Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
2 พงศาวดาร 9

ราชินีของเชบามาพบซาโลมอน

(1 พกษ. 10:1-13)

เมื่อราชินีของเชบาได้ยินถึงชื่อเสียงของซาโลมอน นางมาที่เมืองเยรูซาเล็มเพื่อทดสอบเขาด้วยคำถามยากๆหลายข้อ นางเดินทางมาพร้อมกับข้าราชการมากมาย และมีฝูงอูฐบรรทุกเครื่องเทศมากมาย ทองคำจำนวนมากและพลอยมีค่าหลายชนิด นางมาพบกับซาโลมอนและคุยกับเขาเกี่ยวกับสิ่งต่างๆที่นางคิดไว้ ซาโลมอนตอบคำถามทั้งหมดของนางได้ ไม่มีข้อใดเลยที่ยากเกินไปสำหรับซาโลมอนที่จะอธิบายให้กับนางได้เข้าใจ เมื่อราชินีของเชบาเห็นความเฉลียวฉลาดของซาโลมอน อีกทั้งเห็นวังที่เขาสร้างขึ้น ตลอดจนอาหารต่างๆบนโต๊ะของเขา ที่นั่งของพวกเจ้าหน้าที่ของเขา พวกผู้รับใช้ของเขาและเสื้อผ้าที่พวกเขาใส่อยู่ พวกผู้ถือถ้วยของเขาและชุดที่พวกเขาใส่อยู่ และเครื่องเผาบูชาทั้งหลายที่เขาถวายอยู่ในวิหารของพระยาห์เวห์ นางก็รู้สึกตกตะลึงจนลืมหายใจ นางพูดกับกษัตริย์ว่า “ข่าวที่เราได้ยินในประเทศของเราเกี่ยวกับความสำเร็จต่างๆและความเฉลียวฉลาดของท่านล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น แต่เราไม่เคยเชื่อสิ่งเหล่านี้มาก่อน จนกระทั่งเราได้มาเห็นกับตาของเราเอง อันที่จริง ความเฉลียวฉลาดที่พวกเขาพูดนั้นยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งของความเฉลียวฉลาดอันยิ่งใหญ่ที่ท่านมีเสียด้วยซ้ำ ท่านดีกว่าที่เราได้ยินมามากนัก คนของท่าน[a] ช่างได้เกียรติจริงๆ พวกเจ้าหน้าที่ของท่านนี่ช่างได้เกียรติจริงๆ คนพวกนี้ได้ยืนอยู่ต่อหน้าท่านตลอดเวลา และได้ฟังความเฉลียวฉลาดของท่าน ขอสรรเสริญพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านผู้ที่ชื่นชมในตัวท่านและวางท่านไว้บนบัลลังก์ของพระองค์ให้เป็นกษัตริย์ปกครองให้กับพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน เป็นเพราะความรักของพระเจ้าของท่านที่มีให้กับชนชาติอิสราเอลและความต้องการของพระองค์ที่จะโอบอุ้มพวกเขาไว้ตลอดไป พระองค์ได้ทำให้ท่านเป็นกษัตริย์เหนือพวกเขาเพื่อที่จะรักษาความยุติธรรมและความถูกต้องไว้”

แล้วนางก็มอบทองคำประมาณสี่ตัน เครื่องเทศเป็นจำนวนมาก และพลอยมีค่าอีกหลายอย่างให้กับกษัตริย์ ไม่เคยมีใครนำเครื่องเทศมามากมายเท่ากับที่ราชินีแห่งเชบาเอามาให้กับกษัตริย์ซาโลมอน

10 (คนของฮีรามและคนของซาโลมอนได้นำทองคำมาจากโอฟีร์[b] พวกเขายังได้นำไม้แก่นจันทน์แดงและพลอยมีค่ามาด้วย 11 กษัตริย์ใช้ไม้แก่นจันทน์แดงทำขั้นบันไดของวิหาร ของพระยาห์เวห์ กับบันไดของวังกษัตริย์ และยังใช้ทำพิณใหญ่กับพิณเล็ก สำหรับพวกนักดนตรี ยังไม่เคยมีใครเคยเห็นของสวยเหมือนของพวกนี้มาก่อนในยูดาห์)

12 กษัตริย์ซาโลมอนให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ราชินีของเชบาอยากได้และที่นางขอจากเขา ซาโลมอนให้ของกับนางมากกว่าของที่นางนำมาให้เขาเสียอีก แล้วนางก็จากไปและกลับประเทศของนางพร้อมกับพวกข้าราชการของนาง

ทรัพย์สมบัติของซาโลมอน

(1 พกษ. 10:14-29; 2 พศด. 1:14-17)

13 ซาโลมอนรับทองคำในแต่ละปีหนักประมาณยี่สิบสามตัน 14 ไม่รวมถึงทองคำที่ได้จากพวกพ่อค้าเร่ และพวกที่ค้าขายเป็นประจำ และกษัตริย์ทั้งหลายแห่งอาระเบียและพวกผู้ว่าได้นำเงินและทองมาให้กับซาโลมอนด้วย 15 กษัตริย์ซาโลมอนสร้างโล่ขนาดใหญ่สองร้อยอันที่ทำจากทองคำที่ตีแล้ว โดยโล่แต่ละอันใช้ทองคำที่ตีแล้วหนักสามกิโลครึ่ง 16 เขายังสร้างโล่ขนาดเล็กขึ้นสามร้อยอันที่ทำจากทองคำที่ตีแล้วด้วย โดยโล่แต่ละอันใช้ทองคำหนักหนึ่งกิโลเจ็ดขีด กษัตริย์ได้เก็บพวกมันไว้ในวังที่มีชื่อว่า “ป่าแห่งเลบานอน”

17 แล้วกษัตริย์ก็สร้างบัลลังก์อันยิ่งใหญ่ขึ้นบัลลังก์หนึ่ง โดยฝังงาช้างไว้และบุด้วยทองคำบริสุทธิ์ 18 บัลลังก์นี้มีบันไดหกขั้นและมีที่รองเท้า[c] อันหนึ่งทำจากทองคำติดอยู่กับบัลลังก์ มีที่วางแขนอยู่ทั้งสองข้างของที่นั่ง มีรูปปั้นสิงห์สองตัวยืนอยู่ที่ด้านข้างของบัลลังก์ 19 บันไดทั้งหกขั้นนี้ ที่ปลายทั้งสองด้านของบันไดแต่ละขั้นมีรูปปั้นสิงห์อยู่ข้างละตัว รวมทั้งหมดสิบสองตัว ไม่มีอาณาจักรไหนเคยทำได้อย่างนี้มาก่อน 20 ถ้วยสำหรับดื่มเหล้าทั้งหมดของซาโลมอนทำจากทองคำ และข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างในวังของป่าแห่งเลบานอนล้วนทำจากทองคำบริสุทธิ์ ไม่มีอะไรที่ทำจากเงินเลย เพราะในยุคของซาโลมอน เงินแทบจะไม่มีค่าอะไรเลย 21 กษัตริย์มีกองเรือสำหรับค้าขายที่ควบคุมดูแลโดยคนของฮีราม เรือเหล่านี้จะกลับมาทุกๆสามปีโดยนำทองคำ เงินและงาช้างรวมทั้งลิงตัวใหญ่และลิงบาบูนกลับมาด้วย

22 กษัตริย์ซาโลมอนล้ำหน้ากษัตริย์ทุกองค์ในโลกนี้ในเรื่องความร่ำรวยและความเฉลียวฉลาด 23 กษัตริย์ทุกองค์ในโลกต่างพากันมาขอเข้าพบซาโลมอน เพื่อที่จะได้ฟังความเฉลียวฉลาดของเขาที่พระเจ้าได้ใส่ไว้ในใจของเขา 24 ปีแล้วปีเล่า ทุกๆคนที่มาต่างก็นำของขวัญมาให้เขา ไม่ว่าจะเป็นเงินหรือทองคำ เสื้อผ้า อาวุธ เครื่องเทศ ม้าหรือล่อ

25 ซาโลมอนมีคอกม้าถึงสี่พันคอก กับรถรบอีกหลายคัน เขามีม้าทั้งหมดหนึ่งหมื่นสองพันตัวซึ่งได้เก็บอยู่ในเมืองที่เก็บรถรบ และส่วนหนึ่งอยู่กับเขาในเยรูซาเล็ม 26 เขาได้ปกครองอยู่เหนือกษัตริย์อีกหลายๆองค์ตั้งแต่แม่น้ำยูเฟรติสไปจนถึงแผ่นดินของพวกฟีลิสเตีย จนถึงเขตแดนของประเทศอียิปต์ 27 กษัตริย์ได้ทำให้เงินมีมากอย่างกับก้อนหินในเมืองเยรูซาเล็ม และทำให้ไม้สนซีดาร์มีอย่างเกลื่อนกลาดเหมือนกับไม้มะเดื่อตามเชิงเขา 28 ม้าของซาโลมอนถูกนำมาจากประเทศอียิปต์และจากประเทศอื่นๆอีกหลายประเทศ

ซาโลมอนตาย

(1 พกษ. 11:41-43)

29 ส่วนเหตุการณ์อื่นๆในสมัยของซาโลมอนตั้งแต่เริ่มต้นจนสิ้นสุดลงได้รับการจดบันทึกไว้แล้วในบันทึกของนาธันผู้พูดแทนพระเจ้า ในคำเผยแพร่ของอาหิยาห์ชาวเมืองชิโลห์และในนิมิตของอิดโดผู้ที่เห็นนิมิต[d] เกี่ยวกับเยโรโบอัมลูกชายของเนบัท 30 ซาโลมอนได้ปกครองอยู่ในเมืองเยรูซาเล็มเหนือชนชาติอิสราเอลเป็นเวลาสี่สิบปี 31 แล้วเขาก็ได้ตายไปอยู่กับบรรพบุรุษของเขาและถูกฝังอยู่ในเมืองของดาวิดพ่อของเขา และเรโหโบอัมลูกชายของเขาก็ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์สืบต่อจากเขา

ยูดา

จากยูดา ทาสของพระเยซูคริสต์ และเป็นน้องของยากอบ

ถึงคนทั้งหลายที่พระเจ้าได้เรียกมาเป็นคนที่พระเจ้าพระบิดารัก และเป็นคนที่พระเยซูคริสต์คุ้มครองไว้

ขอพระเจ้าให้ความเมตตากรุณา สันติสุข และความรักกับคุณมากขึ้นอย่างเหลือเฟือ

พระเจ้าจะลงโทษคนที่ทำผิด

เพื่อนๆที่รัก ตอนแรกผมตั้งใจจะเขียนถึงพวกคุณเกี่ยวกับความรอดที่เรามีร่วมกัน แต่ผมเห็นว่าจำเป็นจะต้องเขียนมากระตุ้นพวกคุณก่อน ให้ต่อสู้เพื่อหลักความเชื่อที่พระเจ้าได้มอบให้กับคนเหล่านั้นที่ถูกอุทิศไว้ให้เป็นของพระองค์ พระเจ้าได้มอบความเชื่อนี้เพียงครั้งเดียวซึ่งเพียงพอแล้วสำหรับตลอดไป

เพราะมีบางคนได้แอบเข้ามาในกลุ่มของพวกคุณ พวกนี้เป็นพวกที่พระเจ้าได้ตัดสินลงโทษไว้นานมาแล้ว ตามที่ผู้พูดแทนพระเจ้าได้เขียนไว้ พวกนอกศาสนาใช้ความเมตตากรุณาของพระองค์มาเป็นข้ออ้างที่จะทำผิดบาปทางเพศ และพวกนี้ได้ทิ้งพระเยซูคริสต์ผู้เป็นเจ้านายและองค์เจ้าชีวิตแต่เพียงผู้เดียวของเราด้วย

ผมอยากจะช่วยเตือนความจำของพวกคุณในเรื่องที่คุณรู้อยู่แล้ว จำได้ไหม องค์เจ้าชีวิต[a]ได้ช่วยคนของพระองค์ออกจากประเทศอียิปต์ แต่ต่อมาพระองค์ได้ทำลายทุกคนในพวกนั้นที่ไม่ไว้วางใจพระองค์ คุณยังจำได้ไหม เรื่องของพวกทูตสวรรค์ที่ไม่พอใจกับตำแหน่งหน้าที่ที่พระองค์มอบให้ แต่กลับทิ้งที่อยู่ของตัวเองไป พระองค์ได้ล่ามพวกนี้ไว้ด้วยโซ่ที่ไม่มีวันขาด ขังไว้ในที่มืดมิดเพื่อรอตัดสินโทษในวันที่ยิ่งใหญ่นั้น จำได้ไหม เรื่องของเมืองโสโดม เมืองโกโมราห์ และเมืองอื่นๆรอบๆสองเมืองนั้น ที่เต็มไปด้วยพวกทำผิดบาปทางเพศ พวกวิปริตผิดเพศ พระองค์จึงลงโทษพวกเขาด้วยไฟที่ไม่มีวันดับ เพื่อเอาไว้เป็นตัวอย่างให้ดู

มันก็เหมือนกับคนพวกนี้ที่แอบเข้ามาในกลุ่มของคุณ พวกเขาอ้างว่าเห็นนิมิตมากมาย จึงทำให้พวกเขาทำตัวสกปรกโสมมเต็มไปด้วยราคะตัณหา ไม่ยอมรับอำนาจขององค์เจ้าชีวิต และด่าว่าทูตสวรรค์ ซึ่งแม้แต่มีคาเอลที่เป็นหัวหน้าทูตสวรรค์ยังไม่กล้าด่าว่ามาร ตอนที่โต้เถียงกันว่าใครจะได้ศพของโมเสสไป มีคาเอลแค่พูดว่า “ขอให้องค์เจ้าชีวิตจัดการกับเจ้า” 10 แต่คนพวกนี้ได้ด่าว่าในเรื่องที่ตัวเองก็ไม่เข้าใจ ส่วนเรื่องที่เขาเข้าใจตามสัญชาตญาณอย่างสัตว์ที่ไม่มีความคิดนั้น ก็กลับเป็นสิ่งที่ทำลายพวกเขาเอง 11 พวกนี้ทำตัวน่าละอายที่สุด พวกเขาทำตัวเหมือนคาอินที่ฆ่าน้องของตัวเอง พวกนี้ได้ปล่อยตัวไปตามความผิดที่บาลาอาม[b]ได้ทำเพราะอยากจะร่ำรวย คนพวกนี้จะถูกทำลายไปเหมือนกับโคราห์[c]ที่กบฏต่อโมเสส

12 เมื่อพวกคุณมาพบปะสังสรรค์ดื่มกินกันเพื่อแสดงความรักต่อกัน[d] คนพวกนี้ก็มาร่วมด้วย พวกเขาเป็นเหมือนหินโสโครกอันตรายที่ทำให้เรือแตกได้ พวกเขาดื่มกินกับคุณอย่างหน้าด้านๆ เป็นคนเลี้ยงแกะที่เลี้ยงดูแต่ตัวเอง เป็นเหมือนเมฆที่ไม่มีน้ำฝนที่ถูกพัดไปตามลม เป็นเหมือนต้นไม้ที่ไม่ออกลูกตามฤดูกาล และถูกถอนรากถอนโคนตายซ้ำสอง 13 เป็นเหมือนคลื่นบ้าคลั่งในทะเลที่ซัดเอาการกระทำที่น่าละอายของตัวเองขึ้นมาให้เห็นเป็นฟอง เป็นเหมือนดวงดาวที่หลุดจากวงโคจร พระเจ้าได้จองที่ให้คนพวกนี้ในความมืดมิดที่ไม่มีวันจบสิ้น

14 อีโนค เป็นคนรุ่นที่เจ็ดนับจากอาดัม เขาได้ทำนายเกี่ยวกับคนพวกนี้ว่า “ดูนั่นสิ องค์เจ้าชีวิตมาพร้อมกับทูตสวรรค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์นับพันนับหมื่นของพระองค์ 15 เพื่อมาตัดสินลงโทษทุกๆคนที่ไม่เกรงกลัวพระเจ้าสำหรับการกระทำที่ไม่เกรงกลัวพระองค์ และสำหรับคำพูดที่หยาบช้าทั้งหมดของคนบาปที่ไม่เกรงกลัวพระองค์”

16 คนพวกนี้ขี้บ่น ชอบจับผิด ชอบทำตามราคะตัณหาของตัวเอง ขี้อวด ขี้ประจบสอพลอเพื่อประโยชน์ของตัวเอง

การเตือนและสิ่งที่ต้องทำ

17 เพื่อนๆที่รัก ขอให้จำสิ่งที่พวกศิษย์เอกของพระเยซูคริสต์องค์เจ้าชีวิตของเรา ได้เคยพูดไว้ว่า 18 “ในยุคสุดท้าย จะมีคนเยาะเย้ยพระเจ้า พวกนี้จะทำตามกิเลสตัณหา ชั่วอย่างไม่เกรงกลัวพระองค์” 19 พวกนี้แหละที่สร้างความแตกแยกขึ้นในหมู่พวกคุณ และพวกเขาก็ทำตามสัญชาตญาณ เพราะไม่มีพระวิญญาณของพระเจ้าอยู่ด้วย

20 ส่วนพวกคุณ เพื่อนที่รัก ขอให้ก่อร่างกันขึ้นบนรากฐานของหลักความเชื่ออันศักดิ์สิทธิ์ที่สุดที่คุณมี และให้อธิษฐานด้วยความช่วยเหลือจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ 21 ให้คุณรักษาเนื้อรักษาตัวให้คงอยู่ในความรักของพระเจ้า ระหว่างที่คุณรอคอยพระเยซูคริสต์องค์เจ้าชีวิตของเรา พระองค์จะเมตตากรุณาให้คุณมีชีวิตกับพระเจ้าตลอดไป 22 ให้ความเมตตากับคนที่สงสัย 23 ให้ช่วยดึงคนอื่นให้หลุดพ้นออกมาจากไฟ ให้ความเมตตากับคนอื่นๆ แต่ระมัดระวังตัวให้ดี ให้เกลียดแม้แต่เสื้อผ้าที่เปรอะเปื้อนบาป

สรรเสริญพระเจ้า

24 พระเจ้าสามารถรักษาคุณไว้ไม่ให้ล้มลง พระองค์จะนำคุณไปยืนอยู่ต่อหน้าสง่าราศีของพระองค์ อย่างคนที่ไม่มีตำหนิ และเต็มไปด้วยความสุข 25 พระองค์คือพระเจ้าเพียงองค์เดียวเท่านั้น เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา ขอให้พระเยซูคริสต์องค์เจ้าชีวิตของเราทำให้คนให้เกียรติกับพระเจ้า และยกย่องสรรเสริญพระองค์ ขอให้พวกเขายอมรับว่า พระองค์มีฤทธิ์และสิทธิอำนาจตลอดทุกยุคทุกสมัย ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต อาเมน

เศฟันยาห์ 1

นี่คือข่าวสารของพระยาห์เวห์ ที่มีมาถึงเศฟันยาห์ลูกของคูชิ ที่เป็นลูกของเกดาลิยาห์ ที่เป็นลูกของอามาริยาห์ ที่เป็นลูกของเฮเซคียาห์ เศฟันยาห์ได้รับข่าวสารนี้ ในช่วงที่โยสิยาห์[a] ลูกของอาโมน เป็นกษัตริย์ปกครองแคว้นยูดาห์

วันแห่งการพิพากษาของพระยาห์เวห์

พระยาห์เวห์พูดว่า
    “เราจะกวาดล้างทุกสิ่งทุกอย่างให้หมดสิ้นไปจากผืนแผ่นดินโลก
เราจะกวาดล้างทั้งมนุษย์และสัตว์
    เราจะกวาดล้างนกในท้องฟ้าและปลาในทะเล
เราจะกวาดล้างสิ่งต่างๆพวกนั้น ที่ทำให้พวกคนชั่วหลงไปทำบาป[b]
    และเราจะกำจัดมนุษย์ให้หมดไปจากผืนแผ่นดินโลก”
พระยาห์เวห์พูดว่าอย่างนั้น

เราจะยื่นมือของเราออกมาลงโทษยูดาห์และทุกคนที่อาศัยอยู่ในเยรูซาเล็ม
    เราจะกำจัดเศษเดนที่เหลือของพระบาอัลให้หมดสิ้นไปเสียจากสถานที่นั้น
จากท่ามกลางพวกนักบวชของอิสราเอล
    เราจะกำจัดพวกนักบวชที่กราบไหว้รูปเคารพให้หมดสิ้นไปจากความทรงจำของทุกคน
และเราจะกำจัดคนพวกนั้นที่ขึ้นไปบนดาดฟ้าเพื่อกราบไหว้พระอาทิตย์ พระจันทร์และดวงดาวต่างๆบนท้องฟ้า
    เราจะกำจัดคนพวกนั้นที่กราบไหว้และสาบานต่อเรา แล้วยังไปสาบานต่อพระมิลโคม[c]
เราจะกำจัดคนพวกนั้นที่หันกลับจากการติดตามพระยาห์เวห์ ที่ไม่ได้แสวงหาพระยาห์เวห์
    และไม่ได้ขอคำปรึกษาจากพระองค์
ให้นิ่งเงียบอยู่ต่อหน้าพระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตของผม
    เพราะว่าวันของพระยาห์เวห์ใกล้เข้ามาแล้ว
    เพราะว่าพระยาห์เวห์จัดเตรียมเครื่องเซ่นไหว้แล้ว และพระองค์แยกคนที่พระองค์ได้เชื้อเชิญไว้แล้วออกมาเป็นพิเศษ
พระยาห์เวห์พูดว่า “ในวันแห่งการเซ่นไหว้ของพระยาห์เวห์นั้น
    เราจะลงโทษพวกข้าหลวงและพวกสมาชิกของครอบครัวกษัตริย์ และทุกคนที่ใส่เสื้อผ้าของคนต่างชาติ[d]
และในวันนั้น เราจะลงโทษทุกคนที่กระโดดข้ามธรณีประตู[e]
    และลงโทษคนพวกนั้นที่ทำให้บ้านของกษัตริย์ของเขาเต็มไปด้วยการกดขี่และฉ้อโกง”

10 พระยาห์เวห์พูดว่า “ในวันนั้นจะมีเสียงร้องให้ช่วย จากประตูปลาในเมืองเยรูซาเล็ม
    และเสียงร้องคร่ำครวญแห่งความสิ้นหวังจากเขตใหม่ของเมือง
    และเสียงแตกร้าวของตึกรามบ้านช่องจากเนินเขา
11 พวกเจ้าที่อาศัยอยู่ในเขตครก ร้องไห้คร่ำครวญซะ
    เพราะพวกคนทำการค้าถูกทำลายไปแล้ว พวกพ่อค้าถูกกำจัดแล้ว
12 ในเวลานั้น เราจะเอาตะเกียงค้นหาทั่วเยรูซาเล็ม
    และเราจะลงโทษคนพวกนั้นที่พอใจที่จะตกอยู่ในความบาป เหมือนเหล้าองุ่นที่ตกตะกอนเสียไป
คนพวกนั้นคิดในใจว่า ‘พระยาห์เวห์ไม่ทำอะไรเราหรอก ไม่ว่าดีหรือร้าย’
13 ความร่ำรวยของพวกเขาจะถูกปล้น และบ้านของพวกเขาจะถูกทำลาย
    พวกเขาจะสร้างบ้านเรือนขึ้นมาแต่จะไม่ได้อยู่
    พวกเขาจะปลูกสวนองุ่น แต่จะไม่ได้ดื่มเหล้าองุ่นจากสวนพวกนั้น”

14 วันอันยิ่งใหญ่ของพระยาห์เวห์ใกล้เข้ามาแล้ว มันใกล้มาถึงแล้ว และมันจะมาอย่างรวดเร็ว
    ในวันของพระยาห์เวห์ เสียงของวันนั้นจะมีแต่ความขมขื่น
    ในวันนั้น พวกนักรบจะร้องเสียงดัง
15 วันนั้นจะเป็นวันแห่งความโกรธเกรี้ยว จะเป็นวันแห่งความทุกข์ยากและทรมาน
    จะเป็นวันแห่งการทำลายล้างและพินาศ จะเป็นวันแห่งความมืดมิดและสลัว
    จะเป็นวันที่เมฆครึ้มและดำทะมึน
16 จะเป็นวันที่เสียงแตรดังกระหึ่มและเสียงร้องทำศึกเข้าประจันบานกับเมืองต่างๆที่มีกำแพงแน่นหนาและหอคอยที่สูงชัน
17 พระยาห์เวห์พูดว่า “เราจะนำความเดือดร้อนมาให้กับผู้คน และพวกเขาก็จะเดินเหมือนกับคนตาบอด
    เพราะคนยูดาห์ได้ทำบาปต่อพระยาห์เวห์ เลือดของพวกเขาจะถูกเทเหมือนฝุ่น และเนื้อหนังของพวกเขาก็จะกระจัดกระจายไปบนดินเหมือนมูลสัตว์
18 แม้แต่เงินและทองของพวกเขาก็ไม่สามารถช่วยชีวิตพวกเขาได้ ในวันแห่งความกริ้วโกรธของพระยาห์เวห์
    ในไฟแห่งความหึงหวงของพระองค์นั้น แผ่นดินทั้งหมดก็จะถูกเผาผลาญไป
    เพราะพระยาห์เวห์จะบดขยี้ทุกคนที่อาศัยอยู่บนแผ่นดินนี้อย่างราบคาบ”

ลูกา 23

เจ้าเมืองปีลาตไต่สวนพระเยซู

(มธ. 27:1-2, 11-14; มก. 15:1-5; ยน. 18:28-38)

23 ทุกคนในที่ประชุมลุกขึ้น พาพระเยซูไปหาเจ้าเมืองปีลาต พวกเขาเริ่มกล่าวหาพระองค์ ว่า “เราได้พบว่า ชายคนนี้พยายามปลุกปั่นประชาชนให้กระด้างกระเดื่อง เขายุยงให้พวกประชาชนเลิกจ่ายภาษีให้แก่ซีซาร์ แถมยังอ้างตัวเองเป็นพระคริสต์ กษัตริย์ของพวกเราอีกด้วย”

ปีลาตจึงถามพระเยซูว่า “แกเป็นกษัตริย์ของชาวยิวหรือ”

พระเยซูจึงตอบเขาว่า “ใช่ อย่างที่ท่านว่า”

ปีลาตจึงพูดกับพวกหัวหน้านักบวชและฝูงชนว่า “เราไม่เห็นเขาผิดอะไร” แต่พวกเขายืนกรานเสียงแข็งว่า “แต่เขาก็ได้สอนและปลุกปั่นประชาชนไปทั่วแคว้นยูเดีย เริ่มจากแถวกาลิลีเรื่อยมาจนถึงเมืองเยรูซาเล็มนี้”

ปีลาตส่งตัวพระเยซูไปพบเฮโรด

เมื่อปีลาตได้ยินอย่างนั้น ก็สอบถามจนรู้ว่าพระเยซูเป็นชาวกาลิลี ซึ่งอยู่ในการปกครองของกษัตริย์เฮโรด เขาจึงส่งตัวพระเยซูไปให้กับกษัตริย์เฮโรด ซึ่งตอนนั้นอยู่ที่เมืองเยรูซาเล็มพอดี เมื่อกษัตริย์เฮโรดพบพระเยซูก็ดีใจมาก เพราะอยากพบมานานแล้ว เขาได้ยินชื่อเสียงของพระองค์ และเขาหวังว่าพระเยซูจะแสดงอิทธิฤทธิ์ให้ดูบ้าง เฮโรดถามพระเยซูหลายอย่าง แต่พระองค์ก็ไม่ได้ตอบอะไรเลย 10 พวกหัวหน้านักบวช และพวกครูสอนกฎปฏิบัติที่ยืนอยู่ที่นั่นก็พากันกล่าวหาพระองค์อย่างดุเดือด 11 เฮโรดกับพวกทหารของเขาต่างพากันหัวเราะเยาะ และดูถูกเหยียดหยามพระองค์ พวกเขาให้พระองค์แต่งชุดของกษัตริย์ แล้วส่งตัวกลับไปหาปีลาต 12 ในวันนั้นเอง ทั้งเฮโรดและปีลาตได้กลายมาเป็นเพื่อนกัน ก่อนหน้านี้ พวกเขาเป็นศัตรูกัน

พระเยซูต้องตาย

(มธ. 27:15-26; มก. 15:6-15; ยน. 18:39-19:16)

13 ปีลาตเรียกพวกหัวหน้านักบวช พวกผู้นำและประชาชนมาชุมนุมกัน 14 แล้วปีลาตบอกว่า “พวกคุณนำชายคนนี้มาหาเรา และกล่าวหาเขาว่าปลุกปั่นยุยงประชาชนให้กระด้างกระเดื่องนั้น หลังจากที่เราได้สอบสวนเขาต่อหน้าพวกคุณแล้ว ก็ไม่เห็นว่าเขาทำผิดอะไรตามที่พวกคุณกล่าวหา 15 ส่วนกษัตริย์เฮโรด ก็คิดอย่างนี้เหมือนกัน พระองค์ก็เลยส่งชายคนนี้กลับมาหาเรา เขาไม่ได้ทำผิดอะไรที่สมควรตาย 16 เราจะสั่งเฆี่ยนเขาแล้วปล่อยตัวไป” 17 [a]

18 แต่ฝูงชนร้องตะโกนเป็นเสียงเดียวกันว่า “ฆ่ามันซะ แล้วปล่อยบารับบัสให้เรา”

19 บารับบัสถูกขังอยู่ในคุก เพราะได้ก่อการจลาจลขึ้นในเมืองเยรูซาเล็มและฆ่าคนตาย

20 ปีลาตจึงเกลี้ยกล่อมพวกเขาอีก เพราะอยากปล่อยพระเยซู 21 แต่พวกเขากลับตะโกนว่า “ตรึงมันที่กางเขน ตรึงมันที่กางเขน”

22 ปีลาตถามพวกเขาอีกเป็นครั้งที่สามว่า “ทำไม เขาทำผิดอะไร เราไม่เห็นเขาทำผิดอะไรที่สมควรตาย เราจะสั่งให้เฆี่ยนเขา แล้วก็ปล่อยตัวไป”

23 แต่พวกเขาก็ร้องตะโกนดังขึ้นๆให้ตรึงพระเยซูที่กางเขน และในที่สุดเสียงนั้นก็ชนะ

24 ปีลาตตัดสินใจทำตามที่พวกนั้นขอ 25 คือปล่อยตัวบารับบาสที่ติดคุกเพราะก่อการจลาจลและฆ่าคน และให้ทำกับพระเยซูอย่างที่พวกเขาต้องการ

พระเยซูตายบนไม้กางเขน

(มธ. 27:32-44; มก. 15:21-32; ยน. 19:17-27)

26 ในระหว่างทางที่นำตัวพระเยซูไปนั้น พวกเขาก็จับตัวซีโมนชาวไซรีน ที่เพิ่งมาจากชนบท บังคับให้เขาแบกไม้กางเขนเดินตามหลังพระเยซูไป

27 ฝูงชนจำนวนมากเดินตามไป รวมทั้งผู้หญิงหลายคนที่ร้องห่มร้องไห้ คร่ำครวญสงสารพระเยซู 28 พระเยซูก็ได้หันไปบอกพวกนางว่า

“หญิงชาวเยรูซาเล็มเอ๋ย อย่าร้องไห้ให้กับเราเลย แต่ร้องไห้ให้กับตัวเองและลูกๆของคุณเองดีกว่า 29 เวลานั้นจะมาถึง ที่คนจะพูดว่า ‘หญิงที่เป็นหมัน ไม่เคยคลอดลูก และไม่เคยเลี้ยงนมลูก ก็ได้เปรียบจริงๆ’ 30 แล้วพวกเขาก็จะขอร้องกับภูเขาว่า ‘ช่วยพังลงมาทับเราด้วย’ และอ้อนวอนกับเนินเขาว่า ‘ช่วยฝังเราหน่อย’[b] 31 เพราะถ้าพวกเขาทำอย่างนี้กับคนที่บริสุทธิ์ แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นกับคนที่ทำผิด”[c]

32 ยังมีผู้ร้ายอีกสองคนที่ถูกนำตัวมาฆ่าพร้อมๆกับพระเยซูด้วย 33 เมื่อเขามาถึงสถานที่ที่เรียกว่า “หัวกะโหลก” พวกเขาก็ตรึงพระเยซูบนไม้กางเขนระหว่างผู้ร้ายสองคนนั้น ทางขวาคนหนึ่งและทางซ้ายคนหนึ่ง 34 แล้วพระเยซูก็พูดว่า “พระบิดา ช่วยยกโทษให้กับพวกเขาด้วย เพราะพวกเขาไม่รู้ตัวหรอกว่ากำลังทำอะไรลงไป”[d]

แล้วพวกเขาเอาเสื้อผ้าของพระองค์มาจับสลากแบ่งกัน 35 ประชาชนก็ยืนดูอยู่ ส่วนพวกผู้นำชาวยิวต่างพากันหัวเราะเยาะและพูดถากถางว่า “ในเมื่อเขาช่วยคนอื่นได้ ก็ให้เขาช่วยตัวเองด้วยสิ ถ้าเขาเป็นพระคริสต์ผู้ที่พระเจ้าได้เลือกไว้จริง”

36 พวกทหารก็พากันมาล้อเลียน พวกเขาเอาเหล้าองุ่นเปรี้ยวให้พระองค์ 37 พวกเขาพูดว่า “ถ้าแกเป็นกษัตริย์ของชาวยิวจริง ก็ช่วยตัวเองสิ”

38 เหนือตัวพระองค์ขึ้นไปมีป้ายเขียนไว้ว่า “นี่คือกษัตริย์ของชาวยิว”

39 ผู้ร้ายคนหนึ่งที่ถูกตรึงอยู่พูดเสียดสีว่า

“แกเป็นพระคริสต์ไม่ใช่หรือ ช่วยตัวแกเองและพวกเราด้วยสิ”

40 แต่ผู้ร้ายอีกคนหนึ่งห้ามเขา และพูดขึ้นว่า “แกก็มีโทษถึงตายเหมือนกับเขา แกไม่กลัวพระเจ้าหรือยังไง 41 พวกเรามันสมควรตายอยู่แล้ว แต่ชายคนนี้ไม่ได้ทำอะไรผิดเลย” 42 แล้วเขาก็พูดว่า “เยซู อย่าลืมผมนะครับ เมื่อพระองค์เข้าสู่อาณาจักรของพระองค์”

43 พระองค์จึงตอบว่า “เราจะบอกให้รู้ว่า วันนี้คุณจะได้อยู่กับเราในสวนสวรรค์อย่างแน่นอน”

พระเยซูตาย

(มธ. 27:45-56; มก. 15:33-41; ยน. 19:28-30)

44 ประมาณเที่ยง มีแต่ความมืดมิดปกคลุมไปทั่วทั้งแผ่นดินจนถึงบ่ายสามโมง 45 เพราะดวงอาทิตย์หยุดส่องแสงและม่านในวิหาร[e] ก็ขาดกลางออกเป็นสองท่อน 46 พระเยซูร้องตะโกนว่า “พระบิดา ลูกขอมอบจิตวิญญาณของลูกไว้ในมือพระองค์”[f] เมื่อพูดจบพระองค์ก็สิ้นใจตาย

47 เมื่อนายร้อยคนหนึ่งเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็สรรเสริญพระเจ้าและพูดว่า “เขาเป็นคนบริสุทธิ์แน่ๆ”

48 ส่วนฝูงชนที่ได้พากันมามุงดูเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้นนี้ เมื่อพวกเขาเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น ต่างก็กลับบ้านและทุบอกตัวเองด้วยความเสียอกเสียใจ 49 ส่วนเพื่อนสนิททั้งหมดของพระเยซู และพวกผู้หญิงที่ติดตามพระองค์มาจากแคว้นกาลิลีนั้น ยังคงยืนดูอยู่ห่างๆ

โยเซฟชาวอาริมาเธีย

(มธ. 27:57-61; มก. 15:42-47; ยน. 19:38-42)

50 มีชายคนหนึ่งชื่อว่า โยเซฟ เป็นสมาชิกสภาสูงของชาวยิว เขาเป็นคนซื่อสัตย์ที่ทำตามใจพระเจ้า 51 เขาไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจและการกระทำของพวกผู้นำชาวยิวคนอื่นๆเกี่ยวกับพระเยซู เขามาจากเมืองอาริมาเธียในแคว้นยูเดีย และเฝ้าคอยอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ 52 เขาไปหาปีลาตเพื่อขอศพพระเยซู 53 แล้วจึงเอาศพของพระองค์ลงมาจากไม้กางเขน และพันด้วยผ้าลินิน แล้วนำไปไว้ในอุโมงค์ฝังศพ ซึ่งเจาะไว้ในหิน และยังไม่เคยใช้วางศพใครมาก่อน 54 วันนั้นเป็นวันศุกร์[g] ซึ่งเป็นวันจัดเตรียมและวันหยุดทางศาสนา ก็ใกล้จะเริ่มต้นแล้ว 55 ส่วนพวกผู้หญิงที่ติดตามพระเยซูมาจากแคว้นกาลิลีก็ตามโยเซฟไปที่อุโมงค์ และเห็นว่าเขาวางศพไว้ที่นั่น 56 หลังจากนั้นพวกเขาก็กลับบ้านไปเตรียมเครื่องหอมกับน้ำมันหอมไว้อาบศพพระองค์ แล้วในวันหยุดทางศาสนาพวกเขาก็หยุดพักผ่อนตามที่กฎของโมเสสสั่ง

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International