Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
กันดารวิถี 12-13

มิเรียมและอาโรนบ่นเกี่ยวกับโมเสส

12 มิเรียมและอาโรนพูดต่อต้านโมเสส เพราะผู้หญิงชาวเอธิโอเปีย ที่โมเสสแต่งงานด้วย และโมเสสก็แต่งงานกับผู้หญิงชาวเอธิโอเปียนั้นจริง พวกเขาพูดว่า “พระยาห์เวห์พูดผ่านโมเสสคนเดียวหรือยังไง พระองค์พูดผ่านเราด้วยไม่ใช่หรือ” พระยาห์เวห์ได้ยินที่เขาพูด โมเสสเป็นคนที่ถ่อมตัวมาก ถ่อมกว่าใครๆในโลกนี้ ในทันใดนั้นเอง พระยาห์เวห์พูดกับโมเสส อาโรนและมิเรียมว่า “พวกเจ้าทั้งสามคน ออกมาที่เต็นท์นัดพบ”

พวกเขาทั้งสามคนได้ออกมาที่เต็นท์ พระยาห์เวห์ลงมาในเสาเมฆ และมาหยุดอยู่ที่ทางเข้าเต็นท์ แล้วพระองค์ก็ร้องเรียกว่า “อาโรนและมิเรียม” ทั้งสองคนออกมา พระองค์พูดว่า “ฟังเราให้ดี ตอนที่มีผู้พูดแทนพระเจ้าท่ามกลางเจ้า เรา ยาห์เวห์ จะแสดงตัวของเราให้กับเขาเห็นในนิมิต เราจะพูดกับเขาในความฝัน แต่สำหรับโมเสส ผู้รับใช้ของเรา มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น เราฝากทั้งครัวเรือนของเราไว้กับเขา เวลาเราพูดกับเขา เราได้พูดกับเขาต่อหน้า และบอกเขาชัดเจนถึงสิ่งที่เราจะให้เขาทำ ไม่ต้องใช้เรื่องเล่าต่างๆที่มีความหมายแอบแฝงอยู่ และเขาสามารถมองเห็นรูปลักษณ์ของพระยาห์เวห์ได้โดยตรง พวกเจ้ากล้าดียังไงถึงได้มาพูดต่อต้านโมเสสผู้รับใช้ของเรา”

พระยาห์เวห์โกรธพวกเขา และพระองค์ก็จากไป 10 เมื่อเมฆลอยไปจากเต็นท์ ก็มีเกล็ดขาวๆเหมือนหิมะโผล่ขึ้นมาตามผิวหนังของมิเรียม เมื่ออาโรนหันมาที่มิเรียม ก็เห็นเกล็ดสีขาวบนตัวนาง

11 อาโรนจึงพูดกับโมเสสว่า “เจ้านายของเรา อย่าได้ลงโทษพวกเราเลย ที่เราได้ทำบาปโง่ๆลงไป 12 ขออย่าให้นางเป็นเหมือนเด็กที่ตายตอนคลอดแล้วเนื้อแหว่งไปครึ่งหนึ่งเลย”

13 โมเสสร้องขอต่อพระยาห์เวห์ “พระเจ้า ขอได้โปรดช่วยรักษานางด้วยเถิด”

14 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “ถ้าพ่อของนางถุยน้ำลายใส่หน้านาง นางจะรู้สึกอับอายไปถึงเจ็ดวันใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นให้ไล่นางออกไปอยู่นอกค่ายเจ็ดวัน หลังจากนั้น ก็ให้นำนางกลับมาได้”

15 พวกเขาจึงนำตัวมิเรียมออกไปไว้นอกค่ายเป็นเวลาเจ็ดวันและประชาชนก็ไม่ได้เดินทางต่อ รอจนนำมิเรียมกลับมา 16 หลังจากนั้นประชาชนก็ออกจากฮาเซโรท และไปตั้งค่ายที่ที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งปาราน

เหล่าผู้สอดแนมไปคานาอัน

(ฉธบ. 1:19-33)

13 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “ส่งคนของเจ้าออกไปสำรวจแผ่นดินคานาอัน แผ่นดินที่เราจะให้กับประชาชนชาวอิสราเอล พวกเจ้าต้องส่งผู้นำคนหนึ่งของแต่ละเผ่าเข้าไป”

โมเสสจึงส่งพวกนี้ไปจากที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งปาราน ตามคำสั่งของพระยาห์เวห์ ทุกคนล้วนเป็นผู้นำของประชาชนชาวอิสราเอล ต่อไปนี้เป็นรายชื่อของพวกเขา

ชัมมุอาลูกชายศักเกอร์ จากเผ่าของรูเบน

ชาฟัทลูกชายโฮรี จากเผ่าของสิเมโอน

คาเลบลูกชายเยฟุนเนห์ จากเผ่าของยูดาห์

อิกาลลูกชายโยเซฟ จากเผ่าของอิสสาคาร์

โฮเชยาลูกชายนูน จากเผ่าของเอฟราอิม

ปัลทีลูกชายราฟู จากเผ่าของเบนยามิน

10 กัดเดียลลูกชายโสดี จากเผ่าของเศบูลุน

11 กัดดีลูกชายสุสี จากเผ่าของโยเซฟ ซึ่งมาจากเผ่าของมนัสเสห์

12 อัมมีเอลลูกชายเกมัลลี จากเผ่าของดาน

13 เสธูร์ลูกชายมีคาเอล จากเผ่าของอาเชอร์

14 นาบีลูกชายโวฟสี จากเผ่าของนัฟทาลี

15 เกอูเอลลูกชายมาคี จากเผ่าของกาด

16 ทั้งหมดนั้นเป็นรายชื่อของคนที่โมเสสส่งออกไปสอดแนม[a] แผ่นดินนั้น (โมเสสได้เปลี่ยนชื่อโฮเชยาลูกชายของนูนเป็นโยชูวา[b])

17 ตอนที่โมเสสกำลังจะส่งพวกเขาไปสำรวจดินแดนคานาอัน โมเสสพูดว่า “ไปที่เนเกบและขึ้นไปที่แถบเนินเขานั้น 18 ไปดูว่าแผ่นดินนั้นเป็นอย่างไร ให้ดูว่าคนที่อาศัยอยู่ที่นั่นแข็งแรงหรืออ่อนแอ ให้ดูว่าพวกเขามีจำนวนมากหรือน้อย 19 ให้ดูว่าแผ่นดินที่พวกเขาอาศัยอยู่เป็นอย่างไร ดีหรือไม่ดี ให้ดูว่าเมืองที่พวกเขาอยู่นั้นเปิดโล่งหรือมีกำแพงล้อมรอบ 20 ให้ดูว่าแผ่นดินนั้นอุดมสมบูรณ์หรือฝืดเคือง และให้ดูว่ามีต้นไม้หรือเปล่า พยายามเอาผลไม้จากดินแดนนั้นกลับมาด้วย” (ช่วงนี้เป็นหน้าองุ่นสุกพอดี)

21 พวกเขาจึงไปสำรวจดินแดนนั้น จากที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งศินถึงเรโหบและเลโบ ฮามัท 22 พวกเขาขึ้นไปที่เนเกบและมาถึงเมืองเฮโบรน ซึ่งมีตระกูลของอาหิมาน เชชัยและทัลมัย ลูกหลานของอานาคอยู่ที่นั่น (เมืองเฮโบรนสร้างก่อนเมืองโศอันในประเทศอียิปต์อยู่เจ็ดปี) 23 แล้วพวกเขาก็มาถึงหุบเขาเอชโคล์[c] พวกเขาได้ตัดองุ่นพร้อมกิ่งมาพวงหนึ่ง แล้วเอาคานสอดหามกันมาสองคน พวกเขาแบกมะเดื่อและทับทิมมาด้วย 24 พวกเขาเรียกสถานที่นั้นว่า หุบเขาเอชโคล์ เพราะมันเป็นสถานที่ที่ชาวอิสราเอลไปตัดเถาองุ่นนั้นมา

25 หลังจากสำรวจดินแดนนั้นได้สี่สิบวัน พวกเขาก็กลับมาที่ค่าย 26 พวกเขามาหาโมเสส อาโรนและชุมชนชาวอิสราเอลทั้งหมดในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งปาราน ที่เคเดช แล้วพวกเขาได้รายงานให้โมเสส อาโรน รวมทั้งคนในชุมชนฟัง พวกเขาได้เอาผลไม้ที่เก็บมาได้มาให้ดู 27 พวกเขาบอกโมเสสว่า “พวกเราได้เข้าไปในแผ่นดินที่ท่านได้ส่งพวกเราไปมาแล้ว มันเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์[d] และนี่คือผลไม้ของมัน 28 แต่ประชาชนที่อยู่ที่นั่นแข็งแรง เมืองต่างๆก็มีกำแพงขนาดใหญ่ล้อมรอบ พวกเรายังเห็นชาวอานาค[e] ที่นั่นด้วย 29 ชาวอามาเลคอาศัยอยู่ในแผ่นดินเนเกบ ชาวฮิตไทต์ ชาวเยบุสและชาวอาโมไรต์อาศัยอยู่ตามแถบเนินเขา ส่วนชาวคานาอันอาศัยตามชายฝั่งทะเลและริมฝั่งแม่น้ำจอร์แดน”

30 คาเลบบอกให้ประชาชนที่อยู่ใกล้โมเสสเงียบลง และเขาก็พูดว่า “เราควรจะบุกขึ้นไปยึดเอาแผ่นดินนั้นมาเป็นของเรา เพราะเราจะชนะมันแน่”

31 แต่คนอื่นที่ขึ้นไปกับคาเลบด้วยพูดว่า “พวกเราสู้พวกมันไม่ได้แน่ เพราะพวกมันแข็งแรงกว่าเรามาก” 32 พวกนี้เอาแต่ข่าวร้ายมารายงานให้ประชาชนอิสราเอลฟังเกี่ยวกับแผ่นดินที่พวกเขาไปสำรวจมานั้น พวกเขาพูดว่า “แผ่นดินที่พวกเราไปสำรวจมานั้น เป็นแผ่นดินที่กินคนที่อาศัยอยู่ที่นั่น[f] แถมคนที่เราเห็นที่นั่น ก็ตัวใหญ่เท่ายักษ์ 33 พวกเราเห็นชาวเนฟิล[g] ที่นั่นด้วย (ลูกหลานของอานาคก็มาจากเนฟิล) พวกเรารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตั๊กแตน และพวกเขาก็เห็นเราเหมือนตั๊กแตนด้วย”

สดุดี 49

อย่าวางใจในความร่ำรวย

ถึงหัวหน้านักร้อง สำหรับคนของตระกูลโคราห์ เพลงสดุดี

ชนชาติทั้งหลาย ฟังทางนี้
    ทุกคนที่อาศัยอยู่ในโลกนี้ ฟังให้ดี
ทุกคน ทุกชนชั้น
    ทั้งคนรวยและคนจน
ปากของข้าพเจ้าจะให้สติปัญญา
    ความคิดในใจข้าพเจ้าจะให้ความเข้าใจ
ข้าพเจ้าจะหันไปให้ความสนใจกับปัญหาเรื่องหนึ่ง
    และอธิบายปริศนาเรื่องนั้นในขณะที่ข้าพเจ้าเล่นพิณ

ทำไมข้าพเจ้าจะต้องกลัวในยามที่เจอกับความทุกข์ยาก
    เมื่อคนชั่วร้ายไล่ล่าและล้อมตัวข้าพเจ้า
พวกเขาไว้วางใจในกำลังของตน
    และโอ้อวดในความร่ำรวยของตน
ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถไถ่ชีวิตของคนอื่นจากความตายได้
    ไม่มีใครจ่ายค่าไถ่ให้กับพระเจ้าได้
ราคาค่าไถ่นั้นสูงเกินไป
    ไม่มีใครมีเงินมากพอที่จะจ่าย
เพื่อจะได้มีชีวิตอยู่ตลอดไป
    และไม่ต้องเจอกับหลุมฝังศพ

10 ใครๆก็รู้ว่าคนที่เฉลียวฉลาดก็จะต้องตายและเน่าเปื่อยไปเหมือนกับคนที่โง่อย่างกับควาย
    แล้วพวกเขาจะต้องทิ้งทรัพย์สมบัติของตนไว้ให้กับคนอื่น
11 หลุมศพจะกลายเป็นบ้านชั่วนิรันดร์ของเขา
    มันจะกลายเป็นที่อยู่ของเขาไปชั่วลูกชั่วหลาน
    แม้ว่าพวกเขาจะถือกรรมสิทธิ์ในแปลงที่ดินต่างๆของตน มันก็ไม่แตกต่างอะไร
12 ถึงเขาจะรวย แต่เขาก็จะไม่ยั่งยืนตลอดไป
    เขาเป็นเหมือนกับสัตว์ที่ถูกทำลายไป

13 นั่นแหละคือจุดจบของคนโง่
    คือคนที่หลงระเริงอยู่กับความร่ำรวยของตน[a] เซลาห์
14 ความตายจะนำพวกเขาไปยังหลุมศพ
    เหมือนกับผู้เลี้ยงแกะนำทางแกะ
แล้วในเช้าวันนั้น คนซื่อตรงจะมีชัยชนะเหนือพวกเขา
    ศพของพวกเขาก็จะเปื่อยเน่าในหลุมฝังศพ
    ห่างไกลจากบ้านที่หรูหราของพวกเขา
15 แต่พระยาห์เวห์จะไถ่ชีวิตของข้าพเจ้าให้พ้นจากเงื้อมมือของความตาย
    พระองค์จะเอาข้าพเจ้าไปแน่ๆ[b] เซลาห์

16 ไม่ต้องไปกลัว
    เมื่อคนอื่นร่ำรวยขึ้น หรือมีทรัพย์สมบัติเพิ่มมากขึ้น
17 เพราะเมื่อพวกเขาตายและลงไปนอนอยู่ในหลุมศพ
    ก็ไม่สามารถเอาความร่ำรวยติดตัวไปได้
18 ตอนที่พวกเขามีชีวิตอยู่ พวกเขาให้พรตัวเองว่า
    “ขอให้ทุกคนยกย่องข้า เพราะข้าประสบความสำเร็จ”
19 แต่พวกเขาจะตายไปอยู่กับบรรพบุรุษของเขา
    เขาจะไม่เห็นแสงสว่างอีกแล้ว
20 ถึงแม้เขาอาจจะร่ำรวยแต่เขาก็ไม่มีความเข้าใจ
    เขาเป็นเหมือนกับสัตว์ที่ถูกทำลายไป

อิสยาห์ 2

ทุกชนชาติมุ่งสู่เยรูซาเล็ม

นี่คือข้อความที่อิสยาห์ลูกของอามอสได้รับ ผ่านทางนิมิตเกี่ยวกับยูดาห์และเยรูซาเล็ม

ในอนาคตนั้น ภูเขาที่วิหารของพระยาห์เวห์ตั้งอยู่จะถูกยกขึ้นให้สูงกว่าภูเขาทุกลูกและสูงกว่าเนินเขาทั้งหลาย
    คนทุกชนชาติก็จะหลั่งไหลมาที่นั่น
จะมีชนชาติต่างๆมากมายพากันมาที่นั่น และพูดว่า
    “ไปกันเถอะพวกเรา ขึ้นไปบนภูเขาของพระยาห์เวห์กัน ไปยังวิหารของพระเจ้าของยาโคบกันเถอะ
แล้วพระเจ้าจะได้สอนพวกเราถึงแนวทางต่างๆของพระองค์ และเราจะได้เดินในเส้นทางเหล่านั้นของพระองค์”
    เพราะคำสอนของพระยาห์เวห์นั้นจะแพร่ออกไปจากศิโยนและถ้อยคำของพระยาห์เวห์ก็จะแพร่ออกไปจากเยรูซาเล็ม
พระองค์จะเป็นผู้ตัดสินระหว่างชนชาติทั้งหลาย
    และพระองค์จะตัดสินข้อโต้แย้งให้กับคนหลายเชื้อชาติ
และชนชาติต่างๆจะตีดาบของพวกเขาให้เป็นใบมีดของคันไถและตีหอกของพวกเขาเป็นขอลิดกิ่งไม้
    ชนชาติต่างๆจะไม่ยกดาบขึ้นต่อสู้กันอีก และพวกเขาจะไม่มีการฝึกทำสงครามกันอีกต่อไป
ครอบครัวของยาโคบ มาเถอะ
    มาเดินในความสว่างของพระยาห์เวห์กัน
ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระองค์ได้ทอดทิ้งครอบครัวของยาโคบซึ่งเป็นคนของพระองค์
    เพราะพวกเขามีทั้งพวกหมอดูจากตะวันออก
    และพวกผู้ทำนายอนาคตเต็มไปหมดเหมือนกับคนฟีลิสเตีย
    และพวกเขาก็ได้จับมือเป็นพันธมิตรกับคนต่างชาติ
ดินแดนของพวกเขามีเงินและทองเต็มไปหมดและมีทรัพย์สมบัติมากมายจนนับไม่ถ้วน
    แผ่นดินของเขามีม้าเต็มไปหมดและมีรถรบม้ามากมายจนนับไม่ถ้วน
แผ่นดินของเขามีรูปเคารพเต็มไปหมด
    พวกเขาก้มกราบสิ่งที่พวกเขาสร้างขึ้นมากับมือ เป็นสิ่งที่นิ้วพวกเขาเองได้สร้างขึ้นมา
อย่างนี้ คนพวกนี้ได้เสื่อมลงและถูกทำให้ตกต่ำ
    ข้าแต่พระยาห์เวห์ อย่าได้ให้อภัยกับพวกมันเลย
10 รีบหลบเข้าไปอยู่ตามซอกหินและซ่อนอยู่ในรูในดินเพื่อให้พ้นจากความน่าสยองขวัญของพระยาห์เวห์
    และรัศมีที่เปล่งออกมาจากฤทธิ์อันยิ่งใหญ่ของพระองค์
11 สายตาที่เย่อหยิ่งจองหองของมนุษย์จะถูกทำให้ตกต่ำลงและคนที่หยิ่งยโสจะถูกทำให้ถ่อมตัวลง
    ในวันนั้น จะมีแต่พระยาห์เวห์เท่านั้นที่จะได้รับการยกย่องสรรเสริญ
12 เพราะพระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นได้กำหนดวันนั้นไว้แล้ว
    ที่พระองค์จะต่อสู้กับทุกคนที่เย่อหยิ่งจองหอง หัวสูง และทุกคนที่ยกตัวขึ้น
    (พระองค์จะทำให้คนพวกนี้ตกต่ำลง)
13 พระองค์จะต่อสู้กับทุกคนที่ยกตัวขึ้นราวกับเป็นต้นสนซีดาร์แห่งเลบานอนที่สูงส่งและถูกยกขึ้น
    จะต่อสู้กับทุกคนที่ทำตัวราวกับเป็นต้นโอ๊กแห่งบาชาน[a]
14 จะต่อสู้กับทุกคนที่ทำตัว
    ราวกับเป็นภูเขาและเนินเขาสูง
15 จะต่อสู้กับทุกคนที่ทำตัว
    ราวกับเป็นหอคอยสูงและกำแพงป้อมปราการ
16 จะต่อสู้กับทุกคนที่ทำตัว
    ราวกับเป็นพวกเรือจากทารชิช[b] และเรือที่สวยงามทั้งหลาย
17 มนุษย์ที่เย่อหยิ่งจองหองจะถูกทำให้ถ่อมลง ความหยิ่งยโสของทุกคนจะถูกทำให้ตกต่ำลง
    ในวันนั้น จะมีแต่พระยาห์เวห์เท่านั้นที่จะได้รับการยกย่องสรรเสริญ
18 แต่พวกรูปเคารพทั้งหลาย
    จะหมดสิ้นไป
19 ผู้คนจะต้องเข้าไปหลบอยู่ตามถ้ำของซอกหินและซ่อนอยู่ในรูใต้ดินเพื่อให้พ้นจากความน่าสยองขวัญของพระยาห์เวห์
    และรัศมีที่เปล่งออกมาจากฤทธิ์อันยิ่งใหญ่ของพระองค์เมื่อพระองค์ยืนขึ้นเพื่อทำให้คนทั้งโลกกลัวจนตัวสั่น
20 ในวันนั้น ผู้คนจะโยนรูปเคารพที่พวกเขาทำขึ้นมากราบไหว้บูชากัน เป็นรูปเคารพที่ทำจากเงินและทอง
    พวกเขาจะโยนมันทิ้งลงไปในรูของตัวตุ่นและในถ้ำของค้างคาว
21 แล้วพวกเขาก็จะไปหลบอยู่ตามถ้ำของซอกหิน
และตามรอยแตกของหินผา ไปให้พ้นจากความน่าสยองขวัญของพระยาห์เวห์
    และรัศมีที่เปล่งออกมาจากฤทธิ์อันยิ่งใหญ่ของพระองค์เมื่อพระองค์ยืนขึ้น เพื่อทำให้คนทั้งโลกกลัวจนตัวสั่น
22 อย่าได้หวังพึ่งในมนุษย์เลย
    พวกเขาหายใจแค่ชั่วครู่ พวกเขาจะช่วยอะไรใครได้

ฮีบรู 10

พระคริสต์ถวายตัวเองครั้งเดียวก็พอสำหรับตลอดไป

10 กฎของโมเสสเป็นแค่เงาของสิ่งดีๆที่กำลังจะมาถึง มันไม่ใช่ของจริง ดังนั้นกฎของโมเสสที่สั่งให้คนต้องเอาเครื่องบูชาแบบเดิมๆมาถวายพระเจ้าซ้ำแล้วซ้ำอีกในทุกๆปีนั้น ไม่มีวันทำให้คนที่มาเข้าเฝ้าพระเจ้าสมบูรณ์แบบได้ เพราะถ้ากฎทำให้คนสมบูรณ์แบบได้จริง คนคงจะเลิกถวายเครื่องบูชาไปแล้ว เพราะเขาคงได้รับการชำระครั้งเดียวก็พอแล้ว และใจของเขาคงไม่รู้สึกผิดต่อบาปที่เขาได้ทำ แต่แทนที่จะเป็นอย่างนั้น เครื่องบูชากลับกลายเป็นสิ่งที่เตือนให้เขาระลึกถึงบาปที่ได้ทำทุกๆปี เพราะเลือดของวัวตัวผู้และเลือดของแพะจะมาล้างบาป ก็เป็นไปไม่ได้

ดังนั้น เมื่อพระคริสต์ได้เข้ามาในโลกนี้ พระองค์พูดว่า

“พระองค์ (พระเจ้า) ไม่ต้องการเครื่องบูชา และของถวาย
    แต่พระองค์ได้เตรียมร่างกายสำหรับข้าพเจ้า
พระองค์ไม่ได้พอใจกับเครื่องเผาบูชา
    และเครื่องบูชาเพื่อจัดการกับบาป
แล้วข้าพเจ้า (พระคริสต์) ก็พูดว่า
‘ข้าแต่พระเจ้า ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่
    ข้าพเจ้ามาเพื่อทำตามความต้องการของพระองค์
เหมือนกับที่มีเขียนไว้เกี่ยวกับข้าพเจ้าในหนังสือม้วน’”[a]

ครั้งแรกพระองค์ (พระคริสต์) พูดว่า “พระองค์ (พระเจ้า) ไม่ต้องการและไม่ได้พอใจในเครื่องสัตวบูชาที่นำมาบูชา เครื่องเผาบูชาและเครื่องบูชาเพื่อจัดการกับบาป” (ถึงแม้กฎของโมเสสสั่งให้ทำอย่างนี้) แล้วต่อมาพระองค์ (พระคริสต์) ได้พูดอีกว่า “ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว ข้าพเจ้ามาเพื่อทำตามความต้องการของพระองค์” ดังนั้น พระเจ้าจึงยกเลิกระบบแรกเสีย เพื่อจะจัดตั้งระบบอันที่สองขึ้นมา 10 เราได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ เพราะพระเยซูคริสต์ได้ทำในสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้ทำ และพระองค์ได้เสียสละร่างกายของพระองค์เองเป็นเครื่องบูชาเพียงครั้งเดียวเป็นพอสำหรับตลอดไป

11 นักบวชชาวยิวทุกคนยืนทำหน้าที่รับใช้พระเจ้าทุกวัน และเขาถวายเครื่องบูชาอย่างเดียวกันซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่มันไม่สามารถจะกำจัดบาปได้ 12 แต่หลังจากที่พระคริสต์ได้สละตัวเองเป็นเครื่องบูชาเพียงครั้งเดียวเพื่อจัดการกับบาปตลอดไป พระองค์ได้นั่งอยู่ทางขวามือของพระเจ้า 13 พระองค์จะนั่งรอจนกว่าพระเจ้าจะทำให้ศัตรูของพระองค์มาเป็นที่วางเท้าของพระองค์ 14 เพราะเมื่อพระองค์ถวายตัวเพียงครั้งเดียว ก็ทำให้คนที่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้วนั้นสมบูรณ์แบบตลอดกาล

15 พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เป็นพยานยืนยันกับเราในเรื่องนี้ พระองค์ได้พูดว่า

16 “นี่คือคำสัญญาใหม่ที่เราจะทำกับประชาชนของเราหลังจากสมัยนั้น
    เราจะใส่กฎของเราเข้าไปในจิตใจของพวกเขา
และจะเขียนพวกมันลงไปในหัวใจของพวกเขา”[b]

17 “และเราจะลืมบาป และการกระทำที่ผิดๆของพวกเขาตลอดไป”[c]

18 เมื่อพระเจ้าอภัยบาปให้แล้ว ก็ไม่จำเป็นจะต้องมีการถวายเครื่องบูชาเพื่อจัดการกับบาปอีกต่อไป

เข้ามาใกล้ๆพระเจ้า

19 ดังนั้น พี่น้องครับ เรามีความมั่นใจที่จะเข้าไปในห้องศักดิ์สิทธิ์ที่สุดโดยเลือดของพระเยซู 20 เราเข้าไปได้ตามทางใหม่ที่ให้ชีวิต ซึ่งพระองค์ได้เปิดให้เราผ่านเข้าไปทางม่านนั้น คือที่พระองค์ได้สละร่างกายเป็นเครื่องบูชา 21 เรามีหัวหน้านักบวชผู้ยิ่งใหญ่ ที่คอยจัดการดูแลครัวเรือนของพระเจ้า 22 ดังนั้นขอให้เราทุกคนเข้ามาใกล้ๆพระเจ้าด้วยความจริงใจ และมีความมั่นใจอย่างเต็มที่ มีใจที่ได้รับการประพรมให้สะอาดจากความรู้สึกผิดๆเพราะบาป และมีร่างกายที่ได้ชำระด้วยน้ำให้บริสุทธิ์แล้ว 23 ขอให้เราทุกคนยึดมั่นในความหวังที่เราได้ยอมรับไว้แล้วอย่างไม่หวั่นไหว เพราะพระองค์ผู้ที่ให้สัญญากับเรานั้นซื่อสัตย์

ช่วยกันและกันให้เข้มแข็ง

24 ขอให้เราทุกคนพิจารณากันและกัน เพื่อจะได้กระตุ้นกันให้มีความรักและทำแต่ความดี 25 ขออย่าให้เราทิ้งการประชุมไปเหมือนกับที่บางคนทำอยู่ แต่ให้กำลังใจกันและกันมากยิ่งขึ้น ยิ่งพวกคุณรู้อยู่แล้วว่าวันนั้น[d]กำลังใกล้มาถึงแล้ว ก็ยิ่งน่าจะทำอย่างนี้

อย่าหนีพระเจ้าไป

26 แต่ถ้าเรายังตั้งใจทำผิดอยู่หลังจากที่เรารู้เรื่องความจริงแล้ว ก็จะไม่มีเครื่องบูชาจัดการกับบาปให้อีกแล้ว 27 มีแต่จะรอคอยการพิพากษาด้วยความหวาดกลัว และรอคอยไฟร้อนแรงที่จะเผาผลาญคนที่ต่อต้านพระเจ้า 28 คนไหนที่ไม่ยอมเชื่อฟังกฎของโมเสส และมีพยานสักสองสามปาก คนนั้นก็ถูกประหารชีวิตอย่างไร้ความเมตตา 29 คิดดูสิว่า คนที่เหยียบย่ำพระบุตรของพระเจ้า และมองเลือดของคำสัญญาใหม่ที่ได้ชำระเขาให้บริสุทธิ์นั้นว่าไร้ค่า แถมยังดูถูกพระวิญญาณแห่งความเมตตากรุณา คนพวกนี้สมควรจะได้รับโทษหนักกว่าคนพวกนั้นขนาดไหน 30 เพราะเรารู้จักพระองค์ที่พูดว่า “การแก้แค้นเป็นเรื่องของเรา เราจะตอบสนองพวกเขาเอง”[e] และได้พูดอีกว่า “องค์เจ้าชีวิตจะพิพากษาประชาชนของพระองค์”[f] 31 เป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวยิ่งนักที่จะตกอยู่ในมือของพระเจ้าผู้มีชีวิตอยู่นั้น

ขอให้มีความกล้าและอดทนไว้

32 ขอให้คิดถึงสมัยก่อนตอนที่เพิ่งได้รับความสว่าง พวกคุณได้อดทนต่อความทุกข์ยากอย่างแสนสาหัส 33 บางครั้งคุณก็ถูกประจานให้ขายหน้าและคนดูถูกข่มเหง บางครั้งคุณก็ช่วยเหลือคนอื่นที่ถูกข่มเหง 34 คุณไม่ได้แค่ช่วยเหลือและร่วมทุกข์กับคนที่ติดคุก แต่ยังยินดียอมให้คนมายึดเอาทรัพย์สินของคุณไป เพราะรู้ว่าตัวเองได้เป็นเจ้าของทรัพย์สินที่ยอดเยี่ยมกว่านั้น และเป็นทรัพย์สินที่จะอยู่ถาวรตลอดไป

35 ดังนั้น อย่าทิ้งความมั่นใจไป เพราะมันจะนำรางวัลอันยิ่งใหญ่มาให้ 36 พวกคุณต้องอดทน เพื่อว่าเมื่อคุณได้ทำตามความต้องการของพระเจ้าแล้ว คุณก็จะได้รับสิ่งที่พระองค์สัญญาไว้ 37 พระเจ้าบอกว่า

“อีกไม่นานนัก พระองค์ผู้ที่กำลังจะมานั้นก็จะมาถึงแล้ว
    พระองค์จะไม่ชักช้า
38 แต่คนที่เรายอมรับนั้น จะใช้ชีวิตด้วยความไว้วางใจ
    และถ้าเขาหันหลังเลิกไว้วางใจ เราจะไม่พอใจในตัวเขาเลย”[g]

39 แต่เราไม่ใช่คนพวกนั้นที่เลิกไว้วางใจ แล้วต้องถูกทำลายไป แต่เราเป็นคนพวกนั้นที่ยังไว้วางใจอยู่ แล้วได้รับชีวิต

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International