M’Cheyne Bible Reading Plan
ชาวอิสราเอลร่อนเร่ไปในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง
2 พวกเราได้ทำตามที่พระยาห์เวห์ได้สั่งเราไว้ คือเราได้หวนกลับไปยังที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง โดยใช้เส้นทางที่มุ่งหน้าไปยังทะเลแดง และพวกเราได้เดินเวียนไปตามแนวชายแดนของภูเขาเสอีร์เป็นเวลานานหลายวัน 2 แล้วพระยาห์เวห์ก็พูดกับเราว่า 3 ‘พวกเจ้าได้เดินเวียนอยู่รอบๆเทือกเขานี้นานพอแล้ว ให้เดินทางต่อไปทางทิศเหนือ 4 แล้วให้สั่งประชาชนว่า พวกเจ้ากำลังจะผ่านเขตแดนของญาติเจ้า พวกเขาเป็นลูกหลานของเอซาว ที่อยู่ในเสอีร์ พวกเขาจะกลัวเจ้า พวกเจ้าจะต้องระวังตัวไว้ให้ดี 5 อย่าไปต่อสู้กับพวกเขา เพราะเราจะไม่ยกดินแดนของพวกเขาให้กับเจ้าแม้แต่ฝ่าเท้าเดียว เพราะเราได้ยกดินแดนบนภูเขาเสอีร์ให้กับเอซาวเป็นเจ้าของไปแล้ว 6 อาหารที่เจ้าจะกินกัน ก็ต้องเอาเงินมาซื้อจากพวกเขา แม้แต่น้ำที่เจ้าจะดื่มก็ต้องเอาเงินมาซื้อด้วยเหมือนกัน 7 แน่นอน พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านได้อวยพรท่านในทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านได้ทำมา พระองค์ดูแลท่านทุกย่างก้าวในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งอันกว้างใหญ่ ในช่วงสี่สิบปีที่ผ่านมานี้ พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านอยู่กับท่านตลอด ท่านไม่เคยขาดแคลนอะไรเลย’
8 พวกเราได้เดินทางต่อ ผ่านพวกญาติของเรา ที่เป็นลูกหลานของเอซาว ที่อาศัยอยู่ในเสอีร์ พวกเราไปจากถนนที่วิ่งตรงมาจากหุบเขาจอร์แดน ไปถึงเมืองเอลัทและเอซีโอน-เกเบอร์ พวกเราได้หันมาใช้ถนนที่มุ่งไปสู่ที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งโมอับ
อิสราเอลที่เมืองอาร์
9 พระยาห์เวห์ได้พูดกับเราว่า ‘อย่าไปรังควานพวกโมอับและอย่าทำสงครามกับพวกเขา เพราะเราจะไม่ยกแผ่นดินของพวกโมอับให้เจ้าครอบครอง เพราะเราได้ยกเมืองอาร์ให้ลูกหลานของโลท[a] ครอบครองไปแล้ว’”
10 (ชาวเอมิมเคยอยู่ที่เมืองอาร์มาก่อน พวกเขาเข้มแข็ง มีจำนวนมาก และรูปร่างสูงใหญ่เหมือนชาวอานาค[b] 11 ชาวอานาคเป็นส่วนหนึ่งของชาวเรฟาอิม คนก็เลยคิดว่าชาวเอมิมเป็นส่วนหนึ่งของชาวเรฟาอิมด้วย แต่ชาวโมอับเรียกพวกเขาว่าชาวเอมิม 12 พวกชาวโฮรีก็เคยอยู่ที่เสอีร์มาก่อนเหมือนกัน แต่ลูกหลานของเอซาวได้ขับไล่พวกเขาออกไป พวกลูกหลานของเอซาวได้ทำลายพวกโฮรีที่เคยอยู่ที่นั่น และเข้าไปอยู่แทน เหมือนกับที่ชาวอิสราเอลได้ทำกับประชาชนที่เคยเป็นเจ้าของดินแดนที่พระยาห์เวห์ได้ให้กับชาวอิสราเอล)
13 “พระยาห์เวห์พูดว่า ‘ตอนนี้ ลุกขึ้น ข้ามไปอีกฝากหนึ่งของหุบเขาเศเรด’ พวกเราจึงข้ามหุบเขาเศเรดไป 14 นับตั้งแต่วันที่จากคาเดช-บารเนียมาจนข้ามหุบเขาเศเรดนี้ พวกเราใช้เวลาในการเดินทางสามสิบแปดปี ในช่วงเวลานั้น พวกนักรบรุ่นนั้นทั้งหมดในค่ายของเราที่ไม่ไว้วางใจพระเจ้าตอนอยู่ที่คาเดช-บารเนีย ต่างก็ล้มตายกันไปหมดเหมือนกับที่พระยาห์เวห์ได้สาบานไว้กับพวกเขา 15 ความจริงแล้ว เป็นฝีมือของพระยาห์เวห์เองที่ทำลายพวกนั้นจนหมดสิ้นไปจากค่าย
16 เมื่อพวกนักรบเหล่านั้นตายจากไปหมดแล้ว 17 พระยาห์เวห์พูดกับเราว่า 18 วันนี้เจ้าจะข้ามเขตแดนของโมอับที่เมืองอาร์ 19 เจ้าจะเข้าไปใกล้กับลูกหลานของอัมโมน ‘อย่าไปยุ่งกับพวกเขาและอย่าต่อสู้กับพวกเขา เพราะเราจะไม่ยกแผ่นดินของลูกหลานอัมโมนให้เจ้าครอบครอง เพราะเราได้ยกแผ่นดินนั้นให้ลูกหลานของโลทครอบครองแล้ว’”
20 (แผ่นดินนี้ถือว่าเป็นของชาวเรฟาอิมเหมือนกัน เพราะพวกเขาเคยอยู่ที่นี่มาก่อน และชาวอัมโมนก็เรียกพวกเขาว่าศัมซุมมิม 21 ชาวเรฟาอิมมีจำนวนมาก เป็นคนกลุ่มใหญ่และมีรูปร่างสูงใหญ่เหมือนชาวอานาค แต่พระยาห์เวห์ได้ทำลายพวกเขาต่อหน้าชาวอัมโมน ชาวอัมโมนจึงได้ยึดเอาดินแดนของชาวเรฟาอิม และเข้าไปอยู่แทน 22 พระยาห์เวห์ก็ทำอย่างเดียวกันนี้ให้กับลูกหลานของเอซาวที่อยู่ในเสอีร์ ตอนที่พระองค์ทำลายชาวโฮรีต่อหน้าพวกเขา พวกชาวเอโดมจึงยึดเอาดินแดนของชาวโฮรีและเข้าไปอยู่ที่นั่นแทนจนถึงทุกวันนี้ 23 ส่วนชาวอัฟวิมที่อยู่ตามหมู่บ้านใกล้กาซา ชาวคัฟโทร์ที่มาจากคัฟโทร์ได้มาทำลายพวกเขาและชาวคัฟโทร์เหล่านั้นก็เข้าตั้งบ้านเรือนอยู่ที่นั่นแทน)
การต่อสู้กับประชาชนชาวอาโมไรต์
24 “พระยาห์เวห์พูดว่า ‘ลุกขึ้น เตรียมตัว และข้ามหุบเขาอารโนนไป เห็นแล้วหรือยังว่าเราได้ให้สิโหนชาวอาโมไรต์ กษัตริย์ของเมืองเฮชโบน ไว้ในกำมือเจ้าแล้ว เข้าไปยึดดินแดนของมัน และทำสงครามกับมันเลย 25 วันนี้เราจะทำให้ทุกคนทั่วใต้ฟ้านี้เกรงกลัวเจ้า เมื่อพวกเขาได้ยินข่าวเกี่ยวกับเจ้า พวกเขาจะกลัวจนตัวสั่นต่อหน้าเจ้า’
26 ในระหว่างที่พวกเราอยู่ที่ที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งเคเดโมท เราได้ส่งพวกผู้ถือสารไปหากษัตริย์สิโหนของเมืองเฮชโบน พร้อมกับคำพูดที่เป็นมิตรว่า 27 ‘ขออนุญาตให้เราใช้เส้นทางในดินแดนของท่านด้วยเถิด เราจะเดินอยู่แต่บนถนน จะไม่เลี้ยวขวาเลี้ยวซ้าย 28 เราจะจ่ายเงินซื้ออาหารและน้ำจากท่าน ขอแค่ให้เราใช้เส้นทางเดินผ่านไปเท่านั้น 29 เหมือนกับที่ลูกหลานของเอซาวที่อยู่ในเสอีร์และชาวโมอับที่อยู่ในอาร์ได้ทำกับเรามาแล้ว เราจะต้องข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปยังดินแดนที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเราได้ให้กับพวกเราไว้’
30 แต่กษัตริย์สิโหนของเฮชโบนไม่ยอมให้พวกเราผ่านทางนั้น เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทำให้เขาดื้อดึงและต่อต้าน เพื่อพระองค์จะได้ทำให้สิโหนตกอยู่ในกำมือของท่านอย่างที่ทำอยู่ตอนนี้
31 แล้วพระยาห์เวห์ก็พูดกับผมว่า ‘เห็นแล้วหรือยังว่า เราได้ยกสิโหนและดินแดนของเขาให้กับเจ้าแล้ว เข้าไปยึดเอามาเป็นของเจ้าสิ’
32 สิโหนกับคนของเขาได้ออกมาทำสงครามกับพวกเราที่ยาฮาส 33 พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเราให้เขาตกอยู่ในกำมือของเรา เราจึงฆ่าสิโหนและลูกๆของเขา รวมทั้งกองทัพของเขาทั้งหมด 34 และเราได้เข้ายึดเมืองของเขาไว้ทั้งหมดในตอนนั้น เราได้ทำลายทุกคนทั้งผู้ชาย ผู้หญิงและเด็กๆในทุกๆเมืองโดยไม่เหลือใครเลย 35 พวกเราเอาแต่วัวควายและของมีค่ามาจากเมืองที่ยึดมาได้นั้น 36 เรายึดได้ทุกๆเมืองจากอาโรเออร์ที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำของหุบเขาอารโนน รวมทั้งเมืองที่อยู่ในหุบเขาจนถึงแคว้นกิเลอาด ไม่มีกำแพงเมืองไหนที่สูงเกินเงื้อมมือเรา พระยาห์เวห์พระเจ้าของเราให้ทุกๆเมืองกับเรา 37 เพียงแต่ท่านไม่ได้เข้าไปใกล้ดินแดนของชาวอัมโมน รวมทั้งบริเวณริมฝั่งแม่น้ำยับบอกและเมืองต่างๆตามเนินเขา เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของเราได้สั่งไว้ไม่ให้ทำอย่างนั้น
คำอธิษฐานให้พระเจ้าชนะพวกศัตรูของอิสราเอล
เพลงสดุดีของอาสาฟ
1 ข้าแต่พระเจ้า โปรดอย่านิ่งเงียบ อย่าทำเป็นหูหนวก
ข้าแต่พระเจ้า อย่าเงียบเฉยอีกต่อไปเลย
2 ดูสิ พวกศัตรูของพระองค์ ส่งเสียงโกลาหลวุ่นวาย
พวกคนเหล่านั้นที่เกลียดชังพระองค์เชิดหัวขึ้นต่อต้าน
3 พวกเขาวางแผนลับต่อต้านคนของพระองค์
พวกเขาสมรู้ร่วมคิดกันต่อต้านคนเหล่านั้นที่พระองค์รักใคร่หวงแหน
4 พวกเขาพูดว่า “มาเถิด ไปกวาดล้างพวกมันให้สิ้นจนไม่เหลือเป็นชนชาติอีกต่อไป
จนไม่มีใครจดจำชื่อของอิสราเอลได้อีก”
5 พวกเขาเห็นด้วยกันต่อแผนร้ายที่วางนั้น
และทำข้อตกลงร่วมกันที่จะต่อต้านพระองค์
6 “คนพวกนี้คือตระกูลต่างๆของเอโดม คนอิชมาเอล
คนโมอับ และคนฮาการ์
7 คนเกบาล คนอัมโมน คนอามาเลค
คนฟีลิสเตีย และชาวเมืองไทระ”
8 แม้แต่อัสซีเรียก็ร่วมกับพวกเขา
และเสริมกำลังให้กับลูกหลานของโลท[a] เซลาห์
9 ขอพระองค์ทำลายพวกเขาเหมือนกับที่พระองค์ทำกับมีเดียน
เหมือนกับที่พระองค์ทำกับสิเสราและยาบินที่แม่น้ำคีโชน
10 สองคนนั้นถูกทำลายที่เอนโดร์
และซากศพที่เน่าเปื่อยของพวกเขากลายเป็นปุ๋ยสำหรับดิน
11 ขอพระองค์ทำลายล้างพวกผู้นำของเขาเหมือนกับที่พระองค์ทำกับโอเรบและเศเอบ
ขอพระองค์ทำกับผู้ปกครองทุกคนของเขาเหมือนกับที่พระองค์ทำกับเศบาห์ และศัลมุนนา
12 คนพวกนี้พูดว่า “ไปยึดเอาทุ่งหญ้าของพระเจ้า
มาเป็นของพวกเรากันเถอะ”
13 พระเจ้าของข้าพเจ้า ทำให้พวกเขาเป็นเหมือนฝุ่นที่หมุนว่อนเถิด
ทำให้พวกเขาเป็นเหมือนแกลบที่ปลิวไปตามลมด้วยเถิด
14 ขอพระองค์เป็นเหมือนไฟที่เผาป่า
เป็นเหมือนไฟที่เผาผลาญไปตามเนินเขาต่างๆ
15 ขอพระองค์ไล่กวดพวกเขาด้วยลมแรงของพระองค์
และทำให้พวกเขาตกใจกลัวด้วยพายุของพระองค์
16 ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอปกคลุมใบหน้าเขาด้วยความละอาย
เพื่อว่าเขาจะแสวงหาพระองค์
17 ขอให้พระองค์ทำให้พวกเขากลัวและอับอายขายหน้าตลอดไป
ขอให้พวกเขาเสียหน้าและเสียชีวิตไป
18 แล้วพวกเขาจะได้รู้ว่าพระองค์ผู้ที่มีชื่อว่ายาห์เวห์
เป็นเพียงผู้เดียวที่เป็นพระเจ้า ผู้ทรงครอบครองทั้งโลก
อยากอยู่ในวิหารของพระเจ้า
ถึงหัวหน้านักร้อง ให้ร้องโดยใช้ทำนองกิททีธ[b] เพลงสดุดีของตระกูลโคราห์
1 ข้าแต่พระยาห์เวห์ ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้น
เต็นท์ที่สถิตของพระองค์ช่างงดงามยิ่งนัก
2 ข้าพเจ้าปรารถนาอย่างแรงกล้าและรอไม่ไหวแล้วที่จะได้เข้าไปในลานวิหารของพระองค์
ทั้งจิตใจและร่างกายของข้าพเจ้าจะโห่ร้องด้วยความยินดีแด่พระเจ้าผู้มีชีวิตอยู่
3 ข้าแต่พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้น ผู้เป็นพระเจ้าและกษัตริย์ของข้าพเจ้า
แม้แต่นกกระจอกก็ยังเจอที่พักในวิหารของพระองค์
แม้แต่นกนางแอ่นก็ยังมาทำรังเลี้ยงลูกอ่อนของมันใกล้แท่นบูชาทั้งหลายของพระองค์
4 ถือว่ามีเกียรติจริงๆคนเหล่านั้นที่ได้อาศัยในวิหารของพระองค์
และได้สรรเสริญพระองค์อยู่เสมอ เซลาห์
5 ถือว่ามีเกียรติจริงๆคนเหล่านั้นที่แสวงหาพละกำลังจากพระองค์
คนที่ได้ตั้งใจแน่วแน่ที่จะเดินทางไปสู่วิหารของพระองค์
6 ในขณะที่พวกเขาเดินผ่านหุบเขาแห้งแล้งแห่งบาคานั้น
มันก็กลับกลายเป็นบริเวณที่มีตาน้ำมากมาย
ฝนต้นฤดูก็ตกลงมาทำให้หุบเขานั้นเกิดแอ่งน้ำเต็มไปหมด
7 พวกเขาเดินทางจากเมืองหนึ่งไปยังอีกเมืองหนึ่ง[c]
เพื่อไปเข้าเฝ้าพระเจ้าบนภูเขาศิโยน
8 ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้น โปรดฟังคำอธิษฐานของข้าพเจ้าเถิด
ข้าแต่พระเจ้าแห่งยาโคบ โปรดฟังข้าพเจ้าด้วยเถิด เซลาห์
9 ข้าแต่พระเจ้า โปรดให้ความสนใจโล่ของพวกเราด้วย
และเอาใจใส่กษัตริย์ที่พระองค์ได้เจิมไว้ด้วยเถิด
10 วันเดียวในลานวิหารของพระองค์ยังดีกว่าพันวันในที่อื่น
ยืนอยู่ที่ประตูบ้านของพระเจ้าของข้าพเจ้ายังดีกว่าอาศัยอยู่ในบ้านของคนชั่ว
11 ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระองค์เป็นดวงอาทิตย์ และเป็นโล่กำบัง
พระองค์ให้ความดีความชอบและเกียรติยศ
พระองค์ไม่เคยหวงของดีๆไว้จากคนที่ใช้ชีวิตอย่างไร้ที่ติ
12 ข้าแต่พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้น
คนที่ไว้วางใจในพระองค์ ถือว่ามีเกียรติจริงๆ
ยูดาห์ควรไว้วางใจในพระเจ้าไม่ใช่ไว้วางใจในอียิปต์
30 พระยาห์เวห์พูดว่า “เฮ้ย ไอ้พวกลูกหลานที่ดื้อดึง
ไอ้พวกที่ทำตามแผน แต่ไม่ใช่แผนของเรา
ไอ้พวกที่ไปทำสนธิสัญญา ทั้งๆที่เราไม่ได้บอกให้เจ้าทำ
ไอ้พวกที่ทำบาปซ้ำแล้วซ้ำอีก
2 ไอ้พวกที่เดินทางไปอียิปต์โดยไม่ได้ขอคำแนะนำจากเรา
แล้วไปขอให้ฟาโรห์ปกป้อง
และไปหาที่พักพิงภายใต้ร่มเงาของอียิปต์นั้น
3 การคุ้มครองของฟาโรห์นั้นจะกลายเป็นความอับอายของพวกเจ้า
และที่พักพิงภายใต้ร่มเงาของอียิปต์นั้นจะกลายเป็นความอัปยศของเจ้า
4 ถึงแม้พวกข้าราชการของเจ้าจะอยู่ที่โศอัน[a]
และพวกตัวแทนของเจ้าได้ไปถึงเมืองฮาเนสแล้ว
5 แต่ทุกคนจะได้รับความอับอายเพราะชนชาตินั้นจะช่วยอะไรเขาไม่ได้เลย
อียิปต์จะไม่เป็นประโยชน์หรือช่วยอะไรเจ้าได้เลย มีแต่จะนำความอับอายขายหน้าและความอัปยศอดสูมาให้เท่านั้น”
ส่งส่วยไปให้อียิปต์ไม่ช่วยอะไรได้เลย
6 นี่เป็นข่าวสารที่เกี่ยวกับพวกสัตว์ในแถบเนเกบ
ในแผ่นดินที่มีแต่ปัญหาและอันตราย
คือแผ่นดินที่เต็มไปด้วยสิงโตตัวเมียและตัวผู้
เต็มไปด้วยงูพิษ และงูที่โฉบบิน
พวกเขาบรรทุกทรัพย์สมบัติของพวกเขาบนหลังลา
และบรรทุกทรัพย์สินของพวกเขาบนโหนกพวกอูฐ
เดินทางไปหาชนชาติที่ไม่สามารถช่วยพวกเขาได้
7 อียิปต์นั้นไม่มีประโยชน์และการช่วยเหลือของเธอนั้นไร้ค่า
เราถึงเรียกหล่อนว่า “พญานาคที่เอาแต่นั่ง”[b]
คำจารึกเพื่อให้คนในอนาคตเห็นว่าพระเจ้าได้เตือนแล้ว
8 ไปตอนนี้เลย ไปจารึกเรื่องนี้ลงบนแผ่นหินต่อหน้าพวกเขา
ให้เขียนเรื่องนี้ไว้บนหนังสือม้วน
เพื่อในอนาคตมันจะได้เป็นพยานต่อว่าพวกเขาไปตลอด
9 เพราะพวกเขาเป็นชนชาติที่ชอบกบฏ
พวกเขาเป็นลูกจอมโกหก
เป็นเด็กที่ไม่ยอมเชื่อฟังคำสั่งสอนของพระยาห์เวห์
10 พวกเขาพูดกับพวกผู้ที่เห็นนิมิตว่า “หยุดมองได้แล้ว”
และพูดกับพวกผู้พูดแทนพระเจ้าว่า “ไม่ต้องเอานิมิตพวกนั้นมาสอนพวกเราหรอกว่าอะไรถูกต้อง
ให้พูดกับเราในสิ่งที่รื่นหูดีกว่าและเล่านิมิตปลอมๆให้กับพวกเราฟัง
11 เปลี่ยนเรื่องได้แล้ว หันไปจากทางเก่าๆนั้นได้แล้ว
พวกเราไม่อยากจะฟังแล้วเรื่องผู้ศักดิ์สิทธิ์แห่งอิสราเอลนั้น”
12 เพราะอย่างนั้น องค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์แห่งอิสราเอล
จึงพูดอย่างนี้ว่า
“เพราะพวกเจ้าไม่ยอมรับข่าวสารนี้แต่กลับไปไว้วางใจในความโหดร้ายและการหลอกลวงและไปพึ่งในสิ่งเหล่านั้น
13 ดังนั้น ความผิดนี้ของเจ้าจะเป็นเหมือนรอยแตกในกำแพงสูงที่ปริออกมาใกล้จะพังแล้ว
และมันจะพังลงมาทันทีในชั่วพริบตา
14 มันจะแตกเหมือนกับหม้อดินที่แตกออกเป็นชิ้นๆ
จนไม่เหลือสักชิ้นที่ใหญ่พอจะเอาไปใส่ถ่านไฟร้อนๆจากเตา
หรือใช้ตักน้ำจากบ่อเก็บน้ำ”
15 เพราะนี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตผู้ศักดิ์สิทธิ์แห่งอิสราเอลได้พูดไว้
“ถ้าพวกเจ้ากลับมาหาเราและพักพิงในเรา พวกเจ้าก็จะรอด
ถ้าพวกเจ้าจะใจเย็นๆและไว้วางใจในเรา พวกเจ้าก็จะมีพลัง
แต่พวกเจ้ากลับไม่ยอมทำอย่างนั้น”
16 พวกเจ้าบอกว่า “ไม่เอา พวกเราจะควบม้าหนีไป”
เพราะอย่างนั้น พวกเจ้าก็จะต้องหนีจริงๆซะแล้ว
และเจ้ายังพูดอีกว่า “พวกเราจะขี่ม้าที่วิ่งเร็วหนีไป”
เพราะอย่างนั้น เราจะให้คนไล่กวดเจ้าเร็วกว่าเจ้าอีก
17 พวกเจ้าพันคนจะหนีเพราะคำขู่ของคนๆเดียว
คำขู่ของห้าคนจะทำให้พวกเจ้าหนีไปหมด
จนกว่าพวกเจ้าจะถูกทิ้งให้เหลือตัวคนเดียว
เหมือนกับเสาธงที่ปักอยู่บนยอดเขา
เหมือนกับธงให้สัญญาณบนเนินเขา
พระเจ้าจะมาช่วยคนของพระองค์
18 อย่างนั้น พระยาห์เวห์กำลังเฝ้าคอยให้พวกเจ้ากลับมาหาพระองค์เพื่อพระองค์จะได้อวยพรเจ้า
พระองค์จะลุกขึ้นมาแสดงความเมตตากับพวกเจ้า
เพราะพระยาห์เวห์เป็นพระเจ้าที่สัตย์ซื่อยุติธรรม
พวกที่อดทนรอคอยพระองค์ถือว่าเป็นเกียรติจริงๆ
19 ชาวเมืองศิโยนเอ๋ย คนที่อาศัยอยู่ในเมืองเยรูซาเล็มเอ๋ย ใช่แล้ว พวกเจ้าจะไม่ต้องร้องไห้อีกต่อไป พระองค์จะมาปลอบโยนเจ้าอย่างแน่นอน เมื่อพระองค์ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือของเจ้า พระองค์ก็จะมาช่วยเจ้าทันที 20 ถึงองค์เจ้าชีวิตจะให้เจ้ากินความทุกข์ยากลำบากอย่างกับอาหาร และดื่มความทุกข์ทรมานอย่างกับน้ำ แต่พระองค์ผู้เป็นครูของเจ้าก็จะไม่หลบซ่อนตัวเองอีกต่อไป และเจ้าจะได้เห็นครูของเจ้ากับตาตัวเอง 21 เมื่อพวกเจ้าหันไปทางขวาหรือหันทางซ้าย หูของเจ้าก็จะได้ยินเสียงข้างหลังเจ้าว่า “ทางอยู่นี่ เดินทางนี้สิ” 22 แล้วพวกเจ้าจะทำให้พวกรูปเคารพที่เคลือบเงินเคลือบทองของพวกเจ้าเสื่อมไป และพวกเจ้าจะเอาพวกมันไปทิ้งเหมือนทิ้งผ้าอนามัยเปื้อนเลือด และพูดกับมันว่า “ไปให้พ้น”
23 ในเวลานั้น พระยาห์เวห์จะให้ฝนตกลงมาบนเมล็ดพืชที่เจ้าได้หว่านไปในดิน พระองค์จะให้อาหารซึ่งเป็นผลผลิตจากพื้นดิน และมันก็จะมีมากมายเหลือเฟือ และในเวลานั้นฝูงสัตว์เลี้ยงของเจ้าก็จะได้เล็มหญ้าในทุ่งกว้าง 24 พวกวัวตัวผู้และลาที่ทำไร่ไถนาอยู่นั้น ก็จะได้กินฟางอย่างดีที่ใช้พลั่วและสามง่ามทำให้มันกระจัดกระจายไป 25 บนภูเขาสูงทุกลูก และบนเนินเขาทุกแห่ง ก็จะมีลำธารน้ำไหล สิ่งนี้จะเกิดขึ้นในวันที่ศัตรูถูกฆ่าตายเป็นจำนวนมาก และพวกป้อมปราการของศัตรูพังทลายลงมา
26 ในเวลานั้น แสงของดวงจันทร์ก็จะเป็นเหมือนแสงอาทิตย์ และแสงของดวงอาทิตย์ก็จะสว่างขึ้นอีกเจ็ดเท่า เหมือนกับแสงของเจ็ดวัน สิ่งนี้จะเกิดขึ้นในวันที่พระยาห์เวห์ได้ดามกระดูกที่หักของคนของพระองค์ และได้รักษาบาดแผลที่พระองค์ทำให้เกิดขึ้น
อัสซีเรียจะพ่ายแพ้
27 ดูสิ พระยาห์เวห์เองกำลังมาแต่ไกล
ด้วยความโกรธที่เผาผลาญของพระองค์และด้วยควันหนาทึบ[c]
ริมฝีปากของพระองค์เต็มไปด้วยความโกรธ
และลิ้นของพระองค์ก็เหมือนกับไฟที่เผาผลาญอยู่
28 ลมปากของพระองค์เป็นเหมือนแม่น้ำที่ไหลท่วมท้นสูงถึงคอ
พระองค์จะเอาตะแกรงแห่งการทำลายมาร่อนชนชาติต่างๆ
และพระองค์จะเอาบังเหียนมาใส่เข้าที่ปากของชนชาติทั้งหลายเพื่อนำพวกเขาให้พินาศไป
29 แล้วพวกเจ้าจะร้องเพลงหนึ่งเหมือนกับร้องในคืนที่มีเทศกาลทางศาสนาและพวกเจ้าก็จะมีความสุขในใจเหมือนคนที่กำลังเดินตามเสียงขลุ่ยขึ้นไปที่ภูเขาของพระยาห์เวห์ ผู้เป็นศิลาลี้ภัยแห่งอิสราเอล 30 และพระยาห์เวห์จะทำให้ทุกคนได้ยินเสียงอันดังสนั่นหวั่นไหวของพระองค์ และเห็นแขนอันทรงพลังของพระองค์ฟาดลงมาด้วยความโกรธแค้น และด้วยเปลวไฟแห่งการเผาผลาญ พระองค์จะมาอย่างกับเสียงพายุฟ้าคะนอง มีทั้งฝนและลูกเห็บ 31 อัสซีเรียจะเกิดขวัญผวาเมื่อได้ยินเสียงจากพระยาห์เวห์ เมื่อพระองค์ตีด้วยไม้กระบองของพระองค์ 32 แต่ละจังหวะที่พระองค์หวดไม้กระบองลงโทษอัสซีเรียนั้น จะเข้ากับจังหวะของเสียงกลองและพิณ พระองค์จะกวัดแกว่งอาวุธของ พระองค์เพื่อต่อสู้กับพวกเขา 33 พระองค์ได้เตรียมที่เผาศพพวกเขาไว้แล้ว ใช่แล้ว พระองค์ได้เตรียมไว้สำหรับกษัตริย์ของพวกเขา หลุมนั้นลึกและกว้าง มีไฟกับฟืนอย่างเหลือเฟือ แล้วพระองค์จะจุดมันด้วยลมปากของพระยาห์เวห์ที่เป็นเหมือนลำธารไฟกำมะถัน
1 จากยูดา ทาสของพระเยซูคริสต์ และเป็นน้องของยากอบ
ถึงคนทั้งหลายที่พระเจ้าได้เรียกมาเป็นคนที่พระเจ้าพระบิดารัก และเป็นคนที่พระเยซูคริสต์คุ้มครองไว้
2 ขอพระเจ้าให้ความเมตตากรุณา สันติสุข และความรักกับคุณมากขึ้นอย่างเหลือเฟือ
พระเจ้าจะลงโทษคนที่ทำผิด
3 เพื่อนๆที่รัก ตอนแรกผมตั้งใจจะเขียนถึงพวกคุณเกี่ยวกับความรอดที่เรามีร่วมกัน แต่ผมเห็นว่าจำเป็นจะต้องเขียนมากระตุ้นพวกคุณก่อน ให้ต่อสู้เพื่อหลักความเชื่อที่พระเจ้าได้มอบให้กับคนเหล่านั้นที่ถูกอุทิศไว้ให้เป็นของพระองค์ พระเจ้าได้มอบความเชื่อนี้เพียงครั้งเดียวซึ่งเพียงพอแล้วสำหรับตลอดไป
4 เพราะมีบางคนได้แอบเข้ามาในกลุ่มของพวกคุณ พวกนี้เป็นพวกที่พระเจ้าได้ตัดสินลงโทษไว้นานมาแล้ว ตามที่ผู้พูดแทนพระเจ้าได้เขียนไว้ พวกนอกศาสนาใช้ความเมตตากรุณาของพระองค์มาเป็นข้ออ้างที่จะทำผิดบาปทางเพศ และพวกนี้ได้ทิ้งพระเยซูคริสต์ผู้เป็นเจ้านายและองค์เจ้าชีวิตแต่เพียงผู้เดียวของเราด้วย
5 ผมอยากจะช่วยเตือนความจำของพวกคุณในเรื่องที่คุณรู้อยู่แล้ว จำได้ไหม องค์เจ้าชีวิต[a]ได้ช่วยคนของพระองค์ออกจากประเทศอียิปต์ แต่ต่อมาพระองค์ได้ทำลายทุกคนในพวกนั้นที่ไม่ไว้วางใจพระองค์ 6 คุณยังจำได้ไหม เรื่องของพวกทูตสวรรค์ที่ไม่พอใจกับตำแหน่งหน้าที่ที่พระองค์มอบให้ แต่กลับทิ้งที่อยู่ของตัวเองไป พระองค์ได้ล่ามพวกนี้ไว้ด้วยโซ่ที่ไม่มีวันขาด ขังไว้ในที่มืดมิดเพื่อรอตัดสินโทษในวันที่ยิ่งใหญ่นั้น 7 จำได้ไหม เรื่องของเมืองโสโดม เมืองโกโมราห์ และเมืองอื่นๆรอบๆสองเมืองนั้น ที่เต็มไปด้วยพวกทำผิดบาปทางเพศ พวกวิปริตผิดเพศ พระองค์จึงลงโทษพวกเขาด้วยไฟที่ไม่มีวันดับ เพื่อเอาไว้เป็นตัวอย่างให้ดู
8 มันก็เหมือนกับคนพวกนี้ที่แอบเข้ามาในกลุ่มของคุณ พวกเขาอ้างว่าเห็นนิมิตมากมาย จึงทำให้พวกเขาทำตัวสกปรกโสมมเต็มไปด้วยราคะตัณหา ไม่ยอมรับอำนาจขององค์เจ้าชีวิต และด่าว่าทูตสวรรค์ 9 ซึ่งแม้แต่มีคาเอลที่เป็นหัวหน้าทูตสวรรค์ยังไม่กล้าด่าว่ามาร ตอนที่โต้เถียงกันว่าใครจะได้ศพของโมเสสไป มีคาเอลแค่พูดว่า “ขอให้องค์เจ้าชีวิตจัดการกับเจ้า” 10 แต่คนพวกนี้ได้ด่าว่าในเรื่องที่ตัวเองก็ไม่เข้าใจ ส่วนเรื่องที่เขาเข้าใจตามสัญชาตญาณอย่างสัตว์ที่ไม่มีความคิดนั้น ก็กลับเป็นสิ่งที่ทำลายพวกเขาเอง 11 พวกนี้ทำตัวน่าละอายที่สุด พวกเขาทำตัวเหมือนคาอินที่ฆ่าน้องของตัวเอง พวกนี้ได้ปล่อยตัวไปตามความผิดที่บาลาอาม[b]ได้ทำเพราะอยากจะร่ำรวย คนพวกนี้จะถูกทำลายไปเหมือนกับโคราห์[c]ที่กบฏต่อโมเสส
12 เมื่อพวกคุณมาพบปะสังสรรค์ดื่มกินกันเพื่อแสดงความรักต่อกัน[d] คนพวกนี้ก็มาร่วมด้วย พวกเขาเป็นเหมือนหินโสโครกอันตรายที่ทำให้เรือแตกได้ พวกเขาดื่มกินกับคุณอย่างหน้าด้านๆ เป็นคนเลี้ยงแกะที่เลี้ยงดูแต่ตัวเอง เป็นเหมือนเมฆที่ไม่มีน้ำฝนที่ถูกพัดไปตามลม เป็นเหมือนต้นไม้ที่ไม่ออกลูกตามฤดูกาล และถูกถอนรากถอนโคนตายซ้ำสอง 13 เป็นเหมือนคลื่นบ้าคลั่งในทะเลที่ซัดเอาการกระทำที่น่าละอายของตัวเองขึ้นมาให้เห็นเป็นฟอง เป็นเหมือนดวงดาวที่หลุดจากวงโคจร พระเจ้าได้จองที่ให้คนพวกนี้ในความมืดมิดที่ไม่มีวันจบสิ้น
14 อีโนค เป็นคนรุ่นที่เจ็ดนับจากอาดัม เขาได้ทำนายเกี่ยวกับคนพวกนี้ว่า “ดูนั่นสิ องค์เจ้าชีวิตมาพร้อมกับทูตสวรรค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์นับพันนับหมื่นของพระองค์ 15 เพื่อมาตัดสินลงโทษทุกๆคนที่ไม่เกรงกลัวพระเจ้าสำหรับการกระทำที่ไม่เกรงกลัวพระองค์ และสำหรับคำพูดที่หยาบช้าทั้งหมดของคนบาปที่ไม่เกรงกลัวพระองค์”
16 คนพวกนี้ขี้บ่น ชอบจับผิด ชอบทำตามราคะตัณหาของตัวเอง ขี้อวด ขี้ประจบสอพลอเพื่อประโยชน์ของตัวเอง
การเตือนและสิ่งที่ต้องทำ
17 เพื่อนๆที่รัก ขอให้จำสิ่งที่พวกศิษย์เอกของพระเยซูคริสต์องค์เจ้าชีวิตของเรา ได้เคยพูดไว้ว่า 18 “ในยุคสุดท้าย จะมีคนเยาะเย้ยพระเจ้า พวกนี้จะทำตามกิเลสตัณหา ชั่วอย่างไม่เกรงกลัวพระองค์” 19 พวกนี้แหละที่สร้างความแตกแยกขึ้นในหมู่พวกคุณ และพวกเขาก็ทำตามสัญชาตญาณ เพราะไม่มีพระวิญญาณของพระเจ้าอยู่ด้วย
20 ส่วนพวกคุณ เพื่อนที่รัก ขอให้ก่อร่างกันขึ้นบนรากฐานของหลักความเชื่ออันศักดิ์สิทธิ์ที่สุดที่คุณมี และให้อธิษฐานด้วยความช่วยเหลือจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ 21 ให้คุณรักษาเนื้อรักษาตัวให้คงอยู่ในความรักของพระเจ้า ระหว่างที่คุณรอคอยพระเยซูคริสต์องค์เจ้าชีวิตของเรา พระองค์จะเมตตากรุณาให้คุณมีชีวิตกับพระเจ้าตลอดไป 22 ให้ความเมตตากับคนที่สงสัย 23 ให้ช่วยดึงคนอื่นให้หลุดพ้นออกมาจากไฟ ให้ความเมตตากับคนอื่นๆ แต่ระมัดระวังตัวให้ดี ให้เกลียดแม้แต่เสื้อผ้าที่เปรอะเปื้อนบาป
สรรเสริญพระเจ้า
24 พระเจ้าสามารถรักษาคุณไว้ไม่ให้ล้มลง พระองค์จะนำคุณไปยืนอยู่ต่อหน้าสง่าราศีของพระองค์ อย่างคนที่ไม่มีตำหนิ และเต็มไปด้วยความสุข 25 พระองค์คือพระเจ้าเพียงองค์เดียวเท่านั้น เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา ขอให้พระเยซูคริสต์องค์เจ้าชีวิตของเราทำให้คนให้เกียรติกับพระเจ้า และยกย่องสรรเสริญพระองค์ ขอให้พวกเขายอมรับว่า พระองค์มีฤทธิ์และสิทธิอำนาจตลอดทุกยุคทุกสมัย ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต อาเมน
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International