M’Cheyne Bible Reading Plan
ประชาชนเริ่มบ่นอีกครั้ง
14 พวกประชาชนต่างโห่ร้องเสียงดังและในคืนนั้นพวกเขาก็ร้องห่มร้องไห้กัน 2 ประชาชนชาวอิสราเอลทั้งหมดบ่นต่อว่าโมเสสและอาโรน พวกเขาทั้งหมดพูดกับโมเสสและอาโรนว่า “น่าจะปล่อยให้พวกเราตายในแผ่นดินอียิปต์หรือไม่ก็ทิ้งให้พวกเราตายในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งนี้ 3 พระยาห์เวห์พาพวกเรามาที่แผ่นดินนี้ เพื่อมาล้มตายด้วยดาบทำไมกัน แล้วเมียและลูกๆของพวกเราก็จะถูกจับไป อย่างนี้พวกเรากลับไปอียิปต์ไม่ดีกว่าหรือ”
4 พวกเขาพูดกันว่า “ให้พวกเราเลือกหัวหน้าคนใหม่ มานำพวกเรากลับไปอียิปต์กันดีกว่า”
5 โมเสสและอาโรนก้มลงกับพื้น ต่อหน้าชาวอิสราเอลที่ชุมนุมกันอยู่ที่นั่น 6 โยชูวาลูกชายของนูนและคาเลบลูกชายเยฟุนเนห์ สองคนนี้ที่ได้ไปสำรวจดินแดนแห่งนั้นด้วย ทั้งสองคนก็โกรธฉีกเสื้อผ้า[a] ของตนออก 7 ทั้งสองพูดกับชาวอิสราเอลที่ชุมนุมกันอยู่ว่า “แผ่นดินที่พวกเราเดินทางเข้าไปสำรวจนั้นเป็นแผ่นดินที่ดีมากจริงๆ 8 ถ้าพระยาห์เวห์พอใจพวกเรา พระองค์จะนำพวกเราเข้าในแผ่นดินนั้น และพระองค์จะยกแผ่นดินนั้นให้กับพวกเรา เป็นแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ 9 ดังนั้น อย่าได้กบฏต่อพระยาห์เวห์เลย และไม่ต้องกลัวคนในแผ่นดินนั้นด้วย เพราะพวกมันเป็นเหยื่อของพวกเรา และสิ่งที่ป้องกันพวกมันก็ไม่มีแล้ว แต่พระยาห์เวห์อยู่กับพวกเรา อย่ากลัวพวกมันเลย”
10 คนที่ชุมนุมกันนั้นขู่ว่าจะเอาหินขว้างเขาทั้งสอง แล้วรัศมีของพระยาห์เวห์ ก็ปรากฏขึ้นที่เต็นท์นัดพบ ต่อหน้าชาวอิสราเอลทั้งหมด 11 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “พวกนี้จะดูหมิ่นเราไปอีกนานแค่ไหน พวกเขาจะไม่ไว้ใจเราไปอีกนานแค่ไหน ทั้งๆที่เราได้แสดงการอัศจรรย์มากมายให้พวกเขาเห็นแล้ว 12 เราจะให้เกิดโรคระบาดร้ายแรงกับพวกเขาและเราจะทำลายพวกเขา และเราจะทำให้เจ้าเป็นชนชาติที่ยิ่งใหญ่และเข้มแข็งกว่าคนพวกนี้”
13 โมเสสพูดกับพระยาห์เวห์ว่า “ถ้าพระองค์ทำอย่างนี้ ชาวอียิปต์จะได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะพระองค์ใช้ฤทธิ์อำนาจของพระองค์นำประชาชนเหล่านี้ออกมาจากท่ามกลางพวกเขา 14 ชาวอียิปต์จะบอกกับคนที่อาศัยอยู่บนแผ่นดินนี้ พวกเขาก็รู้อยู่แล้วว่าพระองค์ พระยาห์เวห์ ได้อยู่ท่ามกลางคนพวกนี้ และรู้อีกว่าพระองค์ พระยาห์เวห์ได้ปรากฏให้คนพวกนี้เห็นด้วยตาเปล่า พวกเขารู้ว่าเมฆของพระองค์อยู่เหนือคนพวกนี้ พวกเขาก็รู้ว่าในเวลากลางวัน พระองค์นำหน้าคนพวกนี้ในเสาเมฆ ส่วนในเวลากลางคืนพระองค์นำหน้าคนพวกนี้ในเสาไฟ 15 ถ้าพระองค์ฆ่าคนพวกนี้ทั้งหมด ชนชาติทั้งหลายที่ได้ยินเกี่ยวกับพระองค์ก็จะพูดกันว่า 16 ‘เป็นเพราะพระยาห์เวห์ไม่สามารถนำคนพวกนี้เข้าไปในแผ่นดินที่พระองค์ได้สัญญาไว้กับพวกเขา พระองค์จึงฆ่าพวกเขาเสียในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง’
17 ตอนนี้ขอให้ฤทธิ์อำนาจของพระยาห์เวห์ยิ่งใหญ่ เหมือนกับที่พระองค์ได้พูดไว้ 18 พระองค์พูดว่า ‘เรา ยาห์เวห์โกรธช้า แต่เรามีความรักยิ่งใหญ่ เราอภัยให้กับคนที่ทำบาปและแหกกฎ แต่เราจะไม่เว้นโทษให้ทั้งหมด เราจะลงโทษคนพวกนั้น รวมทั้งลูก หลาน เหลน ของเขาด้วย สำหรับความผิดบาปที่พวกเขาทำนั้น’ 19 ดังนั้น ได้โปรดให้อภัยบาปของคนพวกนี้ ด้วยความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ เหมือนกับที่พระองค์ได้อภัยให้กับพวกเขาตั้งแต่ตอนที่พวกเขาออกจากอียิปต์มาจนถึงเดี๋ยวนี้”
20 พระยาห์เวห์พูดว่า “เราจะอภัยให้ ตามที่เจ้าขอ 21 เรามีชีวิตอยู่แน่ขนาดไหน และโลกทั้งใบนี้ปกคลุมด้วยรัศมีของพระยาห์เวห์อย่างแน่นอนขนาดไหน ก็ให้แน่ใจขนาดนั้นเลยว่า เราสัญญาว่า 22 คนพวกนี้ทั้งหมดที่ได้เห็นรัศมีของเราและเหตุการณ์อันมหัศจรรย์ของเรา ที่เราได้ทำในอียิปต์และในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง และได้ลองดีกับเราถึงสิบครั้งและไม่เชื่อฟังเรา 23 คนพวกนี้ทั้งหมดจะไม่ได้เห็นแผ่นดินที่เราได้สัญญาไว้กับบรรพบุรุษของพวกเขา รวมทั้งคนพวกนั้นทุกคนที่ไม่เคารพยำเกรงเรา จะไม่ได้เข้าไปในแผ่นดินนั้นด้วย 24 แต่เพราะคาเลบผู้รับใช้เรา คิดแตกต่างจากคนพวกนั้น และติดตามเราทุกอย่าง เราจะนำเขาเข้าไปในแผ่นดินที่เขาเคยเข้าไปแล้ว และลูกหลานของเขาก็จะได้ครอบครองแผ่นดินนั้น 25 ชาวอามาเลคและชาวคานาอันอาศัยอยู่ในหุบเขา ดังนั้นในวันพรุ่งนี้ ให้เดินทางกลับเข้าไปในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง โดยใช้เส้นทางที่มุ่งสู่ทะเลแดง”
พระยาห์เวห์ลงโทษประชาชน
26 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสและอาโรนว่า 27 “ไอ้พวกชั่วช้านี้จะบ่นต่อว่าเราไปอีกนานแค่ไหน เราได้ยินเสียงบ่นของพวกชาวอิสราเอลที่บ่นต่อว่าเรา 28 ให้บอกพวกมันว่า ‘พระยาห์เวห์บอกว่า “เรามีชีวิตอยู่แน่ขนาดไหน ก็ให้แน่ใจขนาดนั้นเลยว่า เราจะทำกับเจ้าเหมือนกับที่เจ้าได้บ่นใส่หูเรา 29 พวกเจ้าจะตายในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งนี้ พวกเจ้าทุกคนที่ได้นับไว้แล้ว ทุกคนที่มีอายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไปที่ได้บ่นต่อว่าเรา 30 เจ้าจะไม่ได้เข้าไปในแผ่นดินที่เราได้สัญญาไว้ว่าจะให้เจ้าเข้าไปอยู่ ยกเว้นคาเลบลูกชายของเยฟุนเนห์และโยชูวาลูกชายของนูน 31 และลูกๆของเจ้าที่เจ้าบอกว่าจะถูกจับตัวไป เราจะพาพวกเขาเข้าไปในแผ่นดินนั้น และพวกเขาจะรู้จักแผ่นดินที่พวกเจ้าปฏิเสธ 32 แต่พวกเจ้าจะต้องตายอยู่ในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งนี้
33 ลูกๆของพวกเจ้าจะเป็นคนเลี้ยงแกะในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งเป็นเวลาสี่สิบปี พวกเขาจะต้องทนทุกข์ทรมานเพราะความไม่ซื่อสัตย์ของพวกเจ้า จนกว่าพวกเจ้าจะตายกันหมดในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง 34 พวกเจ้าจะต้องทนทุกข์เพราะบาปของพวกเจ้าเป็นเวลาสี่สิบปี ซึ่งเท่ากับจำนวนสี่สิบวันที่พวกเจ้าเข้าไปสำรวจแผ่นดินนั้น หนึ่งปีต่อหนึ่งวัน แล้วเจ้าจะได้รู้ว่าเมื่อเราขัดขวางเจ้านั้น มันจะเป็นอย่างไร”’[b]
35 เรา ยาห์เวห์ ได้พูดไว้แล้วว่า เราจะทำอย่างนี้กับไอ้พวกชั่วช้านี้ทุกคน ที่ได้มาชุมนุมกันต่อต้านเรา พวกมันทุกคนจะต้องตายในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งนี้”
36 พวกผู้ชายที่โมเสสส่งเข้าไปสำรวจแผ่นดินนั้น ได้กลับมา และรายงานเกี่ยวกับแผ่นดินนั้นอย่างเสียๆหายๆทำให้ผู้คนทั้งหมดบ่นต่อว่าพระยาห์เวห์ 37 พระยาห์เวห์ได้ทำให้ผู้ชายพวกนี้ที่ได้รายงานเกี่ยวกับแผ่นดินนั้นอย่างเสียๆหายๆตายหมดด้วยโรคระบาด 38 ผู้ชายทั้งหมดที่เข้าไปสำรวจแผ่นดินนั้น มีแต่โยชูวาลูกชายของนูนและคาเลบลูกชายเยฟุนเนห์เท่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่
ประชาชนพยายามบุกเข้าคานาอัน
(ฉธบ. 1:41-46)
39 เมื่อโมเสสบอกเรื่องนี้กับชาวอิสราเอลทุกคน พวกเขาเศร้าโศกเสียใจมาก 40 วันต่อมา พวกเขาตื่นแต่เช้าตรู่ และเริ่มตรงไปที่ยอดเนินเขานั้น พวกเขาพูดว่า “เราอยู่ที่นี่แล้ว พวกเราจะขึ้นไปยังสถานที่ที่พระยาห์เวห์ได้สัญญาไว้ เพราะพวกเราได้ทำบาปไปแล้ว”
41 โมเสสจึงพูดว่า “ตอนนี้ทำไมพวกท่านถึงขัดคำสั่งของพระยาห์เวห์ มันจะไม่สำเร็จหรอก 42 อย่าขึ้นไปเลย พวกท่านจะได้ไม่ถูกฟาดฟันจนพ่ายแพ้ต่อหน้าศัตรู เพราะพระยาห์เวห์ไม่ได้อยู่ท่ามกลางพวกท่าน 43 เพราะพวกชาวอามาเลคและชาวคานาอันจะต่อสู้กับท่านที่นั่น และพวกท่านจะถูกฆ่าฟันล้มลง เพราะพวกท่านได้หันไปจากพระยาห์เวห์ และพระยาห์เวห์ก็จะไม่อยู่กับพวกท่าน”
44 แต่พวกเขายังคงดื้อดึง ขึ้นไปบนยอดเนินเขานั้น แม้ว่าหีบศักดิ์สิทธิ์ที่ใส่ข้อตกลงของพระยาห์เวห์ และโมเสสยังไม่ได้ออกไปจากค่าย 45 ชาวอามาเลคและชาวคานาอันที่อาศัยอยู่แถบเนินเขานั้นต่างกรูกันลงมา และเข้าโจมตีพวกชาวอิสราเอลจนแตกกระเจิงไปถึงโฮรมาห์
เครื่องบูชาที่พระเจ้ายอมรับ
บทเพลงสดุดีของอาสาฟ[a]
1 พระยาห์เวห์พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่
กำลังเรียกทุกคนบนโลกนี้จากทิศตะวันออกไปจนถึงทิศตะวันตก
2 พระองค์เปล่งแสงสว่างออกมาจากศิโยน
เมืองที่สวยงามเลิศ
3 พระเจ้าของพวกเรากำลังมา แต่ไม่ได้มาอย่างเงียบๆ
มีเพลิงเผาผลาญนำอยู่หน้าพระองค์
และมีพายุมหึมาพัดอยู่รอบๆพระองค์
4 พระองค์เรียกฟ้าสวรรค์เบื้องบนและแผ่นดินโลกเบื้องล่าง
ให้มาเป็นพยานในการตัดสินคนของพระองค์
5 พระเจ้าพูดว่า “ให้รวบรวมคนพวกนั้นที่ผูกมัดตัวเองกับเรา
คนพวกนั้นที่ทำข้อตกลงกับเราผ่านทางสัตวบูชา”
6 แล้วฟ้าสวรรค์ก็ได้ประกาศถึงความยุติธรรมของพระองค์
เพราะพระเจ้ากำลังจะตัดสิน เซลาห์
7 “ประชาชนของเรา ฟังให้ดี แล้วเราจะพูด
อิสราเอล ฟังให้ดี เพราะเราจะเป็นพยานต่อต้านเจ้า
เราคือพระเจ้า พระเจ้าของเจ้า
8 เราจะไม่ติเตียนเจ้าเกี่ยวกับเครื่องบูชาและเครื่องเซ่นไหว้ต่างๆของเจ้า
เพราะเจ้าได้ถวายสิ่งเหล่านี้ให้กับเราเป็นประจำ
9 แต่เราจะไม่รับวัวผู้จากบ้านของเจ้า
และไม่รับแพะจากคอกของเจ้า
10 เพราะสัตว์ป่าทุกตัวเป็นของเรา
รวมทั้งวัวทุกตัวตามเทือกเขานับพันๆลูก
11 เรารู้จักนกทุกตัวบนภูเขาทั้งหลาย
รวมทั้งแมลงทุกตัวที่เคลื่อนไหวอยู่ตามท้องทุ่ง
12 ถ้าเราหิว เราจะไม่บอกเจ้า
เพราะเราเป็นเจ้าของโลกนี้ และทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่บนมัน
13 เราไม่กินเนื้อวัว
และไม่ดื่มเลือดแพะ
14 แต่ให้การขอบพระคุณเป็นเครื่องบูชาที่พวกเจ้าเอามาถวายเรา[b]
และให้แก้บนของเจ้าต่อพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดด้วย
15 เมื่อเจ้าพบกับความทุกข์ยาก ก็ให้เรียกหาเรา
แล้วเราจะช่วยกู้เจ้า แล้วเจ้าจะได้สรรเสริญเรา”
16 แต่กับคนชั่ว พระเจ้าพูดว่า
“เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาท่องกฎต่างๆของเรา
เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาพูดถึงบัญญัติต่างๆของเรา
17 ในเมื่อเจ้าเกลียดชังการถูกอบรมสั่งสอน
และโยนคำสั่งสอนของเราทิ้งไปข้างหลังเจ้า
18 เจ้าคบกับโจรทุกคนที่เจ้าพบ
และยังมีส่วนร่วมกับคนที่เล่นชู้
19 เจ้าปล่อยให้ปากของเจ้าพูดเรื่องชั่วช้า
และปล่อยให้ลิ้นของเจ้าหลอกลวง
20 เจ้ากล่าวโทษน้องชายของเจ้า
และเจ้าพูดใส่ร้ายพี่น้องท้องเดียวกัน
21 เจ้าทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด และเราก็ไม่ได้ว่าอะไร
ดังนั้น เจ้าจึงพลอยคิดว่าเราเป็นเหมือนกับเจ้า
แต่ตอนนี้ เรากำลังวางข้อกล่าวหาเหล่านี้ไว้ต่อหน้าต่อตาเจ้า
และเราจะประณามเจ้าในสิ่งที่เจ้าได้ทำ
22 พวกเจ้าทั้งหลายที่หลงลืมพระเจ้า ให้เข้าใจในสิ่งที่เราพูดไป
ไม่อย่างนั้น เราจะฉีกเนื้อของเจ้าออกเป็นชิ้นๆแล้วจะไม่มีใครสักคนมาช่วยพวกเจ้า
23 คนที่นำการขอบคุณมาถวายเป็นเครื่องบูชา[c] คนๆนั้นก็ให้เกียรติกับเรา
คนที่ใช้ชีวิตอย่างถูกต้อง
เราจะให้เขาเห็นพลังของเราในการช่วยกู้”
พระยาห์เวห์จะเอาทุกอย่างไปจากเยรูซาเล็มและยูดาห์
3 ดูนั่นสิ องค์เจ้าชีวิต คือพระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้น
กำลังจะเอาทุกสิ่งทุกอย่างไปจากเยรูซาเล็มและยูดาห์ ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาพึ่งพาอาศัย ไม่ว่าจะเป็นอาหาร และน้ำดื่ม
2 ไม่ว่าจะเป็นนักรบหรือทหาร ไม่ว่าจะเป็นผู้พิพากษา
หรือผู้พูดแทนพระเจ้า หรือ หมอดู หรือผู้นำอาวุโส
3 ไม่ว่าจะเป็นผู้นำทหารห้าสิบคน หรือผู้มีหน้ามีตา หรือที่ปรึกษา
หรือพ่อมดผู้เก่งกาจ หรือผู้เชี่ยวชาญในด้านเวทมนตร์คาถา
4 พระยาห์เวห์พูดว่า
“เราจะเอาพวกเด็กผู้ชายมาเป็นผู้นำของพวกเขาและจะเอาพวกเด็กโง่ๆมาปกครองเหนือพวกเขา
5 ผู้คนจะข่มเหงรังแกกันและกัน
ทุกคนก็จะข่มเหงรังแกเพื่อนบ้านของเขา
คนหนุ่มก็จะไม่ให้ความเคารพยำเกรงคนที่แก่กว่า
คนที่ไร้ค่าก็จะไม่ให้ความเคารพยำเกรงต่อคนที่มีเกียรติ”
6 บางคนถึงกับไปคว้าเอาญาติของพ่อมา และพูดว่า
“ไหนๆเจ้าก็ยังมีเสื้อคลุมตัวหนึ่ง มาเป็นผู้นำของเราเถอะ แล้วเจ้าจะได้ครอบครองซากปรักหักพังพวกนี้”
7 แต่ในวันนั้น เขาจะตอบว่า
“ผมไม่สามารถช่วยเหลือเยียวยาอะไรพวกท่านได้หรอก บ้านผมไม่มีแม้แต่อาหารและเสื้อคลุม อย่าตั้งให้ผมเป็นผู้นำประชาชนเลย”
8 เยรูซาเล็มได้สะดุดและยูดาห์ได้ล้มคว่ำ เพราะสิ่งต่างๆที่พวกเขาได้พูดและทำไปนั้น มันต่อต้านพระยาห์เวห์
พวกเขาได้กบฏต่อศักดิ์ศรีของพระเจ้า
9 พวกเขาแสดงสีหน้าอวดดี พวกเขาได้ประกาศความบาปของพวกเขาออกมาอย่างโจ่งแจ้งเหมือนเมืองโสโดม
พวกเขาไม่ได้ปกปิดมันเลย น่าละอายจริงๆ พวกเขาหาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ
10 ให้บอกกับคนพวกนั้นที่ทำดีว่าพวกเขาจะได้ดี
เพราะพวกเขาจะได้กินผลกรรมดีที่พวกเขาทำนั้น
11 แต่คนชั่วนั้น น่าละอายจริงๆเขาจะได้รับสิ่งเลวร้าย
เพราะสิ่งที่มือพวกเขาได้ทำกับคนอื่นไว้ มันจะย้อนกลับมาหาพวกเขา
12 เด็กๆจะกดขี่ข่มเหงคนของเรา
พวกผู้หญิงจะปกครองเหนือคนของเรา
คนของเราเอ๋ย พวกผู้นำของเจ้าได้นำเจ้าออกนอกลู่นอกทาง
และทำให้ทางที่พวกเจ้าควรจะเดินนั้นสับสนไป
พระยาห์เวห์ตัดสินคนของพระองค์
13 พระยาห์เวห์ลุกขึ้นมาเพื่อ
ดำเนินคดีและตัดสินคนของพระองค์
14 พระยาห์เวห์เริ่มตัดสินพวกผู้นำอาวุโสและพวกเจ้านายของคนของพระองค์ พระองค์พูดว่า
“พวกเจ้านี่แหละ ที่ได้โกงกินสวนองุ่น และสิ่งของที่เจ้าปล้นมาจากคนจนก็ยังอยู่ในบ้านของพวกเจ้า
15 พวกเจ้ามีสิทธิ์อะไรไปบดขยี้คนของเรา และบดบี้หน้าคนจนเหล่านั้น”
พระยาห์เวห์ องค์เจ้าชีวิตผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นพูดไว้ว่าอย่างนั้น
พระยาห์เวห์เตือนพวกผู้หญิงที่เย่อหยิ่งของศิโยน
16 พระยาห์เวห์พูดว่า “พวกผู้หญิงของศิโยนได้กลายเป็นคนเย่อหยิ่งจองหอง
พวกเขาเดินเชิดคอไปมา ชายตายั่วยวน เดินกระตุ้งกระติ้ง และส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งจากสร้อยข้อเท้า”
17 พระยาห์เวห์ก็เลยจะทำให้หัวของพวกผู้หญิงของศิโยนกลายเป็นชันนะตุ
และทำให้หน้าผากของพวกเขาโล้น[a]
18 ในวันนั้นพระยาห์เวห์จะเอาของสวยๆงามๆทั้งหลายที่พวกเขาภูมิใจนักหนาไป อย่างเช่น พวกสร้อยข้อเท้า พวกสร้อยคอที่มีรูปร่างเหมือนดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ 19 พวกต่างหู พวกสร้อยข้อมือ ผ้าคลุมหน้า 20 ผ้าคาดผม สร้อยที่ดึงเท้าให้ชิดกัน ผ้าพันเอว และพวกน้ำหอม และพวกเครื่องรางของขลัง 21 พวกแหวนตราประทับ ห่วงใส่จมูก 22 พวกเสื้อใส่ในงานเทศกาล พวกเสื้อคลุม พวกผ้าคลุมไหล่ พวกกระเป๋าถือ 23 พวกกระจก เสื้อผ้าลินิน ผ้าโพกหัว และผ้าคลุมตัว
24 ในวันนั้นแทนที่จะมีน้ำหอมก็จะมีกลิ่นเหม็น
แทนที่จะมีผ้าคาดเอวสวยๆก็จะมีแค่เชือก
แทนที่จะมีทรงผมสวยงามก็จะหัวล้าน
แทนที่จะมีเสื้อคลุมหรูหราก็จะมีผ้ากระสอบ
และแทนที่จะสวยงาม ก็จะอับอาย
25 ในเวลานั้น พวกผู้ชายของเจ้าก็จะถูกดาบฆ่าฟัน
พวกนักรบผู้แข็งแกร่งของเจ้าก็จะถูกฆ่าตายในสงคราม
26 ตามประตูเมืองต่างๆของศิโยนจะมีแต่เสียงร้องไห้เศร้าโศกเสียใจ
เยรูซาเล็มจะเป็นเหมือนผู้หญิงที่นั่งอยู่กับพื้นสิ้นเนื้อประดาตัว
เพราะถูกปล้นไปหมดแล้ว
4 ในวันนั้นผู้หญิงเจ็ดคนจะยึดผู้ชายคนหนึ่งไว้ และพวกนางจะพูดว่า
“เราจะหาอาหารกินเองและเย็บเสื้อผ้าใส่เอง
ขอเพียงแต่ให้ท่านแต่งงานกับเรา
และให้พวกเราได้ใช้ชื่อของท่าน
เพื่อเราจะได้ไม่อับอายเพราะยังเป็นโสดอยู่”
พระยาห์เวห์ให้ความหวังกับคนของพระองค์
2 ในวันนั้น สิ่งที่พระยาห์เวห์ทำให้งอกขึ้นนั้นจะสวยงามตระการตาและผลผลิตที่เกิดขึ้นจากพื้นดินนั้นก็จะเป็นความภาคภูมิใจและเป็นศักดิ์ศรีของพวกที่ยังเหลือรอดอยู่ในอิสราเอล 3 ในเวลานั้นคนเหล่านั้นที่ยังเหลือรอดอยู่ในศิโยนคือเมืองเยรูซาเล็มนั้น ก็จะถูกเรียกว่า ผู้บริสุทธิ์ คือทุกคนที่พระเจ้าได้กำหนดไว้แล้วให้มีชีวิตอยู่ต่อไปในเยรูซาเล็ม 4 เมื่อพระยาห์เวห์ได้ล้างความสกปรกโสมมของพวกผู้หญิงในศิโยนและได้ชำระล้างเลือดออกจากเยรูซาเล็มด้วยพระวิญญาณแห่งการตัดสินอย่างยุติธรรมและพระวิญญาณแห่งการเผาไหม้ให้บริสุทธิ์ 5 แล้วเมื่อนั้น พระยาห์เวห์จะสร้างเมฆก้อนหนึ่งขึ้นมาในตอนกลางวันและควันและเปลวเพลิงในตอนกลางคืน[b] อยู่เหนือภูเขาศิโยนและอยู่เหนือที่ประชุมทั้งหลายของเมืองนั้นจะมีกระโจมอยู่เหนือสง่าราศีทั้งหมดนั้น 6 กระโจมนั้นจะใช้เป็นที่กำบังแสงแดดในตอนกลางวันและเป็นที่หลบภัยและเป็นที่กำบังตอนที่มีพายุฝน
ความไว้วางใจ
11 ดังนั้น ความไว้วางใจรับประกันว่าเราจะได้รับสิ่งที่เราหวังไว้ และความไว้วางใจเป็นหลักฐานที่พิสูจน์ว่าสิ่งที่เรามองไม่เห็นนั้นมีจริง 2 เป็นเพราะคนในสมัยก่อนไว้วางใจนี่เอง พระเจ้าถึงได้ยกย่องเขา
3 เป็นเพราะเราไว้วางใจนี่เอง เราถึงได้เข้าใจว่า พระเจ้าสร้างจักรวาลนี้ขึ้นมาโดยคำสั่งของพระองค์ ดังนั้นสิ่งที่มองเห็นจึงเกิดมาจากสิ่งที่มองไม่เห็น
4 เป็นเพราะอาเบลไว้วางใจนี่เอง เขาถึงได้นำเครื่องบูชาที่ดีกว่าของคาอินมาถวายพระเจ้า และเพราะเขาไว้วางใจแบบนั้น พระเจ้าถึงได้ยกย่องเขาว่าเป็นคนที่ทำตามใจพระองค์ และยอมรับของถวายของเขา เป็นเพราะเขาไว้วางใจนี่เอง ถึงแม้เขาจะตายไปแล้ว เขาก็ยังพูดอยู่
5 เป็นเพราะเอโนคไว้วางใจนี่เอง พระเจ้าถึงได้รับเขาขึ้นไปอยู่กับพระองค์ ดังนั้น เอโนคจึงไม่เคยตาย และไม่มีใครหาเขาเจออีกเลย เพราะพระเจ้าได้รับเขาไปแล้ว แต่ก่อนที่พระองค์จะรับเขาขึ้นไปนั้น 6 เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นคนหนึ่งที่พระเจ้าพอใจ แต่ถ้าไม่มีความไว้วางใจแล้ว ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้พระเจ้าพอใจ เพราะคนที่มาเข้าเฝ้าพระเจ้าจะต้องเชื่อว่าพระองค์มีจริง และต้องเชื่อว่าพระองค์จะให้รางวัลกับทุกคนที่แสวงหาพระองค์
7 เป็นเพราะโนอาห์ไว้วางใจนี่เอง เมื่อพระเจ้าเตือนเขาให้รู้ถึงเหตุการณ์ที่ยังมองไม่เห็น เขาก็เคารพยำเกรงพระเจ้า และได้ต่อเรือใหญ่เพื่อช่วยชีวิตคนในครอบครัวของเขา เพราะเขามีความไว้วางใจนี่เอง เขาถึงเป็นผู้ที่ทำให้เห็นว่าโลกนี้ผิด และพระเจ้าได้ยอมรับเขาแบบที่พระองค์ได้ยอมรับคนที่ไว้วางใจพระองค์
8 เป็นเพราะอับราฮัมไว้วางใจนี่เอง เมื่อพระเจ้าเรียกเขาออกเดินทางไปที่แผ่นดินที่เขาจะได้รับเป็นมรดก เขาก็เชื่อฟังและออกเดินทางไป แม้ไม่รู้ว่ากำลังจะไปไหน 9 เป็นเพราะอับราฮัมไว้วางใจนี่เอง เขาถึงได้มาอยู่อย่างคนต่างด้าวในแผ่นดินที่พระเจ้าสัญญาไว้ เขาได้พักอยู่ในเต็นท์เหมือนกับอิสอัคและยาโคบลูกหลานของเขา ผู้ที่จะได้รับมรดกร่วมกันกับอับราฮัมตามสัญญาอันเดียวกันที่พระเจ้าให้นั้น 10 ที่อับราฮัมทำอย่างนี้ ก็เพราะเขากำลังรอคอยเมือง[a]ที่มีรากฐานมั่นคงถาวร เป็นเมืองที่พระเจ้าออกแบบและสร้างเอง
11 เป็นเพราะอับราฮัมไว้วางใจนี่เอง เขาถึงเชื่อว่าพระเจ้าซื่อสัตย์และจะทำตามสัญญา พระเจ้าถึงให้อับราฮัมมีลูกได้ ถึงแม้ว่าตัวเขาเองจะแก่เกินกว่าที่จะมีลูกได้แล้ว และซาราห์เองก็เป็นหมัน 12 ด้วยเหตุนี้ จากชายคนเดียวกันนี้ที่มีสภาพเหมือนกับคนที่ตายไปแล้ว ยังสามารถที่จะมีลูกหลานเกิดขึ้นมากมายเท่ากับดวงดาวในท้องฟ้า และมากมายเท่ากับเม็ดทรายบนฝั่งทะเลที่นับไม่ถ้วน
13 คนพวกนี้ทั้งหมดตายไปในขณะที่ยังไว้วางใจอยู่ ถึงแม้พวกเขายังไม่ได้รับสิ่งที่พระเจ้าได้สัญญาไว้ เพียงแค่ได้เห็นแต่ไกลและยินดีต้อนรับสิ่งที่พระเจ้าได้สัญญานั้นไว้ พวกเขายังยอมรับอีกว่าตัวพวกเขาเองเป็นแค่คนแปลกหน้าและคนต่างด้าวในโลกนี้ 14 ที่เขาพูดอย่างนี้แสดงว่าพวกเขากำลังแสวงหาบ้านเมืองที่จะเป็นของเขาเอง 15 ถ้าพวกเขาคิดถึงบ้านเมืองที่พวกเขาจากมา เขาก็ยังมีโอกาสที่จะกลับไปได้ 16 แต่พวกเขากำลังใฝ่ฝันถึงบ้านเมืองที่ดีกว่านั้น คือเมืองแห่งสวรรค์ พระเจ้าถึงไม่อับอายที่ได้ชื่อว่าเป็นพระเจ้าของพวกเขา เพราะพระองค์ได้เตรียมบ้านเมืองไว้สำหรับพวกเขาแล้ว
17-18 เป็นเพราะอับราฮัมไว้วางใจนี่เอง เมื่อพระเจ้ามาลองใจเขา เขาก็ได้ถวายอิสอัคลูกชายเพียงคนเดียวเป็นเครื่องบูชา เรื่องนี้เกิดขึ้นหลังจากที่พระเจ้าได้สัญญากับอับราฮัมว่า “ลูกหลานของเจ้าจะสืบเชื้อสายมาจากอิสอัค”[b] อับราฮัมรับคำสัญญาแล้ว แต่ก็ยังพร้อมที่จะถวายลูกชายเพียงคนเดียว 19 เพราะอับราฮัมถือว่าพระเจ้าสามารถทำให้คนตายฟื้นขึ้นมาได้ อาจจะพูดได้ว่า เขาก็ได้รับอิสอัคกลับคืนมาจากความตาย
20 เป็นเพราะอิสอัคไว้วางใจนี่เอง เขาถึงได้ให้พรกับทั้งยาโคบและเอซาว แก่สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
21 เป็นเพราะยาโคบไว้วางใจนี่เอง เมื่อเขากำลังจะตาย เขาถึงได้ให้พรกับลูกทั้งสองคนของโยเซฟ และได้นมัสการพระเจ้าขณะที่พิงอยู่ที่ปลายไม้เท้าของเขา
22 เป็นเพราะโยเซฟไว้วางใจนี่เอง ในบั้นปลายชีวิตเขาได้พูดถึงเรื่องที่ประชาชนอิสราเอลจะอพยพออกจากอียิปต์ และสั่งเสียให้เอากระดูกของเขาไปด้วย
23 เป็นเพราะพ่อแม่ของโมเสสไว้วางใจนี่เอง เมื่อโมเสสเกิดมา พวกเขาถึงได้ซ่อนตัวเด็กไว้ถึงสามเดือน เพราะพ่อแม่เห็นว่าเขาเป็นเด็กที่มีหน้าตาโดดเด่น และพวกเขากล้าขัดคำสั่งของกษัตริย์
24 เป็นเพราะโมเสสไว้วางใจนี่เอง เมื่อเขาโตขึ้น เขาถึงได้ยอมสละฐานะลูกของลูกสาวฟาโรห์ 25 เขาเลือกที่จะถูกกดขี่ข่มเหงร่วมกับประชาชนของพระเจ้า แทนที่จะมีความสนุกสนานชั่วคราวกับความบาป 26 เขาถือว่าความอับอายขายหน้าเพื่อพระคริสต์ มีค่ามากกว่าทรัพย์สมบัติของประเทศอียิปต์ เพราะเขามองไปข้างหน้าถึงรางวัลที่จะได้รับ 27 เป็นเพราะโมเสสไว้วางใจนี่เอง เขาถึงได้ออกจากประเทศอียิปต์โดยไม่เกรงกลัวความโกรธของฟาโรห์ เขามีใจมานะอดทนราวกับว่าเขาได้เห็นพระเจ้าผู้ที่ไม่สามารถมองเห็นได้ 28 เป็นเพราะโมเสสไว้วางใจนี่เอง เขาถึงได้จัดตั้งเทศกาลวันปลดปล่อย และสั่งให้ประพรมเลือดที่ประตู เพื่อไม่ให้ทูตแห่งความตาย[c]มาแตะต้องลูกชายหัวปีของประชาชนอิสราเอล
29 เป็นเพราะคนอิสราเอลไว้วางใจนี่เอง พวกเขาถึงได้เดินข้ามทะเลแดงเหมือนกับเดินอยู่บนพื้นดินแห้ง แต่เมื่อพวกอียิปต์พยายามที่จะทำอย่างนั้นบ้าง พวกเขาก็จมน้ำตายหมด
30 เป็นเพราะคนอิสราเอลไว้วางใจนี่เอง หลังจากที่พวกเขาเดินรอบกำแพงเมืองเยริโคเป็นเวลาเจ็ดวัน กำแพงนั้นก็พังลงมา
31 เป็นเพราะราหับหญิงโสเภณีไว้วางใจนี่เอง เธอถึงไม่ถูกฆ่าตายไปพร้อมๆกับคนที่ไม่เชื่อฟังพวกนั้น เพราะเธอได้ต้อนรับและช่วยคนสอดแนมอย่างเป็นมิตร
32 จะให้พูดอะไรมากกว่านี้อีกหรือ มีเวลาไม่พอที่จะเล่าถึงเรื่องกิเดโอน บาราค แซมสัน เยฟธาห์ ดาวิด ซามูเอล และพวกผู้พูดแทนพระเจ้า 33 เป็นเพราะพวกเขาไว้วางใจนี่เอง พวกเขาเหล่านี้ถึงได้รับชัยชนะเหนือดินแดนต่างๆและได้ทำสิ่งที่ถูกต้องยุติธรรม และได้รับสิ่งต่างๆที่พระเจ้าสัญญาไว้ และได้ปิดปากสิงโต 34 พวกเขาได้ดับไฟที่โหมไหม้อย่างรุนแรง และรอดตายจากคมดาบ เขาได้รับกำลังจากพระเจ้าเมื่ออ่อนแอ และมีกำลังในสนามรบ และขับไล่กองทัพต่างชาติให้แตกกระเจิดกระเจิงไป 35 พวกผู้หญิงก็ได้รับคนที่เขารักนั้นกลับฟื้นขึ้นจากความตาย บางคนก็ยอมถูกทรมานจนตาย ไม่ยอมออกมาจากคุก เพื่อที่จะได้ฟื้นขึ้นจากความตายอย่างถาวรไม่ใช่แค่ชั่วคราว 36 บางคนต้องทนถูกเยาะเย้ยและถูกเฆี่ยนด้วยแส้ ในขณะที่บางคนถูกล่ามโซ่และถูกขังคุก 37 บางคนโดนหินขว้าง บางคนถูกเลื่อยออกเป็นสองท่อน บางคนถูกดาบฟัน บางคนยากจนขัดสน บางคนร่อนเร่พเนจรนุ่งหนังแพะหนังแกะ ถูกกดขี่ข่มเหง และถูกทารุณอย่างไม่ยุติธรรม 38 โลกนี้ไม่คู่ควรกับคนพวกนี้เลย พวกเขาร่อนเร่ไปตามที่เปล่าเปลี่ยวและภูเขา อยู่ตามถ้ำตามโพรงในพื้นดิน
39 พวกเขาทุกคนได้รับการยกย่อง เพราะพวกเขาได้ไว้วางใจ แต่พวกเขาก็ยังไม่ได้รับสิ่งที่พระเจ้าได้สัญญาไว้ 40 พระเจ้าได้วางแผนที่จะให้สิ่งที่ดียิ่งกว่านั้นสำหรับเรา เพราะพวกเขาจะสมบูรณ์แบบได้ก็ต่อเมื่อมีเรารวมอยู่ด้วยเท่านั้น
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International