Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
1 พงศาวดาร 9-10

ชื่อของชาวอิสราเอลทั้งหมดก็ได้จดไว้ในบัญชีรายชื่อเชื้อสายของพวกเขา ที่ได้บันทึกอยู่ในหนังสือประวัติของบรรดากษัตริย์แห่งอิสราเอล

ประชาชนในเมืองเยรูซาเล็ม

ประชาชนของยูดาห์ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยในบาบิโลน เพราะพวกเขาไม่ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า คนกลุ่มแรกที่ได้กลับมาอาศัยอยู่ในแผ่นดินและเมืองต่างๆของบรรพบุรุษของพวกเขาอีกครั้งหนึ่ง คือชาวอิสราเอลบางคน พวกนักบวช พวกชาวเลวี และพวกผู้รับใช้ในวิหาร

ในเมืองเยรูซาเล็ม ก็มีประชาชนบางส่วนที่เป็นชาวยูดาห์ ชาวเบนยามิน ชาวเอฟราอิม และชาวมนัสเสห์อาศัยอยู่ คือ

อุธัยลูกชายของอัมมีฮูด ที่เป็นลูกชายของอมรี ที่เป็นลูกชายของอิมรี ที่เป็นลูกชายของบานี บานีเป็นลูกหลานของเปเรศ ที่เป็นลูกชายของยูดาห์

พวกคนชิโลห์ คือ อาสายาห์ลูกชายหัวปี และพวกลูกชายของเขา

คนที่เป็นลูกหลานของเศราห์ คือ เยอูเอลและญาติๆของเขารวม หกร้อยเก้าสิบคน

พวกคนเบนยามิน ที่อาศัยอยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม คือ สัลลูลูกชายของเมชุลลาม ที่เป็นลูกชายของโฮดาวิยาห์ ที่เป็นลูกชายของหัสเสนูอาห์ อิบเนยาห์ลูกชายของเยโรฮัม เอลาห์ลูกชายของอุสซี ที่เป็นลูกชายของมิครี และเมชุลลามลูกชายของเชฟาทิยาห์ ที่เป็นลูกชายของเรอูเอล ที่เป็นลูกชายของอิบนียาห์ และบรรดาพี่น้องของเขาซึ่งนับได้ตามบัญชีรายชื่อเชื้อสายของพวกเขามีทั้งหมดเก้าร้อยห้าสิบหกคน พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นหัวหน้าของครอบครัวของพวกเขา

10 พวกนักบวช ที่อาศัยอยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม คือ เยดายาห์ เยโฮยาริบ ยาคีน 11 และอาซาริยาห์ลูกชายของฮิลคียาห์ ที่เป็นลูกชายของเมชุลลาม ที่เป็นลูกชายของศาโดก ที่เป็นลูกชายของเมราโยท ที่เป็นลูกชายของอาหิทูบ อาหิทูบเป็นหัวหน้าดูแลงานอยู่ในวิหารของพระเจ้า 12 ยังมีอาดายาห์ลูกชายของเยโรฮัม ที่เป็นลูกชายของปาชเฮอร์ ที่เป็นลูกชายของมัลคิยาห์ และมาอาสัยลูกชายของอาดีเอล ที่เป็นลูกชายของยาเซราห์ ที่เป็นลูกชายของเมชุลลาม ที่เป็นลูกชายของเมชิลเลมิท ที่เป็นลูกชายของอิมเมอร์

13 รวมทั้งบรรดาญาติๆของพวกเขา บรรดาหัวหน้าครอบครัวของพวกเขาด้วย มีจำนวนทั้งสิ้นหนึ่งพันเจ็ดร้อยหกสิบคน ที่สามารถทำงานรับใช้อยู่ภายในวิหารของพระเจ้า

14 พวกที่มาจากชาวเลวี ที่อาศัยอยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม คือ เชไมอาห์ลูกชายของหัสชูบ ที่เป็นลูกชายของอัสรีคัม ที่เป็นลูกชายของฮาชาบิยาห์ พวกเขาเป็นลูกหลานของเมรารี 15 ยังมี บัคบัคคาร์ เฮเรซ กาลาลและมัทธานิยาห์ลูกชายของมีคา ที่เป็นลูกชายของศิครี ที่เป็นลูกชายของอาสาฟ 16 และยังมีโอบาดียาห์ลูกชายของเชไมอาห์ ที่เป็นลูกชายของกาลาลที่เป็นลูกชายของเยดูธูน และเบเรคยาห์ลูกชายของอาสา ที่เป็นลูกชายของเอลคานาห์ เบเรคยาห์อาศัยอยู่ท่ามกลางหมู่บ้านต่างๆของชาวเนโทฟาห์

17 พวกคนเฝ้าประตู ที่อาศัยอยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม คือ ชัลลูม อักขูบ ทัลโมน อาหิมาน ญาติของพวกเขาที่ชื่อ ชัลลูมเป็นหัวหน้า 18 พวกเขาได้เฝ้าอยู่ที่ประตูของกษัตริย์ที่หันไปทางทิศตะวันออก และต่อไปนี้คือชื่อของคนที่เฝ้าประตูในพวกค่ายของชาวเลวี 19 ชัลลูมลูกชายของโคเร ที่เป็นลูกชายของเอบียาสาฟ ที่เป็นลูกชายของโคราห์กับบรรดาญาติๆของครอบครัวเขา พวกโคราห์รับผิดชอบงานรับใช้ และการเฝ้าทางเข้าเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ เหมือนกับที่บรรพบุรุษของพวกเขาเคยทำมาก่อน คือทำหน้าที่เฝ้าดูแลทางเข้าค่ายของพระยาห์เวห์ 20 ในอดีต ฟีเนหัสลูกชายของเอเลอาซาร์ เป็นหัวหน้าคนเฝ้าประตู พระยาห์เวห์สถิตอยู่กับเขา 21 เศคาริยาห์ลูกชายของเมเชเลมิยาห์เป็นคนเฝ้าประตูทางเข้าเต็นท์นัดพบ

22 คนที่ได้รับเลือกให้เป็นคนเฝ้าประตูทางเข้ามีจำนวนทั้งหมดสองร้อยสิบสองคน ชื่อของพวกเขาได้จดไว้ในบัญชีรายชื่อเชื้อสายของพวกเขาที่อยู่ตามหมู่บ้านต่างๆของพวกเขา ดาวิดและซามูเอลผู้ที่เห็นนิมิต ได้เลือกพวกเขาออกมาเพื่อให้ประจำการอยู่ในตำแหน่งเหล่านี้ ก็เพราะพวกเขาเป็นคนที่ไว้วางใจได้ 23 พวกเขาและบรรดาลูกหลานทั้งหลายของพวกเขาจึงได้ทำหน้าที่เป็นยามเฝ้าอยู่ที่ประตูทางเข้าวิหารของพระยาห์เวห์ ซึ่งก็คือเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ นั่นเอง 24 บรรดาคนเฝ้าประตูอยู่ประจำทั้งสี่ด้านคือ ด้านตะวันออก ด้านตะวันตก ด้านเหนือและด้านใต้ 25 และบรรดาญาติๆของพวกเขาที่อยู่ตามหมู่บ้านต่างๆก็ต้องมาช่วยพวกเขาเป็นระยะๆครั้งละเจ็ดวัน

26 แต่สำหรับหัวหน้าคนเฝ้าประตูทั้งสี่คนนี้จะต้องอยู่ประจำ พวกเขาเป็นชาวเลวีและพวกเขาก็ได้ทำหน้าที่ดูแลห้องต่างๆและห้องสมบัติทั้งหลายของวิหารของพระเจ้า 27 พวกเขาใช้เวลาตลอดทั้งคืนในการเดินตรวจตรารอบๆวิหารเพราะมันเป็นหน้าที่ของพวกเขาที่ต้องเฝ้าวิหารไว้ในเวลากลางคืนและคอยเปิดมันในทุกๆเช้า

28 พวกเขาบางคนทำหน้าที่คอยดูแลพวกภาชนะต่างๆที่ใช้ในวิหาร พวกเขาจะคอยนับของเหล่านี้เมื่อมีคนนำมาคืน และเมื่อมีคนเอาออกไปใช้ 29 บางคนก็ทำหน้าที่ดูแลเครื่องใช้และภาชนะที่สงวนไว้สำหรับพระเจ้า และดูแลแป้งอย่างดี เหล้าองุ่น น้ำมันมะกอก เครื่องหอมและเครื่องเทศ[a] ทั้งหลาย 30 แต่ลูกหลานของเหล่านักบวชพวกนี้จะเป็นผู้ผสมนำมันสำหรับเครื่องเทศเหล่านั้น

31 ชาวเลวีคนหนึ่งชื่อ มัททีธิยาห์ เขามีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องการทำขนมปังแผ่น เขาเป็นลูกชายหัวปีของชัลลูม ที่เป็นชาวโคราห์ 32 เพื่อนชาวโคฮาทของเขาบางคนมีหน้าที่ในการเตรียมขนมปังศักดิ์สิทธิ์วางไว้ถวายในทุกวันหยุดทางศาสนา

33 ต่อไปนี้คือพวกนักร้องซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัวต่างๆของชาวเลวี ที่อยู่ประจำในห้องต่างๆของวิหารโดยไม่ต้องทำหน้าที่อื่นๆเพราะพวกเขาต้องรับผิดชอบงานภายในวิหารตลอดทั้งวันทั้งคืน

34 คนพวกนี้คือหัวหน้าครอบครัวต่างๆของคนเลวี ซึ่งมีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อเชื้อสายของพวกเขาในฐานะหัวหน้า พวกเขาอาศัยอยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม

ประวัติครอบครัวของซาอูล

(1 พศด. 8:29-38)

35 เยอีเอลซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งเมืองกิเบโอน ได้อาศัยอยู่ที่นั่น (เมียของเขามีชื่อว่ามาอาคาห์) 36 ลูกชายคนแรกของเขาชื่อว่าอับโดน ตามมาด้วยศูร์ คีช บาอัล เนอร์ นาดับ 37 เกโดร์ อาหิโย เศคาริยาห์ และมิกโลท 38 มิกโลทเป็นพ่อของชิเมอัม พวกเขาและญาติๆของเขาก็ได้อาศัยอยู่ใกล้ๆกับบรรดาญาติพี่น้องของพวกเขาในเมืองเยรูซาเล็ม

39 เนอร์เป็นพ่อของคีช คีชเป็นพ่อของซาอูล ซาอูลเป็นพ่อของโยนาธาน มัลคีชูวา อาบีนาดับและเอชบาอัล

40 ลูกชายของโยนาธานคือเมริบบาอัล และเมริบบาอัลก็เป็นพ่อของมีคาห์

41 พวกลูกชายของมีคาห์คือ ปิโธน เมเลค ทาเรียและอาหัส 42 อาหัสเป็นพ่อของยาดาห์[b] ยาดาห์[c] เป็นพ่อของอาเลเมท อัสมาเวทและศิมรี ส่วนศิมรีเป็นพ่อของโมซา 43 โมซาเป็นพ่อของบิเนอา ที่มีลูกชายคือเรไฟยาห์ ที่มีลูกชายคือเอเลอาสาห์ ที่มีลูกชายคืออาเซล

44 อาเซลมีลูกชายหกคน คือ อัสรีคัม โบเครู อิชมาเอล เชอาริยาห์ โอบาดียาห์และฮานัน พวกเขาคือลูกชายของอาเซล

กษัตริย์ซาอูลตาย

(1 ซมอ. 31:1-13)

10 ชาวฟีลิสเตียได้สู้รบกับชาวอิสราเอล และคนอิสราเอลก็ได้วิ่งหนีชาวฟีลิสเตีย และถูกฆ่าตายเป็นจำนวนมากบนภูเขากิลโบอา ชาวฟีลิสเตียไล่ติดตามซาอูลกับบรรดาลูกชายของเขาไป และได้ฆ่าโยนาธาน อาบีนาดับและมัลคีชูวาที่เป็นลูกชายของซาอูล ซาอูลไม่สามารถต้านทานการสู้รบได้อีกต่อไป และพลธนูก็ยิงลูกธนูมาถูกเขา และตัวเขาก็เริ่มสั่นเทิ้มด้วยความกลัว[d] พลธนูเหล่านั้น

ซาอูลจึงพูดกับคนถืออาวุธ[e] ของเขาว่า “ดึงดาบของเจ้าออกมาแทงเราซะ เพื่อว่าคนที่ไม่ได้ขลิบ[f] พวกนั้นจะได้ไม่มาทรมานล้อเลียนเรา”

แต่คนถืออาวุธนั้นไม่ยอมทำตามเพราะกลัวมาก ซาอูลจึงชักดาบของตนออกมา และล้มทับดาบนั้นจนตาย เมื่อคนถืออาวุธนั้นเห็นว่าซาอูลตายแล้ว เขาก็ล้มทับดาบของเขาตายตามไปด้วย ซาอูลและลูกชายทั้งสามคนของเขารวมทั้งครอบครัวของเขาจึงตายกันหมด

เมื่อคนทั้งหมดของอิสราเอลที่อยู่ในหุบเขาเห็นว่าซาอูลกับลูกชายของเขาได้หนีไปและตายแล้ว พวกเขาจึงได้ละทิ้งเมืองต่างๆของพวกเขาและวิ่งหนีเอาตัวรอด แล้วพวกฟีลิสเตียก็เข้ามาอยู่อาศัยในเมืองของพวกเขาแทน

วันต่อมา พวกฟีลิสเตียได้มาเก็บเอาสิ่งของมีค่าจากศพและพวกเขาก็ได้พบศพของซาอูลกับลูกชายของเขานอนตายอยู่บนภูเขากิลโบอา พวกเขาจึงถอดเสื้อผ้าของซาอูลออกและตัดหัวของเขา พวกเขาเอาหัวของซาอูลและเสื้อเกราะไป และให้คนส่งข่าวออกไปทั่วแผ่นดินของฟีลิสเตีย เพื่อประกาศข่าวดีนี้กับพวกรูปเคารพของพวกเขา และกับประชาชนทั้งหลาย 10 และพวกเขาก็ได้เอาเสื้อเกราะไปไว้ในวิหารของพระของพวกเขา และเอาหัวของซาอูลตอกไว้ในวิหารของพระดาโกน[g]

11 เมื่อประชาชนทั้งหมดในยาเบชกิเลอาดได้ยินเรื่องที่พวกฟีลิสเตียได้ทำกับซาอูล 12 เหล่าผู้กล้าทั้งหมดจึงได้ไปแย่งศพของซาอูลกับศพของบรรดาลูกชายของเขา และนำกลับมาที่ยาเบช-กิเลอาด แล้วพวกเขาก็ได้ฝังกระดูกของซาอูลกับลูกๆไว้ใต้ต้นโอ๊คในยาเบช-กิเลอาด และอดอาหารให้เป็นเวลาเจ็ดวัน

13 ซาอูลตายก็เพราะความไม่ซื่อสัตย์ของเขาต่อพระยาห์เวห์ เขาไม่ยอมเชื่อฟังคำสั่งของพระยาห์เวห์ และเขายังได้ไปขอคำปรึกษาจากพวกคนทรงเจ้า[h] 14 แทนที่จะขอให้พระยาห์เวห์นำ พระองค์จึงได้ฆ่าเขาตายและเอาแผ่นดินของเขามอบให้กับดาวิดลูกชายของเจสซี

ฮีบรู 12

ให้ทำตามแบบอย่างของพระเยซู

12 ดังนั้น เมื่อเรามีพยานมากมายล้อมรอบเราอยู่อย่างนี้แล้ว ขอให้เราละทิ้งทุกอย่างที่ถ่วงเราไว้ และบาปที่เกาะติดเราแน่น และขอให้วิ่งแข่งด้วยความมานะอดทนไปตามทางที่อยู่ข้างหน้าเรา ขอให้เราจ้องอยู่ที่พระเยซู ซึ่งเป็นผู้นำความเชื่อของเราและเป็นผู้ที่ทำให้ความเชื่อของเราสมบูรณ์แบบ พระองค์ได้อดทนต่อการถูกตรึงบนไม้กางเขน เพื่อความยินดีที่รอพระองค์อยู่ พระองค์ไม่สนใจกับความอับอายที่ต้องตายบนไม้กางเขน และในตอนนี้พระองค์ได้นั่งอยู่ทางขวาของบัลลังก์ของพระเจ้า ขอให้ใคร่ครวญถึงพระองค์ผู้ที่ต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสจากคนบาปที่ต่อต้านพระองค์ เพื่อพวกคุณจะได้ไม่ท้อใจหรือยอมแพ้

พระเจ้าเป็นเหมือนพ่อ

ในเรื่องที่พวกคุณต้องต่อสู้กับบาปนั้น คุณยังไม่ต้องต่อสู้จนถึงกับเลือดตกยางออกเลย พวกคุณคงจะลืมคำที่ให้กำลังใจ คำพูดนี้เป็นคำที่ได้พูดกับคุณในฐานะที่เป็นลูกของพระเจ้าว่า

“ลูกเอ๋ย อย่าถือว่าการตีสอนขององค์เจ้าชีวิตนั้นเป็นเรื่องเล่นๆ
    และอย่าหมดกำลังใจเมื่อพระองค์มาตักเตือนเจ้า
เพราะองค์เจ้าชีวิตจะตีสอนคนที่พระองค์รัก
    และจะลงโทษทุกคนที่พระองค์รับเป็นลูก”[a]

ให้อดทนต่อความยากลำบาก เพราะเป็นการตีสอน แสดงว่าพระเจ้ากำลังทำกับพวกคุณเหมือนเป็นลูกของพระองค์ มีลูกคนไหนบ้างที่พ่อไม่เคยตีสอน ถ้าคุณไม่ถูกตีสอนเหมือนกับลูกทั่วๆไป แสดงว่าไม่ได้เป็นลูกแท้ๆ แต่เป็นลูกที่ไม่มีพ่อ เราทุกคนมีพ่อที่เป็นมนุษย์ที่คอยตีสอนเรา แต่เราก็ยังเคารพเขาอยู่ดี ยิ่งกว่านั้นอีกสักเท่าไร เราควรจะเชื่อฟังพระบิดาของจิตวิญญาณเรา เพื่อเราจะได้มีชีวิตอยู่ต่อไป 10 พ่อของเราที่เป็นมนุษย์จะตีสอนเราแค่ชั่วคราวตามที่เห็นว่าควร แต่พระเจ้าจะตีสอนเราเพื่อประโยชน์ของเรา เพื่อเราจะได้มีลักษณะเหมือนพระองค์ 11 ตอนที่ถูกตีสอนนั้น ไม่มีใครชอบหรอกเพราะมันเจ็บ แต่ภายหลังการตีสอนนั้นจะฝึกฝนเรา แล้วผลที่ออกมาก็คือสันติสุข และชีวิตที่พระเจ้าชอบใจ

ใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง

12 ดังนั้น ให้ยกมือที่ไม่มีแรงขึ้นมา และทำหัวเข่าที่อ่อนแอให้มีกำลังขึ้นมา 13 ทำทางเดินให้ตรงไปสำหรับเท้า เพื่อว่าเท้าที่เป็นง่อยนั้นจะได้ไม่พลิก แต่จะหายเป็นปกติ

14 พยายามอยู่กับคนทั้งหลายอย่างสงบสุข และพยายามอุทิศตัวเองกับพระเจ้า เพราะถ้าปราศจากการอุทิศตัวกับพระองค์ก็จะไม่มีใครเห็นองค์เจ้าชีวิต 15 ระวังตัวให้ดี อย่าให้ใครพลาดไปจากความเมตตากรุณาของพระเจ้า แล้วระวังอย่าให้มีรากขมขื่นงอกขึ้นมาก่อปัญหา ที่จะทำให้คนจำนวนมากต้องด่างพร้อย 16 ระวังอย่าให้ใครทำผิดทางเพศ หรือหมกมุ่นแต่เรื่องของโลกนี้เหมือนกับเอซาวที่ขายสิทธิ์ลูกชายหัวปี เพราะเห็นแก่อาหารเพียงมื้อเดียว 17 พวกคุณก็รู้ว่า ต่อมาเมื่อเอซาวอยากได้พรนั้น เขาก็ถูกปฏิเสธ เพราะว่าเขาไม่สามารถแก้ไขสิ่งที่เขาได้ทำลงไปแล้ว ถึงแม้เขาจะต้องการมากจนน้ำตานองหน้า

18 พวกคุณไม่ได้มาถึงภูเขาที่แตะต้องได้ ไม่ได้มาถึงไฟที่ไหม้อยู่ ไม่ได้มาถึงที่มืด ความมืดมิดอันน่ากลัวหรือพายุ 19 ไม่ได้มาถึงเสียงแตร หรือเสียงพูดของพระองค์ ที่คนที่ได้ยินนั้นอ้อนวอนไม่ให้พูดกับเขาอีก 20 เพราะเขาทนคำสั่งของพระองค์ไม่ไหวที่ว่า “แม้แต่สัตว์ ถ้าแตะต้องภูเขานี้ ก็จะต้องถูกหินขว้าง”[b] 21 สิ่งที่เห็นนั้นน่ากลัวจริงๆ จนโมเสสพูดว่า “ผมกลัวจนตัวสั่น”[c]

22 แต่พวกคุณได้มาถึงภูเขาศิโยน[d] มาถึงเมืองของพระเจ้าผู้มีชีวิตอยู่ คือเมืองเยรูซาเล็มแห่งสวรรค์[e] และได้มาถึงที่ที่ทูตสวรรค์นับพันนับหมื่นชุมนุมรื่นเริงกัน 23 ได้มาถึงหมู่ประชุมของบุตรหัวปีทั้งหลาย ซึ่งชื่อของพวกเขาจารึกอยู่ในสวรรค์ มาถึงพระเจ้าผู้พิพากษามนุษย์ทั้งหลาย และมาถึงวิญญาณของคนที่ทำตามใจพระเจ้า ที่พระเจ้าทำให้สมบูรณ์แบบแล้ว 24 ได้มาถึงพระเยซูคนกลางสำหรับคำสัญญาใหม่ และมาถึงเลือดที่ประพรม[f]ซึ่งบอกถึงสิ่งที่ดีกว่าเลือดของอาเบล[g]ได้บอก

25 ระวังให้ดี อย่าปฏิเสธที่จะฟังพระองค์ที่กำลังพูดกับพวกคุณอยู่ ถ้าคนพวกนั้นที่ปฏิเสธไม่ยอมฟังคำเตือนของพระองค์ในโลกนี้ ยังหนีการลงโทษไม่พ้นเลย แล้วเราล่ะ คิดว่าถ้าเมินหน้าหนีจากพระองค์ที่เตือนเรามาจากสวรรค์นั้น จะหนีพ้นหรือ 26 ในครั้งก่อนนั้น เสียงของพระองค์ทำให้แผ่นดินสั่นสะเทือน แต่ตอนนี้พระองค์ได้สัญญาว่า “เราจะทำให้สั่นสะเทือนอีกครั้งหนึ่ง ไม่ใช่เพียงแต่โลกนี้เท่านั้น แต่สวรรค์ด้วย”[h] 27 คำพูดที่ว่า “อีกครั้งหนึ่ง” แสดงว่าสิ่งที่สั่นสะเทือนได้ หมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์สร้างขึ้นมา จะถูกทำลายให้หมดไป เพื่อจะได้เหลือแต่สิ่งที่ไม่มีอะไรมาสั่นสะเทือนได้

28 เนื่องจากเรากำลังได้รับอาณาจักรที่ไม่มีอะไรสามารถมาสั่นสะเทือนมันได้ ก็ขอให้เรากตัญญูรู้คุณพระเจ้า นมัสการพระองค์อย่างเคารพยำเกรง ในทางที่พระเจ้าชอบใจ 29 เพราะพระเจ้าของเรานั้นเป็นไฟที่เผาผลาญ

อาโมส 6

อิสราเอลที่หยิ่งยโสจะไม่มีชีวิตที่ฟู่ฟ่าอีกต่อไป

นี่ พวกเจ้า พวกเจ้าที่ชอบอยู่อย่างสบายๆในเมืองศิโยน
    พวกเจ้าที่รู้สึกปลอดภัยบนภูเขาสะมาเรีย
พวกเจ้าที่คิดว่าตัวเองเป็นผู้นำที่สำคัญมากของชนชาติที่ดีที่สุด
    คนที่ครอบครัวของอิสราเอลต้องมาพึ่งพิง
พวกผู้นำของเจ้าอวดกับเจ้าว่า “ข้ามไปที่เมืองคาลเนห์[a] และไปดูสิ
    จากที่นั่นก็ให้ไปที่เมืองฮามัท[b] ที่ยิ่งใหญ่
    แล้วให้ลงไปที่กัทของชาวฟีลิสเตีย
เมืองพวกนั้นดีกว่าเมืองศิโยนกับเมืองสะมาเรียหรือ
    หรือดินแดนของพวกเขาใหญ่กว่าดินแดนของเจ้าหรือ”
พวกเจ้าคิดที่จะผลักวันแห่งความพินาศออกไปไกลๆ
    แต่เจ้ากลับนำบัลลังก์แห่งความโหดร้ายให้เข้ามาใกล้ๆ
พวกเจ้านอนลงบนเตียงที่ตกแต่งด้วยงาช้าง
    เจ้าเหยียดแข้งเหยียดขานอนอยู่บนโซฟา
และกินพวกลูกแกะที่คัดมาจากฝูง
    และพวกลูกวัวอ้วนพีจากคอก
พวกเจ้าร้องตามเสียงพิณใหญ่
    เหมือนกับดาวิด พวกเจ้าแต่งเพลงให้ตัวเองเข้ากับเครื่องดนตรี
พวกเจ้าดื่มจากชามเหล้าองุ่น
    และทาตัวเองด้วยน้ำมันอย่างดี
แต่ไม่เศร้าโศกเสียใจกับความล่มจมของครอบครัวโยเซฟ

ดังนั้น ตอนนี้พวกเจ้าก็จะถูกจับไปเป็นเชลยชุดแรก และงานเลี้ยงของพวกเจ้าที่นอนเหยียดแข้งเหยียดขาอยู่บนโซฟาก็จะถึงจุดจบ พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตได้สาบานโดยอ้างชื่อของพระองค์เอง นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์ พระเจ้าผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นบอก

“เราเกลียดชังความหยิ่งยโสของยาโคบ
    และเราเกลียดชังป้อมปราการของเขา
ดังนั้นเราจะปล่อยให้ศัตรูมายึดเมืองสะมาเรีย
    และทุกสิ่งทุกอย่างในเมืองนั้นไป”

จะมีคนอิสราเอลรอดชีวิตไม่กี่คน

ถ้ามีสิบคนหลงเหลืออยู่ในบ้านหลังหนึ่ง พวกเขาจะตายหมดทุกคน 10 แล้วญาติที่ใกล้ชิดที่สุดและสัปเหร่อก็จะมาแบกศพเหล่านั้นออกจากบ้านและจะมีคนหนึ่งถามคนที่อยู่ในสุดของบ้านว่า “ยังมีใครเหลืออยู่กับเจ้าในนั้นหรือเปล่า” เขาจะตอบว่า “ไม่มี” แล้วคนแรกก็จะพูดว่า “จุ๊ จุ๊ อย่าเอะอะไป อย่าได้เอ่ยชื่อของพระยาห์เวห์”

11 เพราะ ดูสิ พระยาห์เวห์จะออกคำสั่ง
    พระองค์ก็จะขยี้บ้านหลังใหญ่ให้เป็นชิ้นๆ
    และบ้านหลังเล็กให้ละเอียดไป
12 ม้าวิ่งอยู่บนชะเงื้อมหินได้หรือ
    หรือว่าเขาเอาวัวมาไถทะเลหรือ
แต่เจ้าได้เปลี่ยนความยุติธรรมให้กลายเป็นยาพิษ
    และเปลี่ยนผลไม้แห่งความถูกต้องให้กลายเป็นบอระเพ็ด
13 พวกเจ้าที่ชื่นชมยินดีที่ได้ยึดเมืองโลเดบาร์[c]
    พวกเจ้าที่พูดว่า “เราได้ยึดเอาคารนาอิม[d] มาเป็นของเราด้วยกำลังของเราเองไม่ใช่หรือ”

14 “ครอบครัวอิสราเอลเอ๋ย คอยดูให้ดี เราจะทำให้ชนชาติหนึ่งมาต่อสู้กับพวกเจ้า” พระยาห์เวห์ พระเจ้าผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้น พูดว่าอย่างนั้น “และพวกเขาก็จะกดขี่ข่มเหงเจ้าจากเมืองลีโอฮามัทไปจนถึงลำธารอาราบาห์”

ลูกา 1:39-80

มารีย์เยี่ยมเอลีซาเบธ

39 ในเวลานั้นมารีย์เตรียมตัวและรีบเดินทางไปเมืองหนึ่งที่ตั้งอยู่ในแถบภูเขายูเดีย 40 นางเข้าไปในบ้านของเศคาริยาห์ และทักทายเอลีซาเบธ 41 เมื่อเอลีซาเบธได้ยินเสียงทักทายของมารีย์ เด็กในท้องของเอลีซาเบธก็ดิ้นและตัวนางก็เต็มเปี่ยมไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ 42 เอลีซาเบธพูดเสียงดังว่า “ในจำนวนผู้หญิงทั้งหมด พระเจ้าอวยพรหลานมากที่สุด และพระเจ้าอวยพรเด็กที่หลานจะคลอดออกมาด้วย 43 ป้ารู้สึกเป็นเกียรติจริงๆที่แม่ขององค์เจ้าชีวิตของป้ามาเยี่ยม 44 พอป้าได้ยินเสียงทักทายของหลาน เด็กในท้องป้าก็ดิ้นเพราะดีใจ 45 หลานมีเกียรติจริงๆเพราะหลานเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นจริงตามที่องค์เจ้าชีวิตบอก”

มารีย์สรรเสริญพระเจ้า

46 แล้วมารีย์พูดว่า “ดิฉันโอ้อวดในความยิ่งใหญ่ขององค์เจ้าชีวิตสุดหัวใจ
47 ดิฉันปลาบปลื้มยินดีในพระเจ้าผู้ช่วยให้รอดของดิฉัน
48 เพราะพระองค์ แสดงความห่วงใยดิฉัน ทาสที่ต่ำต้อยของพระองค์
    ดูสิ ต่อจากนี้ไป คนทุกยุคทุกสมัยก็จะให้เกียรติกับดิฉัน
49 เพราะพระเจ้าผู้มีอำนาจทั้งสิ้นทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่มหาศาลให้กับดิฉัน
    ชื่อของพระองค์นั้นศักดิ์สิทธิ์
50 พระองค์มีเมตตากรุณากับคนทุกยุคทุกสมัยที่ยำเกรงพระองค์
51 พระองค์ใช้แขนที่เข้มแข็งทำสิ่งยิ่งใหญ่จริงๆ
    พระองค์ทำให้พวกคนหยิ่งผยองแตกกระเจิงไป
52 พระองค์ปลดพวกผู้ปกครองที่เข้มแข็งจากบัลลังก์
    และชูผู้ต่ำต้อยขึ้น
53 พระองค์มอบสิ่งดีๆให้กับคนที่หิวโหย
    และทำให้คนร่ำรวยไปตัวเปล่า
54 พระองค์มาเพื่อช่วยอิสราเอล ผู้รับใช้ของพระองค์
    พระองค์ไม่เคยลืมที่จะเมตตาคนของพระองค์
55 พระองค์ทำตามที่สัญญาไว้กับอับราฮัมบรรพบุรุษของพวกเราและลูกหลานของเขาตลอดไป”

56 มารีย์อยู่กับเอลีซาเบธเป็นเวลาสามเดือน แล้วจึงกลับบ้านไป

ยอห์นเกิด

57 เมื่อครบกำหนดคลอด เอลีซาเบธคลอดลูกชายคนหนึ่ง 58 เมื่อเพื่อนบ้านและญาติพี่น้องรู้ข่าวว่าองค์เจ้าชีวิตเมตตากรุณากับนางอย่างใหญ่หลวง พวกเขาต่างก็พากันดีใจกับนางด้วย

59 เมื่อเด็กเกิดมาได้แปดวัน พวกเขาก็ทำพิธีขลิบให้ แต่ระหว่างที่กำลังจะตั้งชื่อเด็กว่า เศคาริยาห์ตามชื่อพ่อของเด็กนั้น 60 แม่ของเด็กก็ค้านว่า “ไม่ได้ เขาจะต้องชื่อยอห์น”

61 พวกเขาจึงพูดกับนางว่า “เธอไม่มีญาติสักคนที่ชื่อนี้เลยนะ” 62 แล้วพวกเขาก็หันไปทำท่ากับพ่อเด็ก เพื่อถามว่าจะให้ลูกชื่ออะไรดี

63 เศคาริยาห์จึงขอกระดานมาเขียนว่า “เขาชื่อยอห์น” ทุกคนก็แปลกใจกัน 64 จู่ๆเศคาริยาห์ก็พูดได้อีกครั้ง แล้วเขาก็ขอบคุณสรรเสริญพระเจ้า 65 เพื่อนบ้านทั้งหมดต่างพากันเกรงกลัว และชาวบ้านที่อาศัยอยู่ตามเทือกเขาของยูเดียก็พูดกันถึงสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ 66 ทุกคนที่ได้ยินเรื่องนี้ต่างสงสัยว่า “เด็กคนนี้เมื่อโตขึ้นจะเป็นยังไง” เพราะพวกเขารู้ว่าองค์เจ้าชีวิตอยู่กับเด็กคนนี้เป็นพิเศษ

เศคาริยาห์สรรเสริญพระเจ้า

67 แล้วเศคาริยาห์พ่อของเด็ก ก็เต็มไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และพูดแทนพระเจ้าว่า

68 “สรรเสริญองค์เจ้าชีวิต พระเจ้าของพวกอิสราเอล
    เพราะพระองค์มาเยี่ยมเยียนคนของพระองค์และได้ปลดปล่อยให้พวกเขาเป็นอิสระ
69 พระองค์ได้ส่งพระผู้ช่วยให้รอดที่มีพลังอันแข็งแกร่งมาให้เรา
    โดยให้เกิดในตระกูลดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์
70 ทุกอย่างเป็นไปตามที่พระองค์ได้สัญญาไว้ ผ่านทางพวกที่พระเจ้าแต่งตั้งเป็นพิเศษให้พูดแทนพระองค์ในสมัยโบราณ
71 พระองค์สัญญาว่าจะช่วยให้พวกเราปลอดภัยจากศัตรู
    และจากคนทั้งหมดที่เกลียดชังพวกเรา
72 พระองค์สัญญาว่าจะเมตตาต่อบรรพบุรุษของพวกเรา
    และรักษาคำสัญญาอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์
73 พระองค์เลยสาบานไว้กับอับราฮัม บรรพบุรุษของพวกเรา
74 ว่าพระองค์จะช่วยเหลือให้พวกเราพ้นจากศัตรูของพวกเรา
    และพวกเราจะได้รับใช้พระองค์อย่างไม่ต้องหวาดกลัว
75 จะได้รับใช้ด้วยความบริสุทธิ์ และด้วยชีวิตที่พระองค์ชอบใจต่อหน้าพระองค์จนตลอดชีวิต
76 ลูกน้อยเอ๋ย เจ้าจะได้ชื่อว่าเป็นผู้พูดแทนพระเจ้าสูงสุด
    เพราะเจ้าจะนำหน้าองค์เจ้าชีวิต เพื่อเตรียมทางให้กับพระองค์
77 เพื่อจะบอกคนของพระเจ้าว่าพวกเขาจะรอด
    ทางที่จะรอดนั้นก็คือพระเจ้ายกโทษบาปของพวกเขา
78 เพราะความเมตตาสงสารของพระเจ้า
    แสงจากสวรรค์ใกล้จะส่องลงมาถึงพวกเราแล้ว เหมือนแสงของวันใหม่
79 ส่องลงมาถึงคนที่อยู่ในความมืดและอยู่ในเงาของความตาย
    เพื่อนำพวกเราไปบนหนทางของความสงบสุข”

80 ฝ่ายทารกนั้นก็ได้เติบโตขึ้น และพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ให้พลังอันยิ่งใหญ่กับเขา[a] เขาอาศัยอยู่ในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง จนถึงเวลาที่เขาออกไปประกาศกับชนชาติอิสราเอล

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International