Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

Old/New Testament

Each day includes a passage from both the Old Testament and New Testament.
Duration: 365 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
สุภาษิต 8-9

สติปัญญาเล่าเรื่องของเธอให้ฟัง

สติปัญญากำลังส่งเสียงร้องเรียกอยู่
    ความรู้ความเข้าใจเปล่งเสียงของเธอ
เธอยืนอยู่ทั้งบนยอดเขา
    ตามถนนหนทางและตามทางแยกถนน
เธอส่งเสียงร้องอยู่ที่ข้างประตู
    และที่ทางเข้าเมือง
สติปัญญาร้องว่า “ท่านทั้งหลาย ข้าส่งเสียงเรียกพวกท่าน
    เสียงของข้าพูดกับมนุษย์ทุกคน”
คนทั้งหลายที่ขาดความเข้าใจ ให้เรียนรู้ที่จะเป็นคนฉลาดหลักแหลมเถิด
    คนโง่ทั้งหลาย หัดใช้สมองเสียบ้าง
ฟังให้ดี เพราะเรามีเรื่องสำคัญบางอย่างจะบอก
    เราจะสอนเจ้าในสิ่งที่ถูกต้อง
ด้วยว่าปากของเรานั้นพูดความจริง
    ริมฝีปากของเรานั้นเกลียดชังความชั่ว
คำพูดทุกคำที่ออกจากปากของเรานั้นล้วนสัตย์ซื่อ
    ไม่มีคำพูดใดที่บิดเบือนหรือทำให้หลงผิดเลย
ถ้อยคำทุกคำล้วนแต่ชัดแจ้งอยู่แล้วสำหรับคนที่มีความเข้าใจ
    และตรงไปตรงมาสำหรับคนที่มีความรู้
10 ให้ยอมรับการตักเตือนของเรา มันดีกว่าเงินเสียอีก
    ยอมรับความรู้ของเรา มันดีกว่าทองคำบริสุทธิ์
11 เพราะสติปัญญานั้นดีกว่าทับทิม
    สิ่งทั้งหลายที่เจ้าอยากได้ไม่อาจจะเทียบได้กับสติปัญญา

12 “เราเป็นสติปัญญา เราอยู่ร่วมชายคาเดียวกับความเฉลียวฉลาด
    และเรารู้ว่าจะหาความรู้และความคิดรอบคอบได้ที่ไหน
13 ความยำเกรงพระยาห์เวห์นั้น คือการเกลียดชังความชั่ว
    และเราก็เกลียดชังความหยิ่งจองหอง
    การกระทำชั่วร้ายและคำพูดหลอกลวง
14 เรามีคำแนะนำดีๆและวิธีการแก้ปัญหา
    เราเป็นความเข้าใจ และเรามีพลัง
15 เราช่วยพวกกษัตริย์ในการปกครอง
    และเราช่วยพวกผู้นำให้ออกกฎหมายที่ยุติธรรม
16 พวกเจ้าชายก็อาศัยเราในการปกครองบ้านเมือง
    พวกคนใหญ่คนโต และผู้พิพากษาที่ยุติธรรม ก็อาศัยเราด้วยเหมือนกัน
17 เรารักคนเหล่านั้นที่รักเรา
    คนเหล่านั้นที่แสวงหาเราจะพบเรา
18 ความร่ำรวยและเกียรติยศนั้นก็อยู่กับเรา
    อีกทั้งความมั่งคั่งอันถาวรที่ได้มาอย่างยุติธรรมก็อยู่กับเรา
19 ผลของเรานั้นดียิ่งกว่าทองคำหรือแม้แต่ทองคำบริสุทธิ์
    ผลผลิตของเรานั้นดีกว่าเงินบริสุทธิ์
20 เราเดินในทางที่ทำให้พระเจ้าชอบใจ
    เราอยู่ในทางที่ยุติธรรม
21 เรามอบความมั่งคั่งให้เป็นมรดกกับคนที่รักเรา
    เราทำให้คลังสมบัติของเขาเต็ม

22 พระยาห์เวห์สร้างเราขึ้นมาเมื่อพระองค์เริ่มต้นงานของพระองค์
    พระองค์สร้างเรานานมาแล้วก่อนอะไรทั้งหมด
23 เราถูกก่อร่างขึ้นเมื่อครั้งอดีตกาล
    ตอนแรกเริ่มก่อนที่จะมีแผ่นดินโลกเสียอีก
24 เราเกิดมาก่อนที่จะมีมหาสมุทร
    เมื่อครั้งที่ยังไม่มีตาน้ำไหลออกมามากมาย
25 เราเกิดมาก่อนที่ภูเขาจะถูกจัดวางในที่ของมัน
    ก่อนที่จะมีเนินเขาเสียอีก
26 เราเกิดมาก่อนที่พระองค์จะสร้างแผ่นดินโลก
    ท้องทุ่งและฝุ่นบนผืนโลก
27 เราอยู่กับพระองค์ตอนที่พระองค์จัดวางฟ้าสวรรค์ไว้ในที่ของมัน
    และตีเส้นขอบฟ้าไว้บนผิวน้ำของทะเลลึก
28 เราอยู่กับพระองค์ตอนที่พระองค์จัดวางฟ้ากับเมฆไว้เบื้องบนอย่างมั่นคง
    และเมื่อตาน้ำพุ่งขึ้นมาจากใต้ทะเลลึก
29 เราอยู่กับพระองค์ตอนที่พระองค์วางเส้นเขตแดนของทะเล
    เพื่อน้ำจะไม่ละเมิดคำสั่งของพระองค์
    เราอยู่กับพระองค์ตอนที่พระองค์วางรากฐานของแผ่นดินโลก
30 เมื่อนั้น เราได้อยู่กับพระองค์ ในฐานะช่างผู้ชำนาญงาน[a]
    เราทำให้พระองค์มีความสุขเพลิดเพลินในทุกๆวัน
    เราเต้นรำอยู่ต่อหน้าพระองค์อยู่เสมอ
31 เราเต้นรำไปทั่วพื้นโลกของพระองค์
    และมนุษย์ทำให้เรามีความสุขเพลิดเพลิน

32 ดังนั้น ลูกๆเอ๋ย ฟังเราให้ดี
    คนพวกนั้นที่ยึดมั่นอยู่ในทางของเรามีเกียรติจริงๆ
33 ให้ฟังคำสั่งสอนของเรา จะได้เป็นคนฉลาด
    อย่าได้เมินเฉยกับมัน
34 คนที่ฟังเรา มีเกียรติจริงๆ
    ในทุกๆวัน พวกเขาเฝ้ารออยู่ที่ประตูของเราคอยเราออกมา
35 เพราะว่าคนที่พบเราก็พบชีวิต
    และได้รับพระพรจากพระยาห์เวห์
36 แต่คนที่ไม่พบเรา ก็ทำร้ายตัวเอง
    ทุกคนที่เกลียดชังเรา ก็รักความตาย”

คำเชิญของสติปัญญา

สติปัญญาได้สร้างบ้านของเธอขึ้น
    เธอได้สร้างบ้านที่มีเสาถึงเจ็ดต้น[b]
สติปัญญาได้ฆ่าสัตว์ของเธอ และผสมเหล้าองุ่นไว้
    และเธอได้จัดโต๊ะอาหารไว้พร้อม
สติปัญญาได้ส่งพวกสาวใช้ของเธอออกไป
    เธอร้องเชิญจากที่สูงสุดของเมืองว่า
“ใครก็ตามที่อ่อนต่อโลก เข้ามาหาฉันนี่”
    สติปัญญาพูดกับพวกที่ไม่มีสมองคิดว่า
“มาสิ มากินอาหารของฉัน
    และดื่มเหล้าองุ่นที่ฉันได้ผสมไว้แล้ว
ให้ทิ้งเพื่อนๆที่อ่อนต่อโลกพวกนั้น เพื่อเจ้าจะได้มีชีวิตยืนยาว
    ให้เดินไปในทางแห่งความเข้าใจ”
ใครก็ตามที่สั่งสอนคนยโสโอหัง เขาคนนั้นก็จะถูกดูหมิ่น
    ใครก็ตามที่ต่อว่าคนชั่ว เขาจะได้รับบาดเจ็บ
อย่าติเตียนคนหยิ่งยโส เพราะเขาจะเกลียดเจ้า
    ให้ต่อว่าคนฉลาด แล้วเขาจะรักเจ้า
ให้สั่งสอนคนฉลาด แล้วเขาจะยิ่งฉลาดขึ้น
    ให้สั่งสอนคนที่ทำตามใจพระเจ้า แล้วเขาจะยิ่งเรียนรู้มากขึ้น
10 จุดเริ่มต้นของสติปัญญา คือ การยำเกรงพระยาห์เวห์
    ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ คือ การรู้จักพระองค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์
11 สติปัญญาบอกว่า “ฉันจะทำให้วันคืนของเจ้าเพิ่มมากขึ้น
    และจะเพิ่มจำนวนปีเข้าไปในชีวิตของเจ้า
12 ถ้าหากเจ้ากลายเป็นคนฉลาด มันก็เป็นประโยชน์สำหรับตัวเจ้าเอง
    แต่ถ้าเจ้ากลายเป็นคนหยิ่งยโส เจ้าเองนั่นแหละที่จะต้องทนทุกข์ทรมาน”

คำเชิญของความโง่เขลา

13 ความโง่เขลาส่งเสียงเอะอะ เธออ่อนต่อโลก
    และไม่รู้อะไรเลย
14 เธอนั่งอยู่ที่ตรงประตูบ้านของเธอ
    บนที่นั่งที่ตั้งอยู่บนจุดที่สูงสุดของเมือง
15 เธอส่งเสียงร้องเรียกผู้คนที่เดินผ่านไปมา
    ผู้ที่เร่งรีบเดินไปตามทางของเขาว่า
16 “ใครก็ตามที่อ่อนต่อโลก ให้มาหาฉันทางนี้”
    และเธอก็พูดกับคนที่ไม่มีสมองคิดว่า
17 “น้ำที่ขโมยมานั้นรสชาติก็หวานกว่า
    ขนมปังที่ได้มาอย่างลับๆนั้นก็อร่อยกว่า”
18 แต่คนที่อ่อนต่อโลกพวกนั้นไม่รู้ว่ามีผีอยู่กับเธอที่นั่น
    พวกแขกของเธอก็อยู่ในที่ลึกของแดนคนตาย

2 โครินธ์ 3

ผู้รับใช้พระเจ้าเพื่อสัญญาใหม่

เรากำลังรับรองคุณสมบัติตัวเองอีกแล้วหรืออย่างไร หรือเราจะต้องเอาหนังสือรับรองตัวเองมาให้คุณ หรือต้องให้คุณออกหนังสือรับรองให้เหมือนกับที่คนอื่นๆเขาทำกันหรือ อันที่จริงตัวพวกคุณนี่แหละเป็นตัวหนังสือของเรา ที่เขียนอยู่ในจิตใจของเราให้คนได้รู้และอ่านกัน คุณทำให้เห็นว่าคุณเป็นตัวหนังสือจากพระคริสต์ที่เป็นผลมาจากงานรับใช้ของเราซึ่งไม่ได้เขียนด้วยน้ำหมึก แต่ด้วยพระวิญญาณของพระเจ้าผู้มีชีวิตอยู่ และไม่ได้เขียนอยู่บนแผ่นหิน[a] แต่เขียนลงบนใจมนุษย์

พระคริสต์ทำให้เรากล้าพูดอย่างนี้ต่อหน้าพระเจ้า ผมไม่ได้หมายความว่า ความสามารถที่เรามีนี้มาจากตัวเราเอง แต่มาจากพระเจ้าต่างหาก พระเจ้าทำให้เราสามารถรับใช้พระองค์ภายใต้สัญญาใหม่นี้ เป็นสัญญาระหว่างพระเจ้ากับคนของพระองค์ เพราะสัญญาใหม่นี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับกฎที่เป็นตัวหนังสือ แต่ขึ้นอยู่กับพระวิญญาณ เพราะกฎที่เป็นตัวหนังสือนั้นทำให้ตาย แต่พระวิญญาณให้ชีวิต

สัญญาใหม่มีสง่าราศีมากกว่า

ขนาดงานรับใช้ที่นำความตายมาให้ และกฎที่สลักเป็นตัวหนังสือบนแผ่นหิน ยังมากับสง่าราศี เป็นสง่าราศีที่เปล่งออกมาบนใบหน้าของโมเสส จนทำให้คนอิสราเอลมองดูหน้าโมเสสนานๆไม่ได้ แล้วสุดท้ายมันก็จางหายไป ถ้าอย่างนั้นแล้วงานรับใช้ของพระวิญญาณจะไม่ยิ่งเปล่งสง่าราศีมากกว่านั้นอีกหรือ ขนาดงานรับใช้ที่ทำให้คนต้องถูกลงโทษยังมีสง่าราศีเลย แล้วงานรับใช้ที่ทำให้คนพ้นโทษ จะไม่ยิ่งเปล่งสง่าราศีมากกว่านั้นอีกหรือ 10 ความจริงแล้ว สง่าราศีของสัญญาเดิมไม่น่าเรียกว่าสง่าราศีเลยเมื่อเปรียบเทียบกับสง่าราศีอันเจิดจ้าของสัญญาใหม่นั้น 11 ดังนั้นถ้าสัญญาเดิมที่กำลังจะยกเลิกไปยังมีรัศมี แล้วสัญญาใหม่ที่จะคงอยู่ตลอดไป จะไม่ยิ่งมีสง่าราศีมากกว่านั้นอีกหรือ

12 ในเมื่อเรามีความหวังอย่างนี้ เราจึงกล้าพูดอย่างเปิดเผย 13 เราไม่เหมือนกับโมเสสที่เอาผ้าคลุมหน้าไว้ เพื่อคนอิสราเอลจะไม่เห็นเป้าหมายของคำสัญญาชั่วคราวที่กำลังจะยกเลิกไป 14 แต่จิตใจของพวกอิสราเอลแข็งกระด้าง เพราะถึงวันนี้เมื่ออ่านสัญญาเดิม ผ้าคลุมผืนเดิมก็ยังคงอยู่ ไม่ได้ถูกเอาออกไปเพราะในพระคริสต์เท่านั้นสัญญาเดิมนั้นถึงถูกยกเลิกไป 15 แต่จนถึงทุกวันนี้ ทุกครั้งที่อ่านกฎของโมเสส ผ้านั้นก็ยังคลุมจิตใจของพวกอิสราเอลอยู่ 16 แต่คนจะเอาผ้าคลุมออกได้อย่างที่พระคัมภีร์พูดเกี่ยวกับโมเสสว่า “เมื่อเขาหันมาหาองค์เจ้าชีวิต ผ้าคลุมนั้นก็ถูกเปิดออก”[b] 17 องค์เจ้าชีวิตที่ข้อนี้พูดถึงนั้นคือพระวิญญาณ และที่ไหนที่มีพระวิญญาณขององค์เจ้าชีวิต ที่นั่นก็มีอิสรภาพ 18 พวกเราทุกคนที่ไม่มีผ้าคลุมหน้าแล้วก็มองเห็นสง่าราศีขององค์เจ้าชีวิตเหมือนกับดูจากกระจก เรากำลังถูกเปลี่ยนให้เหมือนกับพระองค์ ทำให้เรามีสง่าราศีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งหมดนี้มาจากองค์เจ้าชีวิตผู้เป็นพระวิญญาณ

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International