M’Cheyne Bible Reading Plan
ชาวอิสราเอลออกจากอียิปต์
33 โมเสสและอาโรนได้นำประชาชนชาวอิสราเอลออกจากแผ่นดินอียิปต์ ในรูปแบบของกองทัพ[a] นี่คือลำดับการเดินทางของพวกเขา 2 โมเสสเขียนสถานที่เริ่มต้นของการเดินทางของพวกเขา ตามคำสั่งของพระยาห์เวห์ นี่คือลำดับการเดินทางของพวกเขาจากจุดเริ่มต้น
3 พวกเขาออกจากราเมเสสในวันที่สิบห้าของเดือนแรก วันนั้นเป็นวันหลังวันปลดปล่อยหนึ่งวัน ประชาชนชาวอิสราเอลออกเดินทางอย่างกล้าหาญท่ามกลางสายตาของชาวอียิปต์ 4 ชาวอียิปต์กำลังฝังศพลูกชายหัวปี[b] ของพวกเขา ที่พระยาห์เวห์ได้ฆ่าตาย พระองค์ได้แสดงถึงการพิพากษาของพระองค์ต่อพวกพระต่างๆ[c] ของชาวอียิปต์
5 ประชาชนชาวอิสราเอลออกจากราเมเสสและมาตั้งค่ายที่สุคคท 6 พวกเขาออกจากสุคคท มาตั้งค่ายที่เอธาม ติดเขตที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง 7 พวกเขาออกจากเอธามและเลี้ยวไปทางปิหะหิโรททางตะวันออกของบาอัล-เซโฟน พวกเขามาตั้งค่ายอยู่ใกล้มิกดล
8 พวกเขาออกจากปิหะหิโรทและเดินทางผ่านทะเลไปจนถึงที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง พวกเขาเดินทางเป็นเวลาสามวันในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งเอธาม และพวกเขาตั้งค่ายที่มาราห์
9 พวกเขาออกจากมาราห์และไปถึงเอลิม ที่นั่นมีตาน้ำสิบสองแห่งและต้นปาล์มเจ็ดสิบต้น ดังนั้นพวกเขาจึงตั้งค่ายที่นั่น
10 พวกเขาออกจากเอลิมและมาตั้งค่ายใกล้ทะเลต้นกก[d]
11 พวกเขาออกจากทะเลต้นกก และมาตั้งค่ายในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งสีน
12 พวกเขาออกจากที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งสีนและมาตั้งค่ายที่โดฟคาห์
13 พวกเขาออกจากโดฟคาห์และมาตั้งค่ายที่อาลูช
14 พวกเขาออกจากอาลูชและมาตั้งค่ายที่เรฟีดิม ที่นั่นไม่มีน้ำให้ประชาชนดื่ม
15 พวกเขาออกจากเรฟีดิมและไปตั้งค่ายที่ที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งซีนาย
16 พวกเขาออกจากที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งซีนายและไปตั้งค่ายที่ขิบโรท-หัทธาอาวาห์
17 พวกเขาออกจากขิบโรท-หัทธาอาวาห์และไปตั้งค่ายที่ฮาเซโรท
18 พวกเขาออกจากฮาเซโรทและไปตั้งค่ายที่ริทมาห์
19 พวกเขาออกจากริทมาห์และไปตั้งค่ายที่ริมโมน-เปเรศ
20 พวกเขาออกจากริมโมน-เปเรศและไปตั้งค่ายที่ลิบนาห์
21 พวกเขาออกจากลิบนาห์และไปตั้งค่ายที่ริสสาห์
22 พวกเขาออกจากริสสาห์และไปตั้งค่ายที่เคเฮลาธาห์
23 พวกเขาออกจากเคเฮลาธาห์และไปตั้งค่ายที่ภูเขาเชเฟอร์
24 พวกเขาออกจากภูเขาเชเฟอร์และไปตั้งค่ายที่ฮาราดาห์
25 พวกเขาออกจากฮาราดาห์และไปตั้งค่ายที่มักเฮโลท
26 พวกเขาออกจากมักเฮโลทและไปตั้งค่ายที่ทาหัท
27 พวกเขาออกจากทาหัทและไปตั้งค่ายที่เทราห์
28 พวกเขาออกจากเทราห์และไปตั้งค่ายที่มิทคาห์
29 พวกเขาออกจากมิทคาห์และไปตั้งค่ายที่ฮัชโมนาห์
30 พวกเขาออกจากฮัชโมนาห์และไปตั้งค่ายที่โมเสโรท
31 พวกเขาออกจากโมเสโรทและไปตั้งค่ายที่เบเน-ยาอะคัน
32 พวกเขาออกจากเบเน-ยาอะคันและไปตั้งค่ายที่โฮร์-ฮักกีดกาด
33 พวกเขาออกจากโฮร์-ฮักกีดกาดและไปตั้งค่ายที่โยทบาธาห์
34 พวกเขาออกจากโยทบาธาห์และไปตั้งค่ายที่อับโรนาห์
35 พวกเขาออกจากอับโรนาห์และไปตั้งค่ายที่เอซีโอน-เกเบอร์
36 พวกเขาออกจากเอซีโอน-เกเบอร์และไปตั้งค่ายที่เคเดชในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งศิน
37 พวกเขาออกจากเคเดชและไปตั้งค่ายที่โฮร์ ภูเขาตรงชายแดนของแผ่นดินเอโดม 38 นักบวชอาโรนขึ้นไปบนภูเขาโฮร์ตามคำสั่งของพระยาห์เวห์และตายบนนั้นในวันที่หนึ่งของเดือนห้า ซึ่งเป็นปีที่สี่สิบหลังจากประชาชนชาวอิสราเอลออกจากแผ่นดินอียิปต์ 39 อาโรนอายุหนึ่งร้อยยี่สิบสามปีขณะที่เขาตายบนภูเขาโฮร์
40 กษัตริย์ชาวคานาอันของเมืองอาราด ที่อยู่ในเนเกบ ได้ยินว่าประชาชนชาวอิสราเอลกำลังเดินทางมา 41 พวกชาวอิสราเอลออกจากภูเขาโฮร์และมาตั้งค่ายที่ศัลโมนาห์
42 พวกเขาออกจากศัลโมนาห์และไปตั้งค่ายที่ปูโนน
43 พวกเขาออกจากปูโนนและไปตั้งค่ายที่โอโบท
44 พวกเขาออกจากโอโบทและไปตั้งค่ายที่อิเย-อาบาริมบริเวณชายแดนของโมอับ
45 พวกเขาออกจากอิเย-อาบาริมและไปตั้งค่ายที่ดีโบน-กาด
46 พวกเขาออกจากดีโบน-กาดและไปตั้งค่ายที่อัลโมน-ดิบลาธาอิม
47 พวกเขาออกจากอัลโมน-ดิบลาธาอิมและไปตั้งค่ายท่ามกลางเทือกเขาต่างๆของอาบาริมใกล้เนโบ
48 พวกเขาออกจากภูเขาอาบาริมและไปตั้งค่ายในที่ราบโมอับข้างแม่น้ำจอร์แดนฝั่งตรงข้ามเยริโค 49 พวกเขาตั้งค่ายไปตามริมฝั่งแม่น้ำจอร์แดนในที่ราบของโมอับตั้งแต่เบธ-เยชิโมทไปจนถึงอาเบล-ชิทธิม
50 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสในที่ราบโมอับใกล้แม่น้ำจอร์แดนฝั่งตรงข้ามเยริโค พระองค์พูดว่า 51 “ให้บอกกับประชาชนชาวอิสราเอลว่า เมื่อเจ้าข้ามแม่น้ำจอร์แดนเข้าไปในแผ่นดินคานาอันแล้ว 52 เจ้าต้องขับไล่คนที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้นออกไปให้หมด เจ้าต้องทำลายรูปแกะสลักของพวกเขาทั้งหมด และทำลายรูปเคารพที่ทำจากโลหะและเจ้าต้องรื้อสถานที่บวงสรวง[e] ของพวกเขาออกให้สิ้นซาก 53 แล้วให้เจ้าเข้าไปยึดเอาแผ่นดินนั้นและตั้งรกรากในมัน เพราะเราได้มอบแผ่นดินนี้ให้เจ้าเป็นเจ้าของแล้ว 54 เจ้าจะต้องแบ่งที่ดินกันในหมู่พวกเจ้า โดยการใช้สลากแบ่งตามตระกูลของพวกเจ้า เจ้าต้องแบ่งให้ตระกูลใหญ่มากหน่อย ตระกูลเล็กน้อยหน่อย สลากของตระกูลไหนตกในที่ดินใด ที่ดินตรงนั้นก็เป็นของตระกูลนั้น พวกเจ้าจะได้รับส่วนแบ่งตามเผ่าของบรรพบุรุษพวกเจ้า
55 ถ้าเจ้าไม่ขับไล่คนที่อยู่ในแผ่นดินนั้นไปต่อหน้าเจ้า คนเหล่านั้นจะเป็นเหมือนเศษผงในตาของเจ้าและเหมือนหนามเสียบอยู่ข้างตัวเจ้า พวกมันจะทำให้เกิดปัญหามากมายกับเจ้าบนแผ่นดินที่เจ้าอาศัยอยู่ 56 แล้วเราก็จะทำกับเจ้าเหมือนกับที่เราวางแผนจะทำกับพวกมันเหมือนกัน”
บทเรียนที่ได้รับจากประวัติของอิสราเอล
บทเพลงมัสคิลของอาสาฟ
1 คนของเราเอ๋ย ให้ฟังคำสั่งสอนของเรา
เอียงหูของเจ้ามาฟังคำพูดต่างๆที่ออกมาจากปากของเรา
2 เราจะอ้าปากร้องเพลงที่ก่อให้เกิดสติปัญญา
เราจะอธิบายบทเรียนต่างๆที่ได้จากเหตุการณ์ทั้งหลายในอดีต
3 ซึ่งเป็นเรื่องที่พวกเราเคยได้ยินและรู้จักกันดี
เพราะพ่อแม่และคนรุ่นก่อนๆได้เล่าให้พวกเราฟัง
4 พวกเราจะไม่ซ่อนเรื่องเหล่านี้ไปจากลูกหลานของพวกเขา
พวกเราจะเล่าให้กับคนรุ่นต่อไปฟัง
ถึงการกระทำอันน่าสรรเสริญของพระยาห์เวห์
ถึงพลังอำนาจของพระองค์และถึงสิ่งน่าทึ่งต่างๆที่พระองค์ได้ทำ
5 พระเจ้าทำข้อตกลงไว้กับยาโคบ
พระองค์ให้กฎกับชาวอิสราเอลทำตาม
และพระองค์สั่งบรรพบุรุษของพวกเรา
ให้สั่งสอนสิ่งเหล่านี้กับลูกๆของพวกเขา
6 เพื่อว่าคนรุ่นต่อไป คือเด็กที่ยังไม่ได้เกิดมาจะได้รู้ถึงสิ่งเหล่านี้
และเมื่อพวกเขาโตขึ้น พวกเขาจะได้เล่าเรื่องเหล่านี้ให้กับลูกๆของพวกเขาฟัง
7 แล้วพวกเขาจะได้ไว้วางใจในพระเจ้า
และไม่ลืมสิ่งต่างๆที่พระเจ้าทำ
แต่จะรักษาคำสั่งต่างๆของพระองค์ไว้
8 พวกเขาจะได้ไม่เป็นเหมือนบรรพบุรุษของพวกเขา
ซึ่งเป็นรุ่นที่กบฏและไม่เชื่อฟัง
ซึ่งใจของพวกเขาไม่ได้มั่นคงในพระเจ้า
และจิตวิญญาณของพวกเขาไม่ได้ซื่อสัตย์ต่อพระองค์
9 เช่น คนเอฟราอิมที่มีธนู[a]พร้อมมือ
แต่กลับวิ่งหนีในวันที่การสู้รบมาถึง
10 พวกเขาไม่ได้รักษาข้อตกลงที่ทำไว้กับพระเจ้า
พวกเขาไม่ยอมทำตามกฎต่างๆของพระองค์
11 พวกเขาลืมสิ่งต่างๆที่พระองค์ทำไป
คือสิ่งน่าทึ่งต่างๆที่พระองค์ทำให้พวกเขาเห็น
12 พระเจ้าทำสิ่งน่าทึ่งต่างๆต่อหน้าต่อตาบรรพบุรุษของพวกเขา
ในแคว้นโศอันในแผ่นดินอียิปต์
13 พระเจ้าแหวกทะเลออกและนำพวกเขาเดินทะลุไป
พระองค์ทำให้น้ำตั้งขึ้นเหมือนกำแพงทั้งสองข้าง
14 พระองค์นำทางพวกเขาด้วยเมฆในตอนกลางวัน
และนำด้วยแสงไฟตลอดคืน
15 พระองค์ทุบหินในทะเลทรายแยกออก
และน้ำก็ไหลพุ่งออกมามากมายให้พวกเขาดื่มเหมือนกับมาจากทะเลลึก
16 พระองค์ทำให้พวกลำธารไหลออกมาจากหินผา
พระองค์ทำให้น้ำไหลเหมือนพวกแม่น้ำ
17 แต่พวกบรรพบุรุษยังคงทำบาปต่อพระองค์ต่อไป
และกบฏต่อพระองค์ผู้ใหญ่ยิ่งสูงสุดในแผ่นดินที่แห้งแล้งนั้น
18 แล้วพวกเขาตั้งใจลองดีพระเจ้า
พวกเขาขออาหารเพื่อสนองความอยากของตน
19 พวกเขาพูดต่อว่าพระเจ้าว่า
“ในที่เปล่าเปลี่ยวอย่างนี้ พระเจ้าสามารถหาอาหารให้กับพวกเราได้หรือ
20 ถึงแม้พระองค์ทุบหินให้น้ำไหลออกมาจนล้นหุบเหวลึกได้
แต่พระองค์จะมีปัญญาหาอาหารมาให้ได้จริงๆหรือ
พระองค์จะเอาเนื้อมาให้คนของพระองค์กินด้วยได้หรือ”
21 เมื่อพระยาห์เวห์ได้ยินอย่างนั้น พระองค์ก็โกรธ
และไฟก็ปะทุขึ้นใส่คนของยาโคบ
ความโกรธของพระองค์เผาอิสราเอล
22 เพราะพวกเขาไม่ได้ไว้วางใจในพระเจ้า
และไม่เชื่อว่า พระองค์มีฤทธิ์ที่จะช่วยพวกเขาให้รอดได้
23 แล้วพระเจ้าก็ประกาศสั่งเมฆบนฟ้าเบื้องบน
และพระองค์เปิดประตูท้องฟ้า
24 แล้วพระองค์ก็เทมานาลงมาให้พวกเขากิน
พระองค์ให้อาหารทิพย์จากสวรรค์กับพวกเขา
25 คนพวกนี้พากันกินขนมปังของพวกเทพเจ้า[b]
พระองค์ให้อาหารพวกเขากินอย่างอิ่มหมีพีมัน
26 แล้วพระเจ้าก็ทำให้ลมจากทิศ-ตะวันออกเฉียงใต้พัดมาตรงที่พวกเขาอยู่
และให้ฝูงนกตกลงมาจากท้องฟ้า
27 พระองค์เทเนื้อลงบนพวกเขาอย่างพายุฝุ่น
มีนกมากมายเหมือนเม็ดทรายที่ชายทะเล
28 นกพวกนี้ตกลงไปในค่าย
รอบๆเต็นท์ของพวกเขา
29 พระเจ้าให้สิ่งที่พวกเขาอยากได้
และพวกเขาก็กินจนอิ่มตื้อ
30 แต่ในระหว่างที่เขายังกินอาหารที่อยากกินอยู่นั้น
ขณะที่มันยังคาอยู่ในปาก
31 จู่ๆความโกรธของพระเจ้าก็พลุ่งขึ้นใส่พวกเขา
พระองค์ฆ่าคนที่แข็งแรงที่สุดของพวกเขาบางคน
พระองค์โค่นพวกคนหนุ่มที่ดีที่สุดของอิสราเอล
32 ขนาดเกิดเรื่องอย่างนี้แล้ว พวกเขาก็ยังคงทำบาป
และยังไม่ยอมเชื่อในฤทธิ์อันน่าทึ่งของพระเจ้า
33 พระองค์ทำให้ชีวิตของพวกเขาจบลงอย่างล้มเหลว
เดือนปีของเขาจบลงด้วยความหวาดกลัวและสั่นเทิ้ม
34 เมื่อไหร่ก็ตามที่พระเจ้าฆ่าคนเหล่านั้น คนที่เหลือก็จะมาขอความช่วยเหลือจากพระองค์
พวกเขาจะกลับมาหาพระองค์และแสวงหาพระเจ้าด้วยใจร้อนรน
35 พวกเขาจะระลึกได้ว่าพระเจ้าเป็นหินกำบังของพวกเขา
พระเจ้าผู้สูงสุดเป็นผู้ที่ไถ่ชีวิตของพวกเขา
36 พวกเขาพยายามหลอกพระองค์ด้วยปาก
และโกหกพระองค์ด้วยลิ้น
37 พวกเขาไม่จริงใจต่อพระเจ้า
และไม่สัตย์ซื่อต่อข้อตกลงที่ทำไว้กับพระองค์
เพลงสรรเสริญพระเจ้า
25 ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระองค์เป็นพระเจ้าของผม
ผมจะยกย่องพระองค์และสรรเสริญพระนามของพระองค์
เพราะสิ่งน่าทึ่งทั้งหลายที่พระองค์ได้ทำ
พระองค์ได้วางแผนพวกมันมานานแล้วและพวกมันก็เกิดขึ้นจริงตามนั้น
2 พระองค์ทำให้เมืองกลายเป็นกองซากปรักหักพัง
พระองค์ทำลายเมืองที่มีป้อมปราการลง
ป้อมปราการของคนต่างชาติก็ไม่เป็นเมืองอีกต่อไป
และมันจะไม่มีวันถูกสร้างขึ้นมาอีกแล้ว
3 ดังนั้น พวกชนชาติเข้มแข็งจึงถวายเกียรติให้กับพระองค์
พวกเมืองต่างๆของชนชาติที่โหดเหี้ยมทั้งหลายจะยำเกรงพระองค์
4 เพราะพระองค์ได้เป็นที่หลบภัยสำหรับคนจน
เป็นที่หลบภัยสำหรับคนที่ขัดสนเมื่อเขาเดือดร้อน
เป็นที่กำบังจากพายุ และเป็นร่มเงากันความร้อน
เมื่อคนโหดเหี้ยมโหมพัดเข้าใส่เหมือนกับพายุในหน้าหนาว
5 หรือเหมือนกับความร้อนในที่แห้งแล้ง
พระองค์หยุดเสียงเอะอะของพวกคนต่างชาติพวกนี้ลง
พระองค์ดับเสียงโห่ร้องแห่งชัยชนะของคนเหี้ยมโหดลง
เหมือนกับที่เมฆดับความร้อนลง
พระยาห์เวห์จะจัดงานเลี้ยงให้กับพวกผู้รับใช้ของพระองค์
6 บนภูเขานี้ พระยาห์เวห์ ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นจะจัดงานเลี้ยงให้กับทุกชนชาติ
เป็นงานเลี้ยงที่มีอาหารเลิศรสและเหล้าองุ่นที่บ่มมาอย่างดี
มีเนื้อที่นุ่มนวลและเหล้าองุ่นที่กรองตะกอนแล้ว
7 และบนภูเขานี้พระองค์จะทำลายผ้าที่คลุมหน้าคนทั้งหลาย
ผ้าทอที่ครอบคลุมอยู่เหนือทุกชนชาติ
8 พระองค์จะกลืนกินความตายตลอดไปและพระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตจะเช็ดน้ำตาจากทุกๆใบหน้า
และพระองค์จะขจัดความอับอายที่คนของพระองค์ได้รับให้หายไปจากทั้งโลก
เพราะพระยาห์เวห์ได้พูดไว้ว่าอย่างนั้น
9 ในเวลานั้นผู้คนจะพูดว่า
“ดูสิ นี่คือพระเจ้าของเรา
เรารอคอยพระองค์
และพระองค์ก็ได้มาช่วยกู้พวกเราแล้ว
นี่แหละพระยาห์เวห์ผู้ที่พวกเราได้ตั้งตารอคอย
ขอให้พวกเราชื่นชมยินดีและมีความสุขเมื่อพระองค์มาช่วยกู้พวกเรา”
10 เพราะมือของพระองค์จะวางปกป้องอยู่บนภูเขาของพระองค์
แต่พวกชาวโมอับจะถูกเหยียบย่ำลงในที่ของพวกเขานั้น เหมือนกับฟางที่ถูกเหยียบย่ำลงในกองขี้
11 และพวกชาวโมอับก็จะกางแขนของพวกเขาในกองขี้นั้นเหมือนกับนักว่ายน้ำกางแขนออกว่ายน้ำ
พระยาห์เวห์จะกดความหยิ่งจองหองของพวกเขาลง ถึงแม้จะมีฝีมือเก่งกาจแค่ไหนก็ตาม
12 ชาวโมอับ พระองค์จะรื้อป้อมปราการที่สูงใหญ่ของพวกเจ้า
ทำให้มันพังลง โยนลงกับพื้น คลุกฝุ่นไปเลย
เราเป็นลูกของพระเจ้า
3 ดูสิ ความรักที่พระบิดามีต่อพวกเรานั้น มันมากมายมหาศาลแค่ไหน ถึงขนาดได้เรียกเราว่าเป็นลูกของพระองค์ และเราก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ โลกนี้ไม่รู้จักพระองค์ ซึ่งเป็นเหตุที่โลกไม่รู้จักเราเหมือนกัน 2 เพื่อนๆที่รัก ตอนนี้เราได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เรายังไม่รู้ว่าต่อไปข้างหน้าเราจะเป็นอย่างไร แต่เรารู้ว่าเมื่อพระคริสต์มาปรากฏ เราจะเป็นเหมือนพระองค์ เพราะเราจะเห็นพระองค์ตามที่พระองค์เป็นจริงๆ 3 ทุกคนที่มีความหวังอย่างนี้ ก็จะทำตัวเองให้บริสุทธิ์เหมือนอย่างที่พระคริสต์บริสุทธิ์
4 ทุกคนที่ทำบาปก็ฝ่าฝืนกฎของพระเจ้า เพราะความบาปก็คือการฝ่าฝืนกฎนั่นเอง 5 พวกคุณรู้แล้วว่า ที่พระคริสต์มาปรากฏก็เพื่อมารับเอาความบาปของทุกคนไปจนหมด และคุณก็รู้ว่าในพระคริสต์นั้นไม่มีความบาปเลย 6 ทุกคนที่ตั้งมั่นคงในพระคริสต์จะไม่ทำบาปอีกต่อไป ส่วนคนที่ยังทำบาปอยู่ ก็ไม่เคยเห็นพระองค์ และไม่ได้รู้จักกับพระองค์ด้วย
7 ลูกๆที่รัก อย่าให้ใครมาหลอกลวงเอาได้ คนที่ทำในสิ่งที่พระเจ้าชอบใจก็เป็นคนที่พระเจ้ายอมรับ เหมือนกับที่พระเจ้ายอมรับพระคริสต์นั้น 8 คนที่ยังทำบาปอยู่ก็เป็นพวกของมาร เพราะมารได้ทำบาปมาตั้งแต่ต้น นี่เป็นเหตุที่พระบุตรของพระเจ้ามาปรากฏ เพื่อพระองค์จะได้ทำลายการงานของมารเสีย
9 ทุกคนที่เป็นลูกของพระเจ้าจะไม่ทำบาปอีกต่อไปเพราะธรรมชาติของพระเจ้าได้เข้าไปอยู่ในคนๆนั้นแล้ว ด้วยเหตุนี้คนๆนั้นก็ไม่สามารถที่จะทำบาปได้อีกต่อไป เพราะเขาได้มาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว 10 แบบนี้สิ ถึงจะรู้ว่าใครเป็นลูกของพระเจ้า หรือใครเป็นลูกของมาร คือทุกคนที่ไม่ได้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง และไม่ได้รักพี่น้องของเขา ก็ไม่ใช่ลูกของพระเจ้า
เราต้องรักซึ่งกันและกัน
11 พวกคุณได้ยินได้ฟังคำสอนนี้มาตั้งแต่ต้นแล้วว่า ให้เรารักกันและกัน 12 อย่าให้เราเป็นเหมือนคาอินที่เป็นพวกของมารและได้ฆ่าน้องชายของเขา เขาฆ่าน้องทำไม ก็เพราะการกระทำของเขาชั่ว แต่ของน้องชายเขานั้นถูกต้อง
13 พี่น้องครับ ไม่ต้องแปลกใจหรอกถ้าโลกนี้เกลียดพวกคุณ 14 เรารู้ว่าเราได้ผ่านจากความตายไปสู่ชีวิตแล้ว ก็เพราะเรารักพี่น้องของเรา ส่วนคนที่ไม่รักคนอื่นก็ยังคงอยู่ในความตาย 15 ทุกคนที่เกลียดชังพี่น้องของเขาก็เป็นฆาตกร พวกคุณรู้ว่าคนที่เป็นฆาตกรนั้นจะไม่มีชีวิตตลอดไปกับพระเจ้า 16 แบบนี้สิเราถึงรู้ว่าความรักเป็นอย่างไร คือพระคริสต์ได้ให้ชีวิตของพระองค์เพื่อเรา เราจึงควรให้ชีวิตของเรา เพื่อพี่น้องของเราด้วย 17 คนที่มีทรัพย์สมบัติมากมายในโลกนี้ เมื่อเห็นพี่น้องของเขาขัดสนและต้องการความช่วยเหลือ แต่ใจจืดใจดำไม่ช่วย ก็แสดงว่าความรักของพระเจ้าไม่ได้อยู่ในคนๆนี้เลย 18 ลูกเล็กๆที่รัก อย่าให้เรารักกันแค่คำพูดหรือรักแต่ปากเท่านั้น แต่ให้เรารักกันด้วยการกระทำและด้วยความจริงใจ
19-20 แบบนี้สิเราถึงแน่ใจว่าเราอยู่ฝ่ายความจริง ถึงแม้ว่าบางครั้งใจของเราอาจจะฟ้องว่าเราผิด แต่เราก็ยังสามารถที่จะมีสันติสุขต่อหน้าพระเจ้าได้ เพราะพระเจ้านั้นยิ่งใหญ่กว่าใจเรา และพระองค์รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง
21 เพื่อนๆที่รัก ถ้าใจเราไม่ได้ฟ้องว่าเราทำผิด เราก็มีความมั่นใจที่จะเข้าพบพระเจ้า 22 และเราจะได้รับทุกสิ่งที่เราขอจากพระเจ้า เพราะได้ทำตามคำสอนของพระองค์และได้ทำสิ่งที่พระองค์พอใจ 23 คำสั่งสอนของพระองค์คือให้เราไว้วางใจในพระเยซูคริสต์เจ้าพระบุตรของพระองค์ และให้เรารักกันและกันเหมือนกับที่พระองค์ได้สั่งเราไว้แล้ว 24 คนที่ทำตามคำสั่งสอนของพระเจ้าก็อยู่ในพระเจ้า และพระเจ้าก็อยู่ในใจของเขาด้วย เรารู้ว่าพระเจ้าอยู่ในเราเพราะว่าพระเจ้าได้ให้พระวิญญาณไว้กับเรา
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International