M’Cheyne Bible Reading Plan
มิเรียมและอาโรนบ่นเกี่ยวกับโมเสส
12 มิเรียมและอาโรนพูดต่อต้านโมเสส เพราะผู้หญิงชาวเอธิโอเปีย ที่โมเสสแต่งงานด้วย และโมเสสก็แต่งงานกับผู้หญิงชาวเอธิโอเปียนั้นจริง 2 พวกเขาพูดว่า “พระยาห์เวห์พูดผ่านโมเสสคนเดียวหรือยังไง พระองค์พูดผ่านเราด้วยไม่ใช่หรือ” พระยาห์เวห์ได้ยินที่เขาพูด 3 โมเสสเป็นคนที่ถ่อมตัวมาก ถ่อมกว่าใครๆในโลกนี้ 4 ในทันใดนั้นเอง พระยาห์เวห์พูดกับโมเสส อาโรนและมิเรียมว่า “พวกเจ้าทั้งสามคน ออกมาที่เต็นท์นัดพบ”
พวกเขาทั้งสามคนได้ออกมาที่เต็นท์ 5 พระยาห์เวห์ลงมาในเสาเมฆ และมาหยุดอยู่ที่ทางเข้าเต็นท์ แล้วพระองค์ก็ร้องเรียกว่า “อาโรนและมิเรียม” ทั้งสองคนออกมา 6 พระองค์พูดว่า “ฟังเราให้ดี ตอนที่มีผู้พูดแทนพระเจ้าท่ามกลางเจ้า เรา ยาห์เวห์ จะแสดงตัวของเราให้กับเขาเห็นในนิมิต เราจะพูดกับเขาในความฝัน 7 แต่สำหรับโมเสส ผู้รับใช้ของเรา มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น เราฝากทั้งครัวเรือนของเราไว้กับเขา 8 เวลาเราพูดกับเขา เราได้พูดกับเขาต่อหน้า และบอกเขาชัดเจนถึงสิ่งที่เราจะให้เขาทำ ไม่ต้องใช้เรื่องเล่าต่างๆที่มีความหมายแอบแฝงอยู่ และเขาสามารถมองเห็นรูปลักษณ์ของพระยาห์เวห์ได้โดยตรง พวกเจ้ากล้าดียังไงถึงได้มาพูดต่อต้านโมเสสผู้รับใช้ของเรา”
9 พระยาห์เวห์โกรธพวกเขา และพระองค์ก็จากไป 10 เมื่อเมฆลอยไปจากเต็นท์ ก็มีเกล็ดขาวๆเหมือนหิมะโผล่ขึ้นมาตามผิวหนังของมิเรียม เมื่ออาโรนหันมาที่มิเรียม ก็เห็นเกล็ดสีขาวบนตัวนาง
11 อาโรนจึงพูดกับโมเสสว่า “เจ้านายของเรา อย่าได้ลงโทษพวกเราเลย ที่เราได้ทำบาปโง่ๆลงไป 12 ขออย่าให้นางเป็นเหมือนเด็กที่ตายตอนคลอดแล้วเนื้อแหว่งไปครึ่งหนึ่งเลย”
13 โมเสสร้องขอต่อพระยาห์เวห์ “พระเจ้า ขอได้โปรดช่วยรักษานางด้วยเถิด”
14 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “ถ้าพ่อของนางถุยน้ำลายใส่หน้านาง นางจะรู้สึกอับอายไปถึงเจ็ดวันใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นให้ไล่นางออกไปอยู่นอกค่ายเจ็ดวัน หลังจากนั้น ก็ให้นำนางกลับมาได้”
15 พวกเขาจึงนำตัวมิเรียมออกไปไว้นอกค่ายเป็นเวลาเจ็ดวันและประชาชนก็ไม่ได้เดินทางต่อ รอจนนำมิเรียมกลับมา 16 หลังจากนั้นประชาชนก็ออกจากฮาเซโรท และไปตั้งค่ายที่ที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งปาราน
เหล่าผู้สอดแนมไปคานาอัน
(ฉธบ. 1:19-33)
13 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า 2 “ส่งคนของเจ้าออกไปสำรวจแผ่นดินคานาอัน แผ่นดินที่เราจะให้กับประชาชนชาวอิสราเอล พวกเจ้าต้องส่งผู้นำคนหนึ่งของแต่ละเผ่าเข้าไป”
3 โมเสสจึงส่งพวกนี้ไปจากที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งปาราน ตามคำสั่งของพระยาห์เวห์ ทุกคนล้วนเป็นผู้นำของประชาชนชาวอิสราเอล 4 ต่อไปนี้เป็นรายชื่อของพวกเขา
ชัมมุอาลูกชายศักเกอร์ จากเผ่าของรูเบน
5 ชาฟัทลูกชายโฮรี จากเผ่าของสิเมโอน
6 คาเลบลูกชายเยฟุนเนห์ จากเผ่าของยูดาห์
7 อิกาลลูกชายโยเซฟ จากเผ่าของอิสสาคาร์
8 โฮเชยาลูกชายนูน จากเผ่าของเอฟราอิม
9 ปัลทีลูกชายราฟู จากเผ่าของเบนยามิน
10 กัดเดียลลูกชายโสดี จากเผ่าของเศบูลุน
11 กัดดีลูกชายสุสี จากเผ่าของโยเซฟ ซึ่งมาจากเผ่าของมนัสเสห์
12 อัมมีเอลลูกชายเกมัลลี จากเผ่าของดาน
13 เสธูร์ลูกชายมีคาเอล จากเผ่าของอาเชอร์
14 นาบีลูกชายโวฟสี จากเผ่าของนัฟทาลี
15 เกอูเอลลูกชายมาคี จากเผ่าของกาด
16 ทั้งหมดนั้นเป็นรายชื่อของคนที่โมเสสส่งออกไปสอดแนม[a] แผ่นดินนั้น (โมเสสได้เปลี่ยนชื่อโฮเชยาลูกชายของนูนเป็นโยชูวา[b])
17 ตอนที่โมเสสกำลังจะส่งพวกเขาไปสำรวจดินแดนคานาอัน โมเสสพูดว่า “ไปที่เนเกบและขึ้นไปที่แถบเนินเขานั้น 18 ไปดูว่าแผ่นดินนั้นเป็นอย่างไร ให้ดูว่าคนที่อาศัยอยู่ที่นั่นแข็งแรงหรืออ่อนแอ ให้ดูว่าพวกเขามีจำนวนมากหรือน้อย 19 ให้ดูว่าแผ่นดินที่พวกเขาอาศัยอยู่เป็นอย่างไร ดีหรือไม่ดี ให้ดูว่าเมืองที่พวกเขาอยู่นั้นเปิดโล่งหรือมีกำแพงล้อมรอบ 20 ให้ดูว่าแผ่นดินนั้นอุดมสมบูรณ์หรือฝืดเคือง และให้ดูว่ามีต้นไม้หรือเปล่า พยายามเอาผลไม้จากดินแดนนั้นกลับมาด้วย” (ช่วงนี้เป็นหน้าองุ่นสุกพอดี)
21 พวกเขาจึงไปสำรวจดินแดนนั้น จากที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งศินถึงเรโหบและเลโบ ฮามัท 22 พวกเขาขึ้นไปที่เนเกบและมาถึงเมืองเฮโบรน ซึ่งมีตระกูลของอาหิมาน เชชัยและทัลมัย ลูกหลานของอานาคอยู่ที่นั่น (เมืองเฮโบรนสร้างก่อนเมืองโศอันในประเทศอียิปต์อยู่เจ็ดปี) 23 แล้วพวกเขาก็มาถึงหุบเขาเอชโคล์[c] พวกเขาได้ตัดองุ่นพร้อมกิ่งมาพวงหนึ่ง แล้วเอาคานสอดหามกันมาสองคน พวกเขาแบกมะเดื่อและทับทิมมาด้วย 24 พวกเขาเรียกสถานที่นั้นว่า หุบเขาเอชโคล์ เพราะมันเป็นสถานที่ที่ชาวอิสราเอลไปตัดเถาองุ่นนั้นมา
25 หลังจากสำรวจดินแดนนั้นได้สี่สิบวัน พวกเขาก็กลับมาที่ค่าย 26 พวกเขามาหาโมเสส อาโรนและชุมชนชาวอิสราเอลทั้งหมดในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งปาราน ที่เคเดช แล้วพวกเขาได้รายงานให้โมเสส อาโรน รวมทั้งคนในชุมชนฟัง พวกเขาได้เอาผลไม้ที่เก็บมาได้มาให้ดู 27 พวกเขาบอกโมเสสว่า “พวกเราได้เข้าไปในแผ่นดินที่ท่านได้ส่งพวกเราไปมาแล้ว มันเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์[d] และนี่คือผลไม้ของมัน 28 แต่ประชาชนที่อยู่ที่นั่นแข็งแรง เมืองต่างๆก็มีกำแพงขนาดใหญ่ล้อมรอบ พวกเรายังเห็นชาวอานาค[e] ที่นั่นด้วย 29 ชาวอามาเลคอาศัยอยู่ในแผ่นดินเนเกบ ชาวฮิตไทต์ ชาวเยบุสและชาวอาโมไรต์อาศัยอยู่ตามแถบเนินเขา ส่วนชาวคานาอันอาศัยตามชายฝั่งทะเลและริมฝั่งแม่น้ำจอร์แดน”
30 คาเลบบอกให้ประชาชนที่อยู่ใกล้โมเสสเงียบลง และเขาก็พูดว่า “เราควรจะบุกขึ้นไปยึดเอาแผ่นดินนั้นมาเป็นของเรา เพราะเราจะชนะมันแน่”
31 แต่คนอื่นที่ขึ้นไปกับคาเลบด้วยพูดว่า “พวกเราสู้พวกมันไม่ได้แน่ เพราะพวกมันแข็งแรงกว่าเรามาก” 32 พวกนี้เอาแต่ข่าวร้ายมารายงานให้ประชาชนอิสราเอลฟังเกี่ยวกับแผ่นดินที่พวกเขาไปสำรวจมานั้น พวกเขาพูดว่า “แผ่นดินที่พวกเราไปสำรวจมานั้น เป็นแผ่นดินที่กินคนที่อาศัยอยู่ที่นั่น[f] แถมคนที่เราเห็นที่นั่น ก็ตัวใหญ่เท่ายักษ์ 33 พวกเราเห็นชาวเนฟิล[g] ที่นั่นด้วย (ลูกหลานของอานาคก็มาจากเนฟิล) พวกเรารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตั๊กแตน และพวกเขาก็เห็นเราเหมือนตั๊กแตนด้วย”
อย่าวางใจในความร่ำรวย
ถึงหัวหน้านักร้อง สำหรับคนของตระกูลโคราห์ เพลงสดุดี
1 ชนชาติทั้งหลาย ฟังทางนี้
ทุกคนที่อาศัยอยู่ในโลกนี้ ฟังให้ดี
2 ทุกคน ทุกชนชั้น
ทั้งคนรวยและคนจน
3 ปากของข้าพเจ้าจะให้สติปัญญา
ความคิดในใจข้าพเจ้าจะให้ความเข้าใจ
4 ข้าพเจ้าจะหันไปให้ความสนใจกับปัญหาเรื่องหนึ่ง
และอธิบายปริศนาเรื่องนั้นในขณะที่ข้าพเจ้าเล่นพิณ
5 ทำไมข้าพเจ้าจะต้องกลัวในยามที่เจอกับความทุกข์ยาก
เมื่อคนชั่วร้ายไล่ล่าและล้อมตัวข้าพเจ้า
6 พวกเขาไว้วางใจในกำลังของตน
และโอ้อวดในความร่ำรวยของตน
7 ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถไถ่ชีวิตของคนอื่นจากความตายได้
ไม่มีใครจ่ายค่าไถ่ให้กับพระเจ้าได้
8 ราคาค่าไถ่นั้นสูงเกินไป
ไม่มีใครมีเงินมากพอที่จะจ่าย
9 เพื่อจะได้มีชีวิตอยู่ตลอดไป
และไม่ต้องเจอกับหลุมฝังศพ
10 ใครๆก็รู้ว่าคนที่เฉลียวฉลาดก็จะต้องตายและเน่าเปื่อยไปเหมือนกับคนที่โง่อย่างกับควาย
แล้วพวกเขาจะต้องทิ้งทรัพย์สมบัติของตนไว้ให้กับคนอื่น
11 หลุมศพจะกลายเป็นบ้านชั่วนิรันดร์ของเขา
มันจะกลายเป็นที่อยู่ของเขาไปชั่วลูกชั่วหลาน
แม้ว่าพวกเขาจะถือกรรมสิทธิ์ในแปลงที่ดินต่างๆของตน มันก็ไม่แตกต่างอะไร
12 ถึงเขาจะรวย แต่เขาก็จะไม่ยั่งยืนตลอดไป
เขาเป็นเหมือนกับสัตว์ที่ถูกทำลายไป
13 นั่นแหละคือจุดจบของคนโง่
คือคนที่หลงระเริงอยู่กับความร่ำรวยของตน[a] เซลาห์
14 ความตายจะนำพวกเขาไปยังหลุมศพ
เหมือนกับผู้เลี้ยงแกะนำทางแกะ
แล้วในเช้าวันนั้น คนซื่อตรงจะมีชัยชนะเหนือพวกเขา
ศพของพวกเขาก็จะเปื่อยเน่าในหลุมฝังศพ
ห่างไกลจากบ้านที่หรูหราของพวกเขา
15 แต่พระยาห์เวห์จะไถ่ชีวิตของข้าพเจ้าให้พ้นจากเงื้อมมือของความตาย
พระองค์จะเอาข้าพเจ้าไปแน่ๆ[b] เซลาห์
16 ไม่ต้องไปกลัว
เมื่อคนอื่นร่ำรวยขึ้น หรือมีทรัพย์สมบัติเพิ่มมากขึ้น
17 เพราะเมื่อพวกเขาตายและลงไปนอนอยู่ในหลุมศพ
ก็ไม่สามารถเอาความร่ำรวยติดตัวไปได้
18 ตอนที่พวกเขามีชีวิตอยู่ พวกเขาให้พรตัวเองว่า
“ขอให้ทุกคนยกย่องข้า เพราะข้าประสบความสำเร็จ”
19 แต่พวกเขาจะตายไปอยู่กับบรรพบุรุษของเขา
เขาจะไม่เห็นแสงสว่างอีกแล้ว
20 ถึงแม้เขาอาจจะร่ำรวยแต่เขาก็ไม่มีความเข้าใจ
เขาเป็นเหมือนกับสัตว์ที่ถูกทำลายไป
ทุกชนชาติมุ่งสู่เยรูซาเล็ม
2 นี่คือข้อความที่อิสยาห์ลูกของอามอสได้รับ ผ่านทางนิมิตเกี่ยวกับยูดาห์และเยรูซาเล็ม
2 ในอนาคตนั้น ภูเขาที่วิหารของพระยาห์เวห์ตั้งอยู่จะถูกยกขึ้นให้สูงกว่าภูเขาทุกลูกและสูงกว่าเนินเขาทั้งหลาย
คนทุกชนชาติก็จะหลั่งไหลมาที่นั่น
3 จะมีชนชาติต่างๆมากมายพากันมาที่นั่น และพูดว่า
“ไปกันเถอะพวกเรา ขึ้นไปบนภูเขาของพระยาห์เวห์กัน ไปยังวิหารของพระเจ้าของยาโคบกันเถอะ
แล้วพระเจ้าจะได้สอนพวกเราถึงแนวทางต่างๆของพระองค์ และเราจะได้เดินในเส้นทางเหล่านั้นของพระองค์”
เพราะคำสอนของพระยาห์เวห์นั้นจะแพร่ออกไปจากศิโยนและถ้อยคำของพระยาห์เวห์ก็จะแพร่ออกไปจากเยรูซาเล็ม
4 พระองค์จะเป็นผู้ตัดสินระหว่างชนชาติทั้งหลาย
และพระองค์จะตัดสินข้อโต้แย้งให้กับคนหลายเชื้อชาติ
และชนชาติต่างๆจะตีดาบของพวกเขาให้เป็นใบมีดของคันไถและตีหอกของพวกเขาเป็นขอลิดกิ่งไม้
ชนชาติต่างๆจะไม่ยกดาบขึ้นต่อสู้กันอีก และพวกเขาจะไม่มีการฝึกทำสงครามกันอีกต่อไป
5 ครอบครัวของยาโคบ มาเถอะ
มาเดินในความสว่างของพระยาห์เวห์กัน
6 ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระองค์ได้ทอดทิ้งครอบครัวของยาโคบซึ่งเป็นคนของพระองค์
เพราะพวกเขามีทั้งพวกหมอดูจากตะวันออก
และพวกผู้ทำนายอนาคตเต็มไปหมดเหมือนกับคนฟีลิสเตีย
และพวกเขาก็ได้จับมือเป็นพันธมิตรกับคนต่างชาติ
7 ดินแดนของพวกเขามีเงินและทองเต็มไปหมดและมีทรัพย์สมบัติมากมายจนนับไม่ถ้วน
แผ่นดินของเขามีม้าเต็มไปหมดและมีรถรบม้ามากมายจนนับไม่ถ้วน
8 แผ่นดินของเขามีรูปเคารพเต็มไปหมด
พวกเขาก้มกราบสิ่งที่พวกเขาสร้างขึ้นมากับมือ เป็นสิ่งที่นิ้วพวกเขาเองได้สร้างขึ้นมา
9 อย่างนี้ คนพวกนี้ได้เสื่อมลงและถูกทำให้ตกต่ำ
ข้าแต่พระยาห์เวห์ อย่าได้ให้อภัยกับพวกมันเลย
10 รีบหลบเข้าไปอยู่ตามซอกหินและซ่อนอยู่ในรูในดินเพื่อให้พ้นจากความน่าสยองขวัญของพระยาห์เวห์
และรัศมีที่เปล่งออกมาจากฤทธิ์อันยิ่งใหญ่ของพระองค์
11 สายตาที่เย่อหยิ่งจองหองของมนุษย์จะถูกทำให้ตกต่ำลงและคนที่หยิ่งยโสจะถูกทำให้ถ่อมตัวลง
ในวันนั้น จะมีแต่พระยาห์เวห์เท่านั้นที่จะได้รับการยกย่องสรรเสริญ
12 เพราะพระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นได้กำหนดวันนั้นไว้แล้ว
ที่พระองค์จะต่อสู้กับทุกคนที่เย่อหยิ่งจองหอง หัวสูง และทุกคนที่ยกตัวขึ้น
(พระองค์จะทำให้คนพวกนี้ตกต่ำลง)
13 พระองค์จะต่อสู้กับทุกคนที่ยกตัวขึ้นราวกับเป็นต้นสนซีดาร์แห่งเลบานอนที่สูงส่งและถูกยกขึ้น
จะต่อสู้กับทุกคนที่ทำตัวราวกับเป็นต้นโอ๊กแห่งบาชาน[a]
14 จะต่อสู้กับทุกคนที่ทำตัว
ราวกับเป็นภูเขาและเนินเขาสูง
15 จะต่อสู้กับทุกคนที่ทำตัว
ราวกับเป็นหอคอยสูงและกำแพงป้อมปราการ
16 จะต่อสู้กับทุกคนที่ทำตัว
ราวกับเป็นพวกเรือจากทารชิช[b] และเรือที่สวยงามทั้งหลาย
17 มนุษย์ที่เย่อหยิ่งจองหองจะถูกทำให้ถ่อมลง ความหยิ่งยโสของทุกคนจะถูกทำให้ตกต่ำลง
ในวันนั้น จะมีแต่พระยาห์เวห์เท่านั้นที่จะได้รับการยกย่องสรรเสริญ
18 แต่พวกรูปเคารพทั้งหลาย
จะหมดสิ้นไป
19 ผู้คนจะต้องเข้าไปหลบอยู่ตามถ้ำของซอกหินและซ่อนอยู่ในรูใต้ดินเพื่อให้พ้นจากความน่าสยองขวัญของพระยาห์เวห์
และรัศมีที่เปล่งออกมาจากฤทธิ์อันยิ่งใหญ่ของพระองค์เมื่อพระองค์ยืนขึ้นเพื่อทำให้คนทั้งโลกกลัวจนตัวสั่น
20 ในวันนั้น ผู้คนจะโยนรูปเคารพที่พวกเขาทำขึ้นมากราบไหว้บูชากัน เป็นรูปเคารพที่ทำจากเงินและทอง
พวกเขาจะโยนมันทิ้งลงไปในรูของตัวตุ่นและในถ้ำของค้างคาว
21 แล้วพวกเขาก็จะไปหลบอยู่ตามถ้ำของซอกหิน
และตามรอยแตกของหินผา ไปให้พ้นจากความน่าสยองขวัญของพระยาห์เวห์
และรัศมีที่เปล่งออกมาจากฤทธิ์อันยิ่งใหญ่ของพระองค์เมื่อพระองค์ยืนขึ้น เพื่อทำให้คนทั้งโลกกลัวจนตัวสั่น
22 อย่าได้หวังพึ่งในมนุษย์เลย
พวกเขาหายใจแค่ชั่วครู่ พวกเขาจะช่วยอะไรใครได้
พระคริสต์ถวายตัวเองครั้งเดียวก็พอสำหรับตลอดไป
10 กฎของโมเสสเป็นแค่เงาของสิ่งดีๆที่กำลังจะมาถึง มันไม่ใช่ของจริง ดังนั้นกฎของโมเสสที่สั่งให้คนต้องเอาเครื่องบูชาแบบเดิมๆมาถวายพระเจ้าซ้ำแล้วซ้ำอีกในทุกๆปีนั้น ไม่มีวันทำให้คนที่มาเข้าเฝ้าพระเจ้าสมบูรณ์แบบได้ 2 เพราะถ้ากฎทำให้คนสมบูรณ์แบบได้จริง คนคงจะเลิกถวายเครื่องบูชาไปแล้ว เพราะเขาคงได้รับการชำระครั้งเดียวก็พอแล้ว และใจของเขาคงไม่รู้สึกผิดต่อบาปที่เขาได้ทำ 3 แต่แทนที่จะเป็นอย่างนั้น เครื่องบูชากลับกลายเป็นสิ่งที่เตือนให้เขาระลึกถึงบาปที่ได้ทำทุกๆปี 4 เพราะเลือดของวัวตัวผู้และเลือดของแพะจะมาล้างบาป ก็เป็นไปไม่ได้
5 ดังนั้น เมื่อพระคริสต์ได้เข้ามาในโลกนี้ พระองค์พูดว่า
“พระองค์ (พระเจ้า) ไม่ต้องการเครื่องบูชา และของถวาย
แต่พระองค์ได้เตรียมร่างกายสำหรับข้าพเจ้า
6 พระองค์ไม่ได้พอใจกับเครื่องเผาบูชา
และเครื่องบูชาเพื่อจัดการกับบาป
7 แล้วข้าพเจ้า (พระคริสต์) ก็พูดว่า
‘ข้าแต่พระเจ้า ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่
ข้าพเจ้ามาเพื่อทำตามความต้องการของพระองค์
เหมือนกับที่มีเขียนไว้เกี่ยวกับข้าพเจ้าในหนังสือม้วน’”[a]
8 ครั้งแรกพระองค์ (พระคริสต์) พูดว่า “พระองค์ (พระเจ้า) ไม่ต้องการและไม่ได้พอใจในเครื่องสัตวบูชาที่นำมาบูชา เครื่องเผาบูชาและเครื่องบูชาเพื่อจัดการกับบาป” (ถึงแม้กฎของโมเสสสั่งให้ทำอย่างนี้) 9 แล้วต่อมาพระองค์ (พระคริสต์) ได้พูดอีกว่า “ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว ข้าพเจ้ามาเพื่อทำตามความต้องการของพระองค์” ดังนั้น พระเจ้าจึงยกเลิกระบบแรกเสีย เพื่อจะจัดตั้งระบบอันที่สองขึ้นมา 10 เราได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ เพราะพระเยซูคริสต์ได้ทำในสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้ทำ และพระองค์ได้เสียสละร่างกายของพระองค์เองเป็นเครื่องบูชาเพียงครั้งเดียวเป็นพอสำหรับตลอดไป
11 นักบวชชาวยิวทุกคนยืนทำหน้าที่รับใช้พระเจ้าทุกวัน และเขาถวายเครื่องบูชาอย่างเดียวกันซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่มันไม่สามารถจะกำจัดบาปได้ 12 แต่หลังจากที่พระคริสต์ได้สละตัวเองเป็นเครื่องบูชาเพียงครั้งเดียวเพื่อจัดการกับบาปตลอดไป พระองค์ได้นั่งอยู่ทางขวามือของพระเจ้า 13 พระองค์จะนั่งรอจนกว่าพระเจ้าจะทำให้ศัตรูของพระองค์มาเป็นที่วางเท้าของพระองค์ 14 เพราะเมื่อพระองค์ถวายตัวเพียงครั้งเดียว ก็ทำให้คนที่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้วนั้นสมบูรณ์แบบตลอดกาล
15 พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เป็นพยานยืนยันกับเราในเรื่องนี้ พระองค์ได้พูดว่า
16 “นี่คือคำสัญญาใหม่ที่เราจะทำกับประชาชนของเราหลังจากสมัยนั้น
เราจะใส่กฎของเราเข้าไปในจิตใจของพวกเขา
และจะเขียนพวกมันลงไปในหัวใจของพวกเขา”[b]
17 “และเราจะลืมบาป และการกระทำที่ผิดๆของพวกเขาตลอดไป”[c]
18 เมื่อพระเจ้าอภัยบาปให้แล้ว ก็ไม่จำเป็นจะต้องมีการถวายเครื่องบูชาเพื่อจัดการกับบาปอีกต่อไป
เข้ามาใกล้ๆพระเจ้า
19 ดังนั้น พี่น้องครับ เรามีความมั่นใจที่จะเข้าไปในห้องศักดิ์สิทธิ์ที่สุดโดยเลือดของพระเยซู 20 เราเข้าไปได้ตามทางใหม่ที่ให้ชีวิต ซึ่งพระองค์ได้เปิดให้เราผ่านเข้าไปทางม่านนั้น คือที่พระองค์ได้สละร่างกายเป็นเครื่องบูชา 21 เรามีหัวหน้านักบวชผู้ยิ่งใหญ่ ที่คอยจัดการดูแลครัวเรือนของพระเจ้า 22 ดังนั้นขอให้เราทุกคนเข้ามาใกล้ๆพระเจ้าด้วยความจริงใจ และมีความมั่นใจอย่างเต็มที่ มีใจที่ได้รับการประพรมให้สะอาดจากความรู้สึกผิดๆเพราะบาป และมีร่างกายที่ได้ชำระด้วยน้ำให้บริสุทธิ์แล้ว 23 ขอให้เราทุกคนยึดมั่นในความหวังที่เราได้ยอมรับไว้แล้วอย่างไม่หวั่นไหว เพราะพระองค์ผู้ที่ให้สัญญากับเรานั้นซื่อสัตย์
ช่วยกันและกันให้เข้มแข็ง
24 ขอให้เราทุกคนพิจารณากันและกัน เพื่อจะได้กระตุ้นกันให้มีความรักและทำแต่ความดี 25 ขออย่าให้เราทิ้งการประชุมไปเหมือนกับที่บางคนทำอยู่ แต่ให้กำลังใจกันและกันมากยิ่งขึ้น ยิ่งพวกคุณรู้อยู่แล้วว่าวันนั้น[d]กำลังใกล้มาถึงแล้ว ก็ยิ่งน่าจะทำอย่างนี้
อย่าหนีพระเจ้าไป
26 แต่ถ้าเรายังตั้งใจทำผิดอยู่หลังจากที่เรารู้เรื่องความจริงแล้ว ก็จะไม่มีเครื่องบูชาจัดการกับบาปให้อีกแล้ว 27 มีแต่จะรอคอยการพิพากษาด้วยความหวาดกลัว และรอคอยไฟร้อนแรงที่จะเผาผลาญคนที่ต่อต้านพระเจ้า 28 คนไหนที่ไม่ยอมเชื่อฟังกฎของโมเสส และมีพยานสักสองสามปาก คนนั้นก็ถูกประหารชีวิตอย่างไร้ความเมตตา 29 คิดดูสิว่า คนที่เหยียบย่ำพระบุตรของพระเจ้า และมองเลือดของคำสัญญาใหม่ที่ได้ชำระเขาให้บริสุทธิ์นั้นว่าไร้ค่า แถมยังดูถูกพระวิญญาณแห่งความเมตตากรุณา คนพวกนี้สมควรจะได้รับโทษหนักกว่าคนพวกนั้นขนาดไหน 30 เพราะเรารู้จักพระองค์ที่พูดว่า “การแก้แค้นเป็นเรื่องของเรา เราจะตอบสนองพวกเขาเอง”[e] และได้พูดอีกว่า “องค์เจ้าชีวิตจะพิพากษาประชาชนของพระองค์”[f] 31 เป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวยิ่งนักที่จะตกอยู่ในมือของพระเจ้าผู้มีชีวิตอยู่นั้น
ขอให้มีความกล้าและอดทนไว้
32 ขอให้คิดถึงสมัยก่อนตอนที่เพิ่งได้รับความสว่าง พวกคุณได้อดทนต่อความทุกข์ยากอย่างแสนสาหัส 33 บางครั้งคุณก็ถูกประจานให้ขายหน้าและคนดูถูกข่มเหง บางครั้งคุณก็ช่วยเหลือคนอื่นที่ถูกข่มเหง 34 คุณไม่ได้แค่ช่วยเหลือและร่วมทุกข์กับคนที่ติดคุก แต่ยังยินดียอมให้คนมายึดเอาทรัพย์สินของคุณไป เพราะรู้ว่าตัวเองได้เป็นเจ้าของทรัพย์สินที่ยอดเยี่ยมกว่านั้น และเป็นทรัพย์สินที่จะอยู่ถาวรตลอดไป
35 ดังนั้น อย่าทิ้งความมั่นใจไป เพราะมันจะนำรางวัลอันยิ่งใหญ่มาให้ 36 พวกคุณต้องอดทน เพื่อว่าเมื่อคุณได้ทำตามความต้องการของพระเจ้าแล้ว คุณก็จะได้รับสิ่งที่พระองค์สัญญาไว้ 37 พระเจ้าบอกว่า
“อีกไม่นานนัก พระองค์ผู้ที่กำลังจะมานั้นก็จะมาถึงแล้ว
พระองค์จะไม่ชักช้า
38 แต่คนที่เรายอมรับนั้น จะใช้ชีวิตด้วยความไว้วางใจ
และถ้าเขาหันหลังเลิกไว้วางใจ เราจะไม่พอใจในตัวเขาเลย”[g]
39 แต่เราไม่ใช่คนพวกนั้นที่เลิกไว้วางใจ แล้วต้องถูกทำลายไป แต่เราเป็นคนพวกนั้นที่ยังไว้วางใจอยู่ แล้วได้รับชีวิต
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International