M’Cheyne Bible Reading Plan
วังของซาโลมอน
7 ซาโลมอนได้ใช้เวลาถึงสิบสามปีในการสร้างวังของเขา 2 เขายังได้สร้างตึกที่มีชื่อเรียกว่า “ป่าของเลบานอน” ขึ้นมา ตึกแห่งนี้มีความยาวหนึ่งร้อยศอก[a] กว้างห้าสิบศอก[b] และสูงสามสิบศอก[c] โดยมีเสา[d] ที่ทำจากไม้สนซีดาร์สี่แถว ที่ปลายเสาแต่ละต้น จะมียอดเสาที่ทำจากไม้สนซีดาร์รองรับเพดานอยู่ 3 มีคานที่ทำจากไม้สนซีดาร์พาดขวางอยู่ เสาแต่ละแถวมีคานพาดอยู่สิบห้าต้น รวมทั้งหมดสี่สิบห้าต้น บนคานพวกนี้ มีกระดานไม้สนซีดาร์มุงเป็นหลังคาอยู่ 4 ที่ผนังด้านข้างของทั้งสองด้าน มีหน้าต่างเรียงกันอยู่สามแถว ตั้งอยู่ตรงข้ามกันพอดี 5 ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ต่างก็มีสามประตู และมีกรอบประตูเป็นรูปสี่เหลี่ยมด้านเท่า
6 ซาโลมอนได้สร้างระเบียงที่เรียกว่า “ระเบียงเสา” มีความยาวห้าสิบศอก กว้างสามสิบศอก ที่ด้านหน้าของระเบียงมีหลังคาปิด ซึ่งมีพวกเสารองรับอยู่
7 พระองค์ได้สร้างห้องบัลลังก์ที่พระองค์จะใช้ในการตัดสินคดี ห้องนั้นเรียกว่า “หอพิพากษา” ห้องนั้นบุไปด้วยไม้สนซีดาร์ตั้งแต่พื้นจนถึงเพดาน
8 หลังหอพิพากษานี้ก็มีลาน วังที่ซาโลมอนพักอยู่สร้างล้อมรอบลานนั้น ลักษณะของวังนั้นจะเหมือนกับหอพิพากษา เขายังสร้างวังอย่างเดียวกันนี้ให้กับภรรยาของเขาที่เป็นลูกสาวของกษัตริย์ฟาโรห์แห่งอียิปต์ด้วย
9 ตึกทั้งหมดเหล่านี้สร้างด้วยหินราคาแพง หินเหล่านี้ถูกตัดตามขนาดที่ต้องการด้วยเลื่อยและทำให้เรียบทั้งด้านหน้าและด้านหลัง หินราคาแพงเหล่านี้ใช้ทำตั้งแต่ฐานรากขึ้นไปจนถึงยอดของกำแพง สิ่งก่อสร้างทั้งหมดเหล่านี้ จากข้างนอกเข้าไปจนถึงลานใหญ่และจากฐานขึ้นไปจนถึงหลังคา แม้แต่กำแพงรอบๆลานก็สร้างขึ้นด้วยหินราคาแพงเหล่านี้ 10 พวกฐานรากทั้งหลายถูกสร้างขึ้นด้วยก้อนหินขนาดใหญ่ราคาแพง บางก้อนมีขนาดยาวถึงสิบศอก[e] และบางก้อนก็มีขนาดยาวถึงแปดศอก[f] 11 แล้วบนหินเหล่านั้นก็ยังมีหินอื่นๆที่มีราคาแพงและไม้คานที่ทำจากไม้สนซีดาร์ด้วย 12 มีพวกกำแพงล้อมรอบลานของวัง ของวิหารและระเบียงของวิหาร กำแพงเหล่านี้ สร้างด้วยหินสองชั้น และท่อนไม้สนซีดาร์อีกหนึ่งชั้น
13 กษัตริย์ซาโลมอนได้ส่งคนไปที่เมืองไทระ เพื่อไปนำตัวชายคนหนึ่งที่ชื่อว่าฮูราม[g] มาที่เมืองเยรูซาเล็ม 14 แม่ของฮูราม เป็นชาวอิสราเอลจากเผ่านัฟทาลี พ่อของเขาที่ตายไปแล้วมาจากเมืองไทระ ฮูรามเป็นช่างทองสัมฤทธิ์ ฮูรามมีความเชี่ยวชาญมากและมีประสบการณ์ในงานที่เกี่ยวกับทองสัมฤทธิ์ทุกประเภท เขาได้มาหากษัตริย์ซาโลมอนและได้ทำงานทั้งหมดตามที่ได้รับมอบหมายมา
15 เขาหล่อเสาทองสัมฤทธิ์ขึ้นสองต้นสำหรับระเบียง แต่ละต้นสูงสิบแปดศอก[h] และมีขนาดโดยรอบสิบสองศอก[i] เสานี้กลวง และมีเนื้อเหล็กหนาหนึ่งฝ่ามือ[j] 16 เขายังได้ทำหัวเสาทองสัมฤทธิ์สองอัน เพื่อไปวางไว้บนยอดเสาสองต้นนั้น หัวเสาแต่ละอันสูงห้าศอก[k] 17 มีตาข่ายที่ทำขึ้นจากโซ่ผูกห้อยบนหัวเสาทั้งสองต้น 18 เขาได้หล่อลูกทับทิมขึ้นเป็นแถวสองแถวล้อมรอบหัวเสานั้น เขาเอาลูกทับทิมทองสัมฤทธิ์เหล่านั้นทับตาข่ายแต่ละอัน เพื่อปิดหัวเสาที่อยู่บนยอดเสาแต่ละต้น 19 หัวเสาที่อยู่บนยอดเสาทำขึ้นเป็นรูปดอกไม้ 20 หัวเสาที่อยู่บนยอดเสาเหนือตาข่ายที่ห้อยลงมาเป็นรูปชาม ลูกทับทิมสองร้อยลูกห้อยอยู่เป็นแถวล้อมรอบหัวเสา 21 ฮูรามตั้งเสาทองสัมฤทธิ์คู่นั้นไว้ที่หน้าระเบียงของวิหาร เขาตั้งชื่อเสาที่ตั้งอยู่ทางด้านซ้าย[l] ว่ายาคีนและตั้งชื่อเสาที่ตั้งอยู่ทางด้านขวา[m] ว่าโบอาส 22 หัวเสาที่อยู่บนยอดของเสาเหล่านั้นมีรูปร่างเหมือนดอกไม้ แล้วงานก่อสร้างเสาเหล่านั้นก็ได้เสร็จสิ้นลง
23 ฮูรามได้หล่อขันทะเล[n] ขึ้นจากเหล็กหล่อ มีรูปร่างเป็นวงกลมวัดความกว้างจากขอบด้านหนึ่งไปถึงอีกด้านหนึ่งได้สิบศอก และสูงห้าศอก มีความยาวโดยรอบสามสิบศอก 24 ที่ใต้ขอบของขันทะเลนั้น ฮูรามได้หล่อน้ำเต้าขึ้นสองแถวล้อมรอบขันทะเลนั้น หล่อเป็นเนื้อเดียวกันกับขันทะเลนั้น 25 ขันทะเลนั้นตั้งอยู่บนวัวตัวผู้สิบสองตัว มีสามตัวหันหน้าไปทางทิศเหนือ สามตัวหันหน้าไปทางทิศตะวันตก อีกสามตัวหันไปทางทิศใต้และสามตัวที่เหลือหันไปทางทิศตะวันออก ขันทะเลนั้นวางอยู่บนตัวพวกมัน ส่วนหางของพวกมันหันเข้าหากันอยู่ด้านใน 26 ขันทะเลนี้มีความหนาหนึ่งฝ่ามือ[o] และที่ขอบของมันมีลักษณะเหมือนขอบของถ้วยน้ำคือเป็นเหมือนดอกลิลลี่ที่บานออก ขันนี้สามารถเก็บน้ำได้สี่หมื่นสี่พันลิตร[p]
27 เขายังได้สร้างรถเข็นสิบคันจากทองสัมฤทธิ์ แต่ละคันยาวสี่ศอก กว้างสี่ศอกและสูงสามศอก[q] 28 ต่อไปนี้คือวิธีสร้างรถเข็นเหล่านั้น พวกมันมีแผงสี่เหลี่ยมด้านเท่าฝังอยู่ในโครง 29 บนแผงและโครงเหล่านั้นมีพวกรูปสิงห์ พวกรูปวัวตัวผู้ และรูปทูตสวรรค์มีปีก แกะสลักอยู่ ทั้งด้านบนและด้านล่างของบรรดารูปสิงห์และรูปวัวตัวผู้เหล่านั้นมีลายมาลัยดอกไม้ที่ใช้ค้อนทำขึ้น 30 รถเข็นแต่ละคันมีล้อสี่ล้อ ทั้งล้อและเพลาทำขึ้นจากทองสัมฤทธิ์ และบนรถเข็นจะมีอ่างน้ำหนึ่งใบวางอยู่บนที่รองรับตรงมุมทั้งสี่ ที่รองรับแต่ละอันทำจากทองสัมฤทธิ์ และมีลวดลายมาลัยดอกไม้ตอกอยู่ 31 มีโครงด้านบน ซึ่งมีช่องสำหรับชามใหญ่ โครงนั้นสูงหนึ่งศอก[r] ช่องเปิดนี้มีลักษณะกลม วัดขนาดที่ฐานได้กว้างหนึ่งศอกครึ่ง[s] และมีการแกะสลักลวดลายไว้โดยรอบช่องเปิดนั้น โครงนั้นสี่เหลี่ยมไม่กลม 32 มีล้อสี่ล้ออยู่ใต้โครงนั้น และเพลาของล้อเหล่านั้นเชื่อมติดเข้ากับแท่น ล้อแต่ละล้อมีเส้นผ่าศูนย์กลางหนึ่งศอกครึ่ง 33 ลักษณะของล้อเหมือนกับล้อของรถรบ ทั้งเพลา วงล้อ ซี่ล้อและดุมล้อ ล้วนหล่อขึ้นจากเหล็กสัมฤทธิ์
34 รถเข็นแต่ละคันมีที่รองรับอยู่ตรงมุมทั้งสี่ ที่รองรับนี้เป็นเนื้อเดียวกันกับรถเข็นนั้น 35 ด้านบนของรถเข็นมีขอบทองสัมฤทธิ์สูงครึ่งศอกล้อมรอบเป็นเนื้อเดียวกันกับรถเข็น 36 ฮูรามได้แกะสลักลายพวกทูตสวรรค์มีปีก พวกสิงห์และพวกต้นปาล์มมากมายลงบนพื้นผิวของที่รองรับและบนแผงเหล่านั้น ที่ไหนมีช่องว่างเขาก็จะแกะลายพวงมาลัยไว้จนทั่ว 37 นี่คือวิธีที่เขาสร้างรถเข็นทั้งสิบคัน รถเข็นเหล่านี้หล่อขึ้นจากแม่พิมพ์อันเดียวกันจึงมีรูปร่างและขนาดเหมือนกันหมด
38 แล้วฮูรามก็ได้ทำอ่างน้ำทองสัมฤทธิ์ขึ้นสิบอ่าง แต่ละอ่างจุน้ำได้แปดร้อยแปดสิบลิตร[t] แต่ละอ่างกว้างสี่ศอก วางอยู่บนรถเข็น รถเข็นละหนึ่งใบ 39 เขาวางรถเข็นห้าคันไว้ทางด้านใต้ของวิหารและอีกห้าคันไว้ทางด้านเหนือ เขาวางขันทะเลไว้ทางด้านใต้ที่มุมทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของวิหาร 40 เขายังได้ทำหม้ออีกหลายใบ รวมทั้งทัพพีและชามประพรม แล้วฮูรามก็ได้ทำงานทุกอย่างภายในวิหารของพระยาห์เวห์ที่กษัตริย์ได้สั่งเขาไว้จนเสร็จสิ้นลง นั่นก็คือ
41 เสาสองต้น
หัวเสาสองอันที่มีรูปร่างเหมือนอ่างเพื่อวางไว้บนยอดเสา
ตาข่ายสองชุดที่ใช้สำหรับประดับบนหัวเสารูปอ่างที่อยู่บนยอดเสาสองต้นนั้น
42 ทับทิมสี่ร้อยลูกสำหรับตาข่ายสองชุด (ตาข่ายแต่ละชุดมีทับทิมอยู่สองร้อยลูกไว้สำหรับประดับหัวเสารูปชามที่อยู่บนเสาทั้งสองต้น)
43 รถเข็นสิบคันพร้อมกับอ่างน้ำสิบอ่าง
44 ขันทะเลและวัวตัวผู้สิบสองตัวที่ฐานรองของมัน
45 หม้อ ทัพพี ชามประพรม และพวกจานทั้งหมด สำหรับวิหารของพระยาห์เวห์
ของต่างๆที่ฮูรามได้ทำขึ้นให้กับกษัตริย์ซาโลมอนสำหรับวิหารของพระยาห์เวห์ล้วนทำขึ้นจากทองสัมฤทธิ์ขัดมัน 46 กษัตริย์สั่งให้หล่อของเหล่านี้ด้วยแม่พิมพ์ดินเหนียวที่นำมาจากแม่น้ำจอร์แดนที่อยู่ระหว่างสุคคทและศาเรธาน 47 ซาโลมอนไม่เคยชั่งน้ำหนักของเหล่านี้เพราะมีมากเกินไป จึงไม่สามารถบอกน้ำหนักของทองสัมฤทธิ์ทั้งหมดที่ใช้ไป
48 ซาโลมอนยังทำข้าวของเครื่องใช้ต่างๆที่อยู่ในวิหารของพระยาห์เวห์อีกด้วย ประกอบไปด้วย
แท่นบูชาทองคำ
โต๊ะทองคำสำหรับใช้วางขนมปังไว้ต่อหน้าพระยาห์เวห์
49 โคมไฟยืนที่ทำจากทองคำบริสุทธิ์ (ซึ่งตั้งอยู่ที่ด้านหน้าของห้องศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ทั้งทางขวาและทางซ้ายมีอยู่ข้างละห้าโคม)
บรรดาดอกไม้ประดิษฐ์ทองคำและตะเกียงรวมทั้งคีมคีบ
50 พวกถ้วย กรรไกรตัดไส้ตะเกียง ชามประพรม พวกจานสำหรับใส่เครื่องหอม และกระถางไฟ ที่ทำจากทองคำ
บานพับทองคำสำหรับประตูของห้องชั้นในสุดคือห้องศักดิ์สิทธิ์ที่สุด และสำหรับประตูทุกประตูที่ห้องโถงใหญ่ของวิหาร
51 เมื่องานทุกอย่างที่กษัตริย์ซาโลมอนได้ทำให้กับวิหารของพระยาห์เวห์เสร็จสิ้นลง เขาได้นำของต่างๆที่ดาวิดพ่อของเขาได้อุทิศไว้ ทั้งเงินและทองและเครื่องใช้ทุกอย่าง นำมาวางไว้ในคลังสมบัติของวิหารของพระยาห์เวห์
ร่างเดียวกัน
4 ในฐานะที่ผมเป็นนักโทษเพราะเห็นแก่องค์เจ้าชีวิต ผมขออ้อนวอนให้พวกคุณใช้ชีวิตให้สมกับที่พระเจ้าได้เรียกคุณมา 2 คือให้สุภาพอ่อนน้อมอยู่เสมอ รวมทั้งให้ใจเย็นๆและอดทนต่อกันและกันด้วยความรัก 3 ให้พยายามสุดความสามารถที่จะรักษาความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันที่ได้รับจากพระวิญญาณ ด้วยการใช้สันติภาพเป็นเชือกผูกมัดพวกคุณไว้ด้วยกัน 4 มีเพียงกายเดียวและพระวิญญาณเดียว เหมือนที่พระเจ้าเรียกพวกคุณมาให้มีความหวังเดียว 5 มีองค์เจ้าชีวิตองค์เดียว ความเชื่อเดียว พิธีจุ่มน้ำเดียว 6 และมีพระเจ้าองค์เดียว ผู้เป็นพระบิดาของทุกสิ่ง อยู่เหนือทุกสิ่ง อยู่ทั่วทุกสิ่ง และอยู่ในทุกสิ่ง
7 พวกเราแต่ละคนได้รับของขวัญต่างๆตามความเมตตาของพระคริสต์ 8 นั่นเป็นเหตุที่พระคัมภีร์ถึงได้พูดว่า
“เมื่อพระองค์ขึ้นไปอยู่ที่สูง
พระองค์ก็เอาเชลยสงครามไปด้วยและพระองค์ก็ได้แจกของขวัญให้กับมนุษย์”[a]
9 ที่พูดว่า “พระองค์ขึ้นไป” ก็แสดงว่าพระองค์เคยลงมาที่โลกเบื้องล่างนี้ 10 พระองค์ที่ลงมาก็เป็นองค์เดียวกับที่ขึ้นไปสูงกว่าสวรรค์ทั้งปวง เพื่อพระองค์จะได้เต็มไปด้วยทุกสิ่งทุกอย่าง 11 พระเยซูได้แจกของขวัญคือ พวกศิษย์เอกของพระองค์ พวกผู้พูดแทนพระเจ้า พวกผู้ประกาศข่าวดีและพวกผู้เลี้ยงที่สอน 12 เพื่อคนพวกนี้ จะได้เตรียมคนของพระเจ้าให้สามารถทำงานรับใช้ ซึ่งจะเสริมสร้างกายของพระคริสต์ให้แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ 13 จนกว่าพวกเราทั้งหมดจะเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อ และในความรู้เกี่ยวกับพระบุตรของพระเจ้า แล้วเราจะได้โตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ คือเป็นเหมือนกับพระคริสต์ทุกประการ
14 ทั้งนี้ก็เพื่อเราจะได้ไม่เป็นเหมือนเด็กเล็กๆอีกต่อไป หรือเหมือนคลื่นที่ถูกซัดไปซัดมา หรือถูกพัดไปทางโน้นทีทางนี้ที ด้วยคำสอนใหม่ๆและด้วยเล่ห์เหลี่ยมและกลอุบายต่างๆของพวกผู้สอนเท็จ 15 แต่ให้พวกเราพูดความจริงด้วยความรัก และให้โตขึ้นเป็นเหมือนพระคริสต์ในทุกๆทาง พระคริสต์คือศีรษะ 16 ที่ร่างกายทุกส่วนต้องพึ่งพาและทั้งร่างก็ยึดติดสนิทกันด้วยเส้นเอ็นทุกๆเส้น เมื่ออวัยวะต่างๆทำหน้าที่ของมันเองแล้ว พระคริสต์ทำให้ร่างกายทั้งหมดเจริญเติบโตและแข็งแรงขึ้นด้วยความรัก
ชีวิตที่พระเจ้าชอบใจ
17 ในฐานะตัวแทนขององค์เจ้าชีวิต ผมขอบอกคุณว่า ต่อจากนี้ไป อย่าใช้ชีวิตเหมือนกับคนที่ไม่รู้จักพระเจ้า ที่คิดแต่เรื่องไร้สาระ 18 ความคิดของเขามืดมัวไปเพราะความโง่เขลาและจิตใจที่ดื้อรั้นทำให้เขาถูกแยกออกจากชีวิตที่มาจากพระเจ้า 19 พวกเขาไม่มีความละอายต่อบาปอีกแล้ว ปล่อยตัวมัวเมาในกาม ทำเรื่องไม่บริสุทธิ์ทุกอย่างโดยไม่ยับยั้งชั่งใจ 20 แต่การใช้ชีวิตแบบนั้นไม่เหมือนกับการใช้ชีวิตกับพระคริสต์อย่างที่คุณเรียนรู้จากพวกเรา 21 จริงๆแล้ว คุณเคยได้ยินเรื่องของพระองค์และได้รับคำสอนเกี่ยวกับพระองค์ สิ่งที่คุณเรียนรู้มานั้นสอดคล้องกับความจริงที่พระเจ้าได้เปิดเผยในพระเยซู 22 คำสอนนั้นบอกให้พวกคุณกำจัดตัวตนเก่าๆที่ถูกตัณหาชักนำให้หลงและเสื่อมไป 23 คำสอนนั้นยังสอนให้คุณยอมให้พระเจ้าสร้างความคิดและจิตใจของคุณขึ้นมาใหม่ 24 คำสอนนี้ยังบอกอีกว่าให้สวมคนใหม่นั้นที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาเป็นเหมือนพระองค์ เพื่อจะได้มีชีวิตที่พระเจ้าชอบใจ เป็นชีวิตที่บริสุทธิ์ ตามความจริงที่เราสอนนั้น
25 ถ้าอย่างนั้น ให้เลิกพูดโกหกซะ “ให้ต่างคนต่างพูดความจริงต่อเพื่อนของตน”[b] เพราะพวกเราเป็นอวัยวะในร่างกายเดียวกัน 26 “ถ้าโกรธ ก็อย่าทำบาป”[c] ควรกำจัดความโกรธนั้นให้หมดไปก่อนดวงอาทิตย์ตกดิน 27 อย่าเปิดโอกาสให้มารเอาชนะพวกคุณได้ 28 คนที่เคยขโมยมาก่อน ก็ให้เลิกขโมยซะ แล้วหันมาทำงาน ใช้มือทำสิ่งที่มีประโยชน์ เพื่อจะได้มีสิ่งของไว้แจกคนที่ขัดสน
29 อย่าพูดคำหยาบคายเลย แต่ให้พูดในสิ่งที่ดี เพื่อจะได้ให้กำลังใจกับคนที่ต้องการ เพื่อมันจะได้เป็นประโยชน์กับคนที่ได้ยิน 30 อย่าทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเสียใจ พระเจ้าได้เอาพระวิญญาณนี้มาประทับตราพวกคุณไว้ เพื่อแสดงว่าคุณเป็นของพระเจ้า และเพื่อรับรองว่าพระเจ้าจะปลดปล่อยให้คุณเป็นอิสระในวันนั้น[d] 31 กำจัดสิ่งเหล่านี้ให้หมดสิ้นไปจากหมู่พวกคุณ คือความขมขื่นทั้งหมด ความโกรธแค้น การทะเลาะวิวาท และการใส่ร้ายป้ายสี รวมถึงความชั่วทุกชนิด 32 ให้เมตตาต่อกัน เห็นอกเห็นใจกัน และอภัยให้กันและกันเหมือนกับที่พระเจ้าได้อภัยให้กับคุณผ่านทางพระคริสต์
นิมิตเกี่ยวกับกระดูกแห้ง
37 ฤทธิ์อำนาจ[a]ของพระยาห์เวห์ ได้มาอยู่บนตัวผม พระองค์ได้นำตัวผมออกมาจากในเมืองด้วยพระวิญญาณ[b] ของพระยาห์เวห์ และวางผมลงกลางหุบเขา[c] แห่งนั้น ที่มีกระดูกคนเต็มไปหมด 2 พระองค์พาผมเดินไปรอบๆกองกระดูกเหล่านั้น ผมได้เห็นกระดูกมากมายมหาศาลในหุบเขานั้น ล้วนแต่เป็นกระดูกที่แห้งกรัง
3 พระองค์ถามผมว่า “เจ้าลูกมนุษย์ กระดูกเหล่านี้จะมีชีวิตขึ้นมาอีกได้ไหม”
ผมตอบว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิต มีแต่พระองค์เท่านั้นที่รู้คำตอบ”
4 แล้วพระองค์พูดกับผมว่า “ให้พูดแทนเรากับกระดูกเหล่านั้น ให้พูดกับพวกมันว่า ‘กระดูกแห้งเอ๋ย ฟังคำพูดของพระยาห์เวห์ให้ดี’ 5 นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตพูดกับกระดูกเหล่านี้ ‘เราจะระบายลมหายใจ[d] เข้าไปในตัวเจ้า และเจ้าจะมีชีวิตขึ้น 6 เราจะติดเส้นเอ็นเข้ากับเจ้า และเอากล้ามเนื้อมาใส่ให้กับเจ้า และเอาผิวหนังมาห่อหุ้มเจ้าไว้ เราจะใส่ลมหายใจไว้ในตัวเจ้า และเจ้าจะกลับมีชีวิตขึ้นมา แล้วเจ้าจะได้รู้ว่าเราคือยาห์เวห์’”
7 ผมจึงทำตามคำสั่งที่ผมได้รับมา ในขณะที่ผมกำลังพูดแทนพระเจ้าอยู่นั้น ก็มีเสียงดัง “กรอกแกรกกรอกแกรก” ขึ้น และกระดูกทั้งหลายก็ต่อเข้าด้วยกันทีละชิ้นๆ 8 ผมมองดู และเห็นเส้นเอ็นกับกล้ามเนื้อเริ่มปรากฏขึ้นบนกระดูกเหล่านั้น แล้วมีผิวหนังมาห่อหุ้มพวกมัน แต่พวกมันยังไม่มีลมหายใจ 9 แล้วพระองค์พูดกับผมว่า “เจ้าลูกมนุษย์ ให้พูดแทนเราให้กับลมว่า ‘นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตพูด “ลมเอ๋ย[e] พัดมาจากทั้งสี่ทิศเถิด ลมเอ๋ย ให้ลมหายใจกับผู้ที่ถูกฆ่าตายเหล่านี้เถิด เพื่อพวกเขาจะได้มีชีวิต”’”
10 ผมจึงพูดตามที่พระองค์สั่งผม และลมหายใจก็เข้าสู่ร่างของคนเหล่านั้น พวกเขามีชีวิตและยืนขึ้นมาเป็นกองทัพขนาดใหญ่มหึมา
11 พระองค์พูดกับผมว่า “เจ้าลูกมนุษย์ กระดูกเหล่านี้คือครอบครัวของชาวอิสราเอลทั้งหมด ชาวอิสราเอลชอบพูดว่า ‘กระดูกของพวกเราแห้งกรังไปแล้ว พวกเราสิ้นหวัง พวกเราโดนตัดขาดแล้ว’ 12 ดังนั้น ให้พูดแทนเรากับพวกเขาว่า ‘นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตพูด “ประชาชนของเราเอ๋ย เรากำลังจะเปิดหลุมฝังศพของพวกเจ้าและนำพวกเจ้าออกมา เราจะนำพวกเจ้ากลับคืนสู่แผ่นดินอิสราเอล 13 ประชาชนของเราเอ๋ย เมื่อเราเปิดหลุมฝังศพของพวกเจ้าและนำพวกเจ้าออกมาจากหลุมเหล่านั้น เจ้าจะได้รู้ว่าเราคือยาห์เวห์ 14 เราจะใส่พระวิญญาณของเราไว้ในพวกเจ้าและพวกเจ้าจะมีชีวิต เราจะวางพวกเจ้าไว้ในแผ่นดินของพวกเจ้าเอง แล้วพวกเจ้าจะได้รู้ว่า เรา คือ ยาห์เวห์ เราได้ลั่นคำพูดไปแล้ว และเราก็จะทำตามนั้น”’” พระยาห์เวห์พูดว่าอย่างนั้น
ยูดาห์กับอิสราเอลจะรวมกันเป็นหนึ่งอีกครั้ง
15 คำพูดของพระยาห์เวห์ได้มาถึงผมว่า 16 “เจ้าลูกมนุษย์ ให้หยิบกิ่งไม้มากิ่งหนึ่งและเขียนลงบนมันว่า ‘ยูดาห์และชาวอิสราเอลที่อยู่ร่วมกับเขา’ แล้วหยิบกิ่งไม้มาอีกกิ่งหนึ่ง และเขียนลงบนมันว่า ‘โยเซฟ (เอฟราอิม) และครอบครัวของชาวอิสราเอลทั้งหมดที่อยู่ร่วมกับเขา’ 17 ให้เอาสองกิ่งนี้มาติดเป็นท่อนเดียวกันในมือเจ้า
18 เมื่อคนของเจ้าถามว่า ‘ท่านจะไม่บอกพวกเราหรือว่า ที่ท่านทำนี้หมายถึงอะไร’ 19 ให้บอกกับพวกเขาว่า ‘นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตพูด “เราจะเอากิ่งไม้ที่เป็นตัวแทนของโยเซฟ ที่เป็นของเอฟราอิมและเผ่าทั้งหลายของอิสราเอลที่อยู่ร่วมกับเขานั้น มาติดไว้กับกิ่งไม้ที่เป็นตัวแทนของยูดาห์ และทำให้มันเป็นท่อนเดียวกัน แล้วพวกเขาจะได้กลายเป็นไม้ท่อนเดียวกันในมือของเรา”’
20 ให้ยกกิ่งไม้ที่เจ้าเขียนลงนั้น ไว้ต่อหน้าต่อตาพวกเขา 21 และเราจะพูดกับพวกเขาว่า ‘นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตพูด “เราจะเอาชาวอิสราเอลออกจากชนชาติต่างๆที่พวกเขาไปอยู่นั้น เราจะรวบรวมพวกเขามาจากทั่วทุกหนแห่ง และนำพวกเขากลับมายังแผ่นดินของพวกเขาเอง 22 เราจะทำให้พวกเขากลายเป็นชนชาติเดียวในแผ่นดินที่อยู่ท่ามกลางเนินเขาทั้งหลายของอิสราเอล และพวกเขาจะได้มีกษัตริย์องค์เดียวปกครองอยู่เหนือพวกเขาทั้งหมด พวกเขาจะไม่มีวันแตกแยกออกเป็นสองชาติหรือเป็นสองอาณาจักรได้อีก 23 พวกเขาจะไม่ทำตัวเองให้แปดเปื้อนด้วยพวกรูปเคารพขี้ๆและสิ่งอันน่าสะอิดสะเอียนของพวกเขา หรือการละเมิดอื่นๆทั้งหมดของพวกเขา เพราะเราจะช่วยให้พวกเขารอดพ้นจากการหันเหไปจากเราซึ่งเป็นความบาป เราจะชำระพวกเขา พวกเขาจะเป็นคนของเราและเราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา
24 ดาวิดผู้รับใช้ของเราจะเป็นกษัตริย์เหนือพวกเขา พวกเขาทุกคนจะมีผู้เลี้ยงแค่คนเดียว พวกเขาจะทำตามกฎต่างๆของเรา และรักษาข้อบังคับทั้งหลายของเราอย่างเคร่งครัด 25 พวกเขาจะอาศัยอยู่ในแผ่นดินที่เราได้ให้ไว้กับยาโคบผู้รับใช้ของเรา เป็นแผ่นดินที่บรรพบุรุษของพวกเจ้าเคยอาศัยอยู่ พวกเขากับลูกๆรวมทั้งลูกหลานของพวกเขาจะอาศัยอยู่ที่นั่นตลอดไป และดาวิดผู้รับใช้ของเราจะเป็นผู้นำของพวกเขาตลอดไป 26 เราจะทำข้อตกลงให้พวกเขาอยู่เย็นเป็นสุข เป็นข้อตกลงชั่วนิรันดร์ เราจะทำให้พวกเขามั่นคงและจะเพิ่มจำนวนพวกเขา เราจะวางสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเราไว้ในหมู่พวกเขาตลอดไป 27 ที่อยู่อาศัยของเราจะอยู่เหนือพวกเขา เราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา และพวกเขาจะเป็นคนของเรา 28 แล้วชนชาติต่างๆจะได้รู้ว่าเรายาห์เวห์ได้ทำให้อิสราเอลเป็นของเราโดยเฉพาะ ด้วยการตั้งสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเราอยู่ท่ามกลางพวกเขาตลอดไป”’”
ศิโยนบ้านสำหรับชนชาติทั้งหลาย
บทเพลงสรรเสริญ แห่งตระกูลโคราห์
1 พระยาห์เวห์ตั้งเมืองของพระองค์บนภูเขาอันศักดิ์สิทธิ์นั้น
2 พระยาห์เวห์รักประตูเมืองศิโยน
มากกว่าที่อื่นใดในอิสราเอล
3 เมืองของพระเจ้าเอ๋ย
ทุกคนต่างก็พูดถึงสิ่งยอดเยี่ยมเกี่ยวกับเจ้า เซลาห์
4 พระเจ้าพูดว่า “เราจะบันทึกอียิปต์ และบาบิโลน ในรายชื่อของคนเหล่านั้นที่ยอมรับเรา
รวมทั้งฟีลิสเตีย ไทระ และเอธิโอเปียด้วย
เราจะพูดว่า คนเหล่านี้เป็นพลเมืองของเมืองศิโยน”[a]
5 ใช่แล้ว พระเจ้าจะพูดถึงเมืองศิโยนว่า
“ประชาชนของชนชาติเหล่านั้น จะกลายเป็นพลเมืองของเมืองนี้
และพระเจ้าสูงสุด จะทำให้เมืองนี้มั่นคง”
6 เมื่อพระยาห์เวห์ลงทะเบียนชนชาติต่างๆ
พระองค์จะบันทึกไว้ว่า อันนี้กลายเป็นพลเมืองของศิโยนแล้ว เซลาห์
7 ในงานเทศกาลต่างๆพวกนักร้องและนักเต้น จะพูดว่า
“ศิโยน แหล่งพระพรทั้งหมดของข้าอยู่ในเจ้า”
เสียงร้องจากหลุมลึก
บทเพลงสรรเสริญของเหล่าบุตรชายแห่งตระกูลโคราห์ ถึงผู้ควบคุมวง บทเพลงเกี่ยวกับโรคภัยที่ทำให้อ่อนแอ บทเพลงมัสคิลของเฮมาน ตระกูลเอศราค
1 พระยาห์เวห์ พระเจ้าผู้ช่วยให้รอดของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าเรียกหาพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน
2 ขอให้คำอธิษฐานของข้าพเจ้าไปอยู่ต่อหน้าพระองค์
โปรดเงี่ยหูของพระองค์ฟังคำร้องขอของข้าพเจ้าด้วยเถิด
3 เพราะชีวิตของข้าพเจ้าเต็มไปด้วยเรื่องเลวร้าย
ชีวิตของข้าพเจ้าเข้าใกล้แดนผู้ตายแล้ว
4 พวกเขาถือว่าข้าพเจ้าเป็นคนหนึ่งในกลุ่มเหล่านั้นที่กำลังลงไปในหลุมฝังศพ
ข้าพเจ้าเปรียบเหมือนคนที่หมดเรี่ยวแรง
5 ข้าพเจ้าถูกปล่อยไว้ท่ามกลางคนตาย
เหมือนซากศพทั้งหลายที่นอนอยู่ในหลุม
เหมือนคนเหล่านั้นที่พระองค์ลืมสนิท
เหมือนคนเหล่านั้นที่ถูกตัดขาดจากความช่วยเหลือของพระองค์
6 พระองค์วางข้าพเจ้าไว้ในหลุมที่ลึกที่สุด
อยู่ในเหวลึกอันมืดมิด
7 ความโกรธของพระองค์กดทับข้าพเจ้าไว้อย่างหนัก
คลื่นทั้งหลายของพระองค์ซัดใส่ข้าพเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า เซลาห์
8 พระองค์แยกเพื่อนๆของข้าพเจ้าให้ห่างไกลจากข้าพเจ้า
พระองค์ทำให้ข้าพเจ้าน่าขยะแขยงในสายตาพวกเขา
ข้าพเจ้าถูกขังไว้ ออกไปไม่ได้
9 ดวงตาข้าพเจ้าพล่ามัวเพราะร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด
ข้าแต่พระยาห์เวห์ข้าพเจ้าร้องเรียกพระองค์ทุกวัน
ข้าพเจ้าชูมือขึ้นอธิษฐานถึงพระองค์
10 พระองค์ทำการอัศจรรย์ทั้งหลายให้กับคนตายหรือ
พวกผีลุกขึ้นมาจากหลุมเพื่อสรรเสริญพระองค์ได้หรือ ไม่เลย เซลาห์
11 คนตายเป็นพยานถึงความรักมั่นคงของพระองค์ในหลุมศพหรือ
พวกเขาเล่าถึงความสัตย์ซื่อของพระองค์ในดินแดนพินาศนั้นหรือ
12 พวกเขาจะรู้จักการอัศจรรย์ต่างๆของพระองค์ในความมืดมิดนั้นหรือ
พวกเขาจะรู้จักความดีงามของพระองค์ในดินแดนที่ไร้ความทรงจำหรือ
13 ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพเจ้าร้องขอความช่วยเหลือจากพระองค์
คำอธิษฐานของข้าพเจ้าลอยขึ้นไปอยู่ต่อหน้าพระองค์ในทุกๆเช้า
14 ข้าแต่พระยาห์เวห์ ทำไมพระองค์ถึงทอดทิ้งข้าพเจ้า
ทำไมพระองค์ถึงซ่อนหน้าไปจากข้าพเจ้า
15 ข้าพเจ้าอ่อนแอและใกล้ตายมาตั้งแต่เป็นเด็ก
ข้าพเจ้าต้องทนเรื่องน่าสยดสยองทั้งหลายจากพระองค์ ข้าพเจ้าหมดสิ้นทุกอย่างแล้ว
16 ความเดือดดาลของพระองค์ท่วมท้นข้าพเจ้าแล้ว
และเรื่องน่าสยดสยองทั้งหลายของพระองค์ทำลายล้างข้าพเจ้าเสียแล้ว
17 เรื่องน่าสยดสยองทั้งหลายเหล่านั้นล้อมรอบข้าพเจ้าเหมือนน้ำท่วมตลอดวัน
พวกมันดันใส่ข้าพเจ้าจากทุกด้าน
18 พระองค์แยกคนที่ข้าพเจ้ารักและเพื่อนบ้านให้ห่างไกลจากข้าพเจ้า
มีแต่ความมืดเท่านั้นที่เป็นเพื่อนข้าพเจ้า
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International