Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
2 พงศ์กษัตริย์ 18

เฮเซคียาห์ปกครองยูดาห์

(2 พศด. 29:1-2; 31:1)

18 เฮเซคียาห์ลูกชายของอาหัสขึ้นเป็นกษัตริย์ของยูดาห์ ตรงกับปีที่สาม ที่โฮเชยา ลูกชายของเอลาห์ เป็นกษัตริย์ของอิสราเอล ตอนที่เฮเซคียาห์ ขึ้นเป็นกษัตริย์นั้น เขามีอายุยี่สิบห้าปี และเขาครองราชย์อยู่ในเยรูซาเล็มเป็นเวลายี่สิบเก้าปี แม่ของเขามีชื่อว่าอาบี[a] นางเป็นลูกสาวของเศคาริยาห์

เฮเซคียาห์ทำสิ่งที่ถูกต้องในสายตาของพระยาห์เวห์ เหมือนกับที่ดาวิดบรรพบุรุษของเขาเคยทำไว้

เขารื้อพวกสถานที่นมัสการต่างๆลง ทุบหินศักดิ์สิทธิ์จนแตกละเอียดและโค่นเสาเจ้าแม่อาเชราห์ลง เขาทำลายงูทองสัมฤทธิ์ที่โมเสสเคยสร้างไว้ เพราะในเวลานั้นชาวอิสราเอลเริ่มเผาเครื่องหอม ให้กับมันแล้ว (มันมีชื่อว่าเนหุชทาน[b])

เฮเซคียาห์ไว้วางใจในพระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอล ไม่มีกษัตริย์องค์ไหนอีกแล้วในพวกกษัตริย์ของยูดาห์ที่เป็นเหมือนเขา ไม่ว่าจะก่อนหน้านี้หรือหลังจากนี้ไป เขาได้ยึดพระยาห์เวห์ไว้แน่นและไม่ยอมหยุดที่จะติดตามพระองค์ เขาได้รักษาคำสั่งทุกข้อที่พระยาห์เวห์ได้สั่งไว้กับโมเสส และพระยาห์เวห์ก็สถิตอยู่กับเขา เขาประสบความสำเร็จในทุกสิ่งที่เขาทำ

เฮเซคียาห์ได้กบฏต่อกษัตริย์อัสซีเรียและไม่ยอมรับใช้เขาอีกต่อไป เฮเซคียาห์เอาชนะชาวฟีลิสเตีย ตลอดทางไปจนถึงกาซาและเขตแดนรอบๆมัน เขาชนะเมืองทั้งหมดของฟีลิสเตีย ตั้งแต่เมืองเล็กๆที่มีแค่หอเฝ้ายามไปจนถึงเมืองใหญ่ที่มีป้อมปราการ

ชาวอัสซีเรียยึดเมืองสะมาเรีย

ในปีที่สี่ที่เฮเซคียาห์เป็นกษัตริย์ของยูดาห์ ตรงกับปีที่เจ็ด ที่โฮเชยาลูกชายของเอลาห์ เป็นกษัตริย์ของอิสราเอล กษัตริย์แชลมาเนเสอร์[c]ของอัสซีเรียได้ยกทัพมาสู้รบกับเมืองสะมาเรียและได้ปิดล้อมเมืองนี้เอาไว้ 10 เมื่อล้อมเมืองอยู่สามปี ชาวอัสซีเรียก็ยึดเมืองนี้ได้ เมืองสะมาเรียจึงถูกยึดไปในช่วงปีที่หกที่เฮเซคียาห์ เป็นกษัตริย์ของยูดาห์ ตรงกับปีที่เก้าที่โฮเชยาเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล 11 กษัตริย์ของอัสซีเรียได้กวาดต้อนเอาคนอิสราเอลไปไว้ที่อัสซีเรียและได้ให้พวกเขาตั้งรกรากอยู่ในเมืองฮาลาห์ ในเมืองโกซานที่ติดกับแม่น้ำฮาโบร์และในเมืองต่างๆของชาวเมดัย 12 เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะพวกอิสราเอลไม่ยอมเชื่อฟังพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา พวกเขาฝ่าฝืนข้อตกลงของพระองค์ทุกข้อที่โมเสสผู้รับใช้พระยาห์เวห์ได้สั่งไว้ พวกเขาไม่ยอมฟังคำสั่งเหล่านั้นและไม่ยอมทำตามด้วย

อัสซีเรียบุกยูดาห์

(2 พศด. 32:1-19; อสย. 36:1-22)

13 ในปีที่สิบสี่ ที่เฮเซคียาห์เป็นกษัตริย์ของยูดาห์ กษัตริย์เซนนาเคอริบ[d] ของอัสซีเรียได้เข้าโจมตีเมืองทั้งหมดที่มีป้อมปราการของยูดาห์และสามารถยึดเมืองเหล่านั้นไว้ได้ 14 กษัตริย์เฮเซคียาห์ของยูดาห์จึงได้ส่งข้อความมาถึงกษัตริย์อัสซีเรียที่ลาคีชว่า “เราผิดไปแล้ว ช่วยถอยทัพออกไป และเราจะชดใช้ทุกอย่างตามที่ท่านต้องการ”

กษัตริย์อัสซีเรียได้เรียกร้องเอาเงินประมาณสิบตัน[e] และทองคำประมาณหนึ่งตัน[f] จากกษัตริย์เฮเซคียาห์ของยูดาห์ 15 เฮเซคียาห์จึงเอาเงินที่มีอยู่ในวิหารของพระยาห์เวห์และในคลังสมบัติของวังกษัตริย์ไปมอบให้เขา 16 ในครั้งนี้ กษัตริย์เฮเซคียาห์ของยูดาห์ต้องลอกเอาแถบทองคำที่เขาเคยให้ติดไว้ตามประตูและเสาประตูในวิหารของพระยาห์เวห์ออกมามอบให้กับกษัตริย์อัสซีเรียไปด้วย

17 กษัตริย์อัสซีเรียส่งแม่ทัพสูงสุดของเขา เจ้าหน้าที่ระดับหัวหน้าและแม่ทัพพร้อมกับกองทัพขนาดใหญ่หนึ่งกองเดินทางจากลาคีชไปหากษัตริย์เฮเซคียาห์ที่เยรูซาเล็ม พวกเขามาถึงเยรูซาเล็มและได้มาหยุดอยู่ที่รางส่งน้ำของสระด้านบน ตรงถนนที่มุ่งไปยังทุ่งของคนซักผ้า 18 พวกเขาได้เรียกหากษัตริย์ แต่เอลียาคิมผู้ดูแลวัง ที่เป็นลูกชายของฮิลคียาห์ เชบนาที่เป็นเลขาและโยอาห์ผู้จดบันทึกที่เป็นลูกชายของอาสาฟ ได้ออกมาพบพวกเขา

19 แม่ทัพพูดกับพวกเขาว่า “ไปบอกเฮเซคียาห์ว่า พระมหากษัตริย์ คือกษัตริย์อัสซีเรีย พูดอย่างนี้ว่า

‘ทำไมท่านถึงได้มีความเชื่อมั่นขนาดนี้ 20 ข้อตกลงกับพันธมิตรที่ท่านหวังพึ่งนั้นมันก็แค่เพียงคำพูด ท่านคิดว่ามันจะใช้แทนกลยุทธ์และกำลังทหารในสงครามได้หรือ เดี๋ยวนี้ท่านไปพึ่งใครหรือ ท่านถึงกล้ามากบฏกับเรา 21 ดูดีๆนะว่าตอนนี้ท่านกำลังพึ่งอียิปต์ ซึ่งเป็นเหมือนไม้เท้าอ้อที่เดาะแล้ว ถ้าใครไปค้ำยันมัน มันก็จะแตกและเสียบมือของคนนั้น ฟาโรห์กษัตริย์ของอียิปต์ ก็จะเป็นอย่างนั้นกับคนที่มาพึ่งพิงเขา 22 แต่ถ้าท่านจะบอกเราว่า “เราเชื่อพึ่งในพระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา” อ้าว เฮเซคียาห์ได้รื้อพวกสถานที่นมัสการและแท่นบูชาของพระนั้นทิ้งไปแล้วไม่ใช่หรือ และสั่งคนยูดาห์และคนในเยรูซาเล็มว่า “พวกเจ้าต้องนมัสการที่แท่นบูชานี้ที่อยู่ในเมืองเยรูซาเล็มเท่านั้น”

23 ตอนนี้ มาทำข้อตกลงกับกษัตริย์ของอัสซีเรีย เจ้านายของข้าดีกว่า ข้าจะให้ม้ากับเจ้าสองพันตัว ถ้าเจ้ามีปัญญาหาคนมาขี่พวกมันได้ 24 ในเมื่อเจ้าและอียิปต์อ่อนแอซะขนาดนี้ ท่านยังจะปฏิเสธอำนาจของข้าราชการตัวเล็กๆของเจ้านายข้า แล้วไปหวังพึ่งรถรบและทหารม้าของอียิปต์อีกหรือ

25 และตอนนี้ เจ้าคิดว่าที่ข้าขึ้นมาโจมตีสถานที่นี้เพื่อทำลายมัน โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพระยาห์เวห์อย่างนั้นหรือ เป็นพระยาห์เวห์เองที่พูดกับข้าว่า “ขึ้นไปโจมตีแผ่นดินนี้และทำลายมันซะ”’”

26 แล้วเอลียาคิมลูกชายของฮิลคียาห์ เชบนา และโยอาห์ ตอบกับแม่ทัพไปว่า “ช่วยพูดกับพวกเราผู้รับใช้ของท่านเป็นภาษาอารเมคด้วยเถิด เพราะพวกเราเข้าใจภาษานั้น อย่าพูดกับพวกเราเป็นภาษาฮีบรูเลย เพราะไม่อยากให้พวกนั้นที่อยู่บนกำแพงได้ยิน”

27 แต่แม่ทัพนั้นตอบพวกเขาว่า “เจ้าคิดว่า เจ้านายข้าส่งข้ามาเพื่อพูดเรื่องพวกนี้กับเจ้านายเจ้ากับเจ้าเท่านั้นหรือยังไง เขาส่งให้ข้ามาพูดกับไอ้คนพวกนั้นที่นั่งอยู่บนกำแพงด้วย ไอ้พวกนั้นก็จะต้องกินขี้และเยี่ยวของตัวเอง[g]เหมือนกับพวกเจ้านั่นแหละ”

28 แล้วแม่ทัพก็ยืนขึ้นและร้องตะโกนเสียงดังเป็นภาษาฮีบรูว่า

“นี่เป็นคำพูดของพระมหากษัตริย์ คือกษัตริย์อัสซีเรีย 29 พระองค์พูดว่าอย่างนี้ ‘อย่าให้เฮเซคียาห์หลอกลวงเจ้า เพราะเขาไม่สามารถช่วยกู้พวกเจ้าให้พ้นไปจากมือของเราได้หรอก 30 และอย่าให้เฮเซคียาห์ทำให้พวกเจ้าคิดจะพึ่งพระยาห์เวห์’ เมื่อเขาพูดว่า ‘พระยาห์เวห์จะช่วยกู้พวกเราอย่างแน่นอน พระยาห์เวห์จะไม่ยอมให้เมืองนี้ตกไปอยู่ในกำมือของกษัตริย์อัสซีเรียเป็นอันขาด’

31 อย่าไปฟังเฮเซคียาห์ เพราะกษัตริย์อัสซีเรียพูดไว้ว่าอย่างนี้ ‘มาทำสัญญาสงบศึกกับข้าและออกมาจำนนต่อข้า แล้วพวกเจ้าแต่ละคนก็จะได้กินจากต้นองุ่นและต้นมะเดื่อของตัวเอง และดื่มจากบ่อเก็บน้ำของตน 32 จนกว่าเราจะมาและพาพวกเจ้าไปยังแผ่นดินที่เหมือนกับแผ่นดินของเจ้านี้ เป็นแผ่นดินที่มีข้าวและเหล้าองุ่นใหม่ มีขนมปังและสวนองุ่น เป็นแผ่นดินที่มีต้นมะกอกและน้ำเชื่อมผลไม้ แล้วพวกเจ้าจะอาศัยอยู่ที่นั่นและไม่ต้องตาย และอย่าไปฟังเฮเซคียาห์ เมื่อเขาพยายามทำให้พวกเจ้าหลงผิดไป โดยพูดว่า “พระยาห์เวห์จะช่วยกู้พวกเรา” 33 เราขอถามเจ้าว่า “มีพระของชาติไหนบ้างที่เคยช่วยแผ่นดินของพวกเขาให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของกษัตริย์อัสซีเรีย”’”

34 พวกพระของเมืองฮามัท[h]กับเมืองอารปัด ไปไหนแล้ว พระของเมืองเสฟารวาอิม เฮนา และอิฟวาห์ไปไหนแล้ว พวกพระของสะมาเรียสามารถช่วยกู้สะมาเรียจากเงื้อมมือของข้าได้หรือ 35 ในพวกพระทั้งหมดของประเทศเหล่านี้ มีพระองค์ไหนบ้างได้ช่วยประเทศของพวกเขาให้พ้นจากเงื้อมมือของข้า แล้วเจ้ายังคิดว่าพระยาห์เวห์จะสามารถช่วยเยรูซาเล็มให้พ้นจากเงื้อมมือข้าได้หรือ

36 แต่ประชาชนยังคงเงียบและไม่ได้ตอบเขาสักคำ เพราะกษัตริย์สั่งพวกเขาไว้ว่า “อย่าไปตอบมัน”

37 แล้วเอลียาคิมผู้ดูแลวังลูกชายของฮิลคียาห์ เชบนาที่เป็นเลขา รวมทั้งโยอาห์ผู้จดบันทึกลูกชายของอาสาฟ ก็ไปพบเฮเซคียาห์พร้อมกับเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่งที่พวกเขาฉีกด้วยความโศกเศร้า และได้รายงานกษัตริย์ถึงสิ่งที่แม่ทัพนั้นพูด

ฟีเลโมน

จากเปาโล ผู้เป็นนักโทษเพราะเห็นแก่พระเยซูคริสต์ และจากทิโมธีน้องชายของเรา

ถึงฟีเลโมนเพื่อนร่วมงานที่เรารัก และถึงอัปเฟียน้องสาวของเรา และอารคิปปัส ซึ่งเป็นทหารของพระคริสต์ด้วยกันกับเรา และหมู่ประชุมของพระเจ้าที่บ้านของคุณ

ขอให้พระเจ้าพระบิดาของเรา และพระเยซูคริสต์เจ้าให้ความเมตตากรุณา และสันติสุขกับพวกคุณทุกคน

ความรักและความเชื่อของฟีเลโมน

ผมขอบคุณพระเจ้าของผมเสมอเมื่อผมอธิษฐานเผื่อคุณ เพราะผมได้ยินเรื่องความเชื่อของคุณที่มีต่อพระเยซูเจ้า และความรักที่คุณมีต่อคนที่เป็นของพระเจ้าทุกคน ผมอธิษฐานขอให้ความเชื่อที่เรามีร่วมกันนี้ ทำให้คุณเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ถึงสิ่งดีๆทั้งหมดที่เรามีในพระคริสต์ น้องเอ๋ยความรักของคุณทำให้ผมมีความสุขมาก และมีกำลังใจด้วย เพราะคุณทำให้คนทั้งหลายที่เป็นของพระเจ้าชื่นใจ

เปาโลขอร้องแทนโอเนสิมัส

ถึงแม้ว่าในพระคริสต์ ผมกล้าพอที่จะสั่งให้คุณทำในสิ่งที่คุณควรทำก็จริง แต่เพราะความรักของคุณ ผมอยากจะขอร้องคุณมากกว่า ผมเปาโลคนแก่คนนี้และตอนนี้ก็ยังเป็นนักโทษเพราะเห็นแก่พระเยซูคริสต์ด้วย 10 ผมขอร้องละ เกี่ยวกับเรื่องของโอเนสิมัส[a] ซึ่งเขาได้กลายมาเป็นลูกของผมตอนที่ผมอยู่ในคุกนี้ 11 เมื่อก่อนนี้ เขาเคยเป็นคนที่ไม่มีประโยชน์อะไรกับคุณ แต่เดี๋ยวนี้เขากลับมีประโยชน์มาก ทั้งกับคุณและกับผมด้วย

12 เขาเป็นเหมือนดวงใจของผมทีเดียว และผมก็ได้ส่งเขากลับมาหาคุณ 13 ความจริงแล้วผมอยากจะให้เขาอยู่ที่นี่กับผม เพื่อจะได้ช่วยเหลือผมแทนที่คุณในขณะที่ผมติดคุกอยู่ที่นี่เพราะเห็นแก่ข่าวดีนั้น 14 แต่ผมไม่อยากจะทำอะไรลงไปนอกจากคุณจะอนุญาตเสียก่อน เพื่อว่าความดีต่างๆที่คุณทำนั้น จะได้เป็นไปตามความสมัครใจของคุณเอง ไม่ใช่เพราะผมบังคับ

15 ไม่แน่นะ ที่เขาต้องจากคุณไปพักหนึ่ง อาจจะเพื่อเขาจะได้กลับมาอยู่กับคุณตลอดไปก็ได้ 16 และไม่ใช่กลับมาอย่างทาสอีกแล้ว แต่ดีกว่าทาสเสียอีก คือเป็นพี่น้องที่รัก ผมรักเขามาก แต่คุณจะรักเขามากยิ่งกว่า ไม่ใช่เป็นเพียงแค่เพื่อนมนุษย์เท่านั้น แต่เป็นน้องชายในองค์เจ้าชีวิตด้วย

17 ดังนั้น ถ้าคุณยังเห็นว่าผมเป็นหุ้นส่วนอยู่อีกละก็ ขอให้ต้อนรับเขาเหมือนกับที่คุณจะต้อนรับผมด้วย 18 ถ้าเขาทำอะไรผิดต่อคุณ หรือเป็นหนี้อะไรคุณ ก็ให้มาคิดเอากับผมได้เลย 19 ผม เปาโล เขียนด้วยมือของผมเองว่า ผมจะจ่ายคืนให้กับคุณเอง และจะไม่อ้างถึงเรื่องที่คุณเป็นหนี้ชีวิตผมด้วย 20 ใช่แล้วน้อง ขอให้ผมได้ประโยชน์จากคุณบ้างในองค์เจ้าชีวิต ช่วยทำให้ผมชื่นใจขึ้นในพระคริสต์ด้วย 21 ที่ผมเขียนจดหมายนี้มาให้เพราะผมแน่ใจว่าคุณจะเชื่อฟัง และทำมากยิ่งกว่าที่ผมขอเสียอีก

22 อีกอย่างหนึ่ง ช่วยจัดเตรียมห้องให้กับผมด้วย เพราะผมเชื่อว่า พระเจ้าจะส่งผมมาหาคุณตามที่พวกคุณได้อธิษฐานนั้น

คำลงท้าย

23 เอปาฟรัสเพื่อนที่ติดคุกกับผมเพราะเห็นแก่พระคริสต์ ฝากความคิดถึงมาให้คุณด้วย 24 รวมทั้งเพื่อนร่วมงานของผม มาระโก อาริสทารคัส เดมาส และลูกาก็ฝากความคิดถึงมาให้กับคุณด้วยเหมือนกัน 25 ขอให้ความเมตตากรุณาของพระเยซูคริสต์เจ้าอยู่กับวิญญาณของพวกคุณด้วย

โฮเชยา 11

อิสราเอลอกตัญญู

11 พระยาห์เวห์พูดว่า “ตอนที่อิสราเอลยังเป็นเด็กนั้น เรารักเขา
    และเราเรียกลูกชายของเราออกมาจากอียิปต์
แต่ยิ่งเรียกพวกเขา[a]
    พวกเขาก็ยิ่งออกห่างไปจากเรา
พวกเขาไปเซ่นไหว้พวกพระบาอัล
    พวกเขาเผาเครื่องบูชาให้กับพวกรูปเคารพ
เราเองเป็นผู้ที่สอนให้เอฟราอิมเดิน
    เราพยุงแขนของเขา
    แต่เวลาที่พวกเขาเจ็บพวกเขาไม่รู้หรอกว่าเป็นเราเองที่รักษาพวกเขาให้หาย
เราจูงเขาด้วยเชือกแห่งความเมตตาปรานี
    ด้วยเชือกแห่งความรัก
เรายกแอกออกจากคอพวกเขา
    เราก้มลงเลี้ยงอาหารพวกเขา

พระยาห์เวห์จะลงโทษอิสราเอล

พวกเขาจะต้องกลับไปอียิปต์อีกแน่
    และกษัตริย์อัสซีเรียจะเป็นกษัตริย์ของพวกเขา
    เพราะพวกเขาไม่ยอมหันกลับมาหาพระยาห์เวห์
จะมีดาบกวัดแกว่งในเมืองต่างๆของอิสราเอล มันจะกำจัดพวกอิสราเอลที่ขี้โม้นั้น
    และจะกลืนกินพวกเขาเพราะแผนร้ายของพวกเขา
คนของเราตั้งใจที่จะหันเหไปจากเรา
    แต่ถึงแม้พวกเขาจะร้องเรียกพระเจ้าเป็นเสียงเดียวกัน
    พระองค์ก็จะไม่ช่วยพวกเขา”

พระยาห์เวห์ไม่อยากทำลายอิสราเอล

พระยาห์เวห์พูดว่า “เอฟราอิมเอ๋ย
    เราจะมอบเจ้าไปให้กับคนอื่นได้ยังไง
อิสราเอลเอ๋ย เราจะยอมให้เจ้าตกไปเป็นของศัตรูได้ยังไง
    เราจะปล่อยให้เจ้าเป็นเหมือนเมืองอัดมาห์[b] ได้ยังไง
เราจะทำให้เจ้าเป็นเหมือนเมืองเศโบยิมได้ยังไง
    เราเปลี่ยนใจแล้ว ความรู้สึกสงสารทำให้เราใจอ่อน
เราจะไม่ทำตามความเกรี้ยวโกรธของเรา
    เราจะไม่ทำลายล้างเอฟราอิมอีก
เพราะเราเป็นพระเจ้าไม่ใช่มนุษย์
    เราเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์นั้นที่สถิตอยู่ท่ามกลางเจ้า
    และเราจะไม่มาด้วยความโกรธ[c]
10 พวกเขาจะเดินตามพระยาห์เวห์
    พระองค์จะคำรามเหมือนสิงโต
พระองค์จะคำราม
    ลูกๆของพระองค์ก็จะมาจากตะวันตกด้วยความเกรงกลัวจนตัวสั่น
11 พวกเขาจะมาจากอียิปต์ตัวสั่นเหมือนลูกนก
    พวกเขาจะมาเหมือนนกพิราบจากแผ่นดินอัสซีเรีย
    เราจะยอมให้พวกเขาอาศัยอยู่ในบ้านของพวกเขา”
พระยาห์เวห์พูดว่าอย่างนี้

พระยาห์เวห์มีคดีฟ้องร้องอิสราเอล

12 คนเอฟราอิมห้อมล้อมเราด้วยพวกรูปเคารพที่หลอกลวง
    คนอิสราเอลห้อมล้อมเราด้วยการทรยศ
แต่ยูดาห์ยังวนเวียนอยู่กับพระเจ้า
    เขายังซื่อสัตย์ต่อองค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์นั้น

สดุดี 132-134

คำสัญญาที่พระยาห์เวห์ให้กับกษัตริย์ดาวิดและศิโยน

เพลงที่ร้องในระหว่างทางที่ขึ้นไปยังวิหาร

ข้าแต่พระยาห์เวห์โปรดระลึกถึงดาวิด
    และความทุกข์ยากลำบากทั้งหมดของเขา
เขาได้สาบานต่อพระยาห์เวห์
    และบนบานต่อผู้ทรงฤทธิ์แห่งยาโคบ
ดาวิดพูดว่า “ข้าพเจ้าจะไม่เข้าไปในบ้านของตัวเอง
    และจะไม่นอนลงบนเตียงของตัวเอง
ข้าพเจ้าจะไม่ยอมหลับตาลง
    จะไม่ยอมให้หนังตาปิดลง
จนกว่าจะพบสถานที่สำหรับก่อตั้งเต็นท์อันศักดิ์สิทธิ์ให้กับพระยาห์เวห์
    เพื่อพระองค์ผู้ทรงฤทธิ์แห่งยาโคบจะได้พักอาศัยอยู่ที่นั่น”

ดูเถิด ตอนที่เราอยู่ที่เอฟราธาห์ พวกเราได้ยินเรื่องหีบศักดิ์สิทธิ์
    และเราได้พบหีบศักดิ์สิทธิ์นั้นในท้องทุ่งแห่งคีเรียธ ยาอาร์
พวกเราพูดกันว่า “ไปเต็นท์อันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์กัน
    ไปกราบลงตรงที่วางเท้าของพระองค์กันเถิด”

ข้าแต่พระยาห์เวห์ ลุกขึ้นและไปยังที่พักผ่อนแห่งใหม่ของพระองค์เถิด
    ทั้งพระองค์และหีบที่แสดงถึงฤทธิ์อำนาจของพระองค์
ขอให้พวกนักบวชของพระองค์สวมใส่ชัยชนะ
    ขอให้พวกที่ซื่อสัตย์ต่อพระองค์โห่ร้องด้วยความชื่นชมยินดี
10 แล้วเพื่อเห็นแก่ดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์
    ขออย่าปฏิเสธกษัตริย์ที่พระองค์ได้เลือกไว้แล้ว[a]

11 พระยาห์เวห์ได้สาบานต่อดาวิด
    และพระองค์จะไม่คืนคำ ที่ว่า “เราจะให้ลูกหลานของเจ้าสืบต่อบัลลังก์จากเจ้า
12 ถ้าหากลูกหลานของเจ้าจะยังคงรักษาข้อตกลงและคำสั่งต่างๆที่เราสอนพวกเขาไว้
    ลูกหลานของพวกเขาก็จะได้นั่งอยู่บนบัลลังก์ของเจ้าตลอดไป”

13 พระยาห์เวห์ได้เลือกศิโยน
    พระองค์ตัดสินใจที่จะอาศัยอยู่ที่นั่น
14 พระยาห์เวห์พูดว่า “เราจะอาศัยอยู่ในสถานที่นี้ตลอดไป
    เราจะอยู่ที่นี่เพราะเราได้เลือกสถานที่นี้มา
15 เราจะอวยพรให้ศิโยน
    อุดมสมบูรณ์ไปด้วยอาหารและเราจะทำให้คนยากจนอิ่มหนำ
16 เราจะสวมใส่ความรอดให้กับพวกนักบวชของศิโยน
    และผู้ที่สัตย์ซื่อของศิโยนจะโห่ร้องด้วยความชื่นชมยินดี
17 และที่นั่นเราจะทำให้ราชวงศ์ของดาวิดแข็งแกร่ง
    ราชวงศ์ของกษัตริย์ที่เราได้เลือกไว้นั้นจะคงอยู่ตลอดไปเหมือนตะเกียงที่ไม่มีวันดับ
18 เราจะสวมใส่ความอับอายให้กับพวกศัตรูของเขา
    แต่เราจะทำให้มงกุฎของเขาส่องประกายเจิดจ้า”

พี่น้องอยู่ด้วยกันอย่างกลมเกลียว

เพลงที่ร้องในระหว่างทางที่ขึ้นไปยังวิหาร เพลงของดาวิด

มันช่างวิเศษและน่ายินดีจริงๆ
    เมื่อพี่น้องอยู่ด้วยกันอย่างกลมเกลียว
มันเป็นเหมือนน้ำมันหอมชั้นดีที่เทลงมาเจิมหัวของอาโรน
    แล้วไหลลงมาอาบเคราของเขา
    แล้วไหลเรื่อยลงมาบนเสื้อคลุมของเขา
มันเป็นเหมือนน้ำค้างมากมายบนภูเขาเฮอร์โมน
    ที่ตกลงมาบนเทือกเขาศิโยนด้วย
    ที่ศิโยนนั้น พระยาห์เวห์ได้สัญญาที่จะให้พระพรแม้แต่ชีวิตที่แสนจะยืนยาว

ผู้รับใช้ในวิหารสรรเสริญพระยาห์เวห์เถิด

เพลงที่ร้องในระหว่างทางที่ขึ้นไปยังวิหาร

สรรเสริญพระยาห์เวห์เถิด พวกผู้รับใช้ทุกคนของพระองค์
    ผู้ที่ยืนทำหน้าที่อยู่ในวิหารในตอนกลางคืน
ยกมือของท่านขึ้นต่อสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
    และสรรเสริญพระยาห์เวห์เถิด

ขอให้พระยาห์เวห์ ผู้สร้างสวรรค์และแผ่นดินโลก
    อวยพรท่านจากศิโยน

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International