Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
เฉลยธรรมบัญญัติ 20

กฎเกณฑ์ในยามสงคราม

20 เวลาท่านออกศึกสงครามรบกับศัตรูของท่าน ท่านแลเห็นฝูงม้า รถศึก และกองทัพซึ่งใหญ่กว่าของท่านเอง ท่านต้องไม่กลัวพวกเขา เพราะพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านอยู่กับท่าน พระองค์นำท่านออกจากแผ่นดินอียิปต์ เมื่อใกล้เวลาที่ท่านจะไปออกรบ ปุโรหิตจะเอ่ยต่อหน้าประชาชน เขาจะพูดว่า ‘อิสราเอลเอ๋ย จงฟังเถิด ได้เวลาที่ท่านจะรบกับพวกศัตรูของท่านในวันนี้ อย่าท้อแท้ใจ หรือหวาดหวั่นพรั่นพรึง หรือตื่นตระหนกเพราะพวกเขา เพราะพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านไปด้วยกันกับท่านเพื่อต่อสู้กับศัตรูของท่านเพื่อให้ท่านมีชัยชนะ’ แล้วพวกเจ้าหน้าที่จะพูดกับประชาชนว่า ‘มีผู้ใดบ้างที่สร้างบ้านใหม่และยังไม่ได้อุทิศบ้านนั้น ให้เขากลับบ้านไป เกรงว่าเขาจะตายในสงคราม แล้วผู้อื่นจะต้องอุทิศให้แทน และมีผู้ใดบ้างที่ปลูกสวนองุ่นแล้วยังไม่ได้กินผล จงปล่อยให้เขากลับบ้านไป เกรงว่าเขาจะตายในสงคราม แล้วผู้อื่นจะได้กินผลแทน และใครคือชายที่หมั้นกับผู้หญิง แต่ยังไม่ได้แต่งงานกับเธอ จงปล่อยให้เขากลับบ้านไป เกรงว่าเขาจะตายในสงคราม แล้วชายอื่นจะแต่งงานกับเธอ’ และพวกเจ้าหน้าที่จะพูดกับประชาชนต่ออีกว่า ‘มีผู้ใดบ้างที่หวั่นกลัวและท้อใจ จงปล่อยให้เขากลับบ้านไป เกรงว่าเพื่อนของเขาจะท้อใจเช่นเดียวกับเขา’ เมื่อพวกเจ้าหน้าที่พูดกับประชาชนจบแล้ว เขาก็จะเลือกหัวหน้าประจำกลุ่มให้แก่พวกเขา

10 เวลาที่ท่านเข้าไปใกล้เมืองที่จะโจมตี จงเสนอสันติภาพแก่เมืองนั้น 11 และหากเขายินดีรับสันติภาพและเปิดเมืองรับท่าน ให้เกณฑ์คนทั้งปวงที่อยู่ในเมืองมาทำงานหนัก และรับใช้พวกท่าน 12 แต่ถ้าเมืองนั้นไม่ยอมรับสันติภาพจากท่านโดยเลือกที่จะต่อสู้ ท่านก็จงใช้กำลังล้อมเมืองเสีย 13 และเมื่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านมอบเมืองนั้นไว้ในมือของท่าน ท่านจงใช้ดาบฆ่าชายทุกคนในเมือง 14 ท่านจงยึดพวกผู้หญิงและเด็ก สัตว์เลี้ยงและทุกสิ่งที่อยู่ในเมือง เพื่อสิ่งที่ริบได้ทั้งหมดจะเป็นของท่านเอง และท่านจะเพลิดเพลินกับของของศัตรูที่ท่านยึดได้ ซึ่งพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านได้มอบให้ท่านแล้ว 15 นี่แหละคือสิ่งที่ท่านต้องกระทำต่อเมืองทุกเมืองที่อยู่ไกลออกไปซึ่งไม่ใช่เมืองของบรรดาประชาชาติที่ท่านอาศัยอยู่นี้ 16 จงแน่ใจว่าในเมืองของชนชาติเหล่านี้ที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านมอบแก่ท่านเป็นมรดก ท่านจงอย่าปล่อยให้ผู้ใดมีลมหายใจเลย 17 แต่จงทำลายชาวฮิต ชาวอาโมร์ ชาวคานาอัน ชาวเปริส ชาวฮีว และชาวเยบุสให้ราบคาบตามที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านบัญชาไว้ 18 เพื่อพวกเขาจะไม่สอนพวกท่านให้กระทำสิ่งอันน่ารังเกียจทั้งสิ้น ตามที่พวกเขาได้ปฏิบัติต่อบรรดาเทพเจ้าของเขา เพราะเป็นการทำบาปต่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน

19 ยามที่ท่านใช้กำลังล้อมเมืองเป็นเวลานาน ท่านทำศึกสงครามเพื่อจะยึดเมืองไว้ ท่านก็อย่าใช้ขวานตัดโค่นต้นไม้ลง เพราะท่านอาจจะได้ผลไม้จากต้นมากินได้ อย่าโค่นต้นลง ต้นไม้ในทุ่งเป็นมนุษย์หรือที่ควรจะถูกท่านล้อมด้วยกำลัง 20 แต่ถ้าต้นไม้ต้นใดที่ท่านทราบว่าจะใช้เป็นอาหารไม่ได้ ท่านก็ทำลายและโค่นมันลง แล้วเอาไปใช้สร้างเชิงเทินเพื่อปีนขึ้นล้อมเมืองที่ทำศึกกับท่าน จนกว่าเมืองนั้นจะแตก

สดุดี 107

ภาค 5

บทที่ 107-150

ความเมตตานานาประการ

จงขอบคุณพระผู้เป็นเจ้า เพราะพระองค์ประเสริฐ
    เพราะความรักอันมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดกาล
ให้บรรดาผู้ที่พระผู้เป็นเจ้าไถ่ไว้แล้วกล่าวเช่นนั้นเถิด
    คือคนที่พระองค์ไถ่มาจากอำนาจของศัตรู
และรวบรวมมาจากดินแดนทั้งหลาย
    จากตะวันออกและตะวันตก
    จากเหนือและใต้

พวกเขาพเนจรอยู่ในถิ่นทุรกันดารอันแร้นแค้น
    และไม่สามารถหาทางเข้าเมืองเพื่ออาศัยอยู่ได้
ทั้งหิวและกระหาย
    ชีวิตจิตใจอ่อนระอา
พวกเขาจึงร้องต่อพระผู้เป็นเจ้าในยามลำบาก
    พระองค์ก็ได้ช่วยพวกเขาให้พ้นจากความทุกข์
พระองค์นำพวกเขามุ่งตรงไป
    จนถึงเมืองเพื่ออาศัยอยู่
ให้พวกเขาขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าในความรักอันมั่นคงของพระองค์
    ในสิ่งมหัศจรรย์ของพระองค์ที่มีต่อบรรดาบุตรของมนุษย์
เพราะพระองค์ทำให้ผู้กระหายได้รับจนพอใจ
    และมอบสิ่งดีๆ แก่ผู้หิวโหย

10 บ้างก็ตกอยู่ในความมืดมิด
    นักโทษรับทุกข์ทรมานเพราะถูกล่ามโซ่
11 เพราะพวกเขาฝ่าฝืนคำกล่าวของพระเจ้า
    และดูหมิ่นความตั้งใจขององค์ผู้สูงสุด
12 ใจของพวกเขาท้อแท้เพราะงานหนัก
    เมื่อล้มลงก็ไม่มีใครช่วย
13 พวกเขาจึงร้องต่อพระผู้เป็นเจ้าในยามลำบาก
    พระองค์ก็ได้ช่วยพวกเขาให้พ้นจากความทุกข์
14 ปลดปล่อยให้พ้นจากความมืดมิด
    และทำให้โซ่ที่ล่ามไว้ขาดออก
15 ให้พวกเขาขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าในความรักอันมั่นคงของพระองค์
    ในสิ่งมหัศจรรย์ของพระองค์ที่มีต่อบรรดาบุตรของมนุษย์
16 เพราะพระองค์พังประตูทองสัมฤทธิ์ลง
    รวมทั้งที่ได้หักดาลประตู

17 พวกโง่เขลาที่ยังคงฝ่าฝืนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
    ก็ต้องทนทุกข์ต่อไปเพราะความชั่วของตนเอง
18 พวกเขาแขยงอาหารทุกชนิด
    และเขยิบเข้าไปใกล้ประตูแดนคนตาย
19 พวกเขาจึงร้องต่อพระผู้เป็นเจ้าในยามลำบาก
    พระองค์ก็ได้ช่วยให้พ้นจากความทุกข์
20 เมื่อพระองค์บัญชา โรคที่พวกเขาเป็นอยู่ก็หายขาด
    พระองค์ยังช่วยให้พ้นจากความพินาศอีกด้วย
21 ให้พวกเขาขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าในความรักอันมั่นคงของพระองค์
    ในสิ่งมหัศจรรย์ของพระองค์ที่มีต่อบรรดาบุตรของมนุษย์
22 ให้พวกเขามอบของถวายแห่งการขอบคุณ
    และประกาศสิ่งที่พระองค์ได้กระทำด้วยเพลงแห่งความยินดี

23 บางคนออกเรือเดินทะเล
    ท่องไปในมหาสมุทรเพื่อทำการค้า
24 พวกนั้นได้เห็นสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้ากระทำ
    เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของพระองค์ในท่ามกลางทะเลลึก
25 เพียงพระองค์กล่าว ก็เกิดลมอันแรงกล้า
    ซึ่งทำให้เกิดคลื่นลูกใหญ่
26 พวกคนในเรือถูกโยนลอยสูงขึ้นสู่ท้องฟ้า ก่อนจะดำดิ่งลงสู่ห้วงลึก
    ความกล้าของพวกเขามลายไปสิ้นเมื่ออันตรายย่างกรายเข้ามา
27 พวกเขาสะดุดและโซเซไปมาราวกับคนเมา
    ความชำนาญของพวกเขาไร้ประโยชน์
28 พวกเขาจึงร้องต่อพระผู้เป็นเจ้าในยามลำบาก
    พระองค์ก็ได้ช่วยพวกเขาให้พ้นจากความทุกข์
29 พระองค์ทำให้พายุสงบ
    และคลื่นสงบนิ่ง
30 ครั้นแล้วพวกเขาก็พากันดีใจเพราะคลื่นลมสงบลง
    และพระองค์นำไปยังท่าที่พวกเขาต้องการ
31 ให้พวกเขาขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าในความรักอันมั่นคงของพระองค์
    ในสิ่งมหัศจรรย์ของพระองค์ที่มีต่อบรรดาบุตรของมนุษย์
32 ให้พวกเขายกย่องพระองค์ต่อหน้าที่ประชุมของชนชาติ
    และสรรเสริญพระองค์ในที่ประชุมของบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่

33 พระองค์ทำให้แม่น้ำกลายเป็นถิ่นทุรกันดาร
    แหล่งน้ำกลายเป็นดินที่แห้งแตกระแหง
34 ดินที่เคยอุดมกลับกลายเป็นดินเค็ม
    เพราะผู้ที่อาศัยอยู่ที่นั่นชั่วร้าย
35 พระองค์เปลี่ยนถิ่นทุรกันดารให้กลายเป็นแอ่งน้ำได้
    จากดินที่แห้งผากกลับเป็นแหล่งน้ำ
36 พระองค์ให้ผู้หิวกระหายตั้งถิ่นฐาน
    และพวกเขาก็สร้างเมืองขึ้นเพื่อพักอาศัย
37 พวกเขาหว่านเมล็ดในไร่นาและปลูกสวนองุ่น
    ซึ่งก็เก็บเกี่ยวได้ผลดี
38 ด้วยพระพรของพระองค์ เขาทั้งหลายจึงทวีจำนวนลูกหลานมากขึ้น
    และไม่ปล่อยให้ฝูงสัตว์ลดจำนวนลง

39 ครั้นเมื่อถูกลดจำนวนลงและอับอาย
    เพราะถูกบีบบังคับ เผชิญกับความวิบัติและความเศร้า
40 พระองค์ให้บรรดาผู้นำเป็นที่ถูกดูหมิ่น
    และทำให้พวกเขาพเนจรไปในถิ่นทุรกันดาร
41 แต่พระองค์ฉุดคนยากไร้ขึ้นจากความทุกข์ทรมาน
    และทำให้ครอบครัวของคนเหล่านั้นเพิ่มจำนวนมากขึ้นดั่งฝูงแกะ
42 บรรดาผู้มีความชอบธรรมเห็นแล้วก็ยินดี
    และคนชั่วทั้งปวงก็ปิดปาก

43 ผู้ใดเรืองปัญญาก็ให้เขาใส่ใจในสิ่งเหล่านี้
    ให้เขาระลึกถึงความรักอันมั่นคงของพระผู้เป็นเจ้า

อิสยาห์ 47

ความอับอายของบาบิโลน

47 โอ ธิดาพรหมจารีแห่งบาบิโลนเอ๋ย
    จงลงมานั่งในฝุ่น
นั่งบนพื้นดินโดยไม่มีบัลลังก์
    โอ ธิดาของชาวเคลเดีย
เพราะเจ้าจะไม่ได้ชื่อว่า
    อ่อนโยนและบอบบางอีกต่อไปแล้ว
เอาหินโม่แป้งมาโม่แป้ง
    เปิดผ้าคลุมหน้าของเจ้าออก
ปลดเสื้อคลุมของเจ้าออกเปิดขาของเจ้า
    และลุยน้ำไป
ความเปลือยเปล่าของเจ้าจะถูกเปิดเผย
    และความอัปยศของเจ้าจะประจักษ์
เราจะแก้แค้น
    และเราจะไม่ไว้ชีวิตผู้ใด”
องค์ผู้ไถ่ของเราเป็นองค์ผู้บริสุทธิ์ของอิสราเอล
    พระนามของพระองค์คือพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา

“โอ ธิดาของชาวเคลเดียเอ๋ย
    จงนั่งในความเงียบ และย่างเข้าสู่ความมืด
เพราะเจ้าจะไม่ได้ชื่อว่า
    เป็นราชินีแห่งอาณาจักรทั้งหลายอีกต่อไปแล้ว
เรากริ้วชนชาติของเรา
    เราดูหมิ่นผู้สืบมรดกของเรา
เรามอบพวกเขาไว้ในมือเจ้า
    เจ้าไม่มีความเมตตาต่อพวกเขา
แม้แต่คนชรา
    เจ้าก็ให้เขาแบกแอกของเจ้าที่แสนจะหนัก
เจ้าพูดว่า ‘เราจะเป็นราชินี
    ไปตลอดกาล’
ดังนั้นเจ้าไม่ได้คำนึงถึงสิ่งเหล่านี้
    หรือจดจำว่าอะไรเกิดขึ้นหลังจากนั้น

ฉะนั้น บัดนี้เจ้าจงฟังเถิด เจ้าเป็นผู้รักความสำราญ อยู่ด้วยความมั่นใจ
และคิดในใจว่า
    ‘เราเป็นผู้นั้น ไม่มีผู้ใดนอกจากเรา
เราจะไม่เป็นแม่ม่าย
    หรือทนทุกข์เรื่องการสูญเสียลูก’
สองสิ่งนี้จะเกิดขึ้นกับเจ้า
    ในอีกชั่วขณะหนึ่ง ในวันเดียว
คือทั้งการสูญเสียลูกและการเป็นแม่ม่าย
    จะเกิดขึ้นกับเจ้าอย่างจัง
ทั้งๆ ที่เจ้าใช้เวทมนตร์
    ทั้งๆ ที่คาถาของเจ้ามีอิทธิฤทธิ์มาก
10 เจ้ามั่นใจในความชั่วร้ายของเจ้า
    เจ้าพูดว่า ‘ไม่มีใครเห็นเรา’
สติปัญญาและความรู้ของเจ้าทำให้เจ้าหลงผิด
    และเจ้าพูดในใจว่า
    ‘เราคือผู้นั้น ไม่มีผู้ใดนอกจากเรา’
11 แต่ความเลวร้ายจะเกิดขึ้นกับเจ้า
    ซึ่งเจ้าจะไม่รู้ว่าจะกำจัดอย่างปาฏิหาริย์ได้อย่างไร
ความทุกข์ร้อนจะตกอยู่กับเจ้า
    ซึ่งเจ้าจะไม่สามารถชดใช้อะไรแทนได้
และสิ่งร้ายๆ ซึ่งเจ้าไม่รู้มาก่อน
    จะเกิดขึ้นกับเจ้าในทันใด

12 ยึดการเสกคาถาและเวทมนตร์ของเจ้าไว้ให้มั่น
    มันเป็นสิ่งที่เจ้าเพียรกระทำตั้งแต่เยาว์วัย
บางทีเจ้าอาจจะกระทำได้สำเร็จ
    หรือไม่ก็อาจจะทำให้คนกลัว
13 เจ้าเหนื่อยอ่อนจากคำปรึกษาที่ได้รับมากมาย
    ให้สิ่งเหล่านั้นเสนอตัวขึ้นมาช่วยเจ้าให้รอดสิ
พวกที่ใช้ฟ้าสวรรค์คำนวณ
    พวกที่เพ่งดูดาว
และได้บอกให้รู้ในแต่ละเดือนว่า
    อะไรจะเกิดขึ้นกับเจ้า

14 ดูเถิด พวกเขาเป็นเหมือน
    ฟางถูกเพลิงไหม้
เขาช่วยตัวเองจากพลังเปลวไฟ
    ก็ไม่ได้
พวกเขาเป็นเช่นนี้แหละคือ
    ไม่เป็นถ่านสำหรับให้ความอบอุ่นแก่ผู้ใด
    และไม่เป็นกองไฟให้นั่งผิงได้
15 เขาเหล่านั้นเป็นเช่นนี้ต่อเจ้า
    บรรดาผู้ที่เจ้าเพียรกระทำมาด้วยกัน
    เขาเป็นผู้ที่ร่วมงานมากับเจ้าตั้งแต่เยาว์วัย
พวกเขาพเนจรไป ต่างก็ไปตามทางของตนเอง
    ไม่มีใครช่วยเจ้าให้รอดได้

วิวรณ์ 17

หญิงแพศยานั่งอยู่บนอสุรกาย

17 ทูตสวรรค์องค์หนึ่งในเจ็ดองค์ที่มีขัน 7 ใบมาพูดกับข้าพเจ้าว่า “มานี่เถิด เราจะให้ท่านเห็นการพิพากษาลงโทษ ที่จะมีต่อหญิงแพศยาผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งนั่งอยู่บนฝั่งแม่น้ำหลายสาย เป็นหญิงที่กษัตริย์ทั้งปวงของแผ่นดินโลกได้ผิดประเวณีด้วย และคนทั้งหลายที่อาศัยอยู่บนแผ่นดินโลกก็เมามาย เพราะดื่มเหล้าองุ่นแห่งการผิดประเวณีของนาง” ครั้นแล้วทูตสวรรค์ก็พาข้าพเจ้าเข้าไปในถิ่นทุรกันดารในฝ่ายวิญญาณ ข้าพเจ้าเห็นหญิงคนหนึ่งนั่งอยู่บนอสุรกายสีแดงสด ที่มี 7 หัวกับ 10 เขา มีชื่อที่หมิ่นประมาทพระเจ้ามากมายอยู่เต็มตัวมัน หญิงผู้นั้นสวมเสื้อผ้าสีม่วงและแดงสดซึ่งประดับด้วยทองคำ เพชรนิลจินดา และไข่มุก นางถือถ้วยทองคำที่เต็มด้วยสิ่งอันน่าชังและมีมลทินแห่งการผิดประเวณีของนาง ที่หน้าผากของนางมีชื่อลึกลับที่เขียนไว้ว่า

“บาบิโลน เมืองอันยิ่งใหญ่

แม่แห่งหญิงแพศยาทั้งหลาย

และแห่งสิ่งที่น่าชังของแผ่นดินโลก”

ข้าพเจ้าเห็นหญิงผู้นั้นเมามาย เนื่องจากการดื่มโลหิตของบรรดาผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้า และโลหิตของบรรดาผู้ที่เป็นพยานเรื่องพระเยซู

เมื่อข้าพเจ้าเห็นนาง ข้าพเจ้าก็อัศจรรย์ใจยิ่งนัก แล้วทูตสวรรค์องค์นั้นก็กล่าวกับข้าพเจ้าว่า “ทำไมท่านจึงอัศจรรย์ใจเล่า เราจะอธิบายความลึกลับของหญิงผู้นั้นให้ท่านทราบ รวมทั้งอสุรกายที่มี 7 หัวกับ 10 เขาที่นางขี่ด้วย อสุรกายที่ท่านได้เห็นนั้น ครั้งหนึ่งเคยเป็นอยู่ แต่ในบัดนี้ไม่ได้เป็น มันจะผุดขึ้นมาและออกจากขุมนรก ก่อนจะลงไปสู่ความพินาศ คนทั้งหลายที่อาศัยอยู่บนแผ่นดินโลก ซึ่งไม่มีชื่อบันทึกไว้ในหนังสือแห่งชีวิตตั้งแต่การสร้างโลก ก็จะอัศจรรย์ใจเมื่อได้เห็นอสุรกายซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นอยู่ แต่ในบัดนี้ไม่ได้เป็น และมันจะปรากฏตัวขึ้นอีก ท่านจำต้องมีความเข้าใจอันประกอบด้วยสติปัญญา หัวทั้งเจ็ดคือภูเขาทั้งเจ็ดที่หญิงนั้นนั่งอยู่ 10 และหัวทั้งเจ็ดคือกษัตริย์ 7 ท่าน 5 ท่านได้สิ้นชีวิตไปแล้ว ท่านหนึ่งกำลังเป็นอยู่และอีกท่านยังไม่ได้ปรากฏ และเมื่อท่านนั้นปรากฏขึ้นแล้ว ก็จะดำรงอยู่ชั่วขณะหนึ่ง 11 อสุรกายซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นอยู่ แต่ในบัดนี้ไม่ได้เป็น คือกษัตริย์ท่านที่แปด ซึ่งเป็นหนึ่งในบรรดากษัตริย์ทั้งเจ็ด และกำลังจะล่วงไปสู่ความพินาศ 12 เขาสัตว์ทั้งสิบที่ท่านเห็น คือกษัตริย์ทั้งสิบที่ยังไม่ได้รับอาณาจักร แต่จะได้รับสิทธิอำนาจเยี่ยงกษัตริย์ด้วยกันกับอสุรกายเป็นเวลา 1 ชั่วโมง 13 กษัตริย์เหล่านั้นมีจุดประสงค์อย่างเดียวกัน และจะมอบอานุภาพกับสิทธิอำนาจที่ตนมีให้แก่อสุรกาย 14 กษัตริย์เหล่านี้จะทำสงครามต่อต้านลูกแกะ และลูกแกะจะมีชัยชนะ เพราะพระองค์เป็นพระผู้เป็นเจ้าเหนือเจ้าทั้งปวง และเป็นกษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งปวง และบรรดาผู้ที่อยู่กับพระองค์ คือผู้ที่พระองค์เรียกและเลือก และเป็นผู้ที่ภักดีต่อพระองค์”

15 ครั้นแล้วทูตสวรรค์พูดกับข้าพเจ้าว่า “แม่น้ำหลายสายที่หญิงแพศยานั่งอยู่ซึ่งท่านเห็นก็คือ ชนชาติ มวลชน ประเทศ และภาษาต่างๆ 16 อสุรกายและเขาสัตว์ทั้งสิบที่ท่านเห็นนั้นจะเกลียดหญิงแพศยา พวกเขาจะยึดทุกอย่างที่นางมี และทำให้ร่างของนางเปลือยเปล่า และจะกัดกินเนื้อของนาง อีกทั้งเอาไฟเผานางด้วย 17 เพราะว่าพระเจ้าได้ดลใจให้เขาเหล่านั้นกระทำตามจุดประสงค์ของพระองค์จนบรรลุผล โดยการให้อาณาจักรของเขาทั้งปวงแก่อสุรกาย จนถึงเวลาที่สิ่งต่างๆ ซึ่งพระเจ้าได้กล่าวไว้จะเกิดขึ้นครบอย่างบริบูรณ์ 18 หญิงที่ท่านเห็น คือเมืองอันยิ่งใหญ่ที่ปกครองเหนือกษัตริย์ทั้งปวงของแผ่นดินโลก”

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation