ต่อหน้าสภาผู้นำอาวุโสของเมือง

33 พระองค์เปลี่ยนพวกแม่น้ำให้กลายเป็นทะเลทราย
    และเปลี่ยนตาน้ำให้กลายเป็นผืนดินที่แห้งผาก
34 พระองค์ทำให้แผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์กลายเป็นดินเค็ม
    เพราะความชั่วช้าที่ผู้อาศัยอยู่ที่นั่นได้ทำ
35 และพระองค์ยังสามารถเปลี่ยนทะเลทรายให้กลายเป็นทะเลสาบ
    และผืนดินแห้งกลับกลายเป็นตาน้ำ
36 พระองค์ให้พวกผู้หิวโหยตั้งรกรากอยู่ที่นั่น
    และพวกเขาก็ได้สร้างเมืองขึ้นมาอยู่กัน
37 พวกเขาหว่านพืชในท้องนา พวกเขาปลูกสวนองุ่น
    แล้วพวกมันก็ออกผลมากมาย
38 พระองค์อวยพรพวกเขาและพวกเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
    และพระองค์ไม่ได้ปล่อยให้สัตว์เลี้ยงของพวกเขาลดน้อยลงเลย

39 พวกคนกลุ่มอื่นอ่อนแอลงและลดจำนวนลง
    เนื่องจากการถูกกดขี่ข่มเหงและความหายนะที่ทุกข์ทรมาน
40 พระองค์ทำให้พวกผู้นำของพวกเขาต้องอับอายขายหน้า
    และบังคับให้พวกเขาออกเร่ร่อนเข้าไปในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งที่ยังไม่มีถนนหนทาง
41 แต่พระองค์ได้ยกย่องพวกคนขัดสนให้พ้นจากความเดือดร้อนทุกข์ยาก
    และให้ครอบครัวต่างๆของพวกเขาเพิ่มขึ้นเหมือนฝูงแกะ
42 เมื่อพวกคนดีมองเห็นสิ่งนี้ ต่างก็เฉลิมฉลองกัน
    แต่เมื่อคนชั่วทุกคนเห็น ต่างก็อึ้งเงียบไป
43 ให้คนที่ฉลาดไตร่ตรองถึงสิ่งต่างๆเหล่านี้
    และพิจารณาถึงความรักมั่นคงของพระยาห์เวห์

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International