Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
2 พงศาวดาร 16

ช่วงท้ายๆของกษัตริย์อาสา

(1 พกษ. 15:16-22)

16 ในปีที่สามสิบหกที่อาสาเป็นกษัตริย์[a] กษัตริย์บาอาชาแห่งอิสราเอลยกขึ้นมาสู้รบกับชาวยูดาห์และสร้างป้อมรามาห์ขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้ใครเข้าออกในดินแดนของกษัตริย์อาสาแห่งยูดาห์

อาสาจึงเอาเงินและทองคำออกมาจากคลังสมบัติของวิหารของพระยาห์เวห์ และจากวังของเขาเอง และส่งไปให้กับกษัตริย์เบนฮาดัดแห่งอารัม ซึ่งปกครองอยู่ในเมืองดามัสกัส เขาพูดว่า “เรามาเป็นพันธมิตรกันเถิด ให้เหมือนกับที่พ่อของเรากับพ่อของท่านเคยทำกันไว้ ดูสิ เราส่งของขวัญเป็นเงินและทองมาให้ท่าน ขอท่านช่วยเลิกเป็นพันธมิตรกับกษัตริย์บาอาชาของอิสราเอลด้วยเถิด เพื่อเขาจะได้ยกทัพกลับไปจากเรา”

เบนฮาดัดยอมทำตามที่กษัตริย์อาสาขอ และส่งพวกแม่ทัพของกองทัพทั้งหลายของเขาไปโจมตีเมืองต่างๆของชนชาติอิสราเอล พวกเขาเอาชนะเมืองอิโยน เมืองดาน เมืองอาเบลมาอิม และเมืองเก็บเสบียงทั้งหลายของนัฟทาลี เมื่อบาอาชาได้ยินเรื่องนี้เข้า เขาก็หยุดการสร้างป้อมรามาห์และงานทั้งหมด แล้วกษัตริย์อาสาก็นำชาวยูดาห์ออกมาที่ป้อมรามาห์เพื่อขนเอาหินและไม้ที่บาอาชาทิ้งไว้ในการสร้างป้อม และพวกเขาก็ขนเอาไปสร้างเมืองเกบาและเมืองมิสปาห์

ในตอนนั้นฮานานีผู้ที่เห็นนิมิตมาพบกษัตริย์อาสาแห่งยูดาห์และพูดว่า “เป็นเพราะท่านไปพึ่งกษัตริย์ของอารัม แทนที่จะพึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน กองทัพของกษัตริย์แห่งอารัมได้หนีไปจากมือของท่านแล้ว จำไม่ได้หรือ ตอนนั้นพวกชาวคูชและชาวลิเบียก็มีกองรถรบ และทหารม้าที่มีพละกำลัง และมีจำนวนมากมายเหมือนกันไม่ใช่หรือ แต่ตอนนั้นท่านได้พึ่งในพระยาห์เวห์ พระองค์จึงได้มอบคนเหล่านั้นไว้ในกำมือของท่าน เพราะตาของพระยาห์เวห์มองไปทั่วทั้งพื้นโลก เพื่อที่จะทำให้คนมีใจสัตย์ซื่อกับพระองค์เข้มแข็ง แต่เที่ยวนี้ท่านได้ทำเรื่องโง่เขลา และต่อไปนี้ท่านจะต้องทำสงคราม”

10 อาสาจึงโกรธผู้ที่เห็นนิมิตคนนั้น และสั่งให้ล่ามโซ่เขาและเอาไปขังไว้ในคุก เพราะเรื่องนี้ทำให้เขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟกับคนนั้น ในช่วงนั้นอาสาเริ่มกดขี่ประชาชนบางคนอย่างโหดร้าย

11 ส่วนเหตุการณ์อื่นๆในสมัยของอาสา ตั้งแต่เริ่มจนจบได้ถูกจดบันทึกไว้ในหนังสือของพวกพงศ์กษัตริย์แห่งยูดาห์และอิสราเอล 12 ในปีที่สามสิบเก้า[b] ที่อาสาเป็นกษัตริย์ เขาได้เป็นโรคที่เท้าทั้งสองข้าง ถึงแม้โรคของเขาจะรุนแรงมาก แต่เขาก็ไม่เคยขอความช่วยเหลือจากพระยาห์เวห์เลย มีแต่ให้หมอรักษาเท่านั้น 13 แล้วในปีที่สี่สิบเอ็ด[c] อาสาก็ได้ตายไปอยู่กับบรรพบุรุษของเขา 14 พวกเขาได้ฝังศพของอาสาไว้ในหลุมฝังศพที่เขาได้เตรียมไว้สำหรับตัวเขาในเมืองของดาวิด พวกเขาวางศพของอาสาไว้บนแคร่วางศพและประพรมด้วยเครื่องเทศและน้ำหอมนานาชนิด และพวกเขาก็ก่อกองไฟขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่อาสา[d]

วิวรณ์ 5

หนังสือม้วนกับลูกแกะ

แล้วผมก็เห็นหนังสือม้วนม้วนหนึ่งในมือขวาของพระองค์ผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ หนังสือม้วนนั้นมีคำเขียนไว้ทั้งสองด้าน ทั้งด้านหน้าและด้านหลังมีตราประทับทั้งเจ็ดปิดผนึกอยู่ จากนั้นผมเห็นทูตสวรรค์ผู้ทรงอำนาจองค์หนึ่ง ประกาศด้วยเสียงอันดังว่า “ใครเหมาะสมที่จะแกะตราและเปิดหนังสือม้วนนี้ออก” แต่ก็ไม่มีใครในสวรรค์ บนโลกหรือใต้แผ่นดินโลก ที่เหมาะสมจะเปิดหนังสือม้วนนี้ออกมาอ่าน ผมร้องไห้แล้วร้องไห้อีก เพราะยังไม่มีใครเหมาะสมที่จะเปิดหนังสือม้วนนี้ออกมาอ่านได้ แต่มีผู้อาวุโส[a]องค์หนึ่งพูดกับผมว่า “อย่าร้องไห้เลย ดูนั่นสิ สิงโตจากเผ่าของยูดาห์[b] ผู้เป็นสายเลือดอันยิ่งใหญ่ของดาวิด[c] ได้รับชัยชนะ และสามารถแกะตราประทับทั้งเจ็ดดวง และเปิดหนังสือม้วนนี้ออกได้”

แล้วผมก็เห็นลูกแกะ[d]ตัวหนึ่งยืนอยู่ตรงกลางใกล้ๆกับบัลลังก์ และมีสิ่งมีชีวิตทั้งสี่และพวกผู้อาวุโสล้อมรอบมันอยู่ ดูเหมือนว่าลูกแกะตัวนั้นเคยถูกฆ่ามาแล้ว มันมีเจ็ดเขา และเจ็ดตา ซึ่งเป็นพระวิญญาณทั้งเจ็ดของพระเจ้าที่พระองค์ส่งออกไปทั่วโลก แล้วลูกแกะตัวนั้นก็เดินเข้ามารับหนังสือม้วนนั้นจากมือขวาของพระเจ้า ผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ เมื่อลูกแกะตัวนั้นรับหนังสือม้วนนั้น สิ่งมีชีวิตทั้งสี่กับพวกผู้อาวุโสทั้งยี่สิบสี่องค์ ก็ก้มกราบลงต่อหน้าลูกแกะตัวนั้น ทุกคนถือพิณ และขันทองคำที่เต็มไปด้วยเครื่องหอม ซึ่งเป็นคำอธิษฐานของคนของพระเจ้า พวกเขาทั้งหลายก็ร้องเพลงบทใหม่ให้กับลูกแกะตัวนั้นว่า

“พระองค์เป็นผู้ที่เหมาะสมที่จะได้รับหนังสือม้วนนี้และแกะตราออก
    เพราะพระองค์เคยถูกฆ่าและด้วยเลือดของพระองค์เองนั้น
    พระองค์ได้ซื้อคนให้พระเจ้า จากทุกเผ่า ทุกภาษา ทุกเชื้อชาติ และทุกชนชาติ
10 พระองค์ทำให้พวกเขาเป็นพวกกษัตริย์และเป็นพวกนักบวชของพระเจ้าของเรา
    และพวกเขาครอบครองโลกนี้”

11 แล้วผมก็มองเห็นและได้ยินเสียงของทูตสวรรค์จำนวนเป็นล้านๆที่อยู่ล้อมรอบบัลลังก์ สิ่งมีชีวิตทั้งสี่และผู้อาวุโสทั้งหลาย 12 พูดด้วยเสียงอันดังว่า

“ลูกแกะที่ถูกฆ่า คือผู้ที่เหมาะสมจะได้รับฤทธิ์อำนาจ
    ความมั่งคั่ง สติปัญญา พละกำลัง เกียรติยศ ความรุ่งโรจน์ และคำสรรเสริญ”

13 จากนั้นผมก็ได้ยินเสียงพวกสิ่งมีชีวิตทั้งปวงในสวรรค์ บนโลก ใต้แผ่นดินโลก และในทะเล ใช่แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในจักรวาลนี้ พูดว่า

“ขอคำสรรเสริญ เกียรติยศ ความรุ่งโรจน์ และฤทธิ์อำนาจ
    จงมีแด่พระองค์ผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ และแด่ลูกแกะตลอดกาล”

14 จากนั้นสิ่งมีชีวิตทั้งสี่ ก็พูดว่า “อาเมน” แล้วผู้อาวุโสทั้งยี่สิบสี่องค์ก็ก้มลงกราบนมัสการ

เศคาริยาห์ 1

พระยาห์เวห์ต้องการให้คนของพระองค์กลับมาหาพระองค์

ในเดือนที่แปดของปีที่สอง[a] ที่ดาริอัส[b] เป็นกษัตริย์ของเปอร์เซีย ถ้อยคำของพระยาห์เวห์มาถึงเศคาริยาห์ ผู้พูดแทนพระเจ้า ที่เป็นลูกของเบเรคิยาห์ที่เป็นลูกของอิดโด ข้อความนั้นพูดว่า

เรายาห์เวห์โกรธพวกบรรพบุรุษของพวกเจ้ามาก ดังนั้น เจ้าควรจะบอกคนของเจ้าว่า “นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นพูด ‘กลับมาหาเราซะ แล้วเราจะกลับมาหาเจ้า’

อย่าเป็นเหมือนกับพวกบรรพบุรุษของพวกเจ้า ที่พวกผู้พูดแทนพระเจ้ารุ่นก่อนหน้านี้ได้พูดกับพวกเขาว่า ‘นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นพูด “หันกลับจากทางชั่วและการทำชั่วพวกนั้นของเจ้าซะ” แต่พวกเขาก็ไม่ยอมฟัง และไม่สนใจเราด้วย’” พระยาห์เวห์พูดว่าอย่างนั้น

“ส่วนพวกบรรพบุรุษของเจ้า ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหนแล้ว แล้วพวกผู้พูดแทนพระเจ้าละ พวกเขาอยู่ค้ำฟ้าหรือยังไง แต่พวกคำเตือนและกฎต่างๆของเรา ที่เราได้สั่งผ่านมาทางพวกผู้พูดแทนพระเจ้า ซึ่งเป็นพวกผู้รับใช้ของเรานั้น ก็ไล่ทันพวกบรรพบุรุษของพวกเจ้าไม่ใช่หรือ พวกเขาถึงได้กลับใจเสียใหม่ และพูดว่า ‘พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้น วางแผนไว้ว่าจะทำอย่างไรกับพวกเรา เพื่อให้สาสมกับวิถีทางและการกระทำต่างๆของพวกเรา และพระองค์ก็ได้ทำอย่างนั้นกับพวกเราแล้ว’”

นิมิตที่หนึ่ง: ม้าสี่ตัว

ในวันที่ยี่สิบสี่ของเดือนที่สิบเอ็ด ซึ่งเป็นเดือนเชบัท[c] ในปีที่สองที่กษัตริย์ดาริอัสครองราชย์[d] ถ้อยคำของพระยาห์เวห์มาถึงเศคาริยาห์ ผู้พูดแทนพระเจ้า ที่เป็นลูกของเบเรคิยาห์ที่เป็นลูกของอิดโด ข้อความนั้นพูดว่า

ในช่วงกลางคืน ผมเห็นนิมิต ผมเห็นชายคนหนึ่งขี่ม้าสีดำแดง ยืนอยู่ท่ามกลางพุ่มไม้ดอกในหุบเขาลึก และข้างหลังเขาก็มีม้าสีดำแดง ม้าสีน้ำตาลแดง และม้าสีขาว ผมถามว่า “ท่านครับ ม้าพวกนี้เอาไว้ทำอะไรหรือครับ”

ทูตสวรรค์พูดกับผมว่า “เราจะให้เจ้าเห็นว่าม้าพวกนี้มีไว้ทำอะไร”

10 ชายคนที่ยืนอยู่ท่ามกลางพุ่มไม้นั้นตอบว่า “พวกม้านี้คือพวกที่พระยาห์เวห์ส่งมาเพื่อท่องตรวจตราไปในโลกนี้”

11 พวกคนขี่ม้าเหล่านั้นได้รายงานให้กับทูตของพระยาห์เวห์ที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้นั้นว่า “พวกเราได้ท่องตรวจตราไปในโลกนี้ และโลกทั้งโลกก็อยู่ในความสงบเรียบร้อยดี”

12 ทูตของพระยาห์เวห์พูดว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้น อีกนานแค่ไหนที่พระองค์จะยับยั้งความเมตตาสงสารไปจากเยรูซาเล็มและพวกเมืองต่างๆของยูดาห์ ที่พระองค์โกรธมาเป็นเวลาถึงเจ็ดสิบปีแล้ว[e]

13 พระยาห์เวห์ตอบกับทูตสวรรค์ที่พูดกับผม พระยาห์เวห์ใช้คำพูดที่เต็มไปด้วยความเมตตาและการปลอบโยน 14 ทูตสวรรค์ที่พูดกับผม บอกให้ผมไปประกาศเรื่องนี้ คือ

พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นพูดว่า
    “เราหึงหวงเยรูซาเล็มและภูเขาศิโยนมาก
15 เราโกรธชนชาติที่เย่อหยิ่งจองหองเหล่านั้นมาก คือชนชาติเหล่านั้นที่คิดว่าตัวเองมั่นคงปลอดภัย
    ตอนนั้นเราโกรธคนอิสราเอลไม่มาก
เราจึงใช้คนพวกนี้ไปลงโทษคนของเรา
    แต่พวกเขาก็ทำเกินไป”
16 ดังนั้น พระยาห์เวห์พูดอย่างนี้ว่า
    “เราจะกลับมาเยรูซาเล็มด้วยความสงสาร
วิหารของเราจะถูกสร้างขึ้นใหม่ในเมืองนั้น
    จะมีการขึงเชือกวัดไปทั่วทั้งเมืองเยรูซาเล็มเพื่อสร้างเมืองขึ้นมาใหม่”
17 ทูตสวรรค์ยังบอกผมให้ประกาศเรื่องนี้ด้วย
“พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นพูดว่า
    ‘เมืองต่างๆของเราจะเต็มล้นไปด้วยความมั่งคั่งอีก
เราจะปลอบโยนศิโยนอีกครั้ง
    และเราจะเลือกเมืองเยรูซาเล็มเป็นเมืองพิเศษของเราอีกครั้งหนึ่ง’”

นิมิตที่สอง: เขาสัตว์สี่อันกับช่างสี่คน

18 ผมเงยหน้าขึ้นมาเห็นเขาสัตว์สี่อัน 19 ผมถามทูตสวรรค์ที่พูดอยู่กับผมว่า “เขาสัตว์พวกนี้หมายถึงอะไรครับ”

ท่านตอบว่า “เขาสัตว์พวกนี้คือชนชาติต่างๆที่ทำให้ยูดาห์ อิสราเอล และเยรูซาเล็มต้องกระจัดกระจายไป”

20 พระยาห์เวห์ให้ผมเห็นช่างสี่คน 21 ผมถามว่า “ช่างพวกนี้จะมาทำอะไรหรือครับ”

พระองค์ตอบว่า “เขาสัตว์เหล่านั้นคือชนชาติต่างๆที่ทำให้ยูดาห์ต้องกระจัดกระจายไป ทำให้ไม่มีใครโงหัวขึ้นมาได้ และช่างพวกนี้[f] ก็มาเพื่อทำให้เขาสัตว์ทั้งสี่นั้นกลัว พวกเขามาตัดและโยนเขาสัตว์นั้นทิ้งไป ซึ่งก็คือชนชาติเหล่านั้น ชนชาติที่ได้ยกเขาขึ้น[g] ต่อต้านแผ่นดินยูดาห์ และทำให้พวกเขาต้องกระจัดกระจายไป”

ยอห์น 4

พระเยซูคุยกับหญิงชาวสะมาเรีย

เมื่อพระเยซูรู้เรื่องที่พวกฟาริสีได้ข่าวว่า พระองค์มีศิษย์มากกว่ายอห์น และทำพิธีจุ่มน้ำให้กับผู้คนอยู่ (ความจริงพระเยซูไม่ได้เป็นคนทำพิธีจุ่มน้ำเอง แต่พวกศิษย์ของพระองค์เป็นคนทำให้) พระเยซูก็เลยออกจากแคว้นยูเดีย กลับไปแคว้นกาลิลีอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งจะต้องผ่านแคว้นสะมาเรีย

ในแคว้นสะมาเรีย พระองค์เดินทางมาถึงเมืองสิคาร์ที่อยู่ใกล้ๆกับที่ดินที่ยาโคบได้ยกให้กับโยเซฟลูกชายของเขา[a] บ่อน้ำของยาโคบตั้งอยู่ที่นั่น พระเยซูนั่งพักเหนื่อยอยู่ข้างๆบ่อน้ำนั้นเพราะเดินทางมาไกล ตอนนั้นเป็นเวลาเที่ยงวัน มีหญิงชาวสะมาเรีย คนหนึ่งมาตักน้ำที่บ่อ พระเยซูพูดกับเธอว่า “ขอน้ำดื่มหน่อย” (พระเยซูอยู่คนเดียว เพราะพวกศิษย์ไปหาซื้ออาหารในเมือง)

หญิงชาวสะมาเรียพูดว่า “คุณมาขอน้ำฉันดื่มได้ยังไงกัน คุณเป็นคนยิว ฉันเป็นหญิงสะมาเรีย” (ปกติแล้วคนยิวจะไม่ยุ่งเกี่ยว[b] กับคนสะมาเรีย)

10 พระเยซูตอบหญิงนั้นว่า “นี่ถ้าคุณรู้ว่าพระเจ้าอยากให้อะไรกับคุณ และรู้ว่าเราที่ขอน้ำคุณดื่มอยู่นี้เป็นใคร คุณก็คงจะขอจากเรา และเราก็จะให้น้ำที่ให้ชีวิต[c] กับคุณ”

11 หญิงคนนั้นพูดว่า “คุณคะ แล้วคุณจะไปเอาน้ำที่ให้ชีวิตนั้นมาจากไหนล่ะ ในเมื่อถังตักน้ำก็ไม่มี แถมบ่อนี้ก็ลึก 12 คุณคงไม่ได้ยิ่งใหญ่ไปกว่ายาโคบ บรรพบุรุษของเราที่ให้บ่อน้ำนี้มาหรอกนะ ตัวยาโคบเองกับลูกๆและฝูงสัตว์เลี้ยงของเขาก็ดื่มน้ำจากบ่อนี้กันทั้งนั้นแหละ”

13 พระองค์ตอบว่า “ทุกคนที่ดื่มน้ำจากบ่อนี้ก็จะหิวน้ำอีก 14 แต่คนที่ดื่มน้ำที่เราให้จะไม่หิวน้ำอีกเลย เพราะน้ำที่เราให้เขาดื่มจะกลายเป็นน้ำพุที่ไหลไม่หยุดอยู่ในตัวเขาและนำชีวิตที่อยู่กับพระเจ้าตลอดไปมาให้”

15 หญิงคนนั้นจึงพูดว่า “คุณคะ ขอน้ำนั้นให้ฉันดื่มบ้างสิคะ จะได้ไม่หิวน้ำอีกและไม่ต้องกลับมาตักน้ำอีก”

16 พระองค์จึงบอกเธอว่า “ไปเรียกสามีของคุณมาที่นี่หน่อย”

17 เธอตอบว่า “ฉันไม่มีสามีค่ะ” พระองค์บอกว่า “เออ ก็จริงของคุณที่บอกว่าไม่มีสามี 18 เพราะคุณมีสามีมาห้าคนแล้ว และคนที่อยู่ด้วยตอนนี้ก็ไม่ใช่สามีของคุณ มันก็จริงอย่างที่คุณบอก”

19 เธอร้องว่า “คุณคะ ฉันเชื่อแล้วว่าคุณเป็นผู้พูดแทนพระเจ้า 20 บรรพบุรุษของเราได้กราบไหว้บูชาพระเจ้าที่ภูเขานี้ แต่พวกคุณชาวยิวกลับพูดว่าจะต้องไปกราบไหว้บูชาพระเจ้าที่เมืองเยรูซาเล็มเท่านั้น”

21 พระองค์ตอบว่า “เชื่อเราสิ ใกล้จะถึงเวลาแล้วที่มันจะไม่สำคัญอีกต่อไปว่าจะกราบไหว้บูชาพระเจ้าพระบิดาที่ภูเขานี้หรือที่เมืองเยรูซาเล็ม 22 จริงๆแล้วพวกคุณชาวสะมาเรียไม่รู้จักพระเจ้าที่พวกคุณกราบไหว้บูชาอยู่ แต่พวกเราชาวยิวรู้จักพระเจ้าที่พวกเรากราบไหว้บูชา เพราะพระเจ้าจะช่วยโลกนี้ให้รอดโดยผ่านทางชาวยิว 23 แต่เวลานั้นใกล้จะมาถึงแล้ว และตอนนี้ก็มาถึงแล้ว ที่ผู้คนกราบไหว้บูชาอย่างแท้จริงจะต้องกราบไหว้บูชาพระบิดาด้วยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยความจริง คนอย่างนี้แหละที่พระบิดาตามหาให้มากราบไหว้บูชาพระองค์อยู่ 24 พระเจ้าเป็นพระวิญญาณ ดังนั้นคนที่กราบไหว้บูชาพระองค์จะต้องกราบไหว้บูชาด้วยอำนาจของพระวิญญาณและด้วยความจริง”

25 หญิงคนนั้นจึงพูดว่า “ฉันรู้ว่าพระเมสสิยาห์ (ที่เรียกว่า ‘พระคริสต์’) กำลังจะมา และเมื่อพระองค์มาแล้ว พระองค์จะอธิบายทุกอย่างให้เรารู้”

26 พระเยซูบอกเธอว่า “เราเองที่กำลังคุยกับคุณอยู่นี่ คือพระเมสสิยาห์”

27 ขณะนั้นพวกศิษย์ของพระองค์กลับมาถึงพอดี พวกเขาแปลกใจที่เห็นพระองค์กำลังพูดคุยอยู่กับผู้หญิง แต่ก็ไม่มีใครกล้าถามพระองค์ว่า “อาจารย์ต้องการอะไรหรือครับ” หรือ “ไปพูดกับเธอทำไมครับ”

28 ผู้หญิงคนนั้นทิ้งหม้อน้ำเอาไว้ และเข้าไปบอกผู้คนในเมืองว่า 29 “มาดูผู้ชายที่บอกอดีตของฉันได้สิ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเป็นพระเมสสิยาห์ก็ได้” 30 คนก็พากันออกจากเมืองไปหาพระเยซู

31 ขณะนั้น พวกศิษย์กำลังคะยั้นคะยอพระเยซูว่า “อาจารย์ กินอะไรบ้างสิครับ”

32 แต่พระองค์บอกว่า “เรามีอาหารที่พวกคุณไม่รู้จัก”

33 พวกศิษย์ต่างก็ถามกันว่า “คงไม่มีใครแถวนี้เอาอาหารมาให้อาจารย์นะ”

34 พระองค์จึงบอกกับพวกเขาว่า “อาหารของเราคือการทำตามใจพระองค์ผู้ส่งเรามา และทำงานที่พระองค์ให้เราทำให้เสร็จ 35 เมื่อหว่านเมล็ดพืช คุณพูดว่า ‘ต้องคอยอีกสี่เดือนถึงจะเก็บเกี่ยว’ แต่เราบอกให้คุณลืมตาขึ้นมาดูทุ่งนาที่เต็มไปด้วยพืชผล ซึ่งพร้อมแล้วที่จะให้เก็บเกี่ยวเดี๋ยวนี้ 36 ตอนนี้คนเก็บเกี่ยวก็รับค่าจ้างอยู่ และพืชผลที่เก็บรวบรวมมานี้ก็คือคนที่จะได้รับชีวิตที่อยู่กับพระเจ้าตลอดไป ดังนั้นทั้งคนปลูกและคนเก็บเกี่ยวก็จะมีความสุขร่วมกัน 37 จะได้เป็นไปตามคำพูดที่ว่า ‘คนหนึ่งปลูก และอีกคนหนึ่งเก็บเกี่ยว’ 38 เราได้ส่งคุณไปเก็บเกี่ยวสิ่งที่คุณไม่ได้ลงแรงปลูก คนอื่นเป็นคนลงแรงและคุณก็ได้ผลประโยชน์จากน้ำพักน้ำแรงของเขา”

39 จากคำพูดของผู้หญิงคนนั้นที่บอกว่า “ชายที่บอกอดีตของฉันได้” ทำให้ชาวสะมาเรียจำนวนมากในเมืองนั้นมาไว้วางใจในพระองค์ 40 เมื่อชาวสะมาเรียมาหาพระองค์ พวกเขาขอร้องให้พระองค์พักอยู่กับพวกเขา พระองค์จึงพักอยู่ที่นั่นสองวัน 41 คำพูดของพระองค์ ทำให้อีกหลายคนมาไว้วางใจพระองค์

42 ชาวเมืองบอกกับหญิงคนนั้นว่า “ตอนนี้พวกเราได้ไว้วางใจพระเยซู ไม่ใช่เพราะได้ยินจากคุณเท่านั้น แต่เพราะได้ยินกับหูของพวกเราเอง ตอนนี้เรารู้ว่าชายคนนี้เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของโลกนี้อย่างแน่นอน”

พระเยซูรักษาลูกชายของข้าราชการ

(มธ. 8:5-13; ลก. 7:1-10)

43 หลังจากนั้นสองวันพระเยซูเดินทางต่อไปที่แคว้นกาลิลี 44 (พระเยซูเคยพูดว่า ผู้พูดแทนพระเจ้าจะไม่ได้รับเกียรติในบ้านเมืองของตน) 45 เมื่อพระองค์มาถึงแคว้นกาลิลี ชาวกาลิลีต้อนรับพระองค์เป็นอย่างดี เพราะพวกเขาเห็นทุกสิ่งที่พระองค์ทำในเทศกาลวันปลดปล่อยที่เมืองเยรูซาเล็ม (พวกเขาได้ไปร่วมงานที่นั่นด้วย)

46 พระเยซูไปหมู่บ้านคานาในแคว้นกาลิลีอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่พระองค์เคยเปลี่ยนน้ำให้กลายเป็นเหล้าองุ่นมาก่อน ข้าราชการคนหนึ่งของกษัตริย์อาศัยอยู่ที่เมืองคาเปอรนาอุม ลูกชายของเขากำลังป่วยหนัก 47 เมื่อข้าราชการคนนั้นได้ยินว่าพระเยซูเดินทางจากแคว้นยูเดียมาที่แคว้นกาลิลี เขามาขอร้องให้พระเยซูไปรักษาลูกของเขาที่เมืองคาเปอรนาอุม เพราะลูกของเขากำลังจะตาย 48 พระเยซูพูดกับเขาว่า “คนอย่างพวกคุณคงไม่เชื่อเราหรอก นอกจากจะได้เห็นเรื่องอัศจรรย์หรือปาฏิหาริย์เสียก่อน”

49 ข้าราชการคนนั้นบอกพระองค์ว่า “ท่านครับ ช่วยไปก่อนที่ลูกของผมจะตายด้วยเถิด”

50 พระเยซูบอกว่า “กลับบ้านไปเถอะ ลูกคุณหายดีแล้ว” เขาก็เชื่อในคำพูดของพระเยซู แล้วกลับไป 51 ในระหว่างทางนั้นเขาก็ได้พบกับพวกคนใช้ของเขาที่มาส่งข่าวว่าลูกชายของเขาหายเป็นปกติแล้ว

52 เขาถามพวกคนใช้ว่าลูกชายของเขาหายป่วยตอนไหน

พวกคนใช้ตอบว่า “หายไข้เมื่อวานนี้ตอนบ่ายโมงครับ”

53 พ่อของเด็กก็รู้ว่าเป็นเวลาเดียวกับที่พระเยซูพูดว่า “ลูกคุณหายดีแล้ว” ดังนั้นตัวเขาและทุกคนในบ้านเขาได้ไว้วางใจในพระเยซู

54 นี่เป็นเรื่องอัศจรรย์ครั้งที่สองที่พระเยซูทำตั้งแต่ออกจากแคว้นยูเดียมาที่แคว้นกาลิลี

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International