Book of Common Prayer
เพลงขอบพระคุณที่รอดตาย
เพลงสดุดีของดาวิด บทเพลงที่ใช้ในการอุทิศวิหาร
30 ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพเจ้าสรรเสริญพระองค์ เพราะพระองค์ดึงข้าพเจ้าออกมาจากหลุมลึก
พระองค์ไม่ได้ปล่อยให้พวกศัตรูของข้าพเจ้าได้เฉลิมฉลองกัน
2 ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าร้องขอความช่วยเหลือจากพระองค์
แล้วพระองค์ก็รักษาเยียวยาข้าพเจ้า
3 ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระองค์ยกข้าพเจ้าออกมาจากหลุมศพ
พระองค์รักษาชีวิตของข้าพเจ้าไว้และไม่ให้ข้าพเจ้าตกลงไปในหลุมแห่งความตาย
4 ท่านทั้งหลายที่ซื่อสัตย์ต่อพระยาห์เวห์ ให้ร้องเพลงสรรเสริญต่อพระยาห์เวห์
ให้ขอบพระคุณแด่ชื่ออันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์
5 ความโกรธเกรี้ยวของพระองค์อยู่เพียงชั่วคราว
แต่ความปรานีของพระองค์นำชีวิตมาให้
เราอาจจะร้องไห้ในยามค่ำคืน
แต่ในวันรุ่งขึ้น เราจะชื่นบาน
6 ในยามที่ข้าพเจ้ามั่นคงปลอดภัย
ข้าพเจ้าคิดว่า ไม่มีอะไรสั่นคลอนข้าพเจ้าได้
7 ข้าแต่พระยาห์เวห์ ตอนที่พระองค์ปรานีต่อข้าพเจ้า
พระองค์ทำให้ข้าพเจ้ามั่นคงเหมือนภูเขา
แต่ตอนที่พระองค์ซ่อนหน้าไปจากข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าก็กลัวจนตัวสั่น
8 ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพเจ้าร้องขอความช่วยเหลือจากพระองค์
ข้าพเจ้าร้องขอความเมตตากรุณาจากพระองค์
9 ข้าพเจ้าพูดว่า ถ้าข้าพเจ้าตายไป มันจะมีประโยชน์อะไรหรือ
พวกที่อยู่ในหลุมศพจะสรรเสริญพระองค์ได้หรือ
พวกเขาจะพูดกันถึงความซื่อสัตย์ของพระองค์ได้หรือ
10 ข้าแต่พระยาห์เวห์ โปรดฟังคำร้องขอของข้าพเจ้าและแสดงความเมตตากรุณาต่อข้าพเจ้า
ข้าแต่พระยาห์เวห์ โปรดเป็นผู้ช่วยของข้าพเจ้าด้วยเถิด
11 แล้วพระองค์ก็เปลี่ยนการคร่ำครวญของข้าพเจ้าให้กลายเป็นการโลดเต้น
พระองค์ถอดเสื้อผ้าไว้ทุกข์ของข้าพเจ้าออกและเอาความสุขมาสวมใส่ข้าพเจ้าแทน
12 เพื่อข้าพเจ้าจะได้ร้องเพลงสรรเสริญพระองค์ไม่นิ่งเงียบอีกต่อไป
ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระองค์ตลอดไป
สารภาพและได้รับการยกโทษ
บทกวีแห่งมัสคิล[a] ของกษัตริย์ดาวิด
32 ถือว่ามีเกียรติจริงๆคนที่พระยาห์เวห์ยกโทษความผิดต่างๆให้
และคนที่พระองค์กลบเกลื่อนความบาปต่างๆให้นั้น
2 ถือว่ามีเกียรติจริงๆคนที่พระยาห์เวห์ไม่ได้นับความผิดของเขา
และคนที่ไม่มีกลอุบายในจิตใจ
3 ตอนที่ข้าพเจ้าไม่ได้สารภาพความผิดบาป กระดูกของข้าพเจ้าก็อ่อนแอลง
ข้าพเจ้าคร่ำครวญอย่างเจ็บปวดตลอดวันยังค่ำ
4 มือของพระองค์วางหนักอึ้งบนตัวข้าพเจ้าทั้งวันทั้งคืน
พละกำลังของข้าพเจ้าเหี่ยวแห้งไปเหมือนน้ำในหน้าแล้งของฤดูร้อน เซลาห์
5 ดังนั้น พระยาห์เวห์ ข้าพเจ้าขอสารภาพความบาปต่อพระองค์
โดยไม่ได้ซ่อนความผิดบาปอะไรไว้เลย
ข้าพเจ้าพูดว่า “ข้าพเจ้าจะสารภาพต่อพระยาห์เวห์ถึงการกบฏทั้งหลายที่ทำไป”
แล้วพระองค์ก็ได้ยกโทษให้กับความผิดบาปของข้าพเจ้า เซลาห์
6 ด้วยเหตุนั้น ผู้ติดตามที่จงรักภักดีทุกคนควรจะอธิษฐานต่อพระองค์เมื่อพบว่าตัวเองทำบาป
เมื่อปัญหาต่างๆสูงขึ้นเหมือนน้ำท่วม น้ำนั้นก็จะขึ้นมาไม่ถึงคนนั้นหรอก
7 พระองค์คือที่หลบซ่อนของข้าพเจ้า
พระองค์ปกป้องข้าพเจ้าจากปัญหา
พระองค์โอบล้อมข้าพเจ้าด้วยเสียงโห่ร้องของคนเหล่านั้นที่ฉลองความรอดของข้าพเจ้า เซลาห์
8 พระยาห์เวห์พูดว่า “เราจะสั่งสอนเจ้าและให้เจ้ารู้ว่าเจ้าควรจะใช้ชีวิตอย่างไร
เราจะคอยเฝ้ามองดูเจ้าและคอยแนะนำเจ้า”
9 อย่าได้เป็นเหมือนม้าหรือล่อที่ไม่มีความเข้าใจอะไรเลย
จะต้องใช้เหล็กขวางปากและเชือกบังเหียนในการบังคับควบคุมมัน
ไม่อย่างนั้นมันจะไม่ยอมมาใกล้เจ้า
10 พวกคนชั่วจะพบกับความทุกข์ยากมาก
แต่คนที่ไว้วางใจในพระยาห์เวห์ ความรักอันมั่นคงของพระองค์จะล้อมรอบเขาไว้
11 ดังนั้น พวกที่ทำตามใจพระยาห์เวห์ทั้งหลาย ให้ชื่นชมยินดีและมีความสุขในพระองค์เถิด
พวกเจ้าทั้งหลาย ที่มีจิตใจซื่อตรง ให้โห่ร้องด้วยความยินดี
หนังสือเล่มที่สอง
(สดุดี 42-72)
คิดถึงบ้านพระเจ้า
ถึงหัวหน้านักร้อง บทกวีแห่งมัสคิล[a] สำหรับคนของตระกูลโคราห์
42 ข้าแต่พระเจ้า ข้าพเจ้ากระหายหาพระองค์
เหมือนกับกวางที่กระหายหาน้ำในลำธารที่ไหลเย็น
2 ข้าพเจ้าโหยหาพระเจ้าผู้มีชีวิตอยู่
เมื่อไหร่หนอข้าพเจ้าถึงจะได้เข้าเฝ้าพระเจ้าอีก
3 ข้าพเจ้าต้องกินน้ำตาต่างอาหารทั้งวันทั้งคืน
ในขณะที่คนเหล่านี้ถามข้าพเจ้าไม่หยุดหย่อนว่า
“พระเจ้าของแกอยู่ไหนล่ะ”
4 ข้าพเจ้าคิดถึงเรื่องเหล่านี้
และระบายความในใจออกมา
ข้าพเจ้าคิดถึงตอนที่เดินอยู่กับฝูงชน
และนำหน้าขบวนพวกเขาขึ้นไปยังวิหารของพระเจ้า
ข้าพเจ้าฟังเสียงโห่ร้องยินดีและเพลงที่ร้องสรรเสริญพระเจ้า
ในขณะที่ฝูงชนกำลังเฉลิมฉลองงานเทศกาลกัน
5 ข้าพเจ้าถามตัวเองว่าทำไมข้าพเจ้าถึงโศกเศร้านัก
ทำไมข้าพเจ้าถึงวุ่นวายใจอย่างนี้
ข้าพเจ้าควรจะฝากความหวังไว้กับพระเจ้า ใช่แล้ว ข้าพเจ้าจะได้มีเหตุที่จะสรรเสริญพระองค์อีกครั้ง
พระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของข้าพเจ้าและเป็นพระเจ้าของข้าพเจ้า
6 ข้าพเจ้าโศกเศร้าเหลือเกิน
ข้าพเจ้าถึงระลึกถึงพระองค์จากยอดเขามิซาร์ซึ่งอยู่ในเทือกเขาเฮอร์โมน
ในแคว้นอันเป็นจุดเริ่มต้นของแม่น้ำจอร์แดน
7 พวกมหาสมุทรลึกร้องเรียกหากัน ร่วมกันกับเสียงของน้ำตก
คลื่นปัญหาลูกใหญ่น้อยจากพระองค์กระหน่ำซัดลงบนหัวของข้าพเจ้า
8 พระยาห์เวห์แสดงความรักมั่นคงของพระองค์ต่อข้าพเจ้าวันแล้ววันเล่า
แล้วข้าพเจ้าร้องเพลงให้กับพระองค์ในตอนกลางคืน
และข้าพเจ้าอธิษฐานต่อพระเจ้าผู้ให้ชีวิตข้าพเจ้า
9 ข้าพเจ้าจะพูดกับพระเจ้าผู้เป็นหินกำบังของข้าพเจ้าว่า
“ทำไมพระองค์ถึงลืมข้าพเจ้า
ทำไมข้าพเจ้าถึงต้องร้องไห้คร่ำครวญ
เพราะความโหดร้ายของศัตรูข้าพเจ้า”
10 พวกศัตรูพากันเยาะเย้ยข้าพเจ้า
แล้วมันแทงเข้าไปในกระดูกดำของข้าพเจ้า
เมื่อพวกเขาถามอยู่ตลอดว่า
“พระเจ้าของแกอยู่ที่ไหน”
11 ข้าพเจ้าถามตัวเองว่า ทำไมข้าพเจ้าถึงโศกเศร้านัก
ทำไมข้าพเจ้าถึงวุ่นวายใจอย่างนี้
ข้าพเจ้าควรจะฝากความหวังไว้กับพระเจ้า ใช่แล้ว ข้าพเจ้าจะมีเหตุที่จะสรรเสริญพระองค์อีกครั้ง
พระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของข้าพเจ้าและเป็นพระเจ้าของข้าพเจ้า[b]
43 [c] ข้าแต่พระเจ้า ช่วยตัดสินคดีว่าข้าพเจ้าเป็นฝ่ายถูกด้วย
ช่วยสู้คดีให้กับข้าพเจ้ากับคนต่างชาติพวกนี้ที่ไม่ได้จงรักภักดีต่อพระองค์ด้วย
ช่วยข้าพเจ้าให้รอดพ้นจากคนพวกนี้ที่เหลี่ยมจัดและชั่วช้าด้วยเถิด
2 เพราะพระองค์เป็นพระเจ้าของข้าพเจ้า เป็นป้อมปราการของข้าพเจ้า
ทำไมพระองค์ถึงทอดทิ้งข้าพเจ้า
ทำไมข้าพเจ้าถึงต้องร้องไห้คร่ำครวญ
เพราะความโหดร้ายของศัตรูข้าพเจ้า
3 โปรดแสดงแสงสว่างของพระองค์และความซื่อสัตย์ของพระองค์
เพื่อสิ่งเหล่านั้นจะได้นำทางข้าพเจ้า
ขอให้สิ่งเหล่านั้นนำข้าพเจ้าไปยังวิหารของพระองค์
ที่อยู่บนภูเขาอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์
4 แล้วข้าพเจ้าจะได้เข้าถึงแท่นบูชาของพระเจ้า
และเข้าถึงพระเจ้าผู้ทำให้ข้าพเจ้าชื่นชมยินดีด้วยความสุขล้น
ข้าแต่พระเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระองค์ด้วยพิณ
5 ข้าพเจ้าถามตัวเองว่าทำไมข้าพเจ้าถึงโศกเศร้านัก
ทำไมข้าพเจ้าถึงวุ่นวายใจอย่างนี้
ข้าพเจ้าควรจะฝากความหวังไว้กับพระเจ้า ใช่แล้ว ข้าพเจ้าจะมีเหตุที่จะสรรเสริญพระองค์อีกครั้ง
พระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของข้าพเจ้าและเป็นพระเจ้าของข้าพเจ้า
ดาวิดไปตามที่ต่างๆ
22 ดาวิดออกจากเมืองกัทหนีไปที่ถ้ำ[a]อดุลลัม เมื่อพี่น้องและญาติฝ่ายพ่อของดาวิดรู้เรื่องเข้า ต่างก็พากันมาหาเขาที่ถ้ำ 2 คนที่เดือดร้อน คนที่มีหนี้สินหรือคนที่ขมขื่นใจ ต่างก็พากันมารวมตัวอยู่กับดาวิด และดาวิดก็ได้กลายเป็นผู้นำของพวกเขาซึ่งมีประมาณสี่ร้อยคน
3 จากถ้ำอดุลลัม ดาวิดก็ไปยังมิสปาห์ในเมืองโมอับและพูดขอร้องกษัตริย์เมืองโมอับว่า “ขออนุญาตให้พ่อแม่ของข้าพเจ้ามาอาศัยอยู่กับท่านด้วยเถิด จนกว่าข้าพเจ้าจะรู้ว่าพระเจ้าจะทำอะไรให้กับข้าพเจ้า” 4 ดาวิดจึงฝากพ่อแม่ของเขาไว้กับกษัตริย์เมืองโมอับ และพ่อแม่ของเขาก็อาศัยอยู่กับกษัตริย์ ตลอดเวลาที่ดาวิดอาศัยอยู่ในที่กำบังอันเข้มแข็ง
5 แต่กาดที่เป็นผู้พูดแทนพระเจ้าได้พูดกับดาวิดว่า “อย่าอาศัยอยู่ในป้อมปราการเลย เข้าไปอยู่ในแผ่นดินยูดาห์เถอะ” ดังนั้นดาวิดจึงจากไปอยู่ในป่าเฮเรท
ซาอูลทำลายลูกหลานของเอลี
6 ซาอูลได้ยินว่ามีคนพบดาวิดและผู้คนของเขา ในขณะที่ซาอูลนั่งอยู่ใต้ต้นสนบนภูเขากิเบอาห์และถือหอกอยู่ในมือโดยมีพวกข้าราชการยืนล้อมรอบเขาอยู่ 7 ซาอูลก็พูดกับพวกนั้นว่า “ฟังให้ดีนะ คนเบนยามินทั้งหลาย ไอ้ลูกชายคนนั้นของเจสซี[b] จะให้ที่ทุ่งนาหรือสวนองุ่นกับพวกเจ้าหรือ หรือว่ามันจะแต่งตั้งให้พวกเจ้าเป็นหัวหน้ากองพัน กองร้อยหรือยังไง 8 นั่นเป็นเหตุที่พวกเจ้าถึงได้แอบคบคิดกันต่อต้านเราใช่ไหม ไม่มีใครสักคนบอกเราเมื่อโยนาธานลูกเราได้ทำสัญญากับไอ้ลูกชายของเจสซี ไม่มีใครห่วงใยเราหรือบอกกับเราว่าโยนาธานได้ยุยงให้ไอ้คนรับใช้คนนั้นของเราคอยซุ่มเล่นงานเรา อย่างที่มันทำอยู่ทุกวันนี้”
9 แต่โดเอกคนเอโดม ซึ่งยืนอยู่กับพวกข้าราชการของซาอูลพูดว่า “ข้าพเจ้าเห็นดาวิดลูกชายของเจสซีมาหาอาหิเมเลคลูกชายของอาหิทูบที่เมืองโนบ 10 อาหิเมเลคได้ปรึกษากับพระยาห์เวห์เพื่อดาวิด เขาให้อาหารกับดาวิด และให้ดาบของโกลิอัทคนฟีลิสเตียกับเขาด้วย”
11 กษัตริย์ได้ส่งคนไปตามนักบวชอาหิเมเลคลูกชายของอาหิทูบ และเครือญาติทั้งหมดของพ่อเขาที่เป็นนักบวช ที่เมืองโนบ และพวกเขาก็มาหากษัตริย์ 12 ซาอูลได้พูดว่า “ฟังเราให้ดี ลูกชายของอาหิทูบ”
อาหิเมเลคตอบว่า “ครับ ท่านเจ้านาย”
13 ซาอูลพูดกับอาหิเมเลคว่า “ทำไมเจ้ากับไอ้ลูกชายของเจสซีถึงคบคิดกันต่อต้านเรา เจ้าให้ขนมปังและดาบกับมัน เจ้าได้ปรึกษาพระเจ้าเพื่อมัน ซึ่งทำให้มันลุกขึ้นกบฏต่อเรา และคอยดักซุ่มโจมตีเราอย่างที่มันทำอยู่ทุกวันนี้”
14 อาหิเมเลคตอบกษัตริย์ว่า “มีใครในหมู่พวกข้าราชการของท่าน ที่จงรักภักดีต่อท่านเท่ากับดาวิดบ้าง ดาวิดเป็นลูกเขยของท่าน เป็นหัวหน้าองครักษ์ของท่าน และเป็นที่นับถืออย่างยิ่งในครอบครัวของท่าน 15 แล้วนี่เป็นครั้งแรกหรือ ที่ข้าพเจ้าได้ปรึกษาพระเจ้าเพื่อดาวิด ไม่ใช่เลย ขอท่านอย่าได้กล่าวหาข้าพเจ้าผู้รับใช้ของท่านหรือเครือญาติฝ่ายพ่อข้าพเจ้าเลย เพราะข้าพเจ้าคนรับใช้ของท่านไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้”
16 แต่กษัตริย์พูดว่า “อาหิเมเลค ทั้งเจ้าและเครือญาติฝ่ายพ่อเจ้า จะต้องตายแน่” 17 กษัตริย์สั่งพวกทหารยามที่ยืนอยู่ข้างๆว่า “พาพวกนักบวชของพระยาห์เวห์เหล่านี้ไปฆ่าซะ เพราะพวกมันเข้าข้างดาวิด พวกมันรู้ว่ามันหนีไปแต่ไม่ยอมบอกเรา”
แต่พวกข้าราชการของกษัตริย์ไม่ยอมลงมือต่อพวกนักบวชของพระยาห์เวห์
18 กษัตริย์สั่งโดเอกว่า “เจ้าหันไปฟันพวกนักบวชเหล่านั้นเสียให้ตาย” โดเอกชาวเมืองเอโดมจึงหันไปฟันพวกนักบวช[c] ในวันนั้นเขาได้ฆ่าชายที่สวมผ้าป่านเอโฟดตายถึงแปดสิบห้าคน 19 เขาใช้ดาบฆ่าฟันคนในเมืองโนบซึ่งเป็นเมืองของนักบวช เขาใช้ดาบฆ่าฟันทั้งผู้ชายและผู้หญิง ทั้งเด็กและทารก ทั้งวัว ลาและแกะ
20 แต่อาบียาธาร์ ลูกชายของอาหิเมเลค ที่เป็นลูกชายของอาหิทูบ หนีรอดไปหาดาวิด 21 เขาได้บอกกับดาวิดว่าซาอูลได้ฆ่าพวกนักบวชของพระยาห์เวห์ 22 ดาวิดพูดกับอาบียาธาร์ว่า “ในวันนั้น เมื่อโดเอกชาวเอโดมอยู่ที่นั่น เรารู้ว่าเขาต้องบอกกับซาอูลแน่ เราเองเป็นผู้ที่นำความตายมาสู่ทุกคนในครอบครัวของพ่อเจ้า 23 อยู่กับเราที่นี่แหละ เจ้าไม่ต้องกลัว คนที่ตามล่าชีวิตเจ้าก็ตามล่าชีวิตเราเหมือนกัน เจ้าจะปลอดภัยเมื่ออยู่กับเรา”
26 พี่น้องทั้งหลายผู้เป็นลูกหลานของอับราฮัม และพวกท่านคนต่างชาติที่เคารพยำเกรงพระเจ้า พระเจ้าได้ส่งพระคำแห่งความรอดนี้มาให้กับพวกเรานี่แหละ 27 ส่วนพวกที่อาศัยอยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม ตลอดจนพวกผู้นำของเขาก็ไม่รู้ว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่พวกเขาได้ประณามพระองค์นั้น ก็ได้เป็นจริงตามคำพูดของพวกผู้พูดแทนพระเจ้าที่อ่านกันทุกครั้งในวันหยุดทางศาสนา 28 ถึงแม้พวกเขาจะไม่มีเหตุผลอะไรที่จะประหารชีวิตพระองค์ แต่พวกเขาก็ยังร้องขอให้ปีลาตฆ่าพระองค์อยู่ดี 29 เมื่อพวกเขาทำทุกอย่างสำเร็จตามที่พระคัมภีร์เขียนไว้เกี่ยวกับพระเยซูแล้ว พวกเขาเอาร่างของพระองค์ลงมาจากไม้กางเขน และเอาไปวางไว้ในอุโมงค์ฝังศพ 30 แต่พระเจ้าทำให้พระเยซูฟื้นขึ้นจากความตาย 31 พระเยซูปรากฏตัวให้กับคนที่ติดตามพระองค์ที่มาจากเมืองเยรูซาเล็มและจากแคว้นกาลิลี ได้เห็นเป็นเวลาหลายวัน และตอนนี้พวกเขาได้เล่าเรื่องของพระองค์ให้คนอิสราเอลได้รู้ 32 พวกเราได้บอกพวกคุณเกี่ยวกับข่าวดีที่พระเจ้าได้สัญญาไว้กับบรรพบุรุษของเรา 33 พระเจ้าได้ทำให้คำสัญญานี้เป็นจริงกับพวกเราผู้เป็นลูกหลานของพวกเขาโดยให้พระเยซูฟื้นขึ้นจากความตาย เหมือนกับที่ได้เขียนไว้ในหนังสือสดุดีบทที่สองว่า
‘ท่านเป็นลูกของเรา
วันนี้เราเป็นผู้ให้กำเนิดท่าน’(A)
34 พระเจ้าได้ทำให้พระเยซูฟื้นขึ้นจากความตาย และจะไม่มีวันเน่าเปื่อยอีกเลย พระเจ้าประกาศอย่างนี้ว่า
‘เราจะให้พรอันศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายกับพวกเจ้าอย่างแน่นอนตามที่เราได้สัญญาไว้กับดาวิด’(B)
35 ยังมีอีกที่หนึ่งในพระคัมภีร์ที่พูดถึงสิ่งนี้ด้วยว่า
‘พระองค์จะไม่ยอมให้ร่างของผู้รับใช้อันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ต้องเน่าเปื่อย’(C)
36 ในช่วงที่ดาวิดมีชีวิตอยู่ เขาได้ทำตามความต้องการของพระเจ้า ต่อมาเมื่อเขาตาย และถูกฝังไว้กับบรรพบุรุษ ร่างของเขาก็เน่าเปื่อยไป 37 แต่พระเยซูที่พระเจ้าทำให้ฟื้นขึ้นจากความตายนั้นไม่เน่าเปื่อย 38 ดังนั้นพี่น้องครับ ผมอยากจะบอกให้รู้ว่า ก็เพราะพระเยซูนี่แหละ บาปของพวกคุณถึงได้รับการยกโทษ กฎของโมเสสไม่สามารถช่วยให้ใครหลุดพ้นจากบาปได้หรอก 39 แต่พระเยซูทำให้ทุกคนที่ไว้วางใจในพระองค์ ได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากบาปเหล่านั้นได้ 40 ระวังให้ดี อย่าให้สิ่งที่พวกผู้พูดแทนพระเจ้าพูดไว้เกิดขึ้นกับคุณ นั่นคือ
41 ‘ดูก่อน พวกที่ชอบเยาะเย้ยถากถาง
เจ้าจะต้องประหลาดใจและจากนั้นก็ตายไป
เพราะเรากำลังทำสิ่งหนึ่งในช่วงชีวิตของเจ้า
เป็นสิ่งที่เจ้าจะไม่ยอมเชื่อ ถึงแม้มีคนมาบอกก็ตาม’”(D)
42 เมื่อเปาโลกับบารนาบัสกำลังจะไปจากที่ประชุมชาวยิว ผู้คนได้มาขอให้พวกเขา พูดเรื่องพวกนี้อีกในวันหยุดทางศาสนาครั้งหน้า 43 เมื่อการประชุมเลิกแล้ว มีชาวยิว และพวกที่เปลี่ยนมานับถือศาสนายิวหลายคนติดตามเปาโลและบารนาบัสไป ทั้งสองพูดคุยและกระตุ้นให้พวกเขายึดมั่นอยู่ในความเมตตากรุณาของพระเจ้าต่อไป
19 และยูดาสอิสคาริโอท ซึ่งคือคนที่ตอนหลังได้หักหลังพระเยซู
พระเยซูกับเบเอลเซบูล
(มธ. 12:22-32; ลก. 11:14-23; 12:10)
20 จากนั้นพระองค์กลับบ้าน และฝูงชนมายืนออกันอยู่ที่นั่นอีก จนทำให้พระเยซูและศิษย์เอกทั้งสิบสองคนไม่มีเวลาแม้แต่จะกินข้าว 21 เมื่อครอบครัวของพระเยซูได้ยินข่าวนี้ ก็พากันมาเพื่อจับตัวพระองค์กลับบ้าน เพราะคิดว่าพระองค์เป็นบ้าไปแล้ว
22 มีพวกครูสอนกฎปฏิบัติที่มาจากเมืองเยรูซาเล็มพูดกันว่า “เขาถูกเบเอลเซบูล หัวหน้าผีเข้าสิง ก็เลยมีฤทธิ์ขับไล่ผีอื่นๆไป”
23 พระเยซูจึงเรียกพวกเขามาใกล้ๆแล้วเล่าเรื่องเปรียบเทียบให้ฟังว่า “ซาตานจะขับไล่ตัวมันเองได้เหรอ 24 ถ้าอาณาจักรไหนแตกแยกกันเอง อาณาจักรนั้นก็จะตั้งอยู่ต่อไปไม่ได้ 25 หรือถ้าครัวเรือนไหนแตกแยกกันเอง ครัวเรือนนั้นก็จะตั้งอยู่ไม่ได้ 26 เช่นเดียวกัน ถ้าซาตานต่อสู้กับตัวมันเอง มันก็ตั้งอยู่ไม่ได้ แต่ถึงจุดจบแล้ว 27 จริงๆแล้ว ไม่มีใครบุกเข้าไปปล้นบ้านของคนที่แข็งแรงได้ นอกจากจะมัดเจ้าของบ้านที่แข็งแรงนั้นไว้ก่อนจึงจะปล้นข้าวของในบ้านได้ 28 เราจะบอกให้รู้ว่า พระเจ้าจะยกโทษให้กับความบาปทุกชนิดและคำหมิ่นประมาททุกอย่าง 29 แต่พระเจ้าจะไม่มีวันยกโทษให้กับคนที่พูดหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์ คนที่ทำอย่างนั้นจะไม่ได้รับการอภัยตลอดไป”
30 ที่พระองค์พูดอย่างนี้ก็เพราะมีบางคนกล่าวหาว่าพระองค์มีผีชั่วสิงอยู่
ครอบครัวที่แท้จริงของพระเยซู
(มธ. 12:46-50; ลก. 8:19-21)
31 เวลานั้นแม่และน้องๆของพระองค์ก็มาถึงและยืนคอยอยู่ข้างนอก เขาส่งคนเข้าไปตามพระเยซูออกมา 32 ตอนนั้นมีคนนั่งล้อมรอบพระองค์อยู่เต็มไปหมด มีคนมาบอกพระองค์ว่า “แม่กับพวกน้องชายและน้องสาวของอาจารย์ถามหาอาจารย์อยู่ด้านนอกครับ”
33 พระองค์ก็ตอบว่า “ใครเป็นแม่และพี่น้องของเรา” 34 แล้วพระองค์ก็มองไปยังคนที่นั่งล้อมรอบพระองค์อยู่และพูดว่า “พวกคุณนี่ไง ที่เป็นแม่และพี่น้องของเรา 35 คนที่ทำตามใจพระเจ้าคนนั้นแหละคือพี่น้องชายหญิงและแม่ของเรา”
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International