Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

Old/New Testament

Each day includes a passage from both the Old Testament and New Testament.
Duration: 365 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
เอสรา 1-2

ไซรัสช่วยเชลยกลับมา

(2 พศด. 36:22-23)

ในปีแรก[a] ที่ไซรัส[b] ขึ้นเป็นกษัตริย์ของเปอร์เซีย พระยาห์เวห์ได้กระตุ้นให้กษัตริย์ไซรัสแห่งเปอร์เซีย ประกาศไปทั่วราชอาณาจักรของพระองค์ และเขียนออกมาเป็นกฎหมายด้วย เพื่อสิ่งที่พระยาห์เวห์พูดผ่านมาทางปากของเยเรมียาห์[c] จะได้เกิดขึ้นจริง ประกาศนั้นว่าอย่างนี้ คือ

“กษัตริย์ไซรัสแห่งเปอร์เซีย พูดว่าอย่างนี้

‘พระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งสวรรค์ ได้มอบอาณาจักรทุกแห่งบนโลกให้กับเรา พระองค์ยังได้มอบหมายให้เราสร้างวิหารให้กับพระองค์ที่เมืองเยรูซาเล็มในยูดาห์ มีใครบ้างในกลุ่มพวกเจ้าทั้งหมดนี้ที่เป็นคนของพระองค์ ขอให้พวกเขาขึ้นไปที่เมืองเยรูซาเล็มในยูดาห์และสร้างวิหารของพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล คือพระเจ้าที่อยู่ในเยรูซาเล็ม ขอให้พระเจ้าของพวกเขาอยู่กับพวกเขาด้วย คนที่ไม่ใช่ชาวยิวที่อาศัยอยู่ตามที่ต่างๆที่มีคนยิวหลงเหลืออยู่[d][e] จะต้องช่วยบริจาคเงิน และทองคำ ข้าวของเครื่องใช้และสัตว์ต่างๆรวมทั้งของถวายที่ให้ด้วยความสมัครใจ ให้แก่วิหารของพระเจ้าในเมืองเยรูซาเล็ม’”

แล้วพวกหัวหน้าของตระกูลยูดาห์และเบนยามิน รวมทั้งนักบวชทั้งหลาย และพวกชาวเลวีต่างก็ลุกขึ้นเตรียมตัวจากไป คือ ทุกคนที่พระเจ้าได้กระตุ้นให้ขึ้นไปสร้างวิหารของพระยาห์เวห์ในเมืองเยรูซาเล็มขึ้นมาใหม่ เพื่อนบ้านของชาวยิวทุกคนได้ช่วยพวกเขา ด้วยการให้สิ่งของต่างๆที่ทำจากเงินรวมทั้งทองคำ ข้าวของเครื่องใช้ และสัตว์ต่างๆตลอดจนของมีค่า และของถวายที่ให้ด้วยความสมัครใจ กษัตริย์ไซรัสได้เอาพวกเครื่องใช้ต่างๆสำหรับวิหารของพระยาห์เวห์ออกมา เป็นเครื่องใช้ที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์[f] ได้นำมาจากเมืองเยรูซาเล็ม และเอามาเก็บรักษาไว้ในวิหารของเหล่าเทพเจ้าของพระองค์ กษัตริย์ไซรัสแห่งเปอร์เซีย ได้มอบสิ่งของเหล่านี้ให้กับมิทเรดาท ผู้ดูแลด้านการเงินของกษัตริย์ และมิทเรดาทก็ได้ตรวจนับของเหล่านั้น ให้กับเชชบัสซาร์ ซึ่งเป็นหัวหน้าผู้นำของยูดาห์

และนี่คือรายการทรัพย์สินเหล่านั้น

อ่างทองคำ สามสิบใบ

อ่างเงิน หนึ่งพันใบ

มีด[g] ยี่สิบเก้าเล่ม

10 ชามทองคำขนาดเล็ก สามสิบใบ

ชามเงินเข้าชุดกันขนาดเล็ก สี่ร้อยสิบใบ

ภาชนะอื่นๆหนึ่งพันใบ

11 มีภาชนะที่ทำด้วยทองคำและเงินรวมทั้งสิ้น ห้าพันสี่ร้อยใบ เชชบัสซาร์ นำสิ่งของเหล่านี้ขึ้นมาที่เมืองเยรูซาเล็ม ตอนที่พระเจ้านำตัวพวกเชลยออกจากบาบิโลนมายังเมืองเยรูซาเล็ม

รายชื่อเชลยที่กลับมา

(นหม. 7:4-73)

ต่อไปนี้คือรายชื่อของคนที่อยู่ในมณฑลยูดาห์ หลังจากที่กลับมาจากการถูกจับไปเป็นเชลย ก่อนหน้านี้ กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลน ได้จับครอบครัวพวกเขาไปเป็นเชลยที่บาบิโลน ตอนนี้พวกเขาได้กลับมาที่เมืองเยรูซาเล็มและยูดาห์ และต่างคนต่างก็กลับไปยังบ้านเมืองของตน พวกเขาทั้งหลายกลับมาพร้อมกับเศรุบบาเบล[h] เยชูอา เนหะมียาห์ เสไรอาห์ เรเอไลยาห์ โมรเดคัย บิลชาน มิสปาร์ บิกวัย เรฮูม และบาอานาห์

ต่อไปนี้คือจำนวนชายอิสราเอลของแต่ละตระกูลที่ได้กลับมา

ผู้สืบตระกูลปาโรช สองพันหนึ่งร้อยเจ็ดสิบสองคน

ผู้สืบตระกูลเชฟาทิยาห์ สามร้อยเจ็ดสิบสองคน

ผู้สืบตระกูลอาราห์ เจ็ดร้อยเจ็ดสิบห้าคน

ผู้สืบตระกูลปาหัทโมอับ คือ ตระกูลของเยชูอา และโยอาบ สองพันแปดร้อยสิบสองคน

ผู้สืบตระกูลเอลาม หนึ่งพันสองร้อยห้าสิบสี่คน

ผู้สืบตระกูลศัทธู เก้าร้อยสี่สิบห้าคน

ผู้สืบตระกูลศักคัย เจ็ดร้อยหกสิบคน

10 ผู้สืบตระกูลบานี หกร้อยสี่สิบสองคน

11 ผู้สืบตระกูลเบบัย หกร้อยยี่สิบสามคน

12 ผู้สืบตระกูลอัสกาด หนึ่งพันสองร้อยยี่สิบสองคน

13 ผู้สืบตระกูลอาโดนีคัม หกร้อยหกสิบหกคน

14 ผู้สืบตระกูลบิกวัย สองพันห้าสิบหกคน

15 ผู้สืบตระกูลอาดีน สี่ร้อยห้าสิบสี่คน

16 ผู้สืบตระกูลอาเทอร์ คือเฮเซคียาห์ เก้าสิบแปดคน

17 ผู้สืบตระกูลเบไซ สามร้อยยี่สิบสามคน

18 ผู้สืบตระกูลโยราห์ หนึ่งร้อยสิบสองคน

19 ผู้สืบตระกูลฮาชูม สองร้อยยี่สิบสามคน

20 ผู้สืบตระกูลกิบบาร์ เก้าสิบห้าคน

21 ชายจากเมืองเบธเลเฮม หนึ่งร้อยยี่สิบสามคน

22 ชายจากเมืองเนโทฟาห์ ห้าสิบหกคน

23 ชายจากเมืองอานาโธท หนึ่งร้อยยี่สิบแปดคน

24 ชายจากเมืองอัสมาเวท สี่สิบสองคน

25 ชายจากเมืองคิริยาทอาริม เคฟีราห์ และ เบเอโรท เจ็ดร้อยสี่สิบสามคน

26 ชายจากเมืองรามาห์ และเกบา หกร้อยยี่สิบเอ็ดคน

27 ชายจากเมืองมิคมาส หนึ่งร้อยยี่สิบสองคน

28 ชายจากเมืองเบธเอล และอัย สองร้อยยี่สิบสามคน

29 ชายจากเมืองเนโบ ห้าสิบสองคน

30 ชายจากเมืองมักบิช หนึ่งร้อยห้าสิบหกคน

31 ชายจากเมืองเอลาม หนึ่งพันสองร้อยห้าสิบสี่คน

32 ชายจากเมืองฮาริม สามร้อยยี่สิบคน

33 ชายจากเมืองโลด ฮาดิด และโอโน เจ็ดร้อยยี่สิบห้าคน

34 ชายจากเมืองเยริโค สามร้อยสี่สิบห้าคน

35 ชายจากเมืองเสนาอาห์ สามพันหกร้อยสามสิบคน

36 ต่อไปนี้คือพวกนักบวช

ผู้สืบตระกูลเยดายาห์ คือครอบครัวของเยชูอา เก้าร้อยเจ็ดสิบสามคน

37 ผู้สืบตระกูลอิมเมอร์ หนึ่งพันห้าสิบสองคน

38 ผู้สืบตระกูลปาชเฮอร์ หนึ่งพันสองร้อยสี่สิบเจ็ดคน

39 ผู้สืบตระกูลฮาริม หนึ่งพันสิบเจ็ดคน

40 ต่อไปนี้คือพวกชาวเลวี

ผู้สืบตระกูลเยชูอา และขัดมีเอล คือครอบครัวโฮดาวิยาห์ เจ็ดสิบสี่คน

41 ต่อไปนี้คือพวกนักร้อง

ผู้สืบตระกูลอาสาฟ หนึ่งร้อยยี่สิบแปดคน

42 ต่อไปนี้คือพวกตระกูลของคนเฝ้าประตูวิหารได้แก่

ผู้สืบตระกูลชัลลูม อาเทอร์ ทัลโมน อักขูบ ฮาทิธา โชบัย รวมหนึ่งร้อยสามสิบเก้าคน

43 ต่อไปนี้คือพวกตระกูลของคนรับใช้ประจำวิหารได้แก่

ผู้สืบตระกูลศีหะ ฮาสูฟา ทับบาโอท

44 ตระกูลเคโรส สีอาฮา พาโดน

45 ตระกูลเลบานาห์ ฮากาบาห์ อักขูบ

46 ตระกูลฮากาบ ชัมลัย ฮานัน

47 ตระกูลกิดเดล กาฮาร์ เรอายาห์

48 ตระกูลเรซีน เนโคดา กัสซาม

49 ตระกูลอุสซาห์ ปาเสอาห์ เบสัย

50 ตระกูลอัสนาห์ เมอูนิม เนฟิสิม

51 ตระกูลบัคบูค ฮาคูฟา ฮารฮูร

52 ตระกูลบัสลูท เมหิดา ฮารชา

53 ตระกูลบารโขส สิเสรา เทมาห์

54 ตระกูลเนซิยาห์ ฮาทิฟา

55 ต่อไปนี้คือผู้สืบตระกูลจากข้าราชการของซาโลมอน

ตระกูลโสทัย หัสโสเฟเรท เปรุดา

56 ตระกูลยาอาลาห์ ดารโคน กิดเดล

57 ตระกูลเชฟาทิยาห์ ฮัทธิล โปเคเรทหัสซาบาอิม อามี

58 ผู้สืบตระกูลของคนรับใช้ของวิหารทุกคน และผู้สืบตระกูลข้าราชการของซาโลมอน รวมทั้งหมด สามร้อยเก้าสิบสองคน

59 คนต่อไปนี้มาจากเมืองเทลเมลาห์ เมืองเทลหารชา เมืองเครูบ เมืองอัดดาน และเมืองอิมเมอร์ แต่พวกเขาไม่สามารถพิสูจน์ว่า บรรพบุรุษของพวกเขาเป็นชาวอิสราเอล

60 ผู้สืบตระกูลเดไลยาห์ โทบีอาห์ เนโคดา รวมหกร้อยห้าสิบสองคน

61 ผู้สืบตระกูลของพวกนักบวช คือ

ตระกูลของฮาบายาห์ ฮักโขส และบารซิลลัย (บารซิลลัยคนนี้ได้แต่งงานกับ ลูกสาวของบารซิลลัยชาวกิเลอาด แล้วใช้ชื่อของพ่อตา)

62 คนพวกนี้เมื่อค้นหาประวัติครอบครัวในสำมะโนครัวที่เป็นทางการ แต่หาไม่พบ ก็เลยถือว่าเป็นคนธรรมดา และชื่อของพวกเขาถูกตัดออกจากกลุ่มของพวกนักบวช

63 ผู้ว่าราชการเมืองบอกกับพวกเขาว่า จะต้องไม่กินอาหารที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด จนกว่าจะมีนักบวชที่สามารถจะปรึกษากับ อูริมและทูมมิมว่าพวกนี้เป็นนักบวชจริงหรือไม่

64-65 ชุมชนทั้งหมดรวมกันมีสี่หมื่นสองพันสามร้อยหกสิบคน ไม่นับทาสชายหญิงของพวกเขา ที่มีจำนวนเจ็ดพันสามร้อยสามสิบเจ็ดคน นอกจากนั้นแล้วพวกเขายังมีนักร้องทั้งหญิงและชายอีกสองร้อยคน 66-67 พวกเขามีม้ารวมเจ็ดร้อยสามสิบหกตัว มีล่อสองร้อยสี่สิบห้าตัว มีอูฐสี่ร้อยสามสิบห้าตัว และมีลาหกพันเจ็ดร้อยยี่สิบตัว

68 หัวหน้าครอบครัวบางคน มาถึงวิหารของพระยาห์เวห์ในเมืองเยรูซาเล็ม พวกเขาได้ถวายของด้วยความสมัครใจ ให้กับวิหารของพระเจ้า เพื่อเอาไปสร้างวิหารขึ้นมาใหม่บนสถานที่ตั้งเดิม 69 พวกเขาได้ถวายตามกำลังความสามารถ พวกเขาได้ถวายเพื่อใช้ในงานนี้ให้กับกองคลัง เป็นทองคำประมาณห้าร้อยกิโลกรัม เงินประมาณสามพันสี่ร้อยกิโลกรัม

70 พวกนักบวช พวกชาวเลวี ประชาชนส่วนหนึ่ง พวกนักร้อง คนเฝ้าประตู และคนรับใช้ของวิหาร ได้ย้ายเข้ามาอยู่ตามเมืองของตน และชาวอิสราเอลที่เหลือทั้งหมด ก็ย้ายเข้ามาอยู่ตามเมืองของตนเหมือนกัน

ยอห์น 19:23-42

23 เมื่อพวกทหารตรึงพระเยซูแล้ว ก็ได้เอาเสื้อผ้าของพระองค์มาแบ่งกันในหมู่ทหารสี่คน โดยได้ไปคนละชิ้น ส่วนเสื้อชั้นในของพระเยซูเป็นผ้าทอชิ้นเดียวกันตลอดทั้งตัวไม่มีตะเข็บ 24 พวกเขาพูดกันว่า “อย่าฉีกเลย จับสลากกันดีกว่า ดูสิว่าใครจะได้” เหตุการณ์นี้ได้เกิดขึ้นตามที่พระคัมภีร์เขียนว่า

“เขาเอาเสื้อผ้าของเราไปแบ่งกัน
    แล้วเอาชุดของเรามาจับสลากกัน”[a]

และพวกทหารก็ทำอย่างนั้น

25 แม่ของพระเยซู น้าสาวของพระองค์ มารีย์เมียของโคลปัส และมารีย์ชาวมักดาลายืนอยู่ข้างๆไม้กางเขน 26 เมื่อพระเยซูเห็นแม่ของพระองค์และศิษย์ที่พระองค์รัก พระเยซูจึงพูดกับแม่ว่า “แม่ครับ รับเขาเป็นลูกด้วย” 27 แล้วพระองค์ก็พูดกับศิษย์คนนั้นว่า “รับนางเป็นแม่ด้วย” ศิษย์คนนั้นจึงพาแม่ของพระองค์ไปอยู่ที่บ้านของเขาตั้งแต่นั้นมา

พระเยซูตาย

(มธ. 27:45-56; มก. 15:33-41; ลก. 23:44-49)

28 หลังจากนั้นพระเยซูรู้ว่าทุกอย่างเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว เพื่อให้คำต่างๆในพระคัมภีร์เกิดขึ้นจริง พระองค์พูดว่า “เราหิวน้ำ”[b] 29 มีไหใส่เหล้าองุ่นเปรี้ยวอยู่ที่นั่น พวกเขาจึงเอาฟองน้ำชุบเหล้าองุ่นเปรี้ยวนี้ใส่ปลายกิ่งไม้หุสบ แล้วยื่นไปจ่อไว้ที่ปากของพระองค์ 30 เมื่อพระองค์ได้ชิมเหล้าองุ่นเปรี้ยวแล้ว จึงได้ร้องว่า “สำเร็จแล้ว” จากนั้นก็คอพับและสิ้นใจตาย

31 วันนั้นเป็นวันศุกร์ และวันรุ่งขึ้นก็จะเป็นวันหยุดพิเศษทางศาสนา พวกยิวไม่อยากให้ศพค้างอยู่บนไม้กางเขนในวันหยุดทางศาสนา ก็เลยขอให้ปีลาตสั่งทหารของเขาให้หักขาคนที่ถูกตรึงอยู่บนไม้กางเขน เพื่อจะได้ตายเร็วขึ้น และจะได้เอาศพออกไป 32 พวกทหารจึงมาหักขาโจรสองคนที่ถูกตรึงกางเขนพร้อมกับพระเยซู 33 แต่เมื่อมาถึงพระเยซู พวกเขาก็เห็นว่าพระองค์ตายแล้ว จึงไม่ได้หักขาพระองค์ 34 แต่ทหารคนหนึ่งเอาหอกแทงที่สีข้างของพระเยซู เลือดและน้ำก็ไหลทะลักออกมา 35 (คนที่เห็นเหตุการณ์ได้เล่าว่าเขาเห็นอะไร เรื่องที่เขาเล่านั้นเป็นความจริง เขาเล่าให้ฟังเพื่อท่านจะได้เชื่อ) 36 สิ่งนี้เกิดขึ้นเพื่อจะเป็นจริงตามที่พระคัมภีร์เขียนว่า “กระดูกของพระองค์จะไม่หักแม้แต่ชิ้นเดียว”[c] 37 และมีข้อพระคัมภีร์อีกข้อหนึ่งว่า “พวกเขาจะมองดูคนที่พวกเขาได้แทง”[d]

พระเยซูถูกฝัง

(มธ. 27:57-61; มก. 15:42-47; ลก. 23:50-56)

38 หลังจากนั้นโยเซฟชาวอาริมาเธียได้ขออนุญาตปีลาตนำศพพระเยซูไป โยเซฟเป็นศิษย์ลับๆของพระเยซู เพราะเขากลัวพวกยิว เมื่อปีลาตอนุญาต โยเซฟจึงมาเอาศพของพระองค์ไป

39 นิโคเดมัสก็มาด้วย เขาเคยมาหาพระเยซูก่อนหน้านี้ในตอนกลางคืน เขานำเครื่องหอมคือ มดยอบ กับกฤษณา[e]หนักประมาณสามสิบกิโลกรัมมาด้วย 40 โยเซฟและนิโคเดมัสได้เอาศพพระเยซูมาและพันด้วยผ้าลินินพร้อมกับเครื่องหอมตามธรรมเนียมการฝังศพของยิว 41 ใกล้ๆกับที่ที่พระเยซูถูกตรึงนั้นมีสวนอยู่แห่งหนึ่ง และในสวนนั้นมีอุโมงค์ฝังศพใหม่เอี่ยมที่ยังไม่เคยใช้วางศพใครมาก่อน 42 พวกเขาวางศพของพระองค์ไว้ในอุโมงค์นั้นเพราะมันอยู่ใกล้และถึงเวลาที่จะต้องเตรียมตัวสำหรับวันหยุดทางศาสนาแล้ว

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International