Old/New Testament
ชัยชนะของชาวยิว
9 เมื่อถึงวันที่สิบสามของเดือนสิบสอง ซึ่งเป็นเดือนอาดาร์ นี่เป็นวันที่คำสั่งของกษัตริย์เริ่มมีผลบังคับใช้ เป็นวันที่พวกศัตรูของชาวยิวหวังจะเอาชนะชาวยิว แต่มันกลับกลายเป็นว่า ชาวยิวได้ชนะพวกศัตรูของพวกเขาแทน
2 บรรดาชาวยิวต่างมารวมตัวกันตามเมืองต่างๆของตน ในทุกมณฑลของกษัตริย์อาหสุเอรัส เพื่อมาต่อต้านคนเหล่านั้นที่อยากจะทำลายพวกเขา ไม่มีใครสามารถต่อต้านการโจมตีของชาวยิวได้ เพราะคนเหล่านั้นล้วนเกรงกลัวพวกยิว 3 เจ้าหน้าที่ทั้งหลายตามมณฑลต่างๆ พวกผู้ควบคุมภาค รวมทั้งผู้ว่าราชการ และเจ้าหน้าที่ในวัง ต่างก็สนับสนุนชาวยิว เพราะพวกเขาเกรงกลัวโมรเดคัย 4 เนื่องจากโมรเดคัยเป็นคนสำคัญของวัง ซึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทุกมณฑล เพราะเขามีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ
5 แล้วชาวยิวก็โจมตีศัตรูทั้งหมดของพวกเขาด้วยดาบ พวกยิวฆ่าและทำลายพวกนั้น ชาวยิวทำกับคนที่เกลียดชังพวกเขาตามความพอใจ 6 พวกยิวได้ฆ่าและทำลายผู้ชายห้าร้อยคนที่เป็นศัตรูของพวกเขาในเขตวังของเมืองสุสา 7 ในจำนวนนี้มี ปารชันดาธา ดาลโฟน อัสปาธา 8 โปราธา อาดัลยา อารีดาธา 9 ปารมัชทา อารีสัย อารีดัย และไวซาธา 10 คนพวกนี้เป็นลูกชายทั้งสิบคนของฮามาน ลูกของฮัมเมดาธา ศัตรูของพวกยิว แต่พวกยิวไม่ได้ปล้นข้าวของของพวกศัตรูนั้น
11 ในวันเดียวกันนั้น กษัตริย์ก็ได้รับรายงานถึงจำนวนคนที่ถูกฆ่าในเขตวังของเมืองสุสา 12 พระองค์ได้พูดกับราชินีเอสเธอร์ว่า “พวกชาวยิวได้ฆ่าและทำลายผู้ชายไปห้าร้อยคนในเขตวังของเมืองสุสานี้ รวมทั้งลูกชายทั้งสิบคนของฮามานด้วย พวกเขาคงจะทำมากยิ่งกว่านั้นอีกในมณฑลอื่นๆของเรา มีอะไรอีกไหมที่เจ้าอยากจะให้จัดการ บอกเรามา แล้วเราจะจัดการให้”
13 เอสเธอร์ตอบว่า “ถ้าพระองค์พอใจ ขออนุญาตให้พวกชาวยิวที่อาศัยอยู่ในเขตวังของเมืองสุสา ทำอย่างเดียวกันนี้อีกในวันพรุ่งนี้ และขอให้เสียบลูกทั้งสิบคนของฮามานบนเสาไม้”
14 กษัตริย์จึงสั่งให้เป็นไปตามที่เอสเธอร์ขอ และได้ประกาศให้มันเป็นกฎหมายในเขตวังของเมืองสุสา และพวกเขาก็ได้เสียบลูกชายทั้งสิบคนของฮามาน 15 จากนั้นพวกยิวที่อยู่ในเมืองป้อมสุสาก็ได้รวมตัวกันอีกครั้งในวันที่สิบสี่ของเดือนอาดาร์ และได้ฆ่าคนในเมืองป้อมสุสาไปอีกสามร้อยคน แต่ไม่ได้ปล้นข้าวของของพวกเขา
16 ส่วนพวกยิวที่อาศัยอยู่ตามมณฑลต่างๆของกษัตริย์ ก็ได้รวมตัวกันเพื่อปกป้องตัวเองให้รอดพ้นจากศัตรู พวกเขาได้ฆ่าศัตรูไปเจ็ดหมื่นห้าพันคน แต่ไม่ได้ปล้นข้าวของของพวกเขา 17 เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นในมณฑลต่างๆในวันที่สิบสาม ของเดือนอาดาร์ แล้วในวันที่สิบสี่ คนยิวก็ได้หยุดพักและเลี้ยงเฉลิมฉลองกันในวันนั้น
เทศกาลปูริม
18 แต่พวกชาวยิวที่อยู่ในเขตวังของเมืองสุสาได้รวมตัวกันเพื่อปกป้องตัวเองในวันที่สิบสามและสิบสี่ของเดือนอาดาร์ แล้วหยุดพักในวันที่สิบห้า และชาวยิวเหล่านั้นก็ได้เลี้ยงเฉลิมฉลองกันในวันนั้น 19 นั่นเป็นเหตุที่พวกชาวยิวที่อาศัยอยู่ตามชนบทต่างๆที่ไม่มีกำแพงเมือง ถือเอาวันที่สิบสี่ของเดือนอาดาร์ เป็นวันหยุดเพื่อเลี้ยงเฉลิมฉลองกัน และต่างก็ส่งอาหารเป็นของขวัญให้แก่กันและกันในวันนั้น
20 โมรเดคัยได้บันทึกเหตุการณ์เหล่านี้ไว้ทั้งหมด และเขาได้ส่งจดหมายไปถึงชาวยิวทุกคน ที่อาศัยอยู่ในมณฑลทุกแห่งของกษัตริย์อาหสุเอรัส ทั้งใกล้และไกล 21 เขาเขียนไปให้กับชาวยิวทุกคน ให้ถือวันที่สิบสี่และวันที่สิบห้าของเดือนอาดาร์ เป็นวันหยุดประจำปี 22 เพราะวันเหล่านั้นเป็นวันที่บรรดาชาวยิวได้กำจัดพวกศัตรูของพวกเขา และเป็นเดือนที่ความทุกข์โศกของพวกเขาได้กลายเป็นความชื่นชมยินดี การคร่ำครวญของพวกเขากลายเป็นการเลี้ยงฉลอง เขาบอกให้พวกเขาให้เฉลิมฉลองเลี้ยงกันในวันเหล่านั้น และส่งอาหารเป็นของขวัญให้แก่กันและกัน และส่งอาหารเป็นของขวัญให้กับคนยากจนด้วย
23 ดังนั้นชาวยิวจึงตกลงที่จะรักษาเทศกาลนี้ที่พวกเขาได้เริ่มต้นไว้ตลอดไป ตามที่โมรเดคัยได้เขียนมา
24 ฮามาน ลูกชายฮัมเมดาธา ชาวอากัก ศัตรูของพวกชาวยิว ได้วางแผนชั่วเพื่อทำลายชาวยิว เขาได้ทำการเสี่ยงทาย ที่เรียกว่า “เปอร์” เพื่อทำลายพวกยิวให้พินาศสิ้น 25 แต่เมื่อกษัตริย์ได้ล่วงรู้แผนการนั้น พระองค์พูดว่า “ขอให้คำสั่งชั่วร้ายที่ฮามานเขียนเพื่อทำลายชาวยิวนี้ เกิดขึ้นกับเขาแทน” ดังนั้นฮามานและลูกชายจึงถูกเสียบที่เสาไม้
26-27 ดังนั้น ประชาชน จึงเรียกวันเหล่านั้นว่า “ปูริม” ซึ่งมาจากคำว่า “เปอร์” โมรเดคัยได้เขียนจดหมายบอกให้ชาวยิวเฉลิมฉลองเทศกาลนี้ในสองวันที่กำหนดนี้ของทุกปี เพื่อให้ระลึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขา ดังนั้นพวกยิวจึงถือเป็นประเพณีสำหรับพวกเขาและลูกหลานของพวกเขาตามที่โมรเดคัยบอก 28 เพื่อพวกเขาจะถือเทศกาลนี้ไว้ และรักษาไว้สืบต่อไปในทุกยุคทุกสมัย ในทุกครอบครัว ในทุกมณฑล และในทุกเมือง คนยิวจะต้องเฉลิมฉลองเทศกาลปูริมนี้ทุกปีไม่หยุดหย่อน และรักษาเทศกาลนี้ตลอดไป และไม่ปล่อยให้มันหมดสิ้นไปจากผู้สืบเชื้อสายของชาวยิว
29 จากนั้น ราชินีเอสเธอร์ ลูกสาวอาบีฮาอิล กับโมรเดคัยชาวยิว ก็เขียนจดหมายออกมาอย่างเป็นทางการ เพื่อรับรองเทศกาลปูริม นี่เป็นจดหมายฉบับที่สอง 30 ซึ่งถูกส่งไปยังชาวยิวทั้งหลาย ในหนึ่งร้อยยี่สิบเจ็ดมณฑล ในอาณาจักรของกษัตริย์อาหสุเอรัส ในจดหมายนั้น พวกเขาบอกว่า “ขอให้พวกท่านอยู่เย็นเป็นสุข และมีความมั่นคง 31 พวกท่านและลูกหลานของพวกท่านต้องไม่ลืมที่จะเฉลิมฉลองเทศกาลปูริมในเวลาที่กำหนดไว้และตามอย่างที่เราสั่ง และพวกท่านก็ต้องทำตามคำแนะนำเกี่ยวกับการคร่ำครวญและอดอาหารที่เราสั่งด้วย” 32 กฎเกี่ยวกับเทศกาลปูริมนี้ได้ถูกเขียนขึ้นมาตามคำสั่งของราชินีเอสเธอร์ และได้ถูกจดไว้ในหนังสือบันทึกเหตุการณ์ต่างๆ
โมรเดคัยได้รับเกียรติ
10 ต่อมา กษัตริย์อาหสุเอรัสได้เรียกเก็บภาษีจากทั่วแผ่นดินของพระองค์ รวมไปถึงชายฝั่งทะเลด้วย 2 เรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับอำนาจ และความยิ่งใหญ่ของพระองค์ รวมทั้งสาเหตุที่พระองค์ได้เลื่อนยศให้โมรเดคัยได้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือประจำวันของกษัตริย์แห่งมีเดีย และเปอร์เซีย 3 เนื่องจากโมรเดคัยมีตำแหน่งรองจากกษัตริย์อาหสุเอรัส เขาเป็นที่นับถือของพวกชาวยิว และมีชื่อเสียงโด่งดังในหมู่พี่น้องชาวยิวทั้งหลาย เขาแสวงหาความเป็นอยู่ที่ดีให้ประชาชนของเขา และนำสันติสุขมาให้กับคนยิวทั้งหมด
สเทเฟนพูดต่อหน้าสภา
7 หัวหน้านักบวชสูงสุดถามสเทเฟนว่า “เป็นจริงอย่างที่เขาพูดหรือเปล่า” 2 เขาก็ตอบว่า “ท่านผู้อาวุโสทั้งหลาย และพวกพี่น้อง ฟังผมก่อน พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ได้ปรากฏตัวต่ออับราฮัมบรรพบุรุษของเราตอนที่ท่านยังอยู่ที่เมโสโปเตเมีย ก่อนที่จะย้ายไปอยู่ที่ฮาราน 3 พระองค์ได้พูดกับอับราฮัมว่า ‘ออกจากประเทศและพาญาติพี่น้องของเจ้าไปยังดินแดนที่เราจะแสดงให้เจ้าได้เห็น’[a] 4 ดังนั้นอับราฮัมจึงออกจากดินแดนของชาวเคลเดียและมาตั้งถิ่นฐานอยู่ในเมืองฮาราน หลังจากที่พ่อของอับราฮัมตาย พระเจ้าก็ให้เขาออกจากที่นั่น มายังดินแดนที่พวกท่านอาศัยอยู่เดี๋ยวนี้ 5 ในตอนนั้นพระเจ้าไม่ได้ให้อับราฮัมครอบครองที่ดินตรงนี้แม้แต่ฝ่าเท้าเดียว แต่พระองค์สัญญาที่จะให้แผ่นดินทั้งหมดนี้กับเขาและลูกหลานของเขา ทั้งๆที่ตอนนั้นอับราฮัมยังไม่มีลูกเลย 6 พระเจ้าพูดกับเขาว่า ‘ลูกหลานของเจ้าจะเป็นคนแปลกหน้าในดินแดนต่างด้าว ผู้คนที่นั่นจะบังคับพวกเขาให้เป็นทาส และจะทำต่อลูกหลานของเจ้าอย่างเลวร้ายเป็นเวลาสี่ร้อยปี 7 แต่เราจะลงโทษชนชาตินั้น ที่ทำให้ลูกหลานของเจ้าต้องตกเป็นทาส’[b] พระเจ้ายังบอกอีกว่า ‘หลังจากนั้นพวกเขาจะออกจากดินแดนแห่งนั้น และมากราบไหว้บูชาเราในสถานที่แห่งนี้’[c] 8 พระเจ้าได้ทำข้อตกลงกับอับราฮัม การขลิบเป็นเครื่องหมายของข้อตกลงนี้ แล้วอับราฮัมมีลูกชื่ออิสอัค พออิสอัคเกิดได้แปดวัน อับราฮัมก็ขลิบให้กับเขา ต่อมาอิสอัค มีลูกคือยาโคบ และยาโคบก็มีลูกสิบสองคน ที่เป็นต้นตระกูลต่างๆของเรานั่นเอง 9 ต้นตระกูลพวกนี้ ต่างก็อิจฉาโยเซฟน้องชายของตน จึงขายโยเซฟให้ไปเป็นทาสในอียิปต์ แต่พระเจ้าอยู่กับโยเซฟ 10 พระองค์ช่วยให้โยเซฟพ้นจากความทุกข์ยากทุกอย่าง พระเจ้าทำให้โยเซฟเฉลียวฉลาด และทำให้ฟาโรห์กษัตริย์ของอียิปต์ชอบโยเซฟ ถึงกับแต่งตั้งให้เขาเป็นผู้ปกครองดูแลทั่วทั้งอียิปต์ รวมทั้งทุกอย่างในวังของพระองค์ด้วย 11 ต่อมาทั่วอียิปต์และคานาอันเกิดความอดอยาก ทำให้เดือดร้อนอย่างหนัก บรรพบุรุษของเราไม่มีอาหารกิน 12 เมื่อยาโคบได้ยินว่ามีข้าวในอียิปต์ ก็ส่งบรรพบุรุษของเราไปที่นั่น นี่เป็นเที่ยวแรก 13 ในเที่ยวที่สอง โยเซฟเปิดเผยตัวเองให้พี่น้องของเขารู้ และฟาโรห์ก็ได้รู้จักครอบครัวของโยเซฟด้วย 14 โยเซฟส่งคนไปเชิญยาโคบพ่อของเขา และญาติพี่น้องของเขารวมทั้งหมดเจ็ดสิบห้าคนมาด้วย 15 จากนั้นยาโคบก็ย้ายไปอยู่ที่อียิปต์ และที่นั่นเอง ยาโคบและบรรพบุรุษของเราตายลง 16 ศพของพวกเขาถูกนำกลับไปที่เมืองเชเคม และถูกฝังไว้ในอุโมงค์ฝังศพที่อับราฮัมใช้เงินก้อนหนึ่งซื้อมาจากพวกลูกชายของฮาโมร์ในเชเคม 17 เมื่อใกล้ถึงเวลาที่สัญญาที่พระเจ้าให้ไว้กับอับราฮัมจะเป็นจริง จำนวนคนของเราก็ได้เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลในอียิปต์ 18 ในตอนนั้นมีกษัตริย์องค์อื่นที่ไม่เคยรู้เรื่องเกี่ยวกับโยเซฟขึ้นปกครองแผ่นดินอียิปต์ 19 เขาเจ้าเล่ห์หลอกลวงคนของเรา และทารุณโหดร้ายต่อบรรพบุรุษของเรา ด้วยการบังคับให้เอาทารกน้อยของพวกเขาไปทิ้งข้างนอกให้ตาย 20 โมเสสเกิดมาในช่วงนั้น เขาเป็นเด็กที่พิเศษมาก เขาได้รับการเลี้ยงดูอยู่ในบ้านพ่อของเขาจนอายุครบสามเดือน 21 แล้วก็ถูกนำไปทิ้งข้างนอก ลูกสาวของฟาโรห์เก็บเขาได้ และเอาไปเลี้ยงเป็นลูก
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International