Old/New Testament
พระเจ้าเลือกเอเสเคียลเป็นยามเฝ้าดูเมืองอิสราเอล
(อสค. 3:16-21)
33 คำพูดของพระยาห์เวห์ได้มาถึงผมว่า 2 “เจ้าลูกมนุษย์ ให้พูดกับคนของเจ้าและบอกพวกเขาว่า
‘เมื่อเรานำกองทัพศัตรูมาต่อสู้กับแผ่นดินหนึ่งและประชาชนของแผ่นดินนั้นได้เลือกคนหนึ่งในพวกเขาให้เป็นยามเฝ้าดูเมือง
3 และถ้ายามคนนั้นมองเห็นกองทัพศัตรูบุกเข้ามาโจมตีแผ่นดินนั้น เขาจะเป่าแตรเตือนประชาชน
4 แล้วถ้ามีใครได้ยินเสียงแตรนั้น แต่เมินเฉยต่อเสียงเตือนนั้น กองทัพศัตรูนั้นก็จะมาคร่าเอาชีวิตเขาไป เขาแส่หาที่ตายเอง
5 เขาแส่หาที่ตายเอง เพราะเขาได้ยินเสียงแตร แต่ทำเป็นเมินเฉยไม่สนใจต่อเสียงเตือนนั้น
แต่ถ้าหากเขาฟังเสียงเตือน เขาก็จะรักษาชีวิตของเขาไว้ได้
6 แต่ถ้ายามเห็นกองทัพศัตรูกำลังบุกมา แต่ไม่ยอมเป่าแตรเตือนประชาชน แล้วกองทัพศัตรูบุกมาถึงและได้คร่าเอาชีวิตคนหนึ่งคนใดไป คนเหล่านั้นต้องตายไปเพราะบาปของพวกเขา แต่เราจะให้ยามคนนั้นต้องรับผิดชอบต่อเลือดของพวกเขาด้วย’”
7 “เจ้าลูกมนุษย์ เราได้ให้เจ้าเป็นยามเฝ้าดูครอบครัวอิสราเอล ดังนั้น เมื่อไหร่ก็ตามที่เจ้าได้ยินคำเตือนจากเรา เจ้าจะต้องไปเตือนพวกเขา
8 ถ้าเราพูดกับคนชั่วว่า ‘ไอ้ชาติชั่ว เจ้าจะต้องตายแน่’ แล้วเจ้ากลับไม่เอาสิ่งนี้ไปเตือนเขา เพื่อหันเขาไปจากทางชั่วของเขา คนชั่วนั้นจะต้องตายเพราะบาปของเขา แต่เราจะให้เจ้าต้องรับผิดชอบต่อเลือดของเขาด้วย
9 แต่ถ้าเจ้าเตือนคนชั่วนั้นให้หันไปจากสิ่งที่เขาทำอยู่ แต่เขาไม่ยอมฟังเจ้า เขาจะตายเพราะบาปของเขาเอง แต่เจ้าจะได้รักษาชีวิตของเจ้าไว้”
พระเจ้าไม่ชอบทำลายมนุษย์
(อสค. 18:21-30)
10 “เจ้าลูกมนุษย์ ให้พูดกับครอบครัวอิสราเอลว่า
‘พวกเจ้ากำลังพูดกันว่า “การกบฏและบาปของพวกเรานั้นหนักอึ้งเหลือเกิน พวกเรากำลังซูบผอมลงเพราะบาปเหล่านั้น พวกเราจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ยังไง”’
11 พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตพูดว่า ‘ให้บอกกับพวกเขาว่า “เรามีชีวิตอยู่แน่ขนาดไหน ก็ให้แน่ใจขนาดนั้นเลยว่า เราไม่ได้ชื่นชมกับความตายของคนชั่วหรอก แต่เราอยากจะให้พวกเขาหันไปจากความชั่วที่พวกเขาทำ และมีชีวิตอยู่ต่อไปมากกว่า กลับใจเสีย ให้หันไปจากทางชั่วทั้งหลายของเจ้า ชาวอิสราเอลเอ๋ย พวกเจ้าจะไปตายกันทำไมเล่า”’
12 ดังนั้น เจ้าลูกมนุษย์ ให้พูดกับคนของเจ้าว่า
‘ความดีของคนดี ไม่อาจช่วยรักษาชีวิตของเขาไว้ได้ ถ้าเขาหันไปทำบาป
ส่วนความชั่วของคนชั่ว ก็จะไม่เป็นเหตุให้เขาล่มสลาย ถ้าเขาหันไปจากความชั่วของเขา
ถ้าคนดีทำบาป เขาจะไม่สามารถรักษาชีวิตของเขาไว้ได้ โดยพึ่งความดีที่พวกเขาเคยทำมา’
13 ถ้าเราบอกกับคนดีว่า เขาจะมีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน แต่เขาพึ่งในความดีของเขาและไปทำชั่ว เราจะไม่จดจำสิ่งดีๆที่เขาเคยทำ เขาจะตายเพราะความชั่วที่เขาได้ทำไป
14 และถ้าเราพูดกับพวกคนชั่วว่า ‘เจ้าจะต้องตายอย่างแน่นอน’ แต่แล้วเขาก็หันจากบาปและไปทำสิ่งที่ยุติธรรมและถูกต้อง 15 เช่น เขาคืนของค้ำประกันเงินกู้ คืนสิ่งที่เขาได้ขโมยมา และเดินตามทางทั้งหลายที่ให้ชีวิต และไม่ทำชั่ว เขาคนนั้นจะมีชีวิตแน่ เขาจะไม่ตาย 16 เราจะไม่จดจำบาปที่เขาเคยทำ และเอามันมาฟ้องเขา เขาได้ทำในสิ่งที่ยุติธรรมและถูกต้อง เขาจะมีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน
17 แต่คนของเจ้าพูดว่า ‘วิธีการของพระยาห์เวห์ไม่ยุติธรรม’ แต่เป็นวิธีการของพวกเขาต่างหากที่ไม่ยุติธรรม
18 ถ้าคนดีหันไปจากความดีของเขา และไปทำชั่ว เขาจะตายเพราะความชั่วนั้น
19 ถ้าคนชั่วหันไปจากความชั่วของเขา และไปทำสิ่งที่ยุติธรรมและถูกต้อง เขาจะมีชีวิตอยู่ต่อไป เพราะเขาทำอย่างนั้น 20 ครอบครัวอิสราเอล พวกเจ้ายังพูดว่า ‘วิธีการของพระยาห์เวห์ไม่ยุติธรรม’ แต่เราจะตัดสินพวกเจ้าแต่ละคนตามการกระทำของตน”
เมืองเยรูซาเล็มจะถูกทำลาย
21 ในวันที่ห้า เดือนสิบ ของปีที่สิบสองของการเนรเทศ[a]
มีชายคนหนึ่งที่รอดจากการล่มสลายของเมืองเยรูซาเล็ม ได้มาพบผมและพูดว่า
“เมืองแตกแล้ว”
22 คืนก่อนที่ชายคนนี้จะมาหา มือของพระยาห์เวห์ได้อยู่กับผมแล้ว แต่พระองค์ได้เปิดปากของผม ก่อนที่ชายคนนั้นจะมาหาผมในตอนเช้า ปากของผมจึงเปิดออกและผมก็ไม่เป็นใบ้อีกต่อไป[b]
23 แล้วคำพูดของพระยาห์เวห์ได้มาถึงผมว่า 24 “เจ้าลูกมนุษย์ พวกที่รอดชีวิตที่อาศัยอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังในแผ่นดินอิสราเอลกำลังพูดว่า
‘ขนาดอับราฮัมคนเดียว ก็ยังเป็นเจ้าของแผ่นดินได้ แล้วนี่ พวกเรามีตั้งมากมาย แผ่นดินจะต้องตกเป็นของพวกเราอย่างแน่นอน’
25 ดังนั้นให้พูดกับพวกเขาว่า
‘นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตพูด
พวกเจ้ายังคิดจะเป็นเจ้าของแผ่นดินอย่างนั้นหรือ ในเมื่อเจ้ากินเนื้อสัตว์ที่ยังมีเลือดติดอยู่และมองหาความช่วยเหลือจากพวกรูปเคารพและยังฆ่าคนบริสุทธิ์อีกด้วย 26 พวกเจ้าหากินด้วยดาบ ทำสิ่งที่น่ารังเกียจทั้งหลาย แต่ละคนก็เป็นชู้กับเมียของเพื่อนบ้าน อย่างนี้แล้ว เจ้ายังคิดจะเป็นเจ้าของแผ่นดินอีกหรือ’
27 ให้พูดสิ่งนี้กับพวกเขา
‘นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตพูด
เรามีชีวิตอยู่แน่ขนาดไหน ก็ให้แน่ใจขนาดนั้นเลยว่า พวกที่อาศัยอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังจะล้มลงด้วยดาบ เราจะส่งพวกสัตว์ป่าไปขย้ำพวกที่หนีออกไปอยู่ตามชานเมือง พวกที่ไปอยู่ตามที่ซ่อนและตามถ้ำจะตายด้วยโรคระบาด 28 เราจะทำให้แผ่นดินนี้ถูกทิ้งร้าง และความแข็งแกร่งที่เมืองนี้หยิ่งผยองนักหนาจะสิ้นสุดลง พวกภูเขาของอิสราเอลจะรกร้างจนไม่มีใครเดินทางข้ามพวกมัน
29 เมื่อเราทิ้งแผ่นดินนี้ให้รกร้างเพราะสิ่งน่ารังเกียจทั้งหลายที่พวกเขาได้ทำนั้น แล้วพวกเขาจะได้รู้ว่าเราคือยาห์เวห์’
30 ส่วนเจ้า เจ้าลูกมนุษย์
คนของเจ้ากำลังพูดถึงเจ้าตามกำแพงและประตูบ้านว่า ‘ไป ไปฟังถ้อยคำของพระยาห์เวห์กันเถอะ’
31 ประชาชนของเรามาพบเจ้าอย่างที่เคยทำมา และมานั่งอยู่ต่อหน้าเจ้า เพื่อที่จะฟังคำพูดของเจ้า แต่พวกเขาไม่ทำตาม คำพูดกระตุ้นราคะอยู่ที่ริมฝีปากพวกเขา และใจของพวกเขาละโมบเอาแต่ได้
32 ในสายตาพวกเขา เจ้าก็เป็นแค่นักร้องที่ร้องเพลงกระตุ้นราคะ ด้วยเสียงอันไพเราะ และเล่นดนตรีเก่งเท่านั้นเอง พวกเขาฟังคำพูดของเจ้าแต่ไม่ได้เอาไปทำตาม 33 เมื่อสิ่งต่างๆเหล่านี้เกิดขึ้น (ซึ่งมันจะเป็นไปตามนั้นอย่างแน่นอนอยู่แล้ว)
พวกเขาจะได้รู้ว่ามีผู้พูดแทนพระเจ้าได้มาอยู่ท่ามกลางพวกเขาจริง”
ผู้เลี้ยงแกะที่เลี้ยงแต่ปากท้องตัวเอง
34 คำพูดของพระยาห์เวห์ได้มาถึงผมว่า 2 “เจ้าลูกมนุษย์ ให้พูดแทนเราต่อต้านพวกผู้เลี้ยงแกะของอิสราเอล ให้บอกกับพวกเขาว่า นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตพูด ‘น่าละอายจริงๆผู้เลี้ยงแกะของอิสราเอลที่เลี้ยงดูแต่ปากท้องตัวเอง ผู้เลี้ยงควรจะเลี้ยงดูปากท้องของฝูงแกะ ไม่ใช่หรือ 3 พวกเจ้ากินนมเปรี้ยวแข็ง นุ่งห่มขนแกะและเลือกแกะตัวอ้วนพีมาฆ่ากินกัน แต่เจ้าไม่เลี้ยงดูปากท้องของฝูงแกะเลย 4 เจ้าไม่ได้เสริมกำลังให้กับตัวที่อ่อนแอ ไม่ได้รักษาตัวที่เจ็บป่วย และเจ้าไม่ได้พันแผลตัวที่บาดเจ็บ เจ้าไม่ได้นำสัตว์ที่หลงทางกลับมา เจ้าไม่ได้ตามหาตัวที่สูญหายไป แล้วพวกเจ้าปกครองพวกที่แข็งแรง[c]อย่างโหดเหี้ยมทารุณ
5 ดังนั้นพวกมันจึงกระจัดกระจายไปเพราะไม่มีผู้เลี้ยงคอยนำทางและเมื่อพวกมันแตกกระจายไป ก็ตกเป็นอาหารของพวกสัตว์ป่า 6 ฝูงแกะของเรากระจัดกระจายไป แกะของเราเดินเร่ร่อนไปตามเทือกเขาและตามเนินเขาสูงพวกมันกระจัดกระจายไปทั่วผืนแผ่นดินโลก และไม่มีใครออกไปค้นหา หรือตามพวกมันกลับมา’”
7 ดังนั้น พวกเจ้า พวกผู้เลี้ยงแกะ ให้ฟังคำพูดของพระยาห์เวห์ซะ
8-10 พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตบอกว่า “เนื่องจากฝูงแกะของเราตกเป็นเหยื่อและกลายเป็นอาหารของสัตว์ป่าทั้งหลาย เพราะพวกมันขาดผู้เลี้ยงคอยนำทาง แล้วพวกผู้เลี้ยงแกะของเราไม่ยอมค้นหาฝูงแกะของเรา แต่กลับสนใจเลี้ยงดูปากท้องของตัวเองมากกว่าของฝูงแกะ ไอ้พวกผู้เลี้ยงแกะ ให้ฟังคำพูดของพระยาห์เวห์ซะ อย่างนั้น นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตพูด
‘เรามีชีวิตอยู่แน่ขนาดไหน ก็ให้แน่ใจขนาดนั้นเลยว่า เราจะต่อต้านพวกคนเลี้ยงแกะ และเราจะเอาผิดกับพวกเขาสำหรับสิ่งที่พวกเขาทำกับลูกแกะของเรา เราจะปลดพวกเขาออกจากการเป็นผู้ดูแลฝูงแกะของเรา เพื่อพวกนี้จะไม่สามารถเลี้ยงตัวเองได้อีก เราจะช่วยฝูงแกะของเราให้พ้นจากปากของพวกเขา และพวกแกะจะไม่เป็นอาหารของพวกเขาอีกต่อไป’”
พระเจ้าจะเลี้ยงดูฝูงแกะเอง
11 นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตพูด “เราเองจะค้นหาแกะของเราและดูแลพวกมัน 12 คนเลี้ยงแกะที่ดีจะค้นหาฝูงแกะที่กระจัดกระจายของเขาเมื่อเขาอยู่กับฝูงแกะ เราก็จะค้นหาฝูงแกะของเราอย่างนั้นด้วย เราจะช่วยพวกมันให้รอดพ้นออกมาจากสถานที่ต่างๆที่พวกมันกระจัดกระจายไปในวันที่มืดมิดที่ปกคลุมไปด้วยเมฆ 13 เราจะนำพวกมันออกมาจากชนชาติต่างๆและรวบรวมพวกมันจากประเทศทั้งหลาย เราจะนำพวกมันเข้าสู่แผ่นดินของพวกมันเอง เราจะเลี้ยงพวกมันด้วยทุ่งหญ้าตามเทือกเขาของอิสราเอล ตามริมลำธารและตามเขตชุมชนในแผ่นดินนี้ 14 เราจะเลี้ยงดูพวกมันด้วยทุ่งหญ้าอย่างดี และบนภูเขาสูงของอิสราเอล จะมีทุ่งหญ้าให้กับพวกมัน ที่นั่นพวกมันจะนอนลงบนทุ่งหญ้าอย่างดี และจะมีหญ้ากินอย่างอุดมสมบูรณ์ตามเทือกเขาของอิสราเอล 15 เราเองจะเลี้ยงดูแกะของเราและให้พวกมันนอนลง” พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตพูดว่าอย่างนั้น
16 “เราจะค้นหาพวกแกะที่หลงหาย เราจะนำพวกที่หลงทางกลับมา เราจะพันแผลตัวที่บาดเจ็บ เราจะเสริมกำลังให้กับตัวที่อ่อนแอ แล้วเราจะเลี้ยงดู[d]พวกแกะที่อ้วนพีและแข็งแรง เราจะเลี้ยงแกะฝูงนี้ด้วยความยุติธรรม
17 ส่วนพวกเจ้า ฝูงแกะของเรา นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตพูด ‘เราจะตัดสินระหว่างแกะตัวนี้กับแกะตัวนั้น และระหว่างพวกแกะตัวผู้กับพวกแพะ 18 เจ้าได้รับการเลี้ยงดูด้วยทุ่งหญ้าอย่างดี แค่นั้นยังไม่พออีกหรือ ทำไมเจ้ายังจะต้องไปเหยียบย่ำทุ่งหญ้าที่เหลือด้วย เจ้าได้ดื่มน้ำที่ใสสะอาด แค่นั้นยังไม่พอหรือยังไง ทำไมเจ้าต้องเอาเท้าไปกวนน้ำที่เหลือจนขุ่นเป็นโคลนด้วย 19 จำเป็นด้วยหรือ ที่ฝูงแกะของเราต้องไปกินสิ่งที่เจ้าเหยียบย่ำ และต้องดื่มสิ่งที่เจ้าใช้เท้ากวนจนขุ่นเป็นโคลน’”
20 ดังนั้น นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตพูดกับพวกแกะตัวอ้วนพีเหล่านั้น “ดูสิ เราเองจะตัดสินโทษระหว่างแกะตัวอ้วนกับแกะที่ผอมแห้ง 21 เพราะเจ้าใช้สีข้างกับไหล่ของเจ้าผลักไสแกะที่อ่อนแอ และใช้เขาของเจ้าขวิดพวกมันจนสามารถไล่พวกมันออกไป 22 เราจะช่วยฝูงแกะของเราให้รอด และพวกมันจะไม่ถูกพวกเจ้าปล้นอีกแล้ว เราจะตัดสินระหว่างแกะตัวนี้กับแกะตัวนั้น 23 เราจะให้ผู้เลี้ยงแกะคนหนึ่งมาปกครองพวกมัน นั่นคือดาวิด[e] ผู้รับใช้ของเราและเขาจะดูแลพวกมันและเป็นผู้เลี้ยงคอยนำทางพวกมัน 24 เรา ยาห์เวห์ จะเป็นพระเจ้าของพวกมัน และดาวิดผู้รับใช้ของเราจะเป็นเจ้าชายในหมู่พวกมัน เรา ยาห์เวห์ลั่นคำพูดออกไปแล้ว
25 เราจะทำข้อตกลงให้พวกมันอยู่เย็นเป็นสุขและกำจัดสัตว์ร้ายออกจากแผ่นดิน เพื่อพวกมันจะได้อาศัยอยู่ในที่โล่งกว้าง และนอนหลับในป่าอย่างปลอดภัย 26 เราจะอวยพรพวกเขา รวมทั้งบริเวณรอบเนินเขาของเรา[f] เราจะส่งฝนให้ตกตามฤดูกาล ฝนแห่งพระพรจะตกลงมา 27 ต้นไม้ตามท้องทุ่งจะเกิดผลและพื้นดินจะให้พืชผลงอกเงยขึ้น พวกเขาจะปลอดภัยอยู่บนแผ่นดินของพวกเขา เมื่อเราทำลายแอกของพวกเขา และช่วยเหลือพวกเขาให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของพวกที่ทำให้พวกเขาเป็นทาส เมื่อนั้นพวกเขาจะได้รู้ว่าเราคือยาห์เวห์ 28 พวกเขาจะไม่ถูกชนชาติอื่นๆปล้นอีกต่อไป และจะไม่ถูกสัตว์ป่าเขมือบอีก พวกเขาจะอยู่อย่างปลอดภัย และจะไม่มีใครมาทำให้พวกเขาหวาดกลัวได้อีก 29 เราจะจัดหาดินแดนที่มีพืชผลอุดมสมบูรณ์ให้กับพวกเขา พวกเขาจะไม่ต้องตกเป็นเหยื่อของความอดอยากในดินแดนนั้น แล้วพวกเขาจะไม่ถูกชนชาติอื่นๆพูดเหยียดหยามอีกต่อไป 30 แล้วพวกเขาจะได้รู้ว่า เรา ยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขาอยู่กับพวกเขา และรู้ว่าพวกเขาซึ่งเป็นครอบครัวของอิสราเอลเป็นคนของเรา” พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตพูดว่าอย่างนั้น
31 “พวกเจ้าเป็นแกะของเรา เป็นแกะแห่งทุ่งหญ้าของเรา พวกเจ้าเป็นคนของเรา และเราคือพระเจ้าของพวกเจ้า” พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตพูดว่าอย่างนั้น
ฝูงแกะของพระเจ้า
5 ผมเขียนมาขอร้องพวกผู้นำอาวุโสที่อยู่กับพวกคุณ ในฐานะที่ผมก็เป็นผู้นำอาวุโสคนหนึ่ง เป็นคนหนึ่งที่เป็นพยานถึงเรื่องที่พระคริสต์ต้องทนทุกข์ทรมาน และเป็นคนหนึ่งที่จะมีส่วนร่วมในสง่าราศีของพระคริสต์เมื่อพระองค์กลับมา 2 ขอให้เลี้ยงดูฝูงแกะของพระเจ้าที่พระเจ้าฝากให้คุณดูแลอยู่นี้ ไม่ใช่ฝืนใจทำ แต่ให้ทำด้วยความเต็มใจอย่างที่พระเจ้าต้องการให้คุณทำ ไม่ใช่เพราะเห็นแก่เงิน แต่เพราะคุณอยากจะทำจริงๆ 3 ไม่ทำตัวเป็นนายเหนือคนพวกนั้นที่พระองค์ได้ฝากให้คุณดูแล แต่ให้ทำตัวเป็นแบบอย่างกับฝูงแกะนั้น 4 เพื่อเมื่อพระคริสต์ผู้เป็นหัวหน้าคนเลี้ยงแกะกลับมา คุณก็จะได้รับรางวัลอันมีเกียรติ ที่ไม่มีวันร่วงโรยไป
5 ในทำนองเดียวกัน คนที่มีอายุน้อยกว่า ก็ให้เชื่อฟังพวกผู้นำอาวุโส แต่ความจริงแล้ว ทุกๆคนควรจะอ่อนน้อมถ่อมตัวรับใช้ซึ่งกันและกันเหมือนกับที่พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า
“พระเจ้าต่อต้านคนที่เย่อหยิ่งจองหอง
แต่มีความเมตตากรุณาต่อคนที่อ่อนน้อมถ่อมตน”[a]
6 ถ้าอย่างนั้น ให้พวกคุณอ่อนน้อมถ่อมตัวลงใต้อำนาจที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า เพื่อพระเจ้าจะได้ยกคุณขึ้นเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม 7 ให้เอาความกังวลทั้งหมดของคุณฝากไว้กับพระเจ้า เพราะพระองค์ห่วงใยคุณ
8 ให้รู้จักบังคับตนเอง ระวังตัวให้ดี เพราะศัตรูของคุณคือมาร กำลังเดินด้อมๆมองๆเหมือนสิงโตที่คำรามจ้องตะครุบเหยื่อมากิน 9 ให้ขัดขืนมารนั้น และยึดมั่นในความเชื่อ เพราะคุณรู้อยู่แล้วว่า พี่น้องทั่วโลกก็เจอความทุกข์ยากเหมือนคุณ
10 พระเจ้าผู้เป็นแหล่งของความเมตตาทุกอย่างได้เรียกคุณผ่านทางพระเยซูคริสต์ ให้คุณเข้ามามีส่วนร่วมในเกียรติของพระองค์ที่ไม่มีวันหมด คุณจะต้องทนทุกข์อยู่ประเดี๋ยวหนึ่ง แล้วหลังจากนั้นพระเจ้าก็จะช่วยให้คุณกลับคืนสู่สภาพสมบูรณ์แบบ จะให้คุณเข้มแข็ง มีกำลังมากขึ้นและมั่นคง 11 ขอให้ฤทธิ์เดชเป็นของพระองค์ตลอดไปอาเมน
คำทักทายสุดท้าย
12 ผมได้เขียนจดหมายสั้นๆฉบับนี้ และได้ฝากสิลาสมาให้กับคุณ เขาเป็นพี่น้องที่ซื่อสัตย์ในพระคริสต์ ผมเขียนมาเพื่อให้กำลังใจพวกคุณ และยืนยันว่าทุกอย่างที่เขียนมานี้เป็นความเมตตากรุณาที่แท้จริงของพระเจ้า ให้คุณยืนหยัดมั่นคงในความเมตตากรุณานี้
13 หมู่ประชุมที่เมืองบาบิโลน[b]ที่พระเจ้าได้เลือกไว้เหมือนกับที่พระองค์ได้เลือกพวกคุณ ได้ฝากความคิดถึงมาให้กับคุณ มาระโกลูกของผมก็ฝากความคิดถึงมาเหมือนกัน 14 เมื่อเจอกันก็ขอให้จูบทักทายกันด้วยความรัก
ขอให้ทุกคนที่มีส่วนในพระคริสต์ได้รับสันติสุข
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International