M’Cheyne Bible Reading Plan
พระเจ้าให้สัญญากับดาวิด
(2 ซมอ. 7:1-17)
17 เมื่อดาวิดได้เข้ามาอยู่ในบ้านของเขาแล้ว เขาก็ได้พูดกับนาธันผู้พูดแทนพระเจ้าว่า “ดูสิ เราได้ใช้ชีวิตอยู่ในบ้านที่สร้างจากไม้สนซีดาร์ แต่หีบแห่งข้อตกลงของพระยาห์เวห์ยังอยู่ในเต็นท์เลย”
2 นาธันจึงตอบดาวิดไปว่า “อยากทำอะไรก็ทำไปเถิด เพราะพระเจ้าสถิตอยู่กับท่าน”
3 แต่ในคืนนั้นเอง คำพูดของพระเจ้าก็มาถึงนาธันว่า
4 “ให้ไปบอกกับดาวิดผู้รับใช้ของเราว่า นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์พูด ‘ไม่ใช่เจ้าหรอกที่จะเป็นคนสร้างบ้านให้เราอยู่ 5 นับตั้งแต่วันที่เราได้นำชนชาติอิสราเอลออกจากอียิปต์มาจนถึงทุกวันนี้ เรายังไม่เคยอาศัยอยู่ในบ้านมาก่อน แต่เราได้ย้ายจากเต็นท์นี้ไปเต็นท์โน้น ย้ายจากที่พักนี้ไปที่พักโน้น 6 ไม่ว่าเราได้ย้ายไปไหนก็ตามทั่วทั้งอิสราเอล เราเคยพูดกับพวกผู้นำของอิสราเอลที่เราได้สั่งให้คอยดูแลประชาชนของเราหรือเปล่าว่า ทำไมพวกเจ้าถึงไม่ได้สร้างบ้านที่ทำจากไม้สนซีดาร์ให้กับเรา’”
7 “เจ้าจะต้องไปพูดกับดาวิดผู้รับใช้ของเราว่า ‘นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์ ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นพูด “เราได้นำเจ้ามาจากทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ จากการไล่ต้อนฝูงแพะแกะ มาเป็นผู้ปกครองเหนือประชาชนอิสราเอลของเรา 8 และเราได้อยู่กับเจ้าในทุกๆที่ที่เจ้าไป เราได้กำจัดศัตรูทั้งหมดของเจ้าออกไปต่อหน้าเจ้า เราจะทำให้เจ้าเป็นคนที่มีชื่อเสียงโด่งดังคนหนึ่งบนโลกนี้ 9 และเราจะหาสถานที่ให้กับประชาชนชาวอิสราเอลของเรา เราจะปลูกฝังพวกเขาไว้ที่นั่น เพื่อพวกเขาจะได้อาศัยอยู่ที่นั่นและไม่ถูกรบกวนอีกต่อไป พวกคนชั่วที่เคยกดขี่พวกเขาก็จะไม่สามารถทำกับพวกเขาอย่างที่เคยทำมาก่อนได้อีก 10 สิ่งเลวร้ายเหล่านั้นเกิดขึ้น แต่เราได้แต่งตั้งพวกผู้นำขึ้นเหนือประชาชนชาวอิสราเอลของเรา และเราจะปราบปรามพวกศัตรูทั้งหมดของเจ้า แล้วเราขอบอกเจ้าว่า เป็นเราเองยาห์เวห์ที่จะสร้างบ้านให้กับเจ้า[a] 11 เมื่อวันเวลาของเจ้าครบแล้ว และเจ้าได้ไปอยู่กับบรรพบุรุษของเจ้า แล้วเราจะทำให้เลือดเนื้อเชื้อไขของเจ้า คือลูกชายคนหนึ่งของเจ้าได้ครองบัลลังก์สืบต่อจากเจ้า และเราก็จะตั้งให้อาณาจักรของเขามั่นคง 12 เขาจะเป็นคนที่สร้างบ้านให้กับเรา และเราก็จะตั้งให้บัลลังก์ของเขามั่นคงตลอดไป 13 เราจะเป็นพ่อของเขาและเขาก็จะเป็นลูกชายของเรา เราจะไม่เอาความรักมั่นคงของเราไปจากตัวเขาอย่างที่เราเคยเอาไปจากซาอูลผู้ที่เคยอยู่ก่อนหน้าเจ้า 14 แต่เราจะแต่งตั้งเขาในบ้านและอาณาจักรของเราตลอดไป แล้วบัลลังก์ของเขาก็จะมั่นคงตลอดไป”’”
15 นาธันบอกดาวิดเรื่องนิมิตและทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าพูด
คำอธิษฐานของดาวิด
(2 ซมอ. 7:18-29)
16 แล้วกษัตริย์ดาวิดก็ได้เข้าไปนั่งอยู่ในเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ต่อหน้าพระยาห์เวห์ และพูดว่า
“ข้าแต่พระยาห์เวห์ผู้เป็นพระเจ้า ข้าพเจ้าเป็นใครและครอบครัวของข้าพเจ้าเป็นใครกันหรือ พระองค์ถึงได้ทำสิ่งต่างๆให้กับข้าพเจ้ามากมายขนาดนี้ 17 แต่ดูเหมือนว่ามันยังน้อยไปในสายตาของพระองค์ ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ยังได้สัญญาเกี่ยวกับครอบครัวของผู้รับใช้ของพระองค์ที่ยังมาไม่ถึง และพระองค์ยังทำกับข้าพเจ้าราวกับเป็นคนสำคัญมาก 18 มีอะไรอีกไหมที่ข้าพเจ้าจะทำให้กับพระองค์ได้ ให้สมกับที่พระองค์ให้เกียรติกับข้าพเจ้าผู้รับใช้พระองค์ พระองค์เองก็รู้จักผู้รับใช้พระองค์ดี 19 ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระองค์ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ทั้งหมดนี้ไป พระองค์ทำเพื่อเห็นแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ พระองค์ทำตามที่พระองค์อยากทำ สิ่งที่ยิ่งใหญ่เหล่านี้พระองค์ทำให้คนรู้กันไปทั่ว 20 ข้าแต่พระยาห์เวห์ ไม่มีใครเหมือนกับพระองค์อีกแล้ว และไม่มีพระเจ้าองค์ไหนอีกนอกจากพระองค์เท่านั้น ทุกอย่างที่เราได้ยินมาทำให้เราเชื่อว่าเรื่องนี้จริง 21 และจะมีใครเป็นเหมือนอิสราเอลชนชาติของพระองค์เล่า เป็นชาติเดียวในโลกที่พระเจ้าได้ไถ่ออกมาจากการเป็นทาส เพื่อจะได้มาเป็นประชาชนของพระองค์เอง พระองค์ได้สร้างชื่อเสียงให้กับพระองค์เองด้วยการกระทำอันยิ่งใหญ่และน่าเกรงขามเหล่านี้ โดยการขับไล่ชนชาติต่างๆออกไป เพื่อเปิดทางให้กับประชาชนของพระองค์ ผู้ที่พระองค์ได้ไถ่ออกมาจากการเป็นทาสในประเทศอียิปต์ 22 ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระองค์ได้ทำให้ประชาชนชาวอิสราเอลของพระองค์ เป็นชนชาติของพระองค์ตลอดไป และตัวพระองค์เองก็ได้มาเป็นพระเจ้าของพวกเขา
23 ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอให้คำสัญญาที่พระองค์ได้พูดไว้เกี่ยวกับผู้รับใช้ของพระองค์ และครอบครัวของเขานั้นอยู่อย่างมั่นคงตลอดไปเถิด และขอให้พระองค์ทำตามที่พระองค์ได้สัญญาไว้ 24 เพื่อมันจะได้เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ และชื่อเสียงของพระองค์จะยิ่งใหญ่ตลอดไป เมื่อคนพูดกันว่า ‘พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้น พระเจ้าของชาวอิสราเอลนั้น เป็นพระเจ้าของชนชาติอิสราเอลจริงๆ’ และเพื่อครอบครัวของข้าพเจ้าจะได้ตั้งมั่นคงอยู่ต่อหน้าพระองค์
25 เพราะพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของข้าพเจ้าได้เปิดเผยกับผู้รับใช้ของพระองค์แล้วว่า พระองค์จะสร้างบ้านให้เขา ผู้รับใช้ของพระองค์จึงกล้าที่จะมาอธิษฐานต่อหน้าของพระองค์ 26 ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระองค์คือพระเจ้า และตอนนี้ พระองค์ได้สัญญาสิ่งดีสิ่งนี้กับผู้รับใช้ของพระองค์ 27 ตอนนี้ พระองค์เห็นดีด้วยที่จะอวยพรให้กับครอบครัวของผู้รับใช้พระองค์ ซึ่งมันจะคงอยู่ตลอดไปต่อหน้าพระองค์ ข้าแต่พระยาห์เวห์ เพราะพระองค์อวยพรใคร คนนั้นก็จะได้รับพระพรตลอดไป”
ให้ถวายตัวต่อพระเจ้า
4 รู้หรือเปล่าว่า ที่พวกคุณทะเลาะวิวาทกันนั้น มันเกิดมาจากอะไร ก็เกิดจากกิเลสตัณหาที่ต่อสู้กันอยู่ในจิตใจของพวกคุณไง 2 คุณอยากได้ พอไม่ได้ก็เลยฆ่ากัน คุณอิจฉากัน ก็เลยทะเลาะวิวาทกัน ที่คุณไม่ได้ก็เพราะไม่ได้ขอจากพระเจ้า 3 แต่ที่คุณขอแล้วยังไม่ได้ ก็เพราะขอผิดๆ คิดไว้ว่าจะเอาไปสนองตัณหาของตัวเอง 4 พวกไม่ซื่อทั้งหลาย คุณไม่รู้หรือว่า การเป็นมิตรกับโลก[a] ก็เท่ากับเกลียดชังพระเจ้า ดังนั้นคนที่อยากเป็นมิตรกับโลก ก็เท่ากับทำตัวเป็นศัตรูกับพระเจ้า 5 คุณคิดว่าพระคัมภีร์เขียนเรื่อยเปื่อยไปหรืออย่างไร คุณคิดว่าวิญญาณที่พระเจ้าให้อาศัยอยู่ในพวกเรานั้น ขี้อิจฉาริษยาอย่างรุนแรงแบบนั้นหรือ ไม่ควรเป็นอย่างนั้นเลย 6 แต่พระเจ้าได้ให้ความเมตตามากยิ่งขึ้นไปอีก พระคัมภีร์ถึงได้พูดไว้ว่า “พระเจ้าต่อต้านคนหยิ่งยโส แต่พระองค์เมตตาปรานีกับคนที่อ่อนน้อมถ่อมตน”[b]
7 ดังนั้น ให้อุทิศตัวต่อพระเจ้าและต่อสู้กับมาร แล้วมันจะหนีไปจากคุณ 8 เข้ามาอยู่ใกล้ชิดกับพระเจ้า แล้วพระองค์จะเข้ามาอยู่ใกล้ชิดกับคุณ พวกคนบาปทั้งหลาย ล้างมือให้สะอาด และคนโลเลทั้งหลาย ทำใจให้บริสุทธิ์ 9 ให้เศร้าโศกเสียใจ และร้องไห้ ให้เปลี่ยนเสียงหัวเราะเป็นเสียงคร่ำครวญ ให้เปลี่ยนความสุขสนุกสนานเป็นความเศร้าหมอง 10 ให้ถ่อมตัวลงต่อหน้าองค์เจ้าชีวิต แล้วพระองค์จะยกคุณขึ้น
คุณไม่ใช่ผู้พิพากษา
11 พี่น้องครับ อย่าใส่ร้ายป้ายสีกันเลย เพราะคนที่ใส่ร้ายป้ายสีพี่น้อง หรือตัดสินพี่น้องของตน ก็เท่ากับว่ากำลังใส่ร้ายป้ายสีกฎที่สั่งให้เรารักกัน และตัดสินกฎด้วย และถ้าคุณตัดสินกฎ ก็แสดงว่าคุณไม่ได้เป็นคนทำตามกฎ แต่ทำตัวเป็นผู้ตัดสินซะเอง 12 ผู้ตั้งกฎ และผู้ตัดสิน มีเพียงผู้เดียวเท่านั้น คือพระเจ้า พระองค์เป็นผู้มีอำนาจที่จะช่วยให้รอดหรือทำลาย แล้วคุณเป็นใครถึงเที่ยวไปตัดสินคนโน้นคนนี้
ให้พระเจ้าเป็นผู้นำชีวิต
13 ฟังไว้ให้ดีๆนะ คนที่ชอบพูดว่า “วันนี้หรือพรุ่งนี้ เราจะไปเมืองนั้นเมืองนี้ อยู่ที่นั่นสักปี ค้าขายเอากำไร” 14 ตัวคุณเองก็ยังไม่รู้เลยว่า พรุ่งนี้ชีวิตของคุณจะเป็นอย่างไรบ้าง เพราะคุณเป็นเพียงแค่หมอก ที่เกิดขึ้นประเดี๋ยวเดียว แล้วก็จางหายไป 15 คุณควรจะพูดว่า “ถ้าเป็นความต้องการขององค์เจ้าชีวิต เราก็จะมีชีวิตอยู่และทำสิ่งนั้นสิ่งนี้” 16 แต่ตอนนี้ คุณกำลังคุยโม้โอ้อวด ถึงความเก่งกาจของคุณ ซึ่งเป็นสิ่งที่ชั่วร้ายนัก 17 ดังนั้น สำหรับคนที่รู้ตัวว่าอะไรเป็นสิ่งที่ดีที่ควรจะทำแต่ไม่ยอมทำ ก็ถือว่าคนนั้นกำลังทำบาป
พระยาห์เวห์เรียกแต่โยนาห์วิ่งหนี
1 พระยาห์เวห์พูดกับโยนาห์[a] ซึ่งเป็นลูกชายของอามิททัยว่า 2 “ลุกขึ้น ไปยังเมืองนีนะเวห์[b] ที่ยิ่งใหญ่นั้น ไปประณามมัน เพราะเรารู้ถึงสิ่งชั่วร้ายที่คนของมันกำลังทำอยู่”
3 แต่โยนาห์ลุกขึ้นหนีไปทิศตรงข้าม คือหนีไปเมืองทารชิช เพื่อไปให้พ้นหน้าพระยาห์เวห์ โยนาห์มุ่งหน้าลงไปทางเมืองยัฟฟา[c] และเขาก็เจอกับเรือสินค้าลำหนึ่ง ที่กำลังจะไปเมืองทารชิช โยนาห์จึงจ่ายค่าเดินทาง แล้วลงไปในเรือ เพื่อเดินทางไปเมืองทารชิชกับพวกเขา เพื่อไปให้ไกลจากหน้าของพระยาห์เวห์
พระยาห์เวห์ส่งพายุใหญ่มา
4 แต่พระยาห์เวห์โยนลมแรงลงไปบนทะเล จึงเกิดพายุใหญ่โหมกระหน่ำขึ้นในทะเล และเรือเกือบจะแตกเป็นชิ้นๆ 5 พวกลูกเรือตกใจกลัวมาก ต่างคนต่างก็ร้องขอความช่วยเหลือจากเทพเจ้าของตน พวกเขาโยนสินค้าทิ้งทะเล เพื่อทำให้เรือเบาขึ้น ก่อนหน้านั้นโยนาห์ได้ลงไปอยู่ที่ท้องเรือและล้มตัวลงนอนหลับสนิท 6 หัวหน้าลูกเรือเข้าไปหาโยนาห์และพูดกับเขาว่า “ทำไมเจ้ามานอนอยู่อย่างนี้ ลุกขึ้น ร้องให้เทพเจ้าของเจ้าช่วยสิ บางทีเทพเจ้าองค์นั้นอาจจะสงสารเรา พวกเราจะได้ไม่ต้องตาย”
7 พวกลูกเรือก็พูดกันว่า “พวกเรามาจับสลากกันเถอะ ดูซิว่า เป็นความผิดของใคร ที่ทำให้เกิดเรื่องเลวร้ายนี้” พวกเขาจึงจับสลากกัน และสลากนั้นก็ชี้ไปที่โยนาห์
8 พวกเขาก็เลยพูดกับโยนาห์ว่า ช่วยบอกหน่อยสิว่าเป็นความผิดของใคร ที่ทำให้เกิดเรื่องเลวร้ายนี้ขึ้น เจ้ามาทำอะไรบนเรือลำนี้ เจ้ามาจากไหน มาจากประเทศอะไร เจ้าเป็นคนชาติไหน
9 โยนาห์ตอบพวกเขาว่า “ผมเป็นคนฮีบรู และผมก็นมัสการพระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ พระองค์เป็นพระเจ้าที่สร้างทั้งทะเลและแผ่นดิน”
10 แล้วโยนาห์เล่าให้พวกเขาฟังว่า เขากำลังหนีพระยาห์เวห์มา พวกเขาก็พากันหวาดกลัวมาก จึงพูดกับโยนาห์ว่า “เจ้าทำอะไรลงไปนี่”
11 พวกเขาพูดกับโยนาห์ว่า “พวกเราควรจะทำอะไรกับเจ้าหรือ ทะเลถึงจะสงบลงได้” ในเวลานั้นพายุในทะเลก็ยิ่งโหมกระหน่ำแรงขึ้นๆ
12 โยนาห์ตอบไปว่า “โยนผมลงไปในทะเลเลย แล้วทะเลก็จะสงบลง เพราะผมเป็นคนผิดเอง ที่ทำให้พายุร้ายแรงนี้เกิดขึ้นกับพวกคุณ” 13 แต่พวกลูกเรือก็ยังคงพยายามพายเรือกลับเข้าฝั่ง แต่พวกเขาก็ทำไม่ได้ เพราะน้ำทะเลยิ่งโหมกระหน่ำซัดใส่พวกเขา
14 พวกเขาร้องอ้อนวอนต่อพระยาห์เวห์ และพูดว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ อย่าให้เราต้องตาย เพราะทำให้ชายคนนี้ต้องตาย อย่าได้ลงโทษเราเหมือนกับว่าเราเป็นฆาตกรเพราะพระองค์เป็นผู้ทำให้เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นตามที่พระองค์ต้องการ”
15 แล้วพวกเขาก็เอาโยนาห์โยนลงไปในทะเล แล้วทะเลก็สงบนิ่งทันที 16 พวกเขาพากันเกรงกลัวพระยาห์เวห์ยิ่งนัก พวกเขาจึงฆ่าสัตว์เป็นเครื่องบูชาให้กับพระยาห์เวห์ และพวกเขาก็ได้สาบานกับพระองค์
17 แล้วพระยาห์เวห์สั่งให้ปลาใหญ่มากตัวหนึ่งมากลืนโยนาห์ โยนาห์อยู่ในท้องปลาถึงสามวันสามคืน
ความคิดขัดแย้งเรื่องวันหยุดทางศาสนา
(มธ. 12:1-8; มก. 2:23-28)
6 ในวันหยุดทางศาสนาวันหนึ่ง ขณะที่พระเยซูกำลังเดินผ่านทุ่งข้าวสาลี ลูกศิษย์ของพระองค์ได้เด็ดยอดรวงข้าวสาลีมาขยี้เปลือกออกแล้วกินกัน 2 พวกฟาริสีบางคนจึงพูดว่า “ทำไมพวกคุณถึงทำผิดกฎของวันหยุดทางศาสนา”
3 พระเยซูตอบว่า “พวกคุณไม่เคยอ่านหรือว่าดาวิดทำอะไรตอนที่เขากับลูกน้องของเขาหิวโหย 4 เขาเข้าไปในบ้านของพระเจ้า หยิบขนมปังศักดิ์สิทธ์มากินซึ่งตามกฎแล้วมีแต่พวกนักบวชเท่านั้นที่กินได้ และยังส่งให้กับลูกน้องกินด้วย” 5 พระเยซูบอกพวกฟาริสีว่า “บุตรมนุษย์เป็นนายเหนือวันหยุดทางศาสนา”
พระเยซูรักษาชายมือลีบในวันหยุดทางศาสนา
(มธ. 12:9-14; มก. 3:1-6)
6 ครั้งหนึ่งในวันหยุดทางศาสนา พระเยซูสั่งสอนอยู่ในที่ประชุมชาวยิว มีชายคนหนึ่งอยู่ที่นั่น มือขวาของเขาลีบ 7 พวกครูสอนกฎปฏิบัติและพวกฟาริสีจับตาดูว่า พระเยซูจะรักษาใครหรือเปล่า จะได้มีเรื่องกล่าวหาพระองค์ 8 แต่พระเยซูรู้ว่าพวกเขาคิดอะไรอยู่ จึงพูดกับชายมือลีบว่า “มายืนข้างหน้านี้สิ” เขาลุกขึ้นทำตาม 9 พระเยซูจึงพูดกับพวกเขาว่า “ขอถามหน่อย ตามกฎแล้วในวันหยุดทางศาสนาควรจะทำดีหรือทำชั่ว ควรจะช่วยชีวิตหรือทำลายชีวิต” 10 พระเยซูมองไปรอบๆพวกเขา แล้วพูดกับชายมือลีบว่า “ยืดมือออกสิ” เขาก็ทำตาม แล้วมือของเขาก็หายเป็นปกติ 11 พวกครูสอนกฎปฏิบัติกับพวกฟาริสีโกรธแค้นมาก ก็เลยปรึกษากันว่าจะจัดการกับพระเยซูอย่างไรดี
พระเยซูเลือกศิษย์เอกสิบสองคน
(มธ. 10:1-4; มก. 3:13-19)
12 หลังจากนั้นไม่นาน พระเยซูขึ้นไปบนภูเขาเพื่ออธิษฐาน และพระองค์อธิษฐานถึงพระเจ้าตลอดทั้งคืน 13 พอถึงตอนเช้าพระองค์เรียกพวกศิษย์เข้ามาหา และเลือกสิบสองคนออกมาเพื่อตั้งให้เป็นศิษย์เอก
14 มีซีโมน ที่พระองค์เรียกว่า เปโตร
อันดรูว์น้องชายเปโตร
ยากอบ
ยอห์น
ฟีลิป
บารโธโลมิว
15 มัทธิว
โธมัส
ยากอบลูกชายของอัลเฟอัส
ซีโมนผู้มีใจจดจ่อกับพระเจ้า
16 ยูดาสลูกของยากอบ
และยูดาสอิสคาริโอท ซึ่งเป็นคนที่ต่อมาภายหลังได้หักหลังพระเยซู
พระเยซูสั่งสอนและรักษาโรค
(มธ. 4:23-25; 5:1-12)
17 พระเยซูลงมาจากภูเขากับพวกศิษย์เอกเหล่านั้น เมื่อมาถึงที่ราบแห่งหนึ่ง ก็ได้พบกับลูกศิษย์อีกมากมายที่มาจากทั่วแคว้นยูเดีย เมืองเยรูซาเล็ม และจากชายฝั่งทะเลในเขตเมืองไทระและเมืองไซดอน 18 พวกเขาเดินทางมาเพื่อฟังพระองค์สอนและเพื่อให้พระองค์รักษาโรคให้ คนที่ทนทุกข์เพราะถูกผีชั่วเข้าสิงก็ได้รับการรักษาด้วย 19 ทุกคนพยายามจะแตะต้องตัวพระองค์ เพราะฤทธิ์ที่แผ่ออกมาจากพระองค์นั้นรักษาพวกเขาให้หายทุกคน
เกียรติและความอับอาย
(มธ. 5:1-12)
20 พระเยซูมองดูพวกลูกศิษย์แล้วก็พูดว่า
“พวกคุณคนจนนี่ ถือว่าเป็นเกียรติจริงๆ
เพราะว่าอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของคุณ
21 พวกคุณที่อดอยากหิวโหยตอนนี้ ถือว่าเป็นเกียรติจริงๆ
เพราะพระเจ้าจะทำให้คุณอิ่มหนำสำราญ
พวกคุณที่ร้องไห้เสียใจ ถือว่าเป็นเกียรติจริงๆ
เพราะพระเจ้าจะทำให้คุณหัวเราะอย่างมีความสุข
22 ให้ถือว่าเป็นเกียรติจริงๆเมื่อคนเกลียดคุณ ขับไล่คุณ ดูถูกคุณและกล่าวหาว่าคุณเป็นคนเลว เพราะคุณติดตามบุตรมนุษย์
23 ในวันนั้นขอให้ดีใจและกระโดดโลดเต้นด้วยความสุข เพราะพระเจ้าเก็บรางวัลอันยิ่งใหญ่ไว้ให้กับพวกคุณแล้วที่สวรรค์ อย่าลืมว่า แต่ก่อนบรรพบุรุษของพวกเขาก็ทำแบบนี้กับพวกผู้พูดแทนพระเจ้าเหมือนกัน
24 น่าอับอายจริงๆพวกคุณที่ร่ำรวย
เพราะพวกคุณได้รับความสะดวกสบายจนครบแล้ว
25 น่าอับอายจริงๆพวกคุณที่อิ่มหนำสำราญตอนนี้
เพราะคุณจะอดอยาก
น่าอับอายจริงๆพวกคุณที่กำลังหัวเราะในตอนนี้
เพราะคุณจะต้องเป็นทุกข์และร้องไห้
26 น่าอับอายจริงๆพวกคุณที่ทุกคนยกย่องเยินยอ
เพราะบรรพบุรุษของพวกเขาก็เคยยกย่องเยินยอพวกผู้พูดแทนพระเจ้าจอมปลอม[a] อย่างนั้นมาแล้วเหมือนกัน
รักศัตรูของคุณ
(มธ. 5:38-48; 7:12)
27 แต่เราจะบอกพวกคุณที่กำลังฟังอยู่ว่า ให้รักศัตรูและทำดีกับคนที่เกลียดคุณ 28 อวยพรให้กับคนที่สาปแช่งคุณ อธิษฐานให้กับคนที่โหดร้ายกับคุณ 29 ถ้ามีใครตบแก้มคุณข้างหนึ่ง ก็หันอีกข้างหนึ่งให้เขาตบด้วย ถ้ามีใครแย่งเสื้อคลุมของคุณไป ก็ให้แถมเสื้อตัวข้างในกับเขาไปด้วย 30 ถ้ามีใครมาขออะไรจากคุณก็ให้เขาไป และถ้ามีใครเอาของๆคุณไป ก็อย่าทวงคืน 31 ให้ทำกับคนอื่นเหมือนกับที่คุณอยากให้คนอื่นทำกับคุณ 32 ถ้าคุณรักแต่เฉพาะคนที่รักคุณ มีอะไรพิเศษตรงไหน เพราะคนบาปก็ยังรู้จักรักคนที่รักพวกเขาเหมือนกัน 33 ถ้าคุณดีกับเฉพาะคนที่ดีกับคุณเท่านั้น มีอะไรพิเศษตรงไหน เพราะแม้แต่คนบาปก็ทำอย่างนั้นเหมือนกัน 34 หากคุณให้ยืมเฉพาะคนที่คุณหวังจะได้รับคืนจากเขาเท่านั้น มีอะไรพิเศษตรงไหนหรือ เพราะแม้แต่คนบาปก็ยังให้คนบาปยืมโดยหวังว่าจะได้คืนทั้งหมดเหมือนกัน 35 พวกคุณต้องรักศัตรูของคุณ ทำดีกับพวกเขาด้วย และให้พวกเขายืมโดยไม่ต้องหวังว่าจะได้คืน แล้วคุณจะได้รับรางวัลมากมาย และเป็นลูกที่แท้จริงของพระเจ้าสูงสุด เพราะพระเจ้าดีกับคนเนรคุณและคนชั่ว 36 ขอให้คุณแสดงความเมตตาเหมือนกับที่พระบิดาแสดงความเมตตา
มองดูตัวเอง
(มธ. 7:1-5)
37 อย่าตัดสินคนอื่น แล้วพระเจ้าจะไม่ตัดสินคุณ อย่าประณามคนอื่น แล้วพระเจ้าจะไม่ประณามคุณ ยกโทษให้คนอื่น แล้วพระเจ้าจะยกโทษให้คุณ 38 ถ้าคุณให้คนอื่น พระเจ้าก็จะให้กับคุณ พระองค์จะใช้ถ้วยตวงที่อัดแน่นจนล้นออกมาเทลงบนตักของคุณ สรุปแล้วคุณทำกับคนอื่นแบบไหน คุณก็จะได้รับผลแบบนั้น”
39 พระองค์ยังเล่าเรื่องเปรียบเทียบให้ฟังอีกว่า “คนตาบอดจะจูงคนตาบอดได้หรือ ทั้งสองคนจะไม่ตกคูหรือ 40 ลูกศิษย์จะเหนือครูหรือ แต่เมื่อเขาได้รับการอบรมครบถ้วนแล้ว เขาก็จะเป็นเหมือนกับครู
41 ทำไมคุณถึงเห็นขี้ผงในตาของพี่น้องคุณ แต่กลับมองไม่เห็นไม้ซุงทั้งท่อนในตาของตัวคุณเอง 42 แล้วคุณพูดกับพี่น้องออกมาได้ยังไงว่า ‘เดี๋ยวผมจะเขี่ยขี้ผงในตาให้นะ’ ทั้งๆที่ซุงทั้งท่อนในตาตัวเองก็ยังมองไม่เห็น ไอ้หน้าซื่อใจคด เอาท่อนซุงออกจากตาของตัวเองก่อน แล้วจะได้มองเห็นชัดๆตอนเขี่ยขี้ผงออกจากตาของพี่น้อง
ผลไม้สองชนิด
(มธ. 7:17-20; 12:34-35)
43 ต้นไม้ดีจะออกผลเลวๆไม่ได้ และต้นไม้เลวก็จะออกผลดีๆไม่ได้เหมือนกัน 44 อยากรู้ว่าต้นอะไรก็ให้ดูที่ผลของมัน คุณคงจะไม่ไปหาลูกมะเดื่อจากพุ่มไม้หนาม หรือลูกองุ่นจากกอหนามแน่ 45 คนดีก็จะทำดีเพราะจิตใจเต็มไปด้วยสิ่งที่ดีๆ คนชั่วก็จะทำชั่วเพราะจิตใจเต็มไปด้วยสิ่งชั่วๆ ใจเต็มไปด้วยอะไรปากก็จะพูดสิ่งนั้น
คนสองประเภท
(มธ. 7:24-27)
46 ในเมื่อคุณไม่ทำตามที่เราบอก จะมาเรียกเราว่า องค์เจ้าชีวิต องค์เจ้าชีวิต ทำไม 47 เราจะบอกให้รู้ว่าคนที่มาหาเราและทำตามคำสอนของเรานั้น 48 ก็เปรียบเหมือนคนสร้างบ้าน ที่ขุดดินลงไปลึก และวางรากฐานไว้บนหิน เมื่อน้ำท่วม กระแสน้ำไหลเชี่ยวมาพัดบ้าน บ้านก็ไม่สั่นคลอน เพราะสร้างไว้อย่างมั่นคง 49 แต่คนที่ได้ฟัง แล้วไม่ทำตาม ก็เปรียบเหมือนกับคนที่สร้างบ้านไว้บนดิน ไม่มีรากฐาน เมื่อกระแสน้ำไหลเชี่ยวมาพัดบ้าน บ้านก็พังราบคาบ เสียหายยับเยินทันที”
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International