M’Cheyne Bible Reading Plan
คำอธิษฐานของซาโลมอน
(1 พกษ. 8:22-53)
12-13 ซาโลมอนสร้างปะรำยกพื้นจากทองสัมฤทธิ์ขึ้น ยาวห้าศอก กว้างห้าศอก และสูงสามศอก และวางมันไว้ตรงกลางของลานด้านนอก เขายืนอยู่บนปะรำนั้นและก็คุกเข่าลงต่อหน้าชุมนุมอิสราเอลทั้งหมด และชูแขนทั้งสองข้างขึ้นบนฟ้าสวรรค์ 14 เขาพูดว่า
“ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของอิสราเอล ไม่มีพระเจ้าองค์ไหนอีกแล้ว ที่จะเหมือนกับพระองค์ ไม่ว่าจะบนสวรรค์เบื้องบนหรือแผ่นดินโลกเบื้องล่าง พระองค์รักษาสัญญาแห่งความรักกับเหล่าผู้รับใช้ของพระองค์ ผู้ที่เชื่อฟังพระองค์อย่างสุดจิตสุดใจของเขา 15 พระองค์ยังรักษาสัญญากับดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์ ที่เป็นพ่อของข้าพเจ้า พระองค์สัญญาด้วยปากของพระองค์และในวันนี้พระองค์ได้ทำให้คำสัญญานั้นสำเร็จลุล่วงด้วยมือของพระองค์ 16 ตอนนี้ ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของอิสราเอล ขอพระองค์รักษาสัญญาอื่นๆที่พระองค์ได้ทำไว้กับดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์ที่เป็นพ่อของข้าพเจ้าด้วยเถิด เมื่อครั้งที่พระองค์ได้พูดว่า ‘ดาวิด ถ้าลูกหลานของเจ้าระมัดระวังในทุกๆสิ่งที่พวกเขาทำ เพื่อจะทำตามกฎของเราเหมือนกับที่เจ้าได้ทำ เจ้าจะไม่มีวันขาดคนที่จะมานั่งบนบัลลังก์ของอิสราเอลต่อหน้าเราเลย’ 17 ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของอิสราเอล ในตอนนี้ ขอให้พระองค์ทำให้คำพูดของพระองค์ที่ได้สัญญาไว้กับดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์เป็นจริงขึ้นมาด้วยเถิด
18 แต่พระเจ้า พระองค์จะอาศัยอยู่บนพื้นโลกกับมนุษย์ได้จริงๆหรือ เพราะฟ้าสวรรค์หรือแม้แต่สวรรค์ชั้นสูงสุดยังไม่สามารถรองรับพระองค์ได้เลย แล้วนับประสาอะไรกับวิหารแห่งนี้ที่ข้าพเจ้าได้สร้างเล่า 19 ถึงกระนั้น ขอพระองค์โปรดฟังคำอธิษฐานและคำอ้อนวอนของผู้รับใช้คนนี้ของพระองค์ด้วยเถิด ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของข้าพเจ้า โปรดฟังเสียงร่ำร้องและคำอธิษฐานที่ผู้รับใช้ของพระองค์ กำลังอธิษฐานอยู่ต่อหน้าพระองค์ 20 ขอให้ดวงตาของพระองค์เฝ้ามองวิหารหลังนี้ทั้งกลางวันและกลางคืน มันเป็นสถานที่ที่พระองค์ได้พูดไว้ว่าจะวางชื่อของพระองค์ไว้ที่นี่ ขอพระองค์ฟังคำอธิษฐานที่ข้าพเจ้าผู้รับใช้ของพระองค์อธิษฐานตอนหันหน้าเข้าหาสถานที่แห่งนี้ด้วยเถิด 21 ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอให้พระองค์ฟังคำอธิษฐานของข้าพเจ้าผู้รับใช้พระองค์และอิสราเอลชนชาติของพระองค์ เมื่อพวกเขาอธิษฐานหันหน้ามายังสถานที่นี้ด้วยเถิด ขอพระองค์ฟังคำอธิษฐานในฟ้าสวรรค์ ซึ่งเป็นที่อาศัยของพระองค์ และเมื่อพระองค์ได้ยินแล้ว ขอโปรดยกโทษให้กับพวกเราด้วยเถิด
22 เมื่อคนหนึ่งคนใดทำผิดต่อเพื่อนบ้านของเขา และต้องสาบาน เมื่อเขามาสาบานต่อหน้าแท่นบูชาของพระองค์ในวิหารแห่งนี้ 23 ขอโปรดรับฟังจากบนฟ้าสวรรค์ และตัดสินพวกผู้รับใช้ของพระองค์ด้วยเถิด ขอพระองค์ตอบแทนคนที่ทำผิด โดยให้ความผิดของเขาตกลงบนหัวของเขาเอง และขอให้พระองค์ประกาศความบริสุทธิ์ของคนที่บริสุทธิ์ โดยให้รางวัลกับเขาตามความบริสุทธิ์ของเขา
24 ถ้าประชาชนชาวอิสราเอลของพระองค์พ่ายแพ้ต่อศัตรูเพราะทำความผิดบาปต่อพระองค์ และถ้าพวกเขาหันกลับมายอมรับชื่อของพระองค์ มาอธิษฐานร้องขอต่อพระองค์ในวิหารแห่งนี้ 25 โปรดฟังพวกเขาจากฟ้าสวรรค์ และอภัยให้กับความบาปของอิสราเอลชนชาติของพระองค์ และนำพวกเขากลับมาสู่แผ่นดินที่พระองค์ได้ให้ไว้กับบรรพบุรุษของพวกเขาด้วยเถิด
26 หรือเมื่อพระองค์ปิดสวรรค์ ไม่ให้ฝนตกลงมา เพราะประชาชนของพระองค์ได้ทำบาปต่อพระองค์ ถ้าพวกเขาหันหน้ามาทางวิหารอธิษฐาน และสรรเสริญชื่อของพระองค์ และหันจากบาปของพวกเขา เพราะพระองค์ได้ลงโทษพวกเขา 27 ก็ขอโปรดฟังจากฟ้าสวรรค์ และอภัยบาปให้กับพวกผู้รับใช้พระองค์คืออิสราเอลชนชาติของพระองค์ด้วยเถิด โปรดสอนพวกเขาให้ใช้ชีวิตในทางที่ถูกต้อง และช่วยส่งฝนให้ตกลงมาบนแผ่นดินที่พระองค์ได้ให้ไว้เป็นมรดกกับประชาชนของพระองค์ด้วยเถิด
28 เมื่อเกิดภาวะอดอยาก[a] หรือเกิดโรคระบาดขึ้นในแผ่นดิน หรือเกิดโรคซีดในพืช หรือเกิดเชื้อราทำลายพืช หรือ เกิดตั๊กแตนวัยบินหรือวัยคลานมาทำลายพืช หรือมีพวกศัตรูมาปิดล้อมเมืองทั้งหลายของพวกเขาไว้ ไม่ว่าจะเป็นความหายนะใดๆหรือโรคร้ายใดๆที่เกิดขึ้นก็ตาม 29 และเมื่ออิสราเอลหรือคนหนึ่งคนใดได้สำนึกผิดเพราะได้รับความทุกข์ทรมานและความเจ็บปวด และเขาได้ยื่นมือไปยังวิหารแห่งนี้ และอธิษฐานหรืออ้อนวอนต่อพระองค์ 30 ขอพระองค์ได้โปรดฟังจากสวรรค์ที่เป็นที่อาศัยของพระองค์ และโปรดยกโทษและช่วยพวกเขาด้วย มีแต่พระองค์เท่านั้นที่รู้จิตใจของมนุษย์ทุกคน อย่างนั้นได้โปรดตอบแทนพวกเขาตามการกระทำของพวกเขาด้วยเถิด 31 เพื่อว่าพวกเขาจะได้ยำเกรงพระองค์และจะได้เดินตามทางของพระองค์ตลอดเวลาที่พวกเขามีชีวิตอยู่ในแผ่นดินที่พระองค์ได้ยกให้กับบรรพบุรุษของพวกเรา
32 ส่วนคนต่างชาติที่ไม่ใช่อิสราเอลชนชาติของพระองค์ พวกเขาจะเดินทางมาจากแดนไกล เพราะพวกเขาจะได้ยินชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่ของพระองค์และมือที่เต็มไปด้วยอำนาจกับแขนที่กางออกของพระองค์ เมื่อคนต่างชาตินั้นหันหน้ามาทางวิหารนี้และอธิษฐาน 33 ขอพระองค์โปรดฟังจากฟ้าสวรรค์ ซึ่งเป็นที่อาศัยของพระองค์ และโปรดทำตามสิ่งที่ชาวต่างชาติคนนั้นขอจากพระองค์ด้วยเถิด เพื่อชนทุกชาติบนโลกนี้จะได้รู้จักชื่อเสียงของพระองค์ และยำเกรงพระองค์ เหมือนกับที่อิสราเอลชนชาติของพระองค์ทำ และเพื่อพวกเขาจะได้รู้ว่า วิหารหลังนี้ที่ข้าพเจ้าได้สร้างขึ้นมาเป็นของพระองค์
34 เมื่อประชาชนของพระองค์ไปทำสงครามกับพวกศัตรูของพวกเขา ไม่ว่าพระองค์จะส่งพวกเขาไปที่ใดก็ตาม และเมื่อพวกเขาอธิษฐานกับพระองค์ โดยหันหน้ามาทางเมืองนี้ที่พระองค์ได้เลือกไว้ และหันไปทางวิหารที่ข้าพเจ้าได้สร้างไว้เพื่อเป็นเกียรติให้กับชื่อของพระองค์แล้ว 35 ขอให้พระองค์ฟังคำอธิษฐานและคำอ้อนวอนของพวกเขาจากฟ้าสวรรค์และช่วยเหลือพวกเขาด้วยเถิด
36 เมื่อพวกเขาทำบาปต่อพระองค์ เพราะคงไม่มีใครที่ไม่ทำบาปเลย และพระองค์ก็โกรธพวกเขา และได้ส่งพวกเขาไปตกอยู่ในกำมือของศัตรูที่เข้ามาจับตัวพวกเขาไปเป็นเชลยและนำตัวพวกเขาไปสู่ดินแดนอื่นไม่ว่าจะใกล้หรือไกลก็ตาม 37 และพวกเขาสำนึกผิดตอนอยู่บนแผ่นดินที่พวกเขาถูกจับตัวไปนั้น และพวกเขาได้กลับตัวกลับใจ และได้อธิษฐานต่อพระองค์ในแผ่นดินของผู้ที่จับตัวพวกเขาไปนั้น และพวกเขาพูดว่า ‘พวกเราได้ทำบาปและทำผิดไปแล้ว พวกเราได้ทำตัวเลวมาก’ 38 และถ้าพวกเขาหันกลับมาหาพระองค์อย่างสุดจิตสุดใจของพวกเขาในแผ่นดินที่พวกเขาถูกจับตัวไปนั้น และได้อธิษฐานโดยหันหน้าไปยังแผ่นดินที่พระองค์ได้ยกให้กับบรรพบุรุษของพวกเขา และได้หันไปทางเมืองที่พระองค์ได้เลือกไว้ และหันไปทางวิหารที่ข้าพเจ้าได้สร้างไว้เพื่อเป็นเกียรติให้กับชื่อของพระองค์ 39 ก็ขอให้พระองค์ฟังคำอธิษฐานและคำอ้อนวอนของพวกเขาจากบนฟ้าสวรรค์ ซึ่งเป็นที่อาศัยของพระองค์นั้น และช่วยเหลือพวกเขาด้วยเถิด และโปรดยกโทษให้กับชนชาติของพระองค์ ที่ได้ทำบาปต่อพระองค์ด้วย 40 และตอนนี้ พระเจ้าของข้าพเจ้า ขอให้ดวงตาของพระองค์เปิดขึ้นและขอให้หูของพระองค์ได้รับฟังคำอธิษฐานที่ถวายให้ในที่นี้
41 ข้าแต่พระยาห์เวห์ผู้เป็นพระเจ้า ตอนนี้ขอลุกขึ้นเถิด และมาสู่สถานที่พักผ่อนของพระองค์
ทั้งพระองค์และหีบแห่งอำนาจของพระองค์
ข้าแต่พระยาห์เวห์ผู้เป็นพระเจ้า ขอให้เหล่านักบวชของพระองค์ได้สวมใส่ความช่วยเหลือ
ขอให้เหล่าศิษย์แท้จริงของพระองค์
ยินดีในความดีของพระองค์
42 ข้าแต่พระยาห์เวห์ ผู้เป็นพระเจ้า ขออย่าได้ปฏิเสธผู้ที่พระองค์ได้แต่งตั้งเลย
ขอจดจำความรักอันยิ่งใหญ่ที่ได้สัญญาไว้กับดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์ด้วยเถิด”
ลูกๆของพระเจ้าชนะโลกนี้แล้ว
5 คนที่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์ก็ได้เกิดเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว และคนที่รักพระเจ้าก็จะรักลูกๆของพระองค์ด้วย 2 แบบนี้สิเราถึงรู้ว่าเรารักลูกๆของพระเจ้าจริง คือเมื่อเรารักพระเจ้าและทำตามคำสั่งของพระองค์ 3 การที่จะรักพระเจ้าหมายความว่าเราจะทำตามคำสั่งต่างๆของพระองค์ และพวกคำสั่งของพระองค์ก็ไม่ยากหรอก 4 เพราะทุกคนที่เป็นลูกของพระเจ้ามีชัยชนะเหนือโลก และความเชื่อของเราเองคือฤทธิ์อำนาจที่เอาชนะโลกแล้ว 5 ใครกันล่ะที่เอาชนะโลกนี้ได้ ก็คนที่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า
พระเจ้าบอกเราเรื่องของพระบุตร
6 พระเยซูคริสต์เป็นผู้ที่มาโดยน้ำ[a] และเลือด[b] พระองค์ไม่ได้มาโดยน้ำเท่านั้น แต่มาโดยน้ำและเลือด พระวิญญาณก็ได้ยืนยันว่าเรื่องนี้เป็นความจริง เพราะพระวิญญาณเป็นความจริง 7 มีอยู่สามสิ่งที่ยืนยันว่าเรื่องนี้เป็นจริงคือ 8 พระวิญญาณ น้ำ และเลือด ทั้งสามอย่างนี้ได้ยืนยันตรงกันหมด 9 ถ้าเรายอมรับพยานที่เป็นมนุษย์ว่าเชื่อถือได้ แล้วเมื่อพระเจ้ามาเป็นพยาน เราก็ควรจะเชื่อถือคำพยานของพระองค์มากยิ่งกว่านั้นอีก เพราะพระเจ้าเองเป็นพยานให้กับพระบุตรของพระองค์ 10 คนที่ไว้วางใจในพระบุตรของพระเจ้า ก็ได้เชื่อความจริงที่พระเจ้าได้ยืนยันกับเรา คนที่ไม่เชื่อพระเจ้าก็หาว่าพระเจ้าโกหก เพราะเขาไม่เชื่อในคำยืนยันของพระเจ้าที่เกี่ยวกับพระบุตรของพระองค์ 11 สิ่งที่พระเจ้าได้ยืนยันกับเราคือ พระองค์จะให้เรามีชีวิตกับพระองค์ตลอดไป และชีวิตนี้มีอยู่ในพระบุตรของพระองค์เท่านั้น 12 คนที่มีพระบุตรของพระเจ้าอยู่ด้วย ก็จะมีชีวิตตลอดไปกับพระเจ้า แต่คนที่ไม่มีพระบุตรของพระองค์ ก็ไม่มีชีวิตตลอดไปกับพระเจ้า
13 ผมได้เขียนเรื่องนี้ถึงพวกคุณที่ไว้วางใจในพระบุตรของพระเจ้า เพื่อพวกคุณจะได้รู้ว่า คุณยังมีชีวิตตลอดไปกับพระเจ้าอยู่ 14 พวกเรามีความเชื่อมั่นในพระเจ้าว่า ถ้าเราขออะไรตามที่พระเจ้าต้องการ พระองค์ก็จะฟังเรา 15 ถ้าเรารู้ว่าพระองค์ฟังเรา ไม่ว่าเราจะขออะไรก็ตาม เราจะได้รับตามที่เราขอนั้น
16 คนที่เห็นพี่น้องของตัวเองทำบาป แต่เป็นบาปที่ไม่ได้นำไปถึงความตาย เขาควรจะขอต่อพระเจ้าสำหรับพี่น้องคนนั้น และพระเจ้าจะให้ชีวิตกับพี่น้องคนนั้น ผมกำลังพูดถึงคนที่ทำบาปซึ่งไม่ได้นำไปถึงความตาย แต่บาปที่นำไปถึงความตายก็มีด้วย ผมไม่ได้บอกให้คุณขอสำหรับคนที่ทำบาปแบบนั้น 17 การกระทำผิดทุกอย่างเป็นความบาป แต่มีบาปบางอย่างที่ไม่นำไปถึงความตายด้วย
18 เรารู้ว่าคนที่เป็นลูกของพระเจ้าจะไม่ทำบาปอีกต่อไป พระบุตรของพระเจ้าก็ได้ดูแลให้เขาปลอดภัย และมารนั้นก็ไม่สามารถมาทำร้ายเขาได้ 19 เรารู้ว่าเราเป็นของพระเจ้า ถึงแม้ว่าโลกนี้จะอยู่ในมือของมารก็ตาม 20 แต่เราก็รู้ว่าพระบุตรของพระเจ้าได้มาแล้ว พระองค์ได้มาให้ความเข้าใจกับเรา เพื่อเราจะได้รู้จักพระเจ้าผู้เป็นความจริงแท้ เราได้อยู่ในพระองค์ผู้เป็นความจริงนั้นโดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ พระองค์ผู้นี้เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้และเป็นผู้ที่ทำให้คนมีชีวิตกับพระองค์ตลอดไป 21 ลูกๆเอ๋ย อยู่ให้ห่างจากรูปเคารพทั้งหลาย
1 หนังสือเล่มนี้ เป็นสิ่งที่พระยาห์เวห์บอกกับฮาบากุก ผู้พูดแทนพระเจ้า ผ่านมาทางนิมิต
ฮาบากุกบ่นต่อพระเจ้า
2 พระยาห์เวห์เจ้าข้า จะปล่อยให้ข้าพเจ้าร้องขอความช่วยเหลือไปอีกนานแค่ไหน พระองค์ถึงจะฟัง จะปล่อยให้ข้าพเจ้าร้องว่า “โหดร้ายป่าเถื่อน” ไปอีกนานแค่ไหน พระองค์ถึงจะมาช่วย 3 ทำไมพระองค์ถึงต้องให้ข้าพเจ้าเจอกับความเจ็บปวดและความทุกข์ยากนี้ด้วย ทำไมพระองค์ถึงดูอยู่เฉยๆไม่ทำอะไร เมื่อมีการกดขี่ข่มเหงและความป่าเถื่อนเกิดขึ้นอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้า มีทั้งการฟ้องร้องและโต้เถียงกันเกิดขึ้น 4 ดังนั้นกฎหมายก็ตายด้านไป และไม่มีใครได้รับความยุติธรรม เพราะคนชั่วก็มีมากกว่าคนดี ดังนั้นความยุติธรรมก็บิดๆเบี้ยวๆไป
พระยาห์เวห์ตอบฮาบากุก
5 พระยาห์เวห์ตอบว่า “มองไปที่ชนชาติต่างๆสิ ดูสิว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าจะต้องอ้าปากค้างพูดไม่ออกเลยล่ะ ที่เราพูดอย่างนี้ ก็เพราะพวกเจ้าจะไม่เชื่อสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในช่วงชีวิตของเจ้า เมื่อเจ้าได้ยินเรื่องนี้ เจ้าก็ยังจะไม่เชื่ออยู่ดี 6 เพราะเรายาห์เวห์ กำลังยกคนบาลิโลนให้มีอำนาจขึ้นมา พวกนี้เป็นชนชาติที่ดุร้ายและป่าเถื่อน พวกมันจะบุกไปทั่วโลก เพื่อยึดเอาดินแดนของคนอื่นมาเป็นของมัน 7 พวกมันน่ากลัวและน่าสยดสยองยิ่งนัก มันตั้งกฎของมันเอง และอวดตัวถือดี 8 พวกม้าของบาบิโลนก็วิ่งเร็วกว่าพวกเสือดาวเสียอีก และดุร้ายยิ่งกว่าหมาป่าในยามค่ำคืน พวกม้าของมันก็วิ่งห้อเหมือนบิน พวกทหารม้าบินมาจากแดนไกล เหมือนอินทรีที่โฉบเหยื่อของมัน 9 พวกมันแต่ละคนมาเพื่อสร้างความรุนแรง พวกมันบุกไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง พวกมันรวบรวมเชลยไว้มากมายมหาศาลเหมือนเม็ดทราย
10 พวกมันหัวเราะเยาะใส่พวกกษัตริย์ต่างๆและมองพวกแม่ทัพทั้งหลายเป็นเรื่องน่าขัน และหัวเราะเยาะป้อมปราการของเมืองต่างๆ พวกมันสร้างเนินดินขึ้นมาเพื่อบุกขึ้นไปยึดป้อมแต่ละอัน”
11 ในทันใดนั้น พระวิญญาณของพระเจ้าก็หายวับไป ผมก็ตกตะลึงและพูดว่า “แต่บาบิโลนพวกนี้ ถือว่าพละกำลังของเขาเองเป็นพระเจ้าของเขา”
ฮาบากุกบ่นเป็นครั้งที่สอง
12 ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระองค์อยู่มาตั้งแต่โบราณกาลแล้วไม่ใช่หรือ
พระเจ้าที่ศักดิ์สิทธิ์ของข้าพเจ้า พระองค์จะไม่ตายไม่ใช่หรือ
ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระองค์เลือกบาบิโลน
เพื่อนำการตัดสินลงโทษของพระองค์มา ใช่อย่างนี้แน่หรือ
ข้าแต่พระศิลา[a] พระองค์ตั้งบาบิโลนขึ้นมาเพื่อตีสอนชนชาติยูดาห์ ใช่อย่างนี้แน่หรือ
13 ดวงตาของพระองค์นั้นบริสุทธิ์เกินกว่าที่จะมองสิ่งชั่วร้าย
และพระองค์ก็ทนดูคนทำผิดไม่ได้
แล้วทำไมพระองค์ถึงทนดูคนทรยศอย่างบาบิโลนได้โดยไม่ทำอะไรเลย
แล้วทำไมพระองค์ถึงได้นิ่งเฉยเมื่อคนชั่วช้ากลืนกินคนที่ดีกว่าเขา
14 พระองค์ทำกับมนุษย์เหมือนกับปลาในทะเล
หรือเหมือนกับสัตว์เลื้อยคลานตัวเล็กๆที่ไม่มีผู้นำ
15 บาบิโลนจับทุกคนมาด้วยเบ็ดตกปลา เขาลากคนมาด้วยอวน
เขารวบรวมคนมาไว้ในแหตกปลาของเขา
ดังนั้นบาบิโลนจึงกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ
16 บาบิโลนจึงฆ่าสัตว์เป็นเครื่องบูชาให้กับอวนของเขา
และเผาเครื่องหอมให้กับแหตกปลาของเขา
เพราะสิ่งเหล่านี้ทำให้เขามีเนื้อกินมากมาย
และมีอาหารเอร็ดอร่อยกินกัน
17 แล้วพระองค์จะยังคงปล่อยให้บาบิโลนชักดาบ
ฆ่าฟันชนชาติต่างๆอย่างไร้ความปรานีอย่างนี้หรือ
พวกผู้นำชาวยิวตั้งคำถามกับพระเยซู
(มธ. 21:23-27; มก. 11:27-33)
20 วันหนึ่งเมื่อพระเยซูกำลังสั่งสอนและประกาศเรื่องข่าวดีอยู่ในบริเวณวิหาร พวกหัวหน้านักบวช พวกครูสอนกฎปฏิบัติ และพวกผู้นำอาวุโสมาหาพระองค์ 2 พวกเขาถามว่า “ช่วยบอกหน่อยว่าแกมีสิทธิ์อะไรไปขับไล่พวกคนขายของนั้น ใครให้สิทธิ์นี้กับแก”
3 พระเยซูตอบไปว่า “ตอบเรามาก่อนว่า 4 พิธีจุ่มน้ำของยอห์น มาจากสวรรค์หรือมาจากมนุษย์”
5 พวกเขาปรึกษากันว่า “ถ้าเราตอบว่า ‘มาจากสวรรค์’ เขาก็จะถามว่า ‘แล้วทำไมพวกคุณถึงไม่เชื่อยอห์นล่ะ’ 6 แต่ถ้าเราตอบว่า ‘มาจากมนุษย์’ คนก็จะเอาหินขว้างเรา เพราะชาวบ้านพวกนี้เชื่อว่า ยอห์นเป็นผู้พูดแทนพระเจ้า”
7 พวกเขาก็เลยตอบพระองค์ว่า “เราไม่รู้ว่ามาจากไหน”
8 พระเยซูก็เลยตอบพวกเขาว่า “ถ้าอย่างนั้น เราก็จะไม่บอกเหมือนกันว่าเราใช้สิทธิ์ของใครทำสิ่งเหล่านี้”
พระเจ้าส่งลูกชายของพระองค์มา
(มธ. 21:33-46; มก. 12:1-12)
9 พระเยซูเล่าเรื่องเปรียบเทียบให้คนฟังว่า “มีชายคนหนึ่งทำสวนองุ่น แล้วให้ชาวสวนเช่า แล้วเขาก็ไปอยู่ต่างประเทศเป็นเวลานาน 10 เมื่อถึงเวลาเก็บเกี่ยว เขาส่งทาสคนหนึ่งมารับส่วนแบ่งจากผลองุ่น แต่พวกคนเช่ากลับทำร้ายทุบตีทาสคนนั้น และไล่กลับไปมือเปล่า 11 เจ้าของสวนองุ่นก็เลยส่งทาสอีกคนหนึ่งไป พวกคนเช่าก็ทำร้ายทุบตีเขาและทำให้เขาอับอายขายหน้า แล้วไล่กลับไปมือเปล่าอีก 12 เจ้าของสวนก็ส่งคนที่สามไปอีก พวกคนเช่าก็ทำเหมือนเดิม ทำเขาจนบาดเจ็บสาหัสแล้วโยนออกไปนอกสวน 13 เจ้าของสวนองุ่นพูดกับตัวเองว่า ‘จะทำยังไงดี รู้แล้ว เราจะส่งลูกชายสุดที่รักของเราไป พวกนั้นจะต้องเคารพยำเกรงลูกชายเราแน่ๆ’ 14 แต่พอพวกคนเช่าเห็นลูกชายของเขา ก็ปรึกษากันว่า ‘นี่ไงผู้รับมรดก ให้พวกเราฆ่ามันเลย สวนนี้จะได้ตกเป็นของพวกเรา’ 15 พวกเขาก็เลยจับลูกชายเจ้าของสวนโยนออกไปนอกสวนและฆ่าเขา พวกคุณคิดว่า เจ้าของสวนจะทำยังไงกับพวกคนเช่าเหล่านั้น 16 เขาจะกลับไปฆ่าพวกคนเช่าสวนเหล่านั้น และยกสวนองุ่นให้กับคนอื่นๆ” เมื่อผู้คนได้ยินอย่างนั้น ก็พูดขึ้นว่า “อย่าให้เป็นอย่างนั้นเลย”
17 แต่พระเยซูก็จ้องมองเขาและพูดว่า “ถ้างั้น ข้อความนี้ในพระคัมภีร์หมายถึงอะไร
‘หินก้อนนี้ที่ช่างก่อสร้างทิ้งแล้ว
กลับกลายมาเป็นหินก้อนที่สำคัญที่สุด’[a]
18 คนที่ล้มทับหินก้อนนั้น ร่างกายก็จะหักเป็นท่อนๆ แต่ถ้าถูกหินนี้ล้มทับ คนนั้นก็จะแหลกละเอียด”
19 เมื่อพวกครูสอนกฎปฏิบัติ และพวกหัวหน้านักบวชรู้ตัวว่าพระเยซูกำลังเปรียบพวกเขาว่าเป็นคนเช่าสวนพวกนั้น พวกเขาก็เลยหาทางที่จะจับพระเยซูตอนนั้นเลย แต่ก็ไม่กล้าเพราะกลัวประชาชน
พวกผู้นำชาวยิวพยายามใช้กลอุบายลวงพระเยซู
(มธ. 22:15-22; มก. 12:13-17)
20 พวกเขาจึงเฝ้าดูพระเยซูอย่างใกล้ชิด และส่งพวกสอดแนมที่แกล้งทำเป็นคนดีเพื่อไปจับผิดคำพูดของพระองค์ เพื่อจะได้จับตัวพระองค์ส่งไปให้ผู้พิพากษาและเจ้าเมืองโรม 21 พวกสอดแนมถามพระเยซูว่า “อาจารย์ครับ พวกเรารู้ว่าคำพูดและคำสอนของท่านนั้นถูกต้องและท่านก็ไม่กลัวว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร และสอนความจริงในสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้ทำ 22 อาจารย์ช่วยบอกหน่อยว่า มันถูกต้องตามกฎหรือเปล่าที่จ่ายภาษีให้กับซีซาร์”
23 พระเยซูรู้ถึงอุบายของพวกเขา จึงบอกพวกเขาว่า 24 “ไหน ส่งเหรียญอันหนึ่งมาให้ดูสิ นี่รูปใคร แล้วมีชื่อใครสลักอยู่”
พวกเขาก็ตอบว่า “ซีซาร์”
25 พระองค์จึงพูดกับพวกเขาว่า “ของๆซีซาร์ก็ให้ซีซาร์ ของๆพระเจ้าก็ให้พระเจ้า”
26 พวกเขาไม่สามารถจะจับผิดคำพูดของพระองค์ต่อหน้าผู้คนได้ ได้แต่ตะลึงในคำตอบจนถึงกับพูดไม่ออก
ชาวสะดูสีพยายามจับผิดพระเยซู
(มธ. 22:23-33; มก. 12:18-27)
27 มีพวกสะดูสีบางคนมาหาพระเยซู พวกนี้ไม่เชื่อว่าคนตายแล้วจะฟื้นขึ้นจากความตาย เขาถามพระองค์ว่า 28 “อาจารย์ครับ โมเสสเขียนสั่งไว้ว่า ถ้าชายคนไหนตายและทิ้งเมียไว้โดยยังไม่มีลูก ก็ให้น้องชายของคนตายแต่งกับหญิงม่ายคนนั้น จะได้มีลูกไว้สืบสกุลให้กับพี่ชายของเขา 29 ครั้งหนึ่งมีพี่น้องอยู่เจ็ดคน พี่ชายคนโตแต่งงาน แล้วตายไปแต่ยังไม่มีลูก 30 น้องคนที่สองก็ได้แต่งกับหญิงม่ายนั้น แต่เขาก็ตายไปและยังไม่มีลูกเหมือนกัน 31 น้องคนที่สามก็ทำแบบเดียวกัน และในที่สุด พี่น้องทั้งเจ็ดคนนี้ก็ได้แต่งงานกับหญิงนั้น แล้วพวกเขาก็ตายโดยไม่มีลูกสักคน 32 ต่อมาหญิงคนนั้นก็ตายด้วย 33 ช่วยบอกหน่อยสิว่า ในวันที่ทุกคนฟื้นขึ้นจากความตายนั้น ผู้หญิงคนนี้จะเป็นภรรยาของใคร ในเมื่อทั้งเจ็ดคนนั้นก็เคยเป็นสามีของเธอ”
34 พระเยซูจึงตอบว่า “คนในโลกนี้เท่านั้นที่แต่งงานกัน และยกให้เป็นผัวเมียกัน 35 ส่วนในโลกหน้า คนที่เหมาะสมที่จะได้อยู่ที่นั่นและฟื้นขึ้นจากความตายแล้ว จะไม่แต่งงานกัน หรือยกให้เป็นผัวเมียกันอีกต่อไปแล้ว 36 เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะตายอีกครั้ง แต่เขาจะเป็นเหมือนทูตสวรรค์และจะเป็นลูกของพระเจ้า เพราะพระเจ้าจะทำให้เขาฟื้นขึ้นจากความตาย
37 เรื่องการฟื้นขึ้นจากความตายนี้ ขนาดโมเสสก็ยังพูดถึงเลย ตอนที่เขาเขียนเรื่องพุ่มไม้ที่ลุกเป็นไฟ[b] เขาได้เรียกองค์เจ้าชีวิตว่า ‘พระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ’[c] 38 พระเจ้าเป็นพระเจ้าของคนมีชีวิต ไม่ใช่ของคนตาย เพราะสำหรับพระเจ้าแล้วทุกคนยังมีชีวิตอยู่”
39 พวกครูสอนกฎปฏิบัติบางคนชมพระเยซูว่า “อาจารย์ พูดได้เยี่ยมมากเลยครับ” 40 แล้วก็ไม่มีใครกล้าถามอะไรพระเยซูอีกเลย
พระคริสต์เป็นลูกของดาวิดหรือ
(มธ. 22:41-46; มก. 12:35-37)
41 พระเยซูถามว่า “คุณพูดได้ยังไงว่า พระคริสต์เป็นลูกของดาวิด 42 ทั้งๆที่ตัวดาวิดเองพูดในหนังสือสดุดีว่า
‘พระเจ้าได้พูดกับองค์เจ้าชีวิตของผมผู้เป็นพระคริสต์ว่า
นั่งลงทางขวามือของเรา
43 จนกว่าเราจะทำให้ศัตรูของท่านเป็นที่วางเท้าของท่าน’[d]
44 แม้แต่ดาวิดยังเรียกพระคริสต์ว่าเป็นองค์เจ้าชีวิตเลย แล้วพระคริสต์จะเป็นลูกของดาวิดได้ยังไง”
พระเยซูต่อว่าพวกครูสอนกฎปฏิบัติ
(มธ. 23:1-36; มก. 12:38-40; ลก. 11:37-54)
45 ขณะที่ฝูงชนกำลังฟังอยู่นั้น พระเยซูก็หันไปพูดกับพวกศิษย์ว่า 46 “ระวังพวกครูสอนกฎปฏิบัติให้ดี พวกนี้ชอบใส่เสื้อคลุมยาวๆเดินไปมาให้คนคำนับตามท้องตลาด และชอบนั่งในที่สำคัญๆในที่ประชุม และชอบนั่งที่หัวโต๊ะในงานเลี้ยงต่างๆ 47 พวกเขามักจะโกงเอาบ้านของหญิงม่าย และแกล้งอธิษฐานซะยืดยาวเพื่ออวดคน คนพวกนี้จะต้องถูกลงโทษหนักกว่าคนที่ไม่ได้ทำอย่างนั้น”
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International