Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

Beginning

Read the Bible from start to finish, from Genesis to Revelation.
Duration: 365 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
เอสเธอร์ 1-5

งานเลี้ยงของกษัตริย์

ในสมัยของอาหสุเอรัส[a] คืออาหสุเอรัสผู้ที่ปกครอง 127 แคว้น ตั้งแต่อินเดียถึงคูช ในสมัยนั้น เมื่อกษัตริย์อาหสุเอรัสครองราชบัลลังก์ในสุสาเมืองป้อมปราการ ในปีที่สามหลังจากที่ได้ขึ้นครองราชย์ ท่านจัดงานเลี้ยงให้แก่เจ้านายชั้นผู้ใหญ่และข้าราชการทั้งสิ้นของท่าน กองทัพของเปอร์เซียและมีเดีย บรรดาผู้สูงศักดิ์และผู้ว่าราชการประจำแคว้นต่างก็มาพร้อมหน้ากัน ตลอดเวลา 180 วัน ท่านแสดงความมั่งมีแห่งราชอาณาจักร ความรุ่งเรืองของความยิ่งใหญ่ของท่าน เมื่อเสร็จสิ้น กษัตริย์ก็โปรดให้มีงานเลี้ยงในสุสาเมืองป้อมปราการ แก่ประชาชนทั้งปวงทั้งผู้ใหญ่และผู้น้อย งานนี้ใช้เวลานานถึง 7 วัน ณ ลานสวนแห่งราชวัง ในสวนมีม่านผ้าฝ้ายสีขาวและสีฟ้า ผูกด้วยเชือกป่านเนื้อดีสีม่วงคล้องกับห่วงเงินและเสาหินอ่อน มีเตียงทองคำและเงินตั้งอยู่บนพื้นหินโมเสคสีแดงม่วง หินอ่อน เปลือกมุก และเพชรพลอย เครื่องดื่มรินใส่ถ้วยทองคำ ถ้วยหลากชนิด และมีเหล้าองุ่นของกษัตริย์ให้ดื่มโดยไม่จำกัด เพราะกษัตริย์ใจกว้าง การดื่มเป็นไปตามคำสั่งที่ว่า “ไม่มีการบังคับใดๆ” เพราะกษัตริย์ได้ออกคำสั่งแก่พนักงานทุกคนในวังของท่านว่า แต่ละคนทำตามความพอใจของตน ส่วนราชินีวัชทีก็จัดงานเลี้ยงสำหรับผู้หญิงในวังของกษัตริย์อาหสุเอรัสด้วย

ราชินีวัชทีปฏิเสธคำบัญชา

10 ในวันที่เจ็ด เมื่อใจของกษัตริย์หรรษาด้วยเหล้าองุ่น ท่านสั่งเมหุมาน บิสธา ฮาร์โบนา บิกธา อาบักธา เศธาร์ และคาร์คาส ผู้เป็นขันทีทั้งเจ็ดที่รับใช้กษัตริย์อาหสุเอรัส 11 ให้พาราชินีวัชทีมาเข้าเฝ้ากษัตริย์ พร้อมกับสวมมงกุฎของเธอด้วย เพื่อให้ประชาชนและบรรดาเจ้าขุนมูลนายได้ชมความงามของเธอ เพราะเธอรูปงามยิ่งนัก 12 แต่ราชินีวัชทีปฏิเสธคำบัญชาของกษัตริย์ที่รับสั่งไปกับขันที กษัตริย์จึงกริ้วยิ่งนักและความโกรธก็เร่าร้อนอยู่ในใจ

13 กษัตริย์จึงกล่าวกับผู้เรืองปัญญาว่าควรจะทำอย่างไร (เพราะเป็นวิธีการของกษัตริย์ที่จะปรึกษาผู้ชำนาญกฎมนเทียรบาลและการตัดสินความ 14 และเป็นคนสนิทของกษัตริย์ด้วยคือ คาร์เช-นา เชธาร์ อัดมาธา ทาร์ชิช เมเรส มาร์เส-นา และเมมูคาน ซึ่งเป็นเจ้านายชั้นผู้ใหญ่แห่งเปอร์เซียและมีเดีย เข้าถึงตัวกษัตริย์ได้เสมอและมีตำแหน่งสูงในอาณาจักร) 15 กษัตริย์ถามว่า “จะต้องทำอย่างไรต่อราชินีวัชทีตามกฎหมาย ในเมื่อเธอไม่ปฏิบัติตามคำบัญชาของกษัตริย์อาหสุเอรัสที่รับสั่งไปกับขันที” 16 เมมูคานจึงกล่าวต่อหน้ากษัตริย์และบรรดาเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ว่า “ราชินีวัชทีไม่เพียงกระทำผิดต่อกษัตริย์เท่านั้น แต่ผิดต่อบรรดาเจ้านายชั้นผู้ใหญ่และประชาชนทั้งปวงในทุกแคว้นของกษัตริย์อาหสุเอรัสด้วย 17 เพราะการกระทำของราชินีจะเป็นที่ทราบกันในบรรดาผู้หญิงทั้งปวง ซึ่งเป็นเหตุให้พวกเขาดูหมิ่นสามีของตนเอง และจะพูดกันได้ว่า ‘กษัตริย์อาหสุเอรัสบัญชาราชินีวัชทีให้มาเข้าเฝ้า แต่พระนางก็ไม่มา’ 18 ในวันนี้ บรรดาผู้หญิงที่เป็นเจ้านายชั้นผู้ใหญ่แห่งเปอร์เซียและมีเดีย ที่ทราบถึงการกระทำของราชินี ก็จะพูดเหมือนกันแก่บรรดาเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ของกษัตริย์ จะเกิดการดูหมิ่นดูแคลนและความโกรธเกรี้ยวมากมาย 19 ถ้าหากว่าจะเป็นที่พอใจของกษัตริย์ ขอให้มีคำสั่งของราชสำนักซึ่งเขียนระบุในกฎของชาวเปอร์เซียและชาวมีเดียว่า นางวัชทีไม่มีสิทธิ์เข้าเฝ้ากษัตริย์อาหสุเอรัส และจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงคำสั่งนี้ และขอให้กษัตริย์มอบราชตำแหน่งแก่ผู้อื่นที่เหมาะสมกว่าเธอ 20 ดังนั้นเมื่อมีการประกาศกฤษฎีกาของกษัตริย์ทั่วอาณาจักรอันกว้างใหญ่ ผู้หญิงทั้งปวงก็จะยกย่องสามีของตน ทั้งผู้ใหญ่และผู้น้อย” 21 คำแนะนำนี้เป็นที่พอใจของกษัตริย์และบรรดาเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ กษัตริย์จึงกระทำตามดังที่เมมูคานเสนอ 22 ท่านส่งสาสน์ไปยังแคว้นต่างๆ ของกษัตริย์ ถึงแต่ละแคว้นเป็นลายลักษณ์อักษรต้นฉบับแก่ชนทุกชาติในภาษาของเขาเอง คือให้ชายทุกคนเป็นเจ้านายในครัวเรือนของตน

เอสเธอร์รับเลือกเป็นราชินี

หลังจากนั้น เมื่อกษัตริย์อาหสุเอรัสคลายความโกรธลงแล้ว ท่านระลึกถึงการกระทำของนางวัชที และคำสั่งที่ห้ามนางเข้าเฝ้าต่อไป และบรรดาผู้รับใช้ชายที่ปรนนิบัติกษัตริย์เสนอว่า “ขอโปรดเสาะหาพรหมจาริณีสาวรูปงามให้กษัตริย์เถิด และให้กษัตริย์แต่งตั้งเจ้าหน้าที่ในแคว้นทุกแคว้นของอาณาจักร เพื่อพาพรหมจาริณีสาวรูปงามทุกคนมายังฮาเร็มที่สุสาเมืองป้อมปราการ ให้อยู่ภายใต้การดูแลของเฮกัยขันทีของกษัตริย์ ผู้ควบคุมดูแลผู้หญิงทั้งหลาย และให้พวกเขาได้รับการเสริมความงาม และขอให้หญิงสาวผู้เป็นที่โปรดปรานของกษัตริย์ ได้รับตำแหน่งราชินีแทนวัชที” กษัตริย์พอใจในข้อเสนอ จึงดำเนินการตามนั้น

ในเวลานั้น มีชาวยิวผู้หนึ่งที่สุสาเมืองป้อมปราการ ชื่อโมร์เดคัยบุตรของยาอีร์ ยาอีร์เป็นบุตรของชิเมอี ชิเมอีเป็นบุตรของคีชชาวเบนยามิน เขาเป็นคนที่ถูกจับตัวจากเยรูซาเล็มไปเป็นเชลยพร้อมกับกลุ่มเชลยและเยโคนิยาห์[b]กษัตริย์แห่งยูดาห์ ครั้งที่เนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์บาบิโลนจับไป เขาเลี้ยงดูฮาดัสซา ซึ่งมีอีกชื่อหนึ่งว่า เอสเธอร์ เธอเป็นบุตรหญิงของลุงของเขา และกำพร้าทั้งบิดาและมารดา เธอมีรูปร่างหน้าตาสวย เมื่อบิดามารดาของเธอสิ้นชีวิต โมร์เดคัยจึงรับเธอมาเป็นบุตรของตน ฉะนั้น เมื่อมีคำสั่งและประกาศกฤษฎีกาของกษัตริย์ และเมื่อหญิงสาวมากมายมารวมกันที่สุสาเมืองป้อมปราการ ภายใต้การดูแลของเฮกัย เอสเธอร์ก็ถูกนำมายังราชวัง และอยู่ภายใต้การดูแลของเฮกัยผู้ควบคุมดูแลผู้หญิงทั้งหลาย เอสเธอร์เป็นที่พึงใจและทำให้เขาชอบใจเธอเป็นพิเศษ เขาจึงเตรียมเสริมความงามและจัดหาอาหารให้แก่เธอเพิ่มเติม อีกทั้งจัดหาหญิงสาว 7 คนที่ได้คัดเลือกจากราชวัง เพื่อมารับใช้เธอ และย้ายเอสเธอร์กับหญิงรับใช้เข้าไปอยู่ในสถานที่ดีที่สุดในฮาเร็ม 10 เอสเธอร์ยังไม่ได้เปิดเผยสัญชาติและประวัติครอบครัวของเธอ เพราะโมร์เดคัยได้สั่งห้ามไว้ 11 ทุกๆ วัน โมร์เดคัยเดินอยู่ที่หน้าลานฮาเร็ม เพื่อดูว่าเอสเธอร์เป็นอยู่อย่างไร และเธอทำอะไรบ้าง

12 หลังจากที่บรรดาหญิงสาวผ่านการเสริมความงามเป็นเวลา 12 เดือนตามกำหนด คือ ชโลมกายด้วยน้ำมันมดยอบ 6 เดือน และด้วยน้ำมันกับเครื่องหอมอีก 6 เดือนก็จะถึงเวรที่หญิงสาวแต่ละคนจะได้เข้าเฝ้ากษัตริย์อาหสุเอรัส 13 เมื่อหญิงสาวเข้าเฝ้ากษัตริย์ในกรณีดังกล่าว เธอจะได้รับสิ่งที่เธอปรารถนาจากฮาเร็ม และนำติดตัวไปที่ราชวัง 14 ในเวลาเย็น เธอจะไปที่ราชวัง และในเวลาเช้า เธอจะกลับไปยังฮาเร็มที่สองภายใต้การดูแลของชาอัชกัซขันทีของกษัตริย์ ผู้เป็นผู้ควบคุมดูแลบรรดาภรรยาน้อย เธอจะไม่เข้าเฝ้ากษัตริย์อีก เว้นเสียแต่ว่ากษัตริย์จะพึงพอใจเธอ และเรียกชื่อเธอให้มาเข้าเฝ้า

15 เมื่อถึงเวลาของเอสเธอร์บุตรหญิงของอาบีฮาอิลลุงของโมร์เดคัย ผู้รับเธอเป็นบุตรของตน จะต้องเข้าเฝ้ากษัตริย์ เธอไม่ได้ขอสิ่งใดนอกจากสิ่งที่เฮกัยแนะนำ เฮกัยเป็นขันทีของกษัตริย์ และเป็นผู้ควบคุมดูแลกลุ่มผู้หญิง ส่วนเอสเธอร์ก็เป็นที่โปรดปรานในสายตาของทุกคนที่เห็นเธอ 16 ครั้นเอสเธอร์ถูกนำไปเข้าเฝ้ากษัตริย์อาหสุเอรัสที่ราชวัง ในเดือนที่สิบซึ่งเป็นเดือนเทเบท ในปีที่เจ็ดแห่งการครองราชย์ของท่าน 17 กษัตริย์ก็รักเอสเธอร์ยิ่งกว่าหญิงสาวคนอื่นๆ และเธอเป็นที่โปรดปรานและเห็นชอบของกษัตริย์ มากกว่าพรหมจาริณีทั้งปวง ท่านจึงสวมราชมงกุฎบนศีรษะเธอ และแต่งตั้งเธอเป็นราชินีแทนวัชที 18 และกษัตริย์ก็จัดงานฉลองให้แก่บรรดาเจ้านายชั้นผู้ใหญ่และข้าราชการของท่าน เป็นงานฉลองเพื่อเอสเธอร์ ท่านประกาศให้ถือเป็นวันหยุดทั่วทุกแคว้น และแจกของขวัญด้วยความใจกว้าง

โมร์เดคัยทราบถึงแผนการร้าย

19 เมื่อบรรดาพรหมจาริณีถูกนำมารวมกันเป็นครั้งที่สอง โมร์เดคัยนั่งอยู่ที่ประตูของกษัตริย์ 20 เอสเธอร์ยังไม่ได้เปิดเผยประวัติครอบครัวและสัญชาติของเธอ ดังที่โมร์เดคัยสั่งเธอไว้ เพราะเอสเธอร์เชื่อฟังโมร์เดคัยเหมือนกับครั้งที่เธอเติบโตภายใต้การเลี้ยงดูของเขา 21 ในเวลานั้น โมร์เดคัยกำลังนั่งอยู่ที่ประตูราชวัง บิกธานและเทเรช ขันที 2 คนของกษัตริย์ที่เฝ้าธรณีประตู มีความโกรธและสมคบกันปองร้ายกษัตริย์อาหสุเอรัส 22 โมร์เดคัยทราบเรื่อง จึงบอกให้ราชินีเอสเธอร์ทราบ เอสเธอร์ทูลกษัตริย์ในนามของโมร์เดคัย 23 เมื่อสืบความ และพบว่าเป็นจริงดังกล่าว ขันทีทั้ง 2 คนจึงถูกแขวนคอที่ตะแลงแกง และเรื่องนี้มีบันทึกอยู่ในหนังสือแห่งพงศาวดารต่อหน้ากษัตริย์

ฮามานคิดแผนการร้ายต่อชาวยิว

หลังจากเหตุการณ์เหล่านี้ กษัตริย์อาหสุเอรัสเลื่อนตำแหน่งฮามานชาวอากัก บุตรของฮัมเมดาธา ให้สูงขึ้นเหนือบรรดาเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ทั้งปวงที่อยู่กับเขา บรรดาเจ้าหน้าที่ของกษัตริย์ ที่อยู่ที่ประตูราชวังก้มแสดงความเคารพฮามาน ตามที่กษัตริย์ได้บัญชา แต่โมร์เดคัยไม่ก้มลงหรือแสดงความเคารพฮามาน บรรดาเจ้าหน้าที่ของกษัตริย์ที่ประตูราชวังถามโมร์เดคัยว่า “ทำไมท่านจึงไม่เชื่อฟังคำสั่งของกษัตริย์” พวกเขาพูดกับโมร์เดคัยวันแล้ววันเล่า แต่โมร์เดคัยก็ไม่ฟัง พวกเขาจึงไปบอกฮามาน เพื่อดูว่า ฮามานจะทำอย่างไรต่อโมร์เดคัย เพราะเขาได้อ้างว่า เขาเป็นชาวยิว ส่วนฮามาน เมื่อเห็นว่าโมร์เดคัยไม่ก้มแสดงความเคารพเขา เขาก็เดือดดาลนัก แต่เขารู้สึกว่าการที่จะกำจัดโมร์เดคัยเพียงผู้เดียวนั้นยังไม่พอ จึงได้หาทางจะกำจัดชาวยิวทั้งสิ้นซึ่งเป็นคนของโมร์เดคัยด้วย ตามที่เจ้าหน้าที่ได้แจ้งให้ทราบถึงคนของโมร์เดคัยที่อาศัยอยู่ทั่วไปในอาณาจักรของอาหสุเอรัส

ในปีที่สิบสองของกษัตริย์อาหสุเอรัส ในเดือนแรกคือเดือนนิสาน มีการเสี่ยงปูร์ (คือการจับฉลาก) ต่อหน้าฮามาน เพื่อเลือกวันและเดือน และเสี่ยงได้เป็นเดือนสิบสองคือเดือนอาดาร์ ฮามานบอกกษัตริย์อาหสุเอรัสว่า “มีประชาชนกลุ่มหนึ่งที่กระจัดกระจายไปต่างแดน และแทรกตัวอาศัยอยู่ในหมู่ประชาชนทุกแคว้นในอาณาจักรของท่าน กฎของพวกเขาต่างจากกฎของชนกลุ่มอื่นๆ และพวกเขาไม่ปฏิบัติตามกฎของกษัตริย์ ฉะนั้นไม่เป็นประโยชน์อันใด ที่กษัตริย์จะต้องทนพวกเขา ถ้าเป็นที่พอใจของกษัตริย์ ขอโปรดออกกฤษฎีกาให้กำจัดพวกเขาเสีย และข้าพเจ้าจะมอบเงิน 10,000 ตะลันต์[c]ไว้ในคลังของกษัตริย์ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับคนที่จะดำเนินการ” 10 ดังนั้น กษัตริย์ถอดแหวนตราจากนิ้วมือท่าน และมอบให้แก่ฮามานชาวอากัก บุตรของฮัมเมดาธา ศัตรูของชาวยิว 11 และกษัตริย์กล่าวกับฮามานว่า “จงเก็บเงินของเจ้าไว้ ส่วนประชาชนนั้น กระทำต่อพวกเขาตามที่เจ้าเห็นชอบ”

12 ในวันที่สิบสามของเดือนแรก บรรดาเลขาของกษัตริย์ถูกเรียกมาเขียนกฤษฎีกาตามทุกสิ่งที่ฮามานสั่งไว้ และส่งไปให้แก่ผู้ปกครองแคว้นต่างๆ ของกษัตริย์ และแก่ผู้ว่าราชการที่ดูแลแต่ละแคว้น และแก่เจ้านายชั้นผู้ใหญ่ของแต่ละชนชาติ สำหรับแต่ละแคว้นตามอักษรที่ระบุไว้ และแต่ละชนชาติตามภาษา ลงในนามกษัตริย์อาหสุเอรัส และผนึกด้วยแหวนตราของกษัตริย์ 13 บรรดาคนเดินข่าวด่วนก็ส่งจดหมายไปยังแคว้นต่างๆ ของกษัตริย์ พร้อมกับระบุว่าให้ทำลาย ฆ่า และกำจัดชาวยิวจนหมดสิ้น ทั้งคนหนุ่มและคนชรา ผู้หญิงและเด็กๆ ในวันเดียว คือในวันที่สิบสามของเดือนสิบสองคือเดือนอาดาร์ และริบทุกสิ่งที่เป็นของพวกเขา 14 ให้ทำสำเนาจดหมายพร้อมกับคำบัญชา เป็นกฤษฎีกาแก่ทุกแคว้น ประกาศแก่ประชาชนทั้งปวงเพื่อให้เตรียมพร้อมในวันนั้น 15 บรรดาคนเดินข่าวด่วนรีบไป ตามคำสั่งของกษัตริย์ กฤษฎีกานั้นถูกเขียนขึ้นในสุสาเมืองป้อมปราการ ขณะที่กษัตริย์และฮามานนั่งดื่มด้วยกัน ในเมืองสุสากลับสับสนอลหม่าน

เอสเธอร์เห็นชอบที่จะช่วยชาวยิว

เมื่อโมร์เดคัยทราบถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เขาจึงฉีกเสื้อของตน และสวมผ้ากระสอบและเทขี้เถ้าลงบนศีรษะของตน เขาเดินเข้าไปในเมือง และร้องเสียงดังอย่างขมขื่น เขาขึ้นไปยืนที่ทางเข้าประตูราชวัง ไม่มีผู้ใดที่สวมผ้ากระสอบได้รับอนุญาตเข้าทางประตูราชวัง เมื่อชาวยิวในทุกแคว้นได้รับคำบัญชาและกฤษฎีกาของกษัตริย์ พวกเขาก็เศร้าโศกยิ่งนัก จึงมีการอดอาหาร ร้องไห้และร้องคร่ำครวญ หลายคนสวมผ้ากระสอบนอนบนขี้เถ้า

เมื่อบรรดาหญิงสาวและขันทีของเอสเธอร์มาแจ้งข่าวให้เธอทราบ ราชินีก็เป็นทุกข์ยิ่งนัก เธอให้นำเสื้อผ้าไปให้โมร์เดคัย เพื่อให้เขาสวมแทนผ้ากระสอบ แต่เขาปฏิเสธ เอสเธอร์จึงเรียกตัวฮาธาคขันทีคนหนึ่งที่ได้รับการแต่งตั้งจากกษัตริย์ให้รับใช้เธอ เอสเธอร์สั่งเขาให้ไปหาโมร์เดคัย เพื่อดูว่าเกิดเรื่องอะไรและสาเหตุของเรื่องนั้นคืออะไร ฮาธาคไปหาโมร์เดคัยที่ลานเมืองตรงหน้าประตูราชวัง และโมร์เดคัยบอกฮาธาคทุกอย่างว่าได้เกิดอะไรขึ้นกับเขา รวมทั้งเรื่องเงินที่ฮามานสัญญาว่าจะจ่ายให้คลังของกษัตริย์เพื่อใช้ในการกำจัดชาวยิว โมร์เดคัยได้ให้สำเนากฤษฎีกาที่ประกาศในสุสาที่จะกวาดล้างพวกเขา เขาจะได้ให้เอสเธอร์ดู และรายงานให้เธอทราบ และสั่งเขาให้ขอเธอเข้าเฝ้ากษัตริย์ เพื่ออ้อนวอนขอความกรุณาจากท่าน ในนามของประชาชนของเธอ แล้วฮาธาคก็ไปเล่าให้เอสเธอร์ฟังว่า โมร์เดคัยได้พูดสิ่งใดบ้าง 10 เอสเธอร์กล่าวกับฮาธาค และสั่งเขาให้ไปหาโมร์เดคัย เพื่อบอกเขาดังนี้ว่า 11 “เป็นที่รู้กันในบรรดาเจ้าหน้าที่ของกษัตริย์และประชาชนในแคว้นต่างๆ ของกษัตริย์ว่า หากชายหรือหญิงคนใดเข้าไปเฝ้ากษัตริย์ที่ตำหนักชั้นใน โดยไม่มีรับสั่งมาก่อน จะต้องถูกประหารตามกฎนี้เท่านั้น ยกเว้นว่ากษัตริย์ยื่นคทาทองไปทางคนนั้น เขาก็จะรอดชีวิต ส่วนตัวฉันเอง 30 วันที่ผ่านมาก็ยังไม่มีรับสั่งให้ไปเข้าเฝ้าเลย”

12 เมื่อโมร์เดคัยรับทราบสิ่งที่เอสเธอร์แจ้งแล้ว 13 เขาตอบเอสเธอร์ว่า “อย่าคิดในใจว่า การที่เธออาศัยอยู่ในราชวัง เธอจะหนีความตายได้มากกว่าชาวยิวคนอื่นๆ 14 เพราะหากเวลานี้เธอเงียบเฉย การบรรเทาทุกข์และความอยู่รอดของชาวยิวจะมาจากที่อื่น แต่เธอและตระกูลของเธอจะพินาศไป เธอได้มารับตำแหน่งราชินีเพื่อวิกฤตกาลเช่นนี้ก็เป็นได้ ใครจะไปรู้” 15 เอสเธอร์ให้นำคำตอบกลับไปบอกโมร์เดคัยว่า 16 “ไปเถิด ขอให้รวบรวมชาวยิวทั้งหมดที่อยู่ในสุสา ให้อดอาหารเพื่อฉัน อย่ารับประทานหรือดื่มอะไร 3 วัน ทั้งกลางวันและกลางคืน บรรดาหญิงสาวและตัวฉันก็จะอดอาหารอย่างท่านด้วย แล้วฉันจะไปเข้าเฝ้ากษัตริย์ แม้ว่าจะผิดกฎ ถึงฉันจะตาย ฉันก็ยอม” 17 โมร์เดคัยจึงไปทำทุกสิ่งตามที่เอสเธอร์สั่งให้เขาทำ

เอสเธอร์จัดเตรียมงานเลี้ยง

พอถึงวันที่สาม เอสเธอร์สวมเสื้อคลุมของราชินี และยืนที่ลานชั้นในของวัง ซึ่งอยู่ด้านหน้าของตำหนัก ในขณะเดียวกับที่กษัตริย์กำลังนั่งบนราชบัลลังก์ในห้องบัลลังก์ซึ่งอยู่ตรงข้ามทางเข้าวัง ครั้นกษัตริย์เห็นราชินีเอสเธอร์ยืนอยู่ที่ลาน เธอก็เป็นที่พอใจยิ่งนัก ท่านจึงยื่นคทาทองในมือท่านออกไปที่เอสเธอร์ เอสเธอร์จึงเข้าไปใกล้และแตะที่ยอดคทา กษัตริย์จึงถามเธอว่า “มีเรื่องอะไรหรือ ราชินีเอสเธอร์ เธออยากจะขออะไร เราจะมอบให้เธอ แม้จะถึงครึ่งหนึ่งของราชอาณาจักรของเรา” เอสเธอร์ตอบว่า “หากว่าจะโปรด ขอท่านและฮามานมางานเลี้ยงที่หม่อมฉันได้เตรียมไว้สำหรับท่านในวันนี้เถิด” กษัตริย์จึงตอบว่า “เรียกฮามานมาโดยเร็ว เพื่อเราจะได้ทำตามที่เอสเธอร์ขอ” ดังนั้น กษัตริย์และฮามานจึงมางานเลี้ยงที่เอสเธอร์ได้เตรียมไว้ ขณะที่คนในงานกำลังดื่มเหล้าองุ่น กษัตริย์กล่าวกับเอสเธอร์ว่า “เธออยากได้อะไร เราก็จะมอบให้เธอ และเธออยากจะขออะไร แม้จะถึงครึ่งหนึ่งของราชอาณาจักรของเรา ก็จะเป็นไปตามนั้น” เอสเธอร์จึงตอบว่า “สิ่งที่หม่อมฉันจะขอก็คือ หากว่าหม่อมฉันเป็นที่โปรดปรานของท่าน และถ้าจะเป็นที่พอใจที่จะประทานสิ่งที่หม่อมฉันพึงปรารถนา และให้เป็นไปตามคำขอของหม่อมฉัน ก็ขอท่านและฮามานโปรดมางานเลี้ยงที่หม่อมฉันจะจัดขึ้นสำหรับวันพรุ่งนี้ แล้วหม่อมฉันจะตอบคำถามของท่าน”

ฮามานวางแผนแขวนคอโมร์เดคัย

ในวันนั้นฮามานจากไปด้วยใจยินดีและรื่นเริง แต่เมื่อฮามานเห็นโมร์เดคัยที่ประตูราชวัง เขาไม่ลุกขึ้นและไม่แสดงความยำเกรง เขารู้สึกฉุนเฉียวโมร์เดคัยยิ่งนัก 10 แต่ถึงกระนั้น ฮามานก็กลั้นความรู้สึกไว้ และกลับบ้านไป เขาให้คนไปตามพวกเพื่อนๆ และเรียกเศเรชภรรยาของตนมา 11 และฮามานก็โอ้อวดความมั่งมีของตน ทั้งยังมีบุตรชายหลายคน และกษัตริย์ให้เกียรติเขาด้วยการเลื่อนตำแหน่ง และให้เขารุดหน้าเหนือบรรดาเจ้านายชั้นผู้ใหญ่และผู้ว่าราชการของท่าน 12 และฮามานพูดว่า “แม้แต่ราชินีเอสเธอร์ก็ไม่ได้ให้ใครไปงานเลี้ยงที่เธอจัดเตรียมขึ้นสำหรับกษัตริย์ นอกจากฉันเท่านั้น และเธอได้เชิญฉันกับกษัตริย์ไปในวันพรุ่งนี้ด้วย 13 แต่สิ่งเหล่านี้ไม่มีค่าอะไรสำหรับฉัน ตราบที่ฉันเห็นโมร์เดคัยชาวยิวยังนั่งอยู่ที่ประตูราชวัง” 14 ดังนั้นเศเรชภรรยาของเขา และเพื่อนทุกคนบอกเขาว่า “ให้สร้างตะแลงแกงสูง 50 ศอก และในตอนเช้าไปขอให้กษัตริย์แขวนคอโมร์เดคัยบนนั้น แล้วจึงไปงานเลี้ยงกับกษัตริย์ด้วยความยินดี” ความคิดนี้เป็นที่พอใจของฮามาน และเขาสั่งให้สร้างตะแลงแกงขึ้น

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation