M’Cheyne Bible Reading Plan
ราหับและสายสืบ
2 โยชูวาบุตรของนูนได้ส่งชาย 2 คนจากค่ายชิทธีมไปเป็นสายสืบอย่างลับๆ โดยกล่าวว่า “จงไปสืบความในแผ่นดินโน้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เมืองเยรีโค” เขาทั้งสองก็ไป เมื่อมาถึงบ้านของหญิงแพศยาคนหนึ่งชื่อราหับ เขาก็ค้างแรมที่นั่น 2 มีคนไปบอกให้กษัตริย์แห่งเยรีโคทราบว่า “ดูเถิด คืนนี้มีชาวอิสราเอลเข้ามาถึงที่นี่เพื่อสืบความลับในแผ่นดิน” 3 แล้วกษัตริย์เมืองเยรีโคให้คนไปบอกราหับว่า “จงพาตัวชายที่มาหาเจ้า และก็ได้เข้าไปในบ้านเจ้าออกมา เพราะพวกเขามาเพื่อสอดแนมทั่วทั้งแผ่นดิน” 4 แต่หญิงผู้นั้นซ่อนตัวชายทั้งสองไว้ และนางตอบว่า “เป็นความจริงที่ชายทั้งสองมาหาข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าเขามาจากไหน 5 เมื่อใกล้เวลาปิดประตูเมืองตอนพลบค่ำ พวกเขาก็จากไปแล้ว ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าเขาไปไหน รีบตามไปเถิด ท่านอาจจะตามตัวพวกเขาทัน” 6 แต่นางพาพวกเขาขึ้นไปที่หลังคาก่อนหน้านั้นแล้ว และซ่อนตัวพวกเขาไว้ใต้ป่านกลีบที่นางวางเรียงบนหลังคา 7 ดังนั้นชายพวกนั้นจึงรีบไล่ตามสายสืบไป ตามทางไปแม่น้ำจอร์แดน ไกลถึงลำน้ำที่ลุยข้ามได้ ทันทีที่ผู้ไล่ตามออกไป ประตูเมืองก็ปิด
8 ก่อนที่ชายทั้งสองจะเอนกายลง นางก็ขึ้นไปที่หลังคา 9 และพูดกับเขาว่า “เราทราบแล้วว่า พระผู้เป็นเจ้าได้มอบแผ่นดินนี้ให้แก่พวกท่าน ซึ่งทำให้พวกเราหวาดกลัวท่านนัก และทำให้ผู้อยู่อาศัยทุกคนในแผ่นดินตกใจกลัวต่อหน้าท่าน 10 พวกเราได้ยินมาว่าพระผู้เป็นเจ้าทำให้น้ำในทะเลแดงแห้งเหือดต่อหน้าท่านอย่างไรเมื่อท่านออกจากประเทศอียิปต์ และสิ่งที่ท่านกระทำต่อสิโหนและโอกกษัตริย์ทั้งสองของชาวอาโมร์ที่โพ้นแม่น้ำจอร์แดน คือท่านได้ตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะทำลายล้างทุกชีวิตของพวกเขา 11 ทันทีที่พวกเราได้ยินเรื่องราวเหล่านั้น เราก็ตกใจกลัว และเป็นเพราะท่าน ความกล้าของพวกเราทุกคนจึงหายไปสิ้น เพราะว่า พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน พระองค์เป็นพระเจ้าของฟ้าสวรรค์เบื้องบนและบนโลกเบื้องล่าง 12 ฉะนั้นบัดนี้ โปรดสาบานต่อข้าพเจ้าในพระนามพระผู้เป็นเจ้าว่า ท่านจะแสดงความกรุณาต่อตระกูลของข้าพเจ้า อย่างที่ข้าพเจ้าได้แสดงความกรุณาต่อท่าน และข้าพเจ้าขอหลักประกันที่แน่ชัดว่า 13 พวกท่านจะไว้ชีวิตบิดามารดา พี่น้องชายหญิงของข้าพเจ้า และทุกคนที่เกี่ยวดองกับพวกเขา และพวกท่านจะช่วยเราทั้งหลายให้พ้นจากความตาย” 14 และชายทั้งสองพูดกับนางว่า “ชีวิตของเราเพื่อชีวิตของเจ้า แม้จะถึงแก่ความตาย ถ้าเจ้าไม่บอกเรื่องของเราให้ใครฟัง เมื่อพระผู้เป็นเจ้ามอบแผ่นดินนี้ให้แก่พวกเรา เราจะแสดงความกรุณาและความสัตย์ต่อเจ้า”
15 ดังนั้น นางจึงเอาเชือกหย่อนเขาทั้งสองลงทางหน้าต่าง ด้วยว่า บ้านที่นางอาศัยอยู่นั้นเป็นส่วนหนึ่งของกำแพงเมือง ฉะนั้นนางอาศัยอยู่ในกำแพง 16 นางบอกชาย 2 คนว่า “ไปที่แถบภูเขา เพื่อผู้ไล่ตามจะหาท่านไม่พบ ซ่อนตัวอยู่ที่นั่น 3 วัน จนกว่าพวกเขาจะกลับ แล้วท่านจึงจะเดินทางต่อไปได้” 17 ชายทั้งสองพูดกับนางว่า “คำสาบานที่เจ้าให้เราสาบานไว้ จะผูกมัดเราไม่ได้ 18 นอกจากว่า เจ้าจะทำตามนี้คือเวลาพวกเราเข้ามาในดินแดนนี้ เจ้าจะต้องมีเชือกสีแดงสดผูกไว้ที่หน้าต่างบานเดียวกับที่เจ้าให้เราปีนลงไป และเจ้าต้องพาพ่อแม่ พี่น้องชายหญิง และทุกคนในตระกูลของเจ้ามาอยู่รวมกันในบ้านเจ้า 19 ถ้าผู้ใดออกจากบ้านไปที่ถนน เขาจะต้องรับผิดชอบการตายของเขาเอง เราไม่รับผิดชอบ แต่ถ้าผู้ที่แม้จะอยู่กับเจ้าในบ้านแต่ยังได้รับอันตราย พวกเราก็จะรับผิดชอบการตายของเขา 20 แต่ถ้าเจ้าบอกเรื่องของเรากับผู้ใด เราก็จะพ้นจากคำสาบานที่เจ้าให้เราสาบานไว้” 21 นางตอบว่า “ตกลง ขอให้เป็นไปตามนั้น” แล้วนางให้เขาทั้งสองไป เขาก็จากไป และนางผูกเชือกสีแดงสดไว้ที่หน้าต่าง
22 ชาย 2 คนจากไปและขึ้นเขาไป เขาอยู่ที่นั่น 3 วันจนกระทั่งผู้ตามล่ากลับไปแล้ว บรรดาผู้ตามล่าค้นหาตลอดทางก็ไม่พบสิ่งใด 23 ชาย 2 คนจึงกลับไป เขาลงมาจากเขาและข้ามน้ำกลับไปหาโยชูวาบุตรของนูน และเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ท่านฟัง 24 เขาทั้งสองพูดกับโยชูวาว่า “พระผู้เป็นเจ้าได้มอบแผ่นดินทั้งหมดไว้ในมือพวกเราอย่างแน่นอน นอกจากนั้นผู้อยู่อาศัยทั้งปวงก็กำลังใจเสียเพราะเรา”
คำอธิษฐานขอความเมตตา
บทเพลงบรรเลงในขบวนแห่ขณะเคลื่อนขึ้นสู่เนินเขา
1 ข้าพเจ้าทอดสายตาไปทางพระองค์
ผู้สถิตบนบัลลังก์ในฟ้าสวรรค์
2 ดูเถิด นัยน์ตาของบรรดาผู้รับใช้
แลจับอยู่ที่มือเจ้านายของเขา
และนัยน์ตาของสาวรับใช้
ที่จับจ้องมือนายหญิงของนางฉันใด
สายตาของเราก็ทอดไปทางพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราฉันนั้น
จนกว่าพระองค์จะเมตตาเรา
3 โปรดเมตตาพวกเราเถิด พระผู้เป็นเจ้า โปรดเมตตาพวกเราด้วย
เพราะเราถูกดูหมิ่นมามากพอแล้ว
4 ชีวิตพวกเราอดทนต่อการเยาะเย้ยของพวกไม่เคยลำบาก
และการดูหมิ่นของคนยโสมามากแล้ว
พระเจ้าเป็นผู้คุ้มครองชนชาติของพระองค์
บทเพลงบรรเลงในขบวนแห่ขณะเคลื่อนขึ้นสู่เนินเขา ของดาวิด
1 ถ้าหากว่าพระผู้เป็นเจ้าไม่ได้อยู่ฝ่ายเรา
ชาวอิสราเอลจงกล่าวต่อไปเถิด
2 ถ้าหากว่าพระผู้เป็นเจ้าไม่ได้อยู่ฝ่ายเรา
เวลาคนโจมตีเรา
3 เขาคงได้กลืนกินพวกเราไปแล้วทั้งเป็น
ยามที่ความกริ้วพลุ่งเข้าใส่พวกเรา
4 น้ำคงพัดพาเราไหลไป
กระแสน้ำคงซัดเอาตัวเราจนมิดไปแล้ว
5 กระแสน้ำอันเชี่ยวกราก
คงซัดเราจนมิดไปแล้ว
6 สรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า
พระองค์ไม่ได้ให้เราตกเป็นเหยื่อในปากใคร
7 พวกเราหนีรอดพ้นมาได้ดั่งนก
หลีกหนีจากกับดักของนายพราน
เมื่อกับดักหักไป
เราก็หนีรอดพ้นมาได้
8 ความช่วยเหลือที่พวกเราได้รับอยู่ภายใต้พระนามของพระผู้เป็นเจ้า
ผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก
คนของพระเจ้าไม่หวั่นไหว
บทเพลงบรรเลงในขบวนแห่ขณะเคลื่อนขึ้นสู่เนินเขา
1 บรรดาผู้ไว้วางใจในพระผู้เป็นเจ้าเป็นเหมือนภูเขาศิโยน
ที่ไม่ขยับเขยื้อน แต่ตั้งมั่นอยู่ตลอดกาล
2 ภูเขาโอบล้อมอยู่รอบเยรูซาเล็มฉันใด
พระผู้เป็นเจ้าก็จะโอบล้อมคนของพระองค์ฉันนั้น
นับแต่บัดนี้ไปตลอดกาล
3 อำนาจของผู้ปกครองที่ชั่วร้ายจะไม่คงอยู่ในแผ่นดินที่ถูกมอบให้เป็นของบรรดาผู้มีความชอบธรรม
เพื่อไม่ให้ผู้มีความชอบธรรมปฏิบัติชั่ว
4 โอ พระผู้เป็นเจ้า โปรดมอบสิ่งดีๆ ให้เกิดแก่คนดี
รวมถึงบรรดาผู้มีความชอบธรรมในจิตใจเถิด
5 ส่วนพวกที่หันเข้าหาทางเคี้ยวคดของตน
พระผู้เป็นเจ้าจะให้พวกเขาจบชีวิตลงพร้อมๆ กับพวกที่ทำความชั่ว
ขอให้อิสราเอลมีสันติสุขเถิด
ความรอดพ้นของศิโยน
62 เพื่อเห็นแก่ศิโยน ข้าพเจ้าจะไม่นิ่งเงียบ
และเพื่อเยรูซาเล็ม ข้าพเจ้าจะไม่นิ่งเฉย
จนกว่าความชอบธรรมของเมืองจะก้าวออกไปดุจความสว่าง
และความรอดพ้นของเมืองจะเป็นดุจคบไฟที่ลุกอยู่
2 บรรดาประชาชาติจะเห็นความชอบธรรมของเจ้า
และกษัตริย์ทั้งปวงจะเห็นความสุกสว่างของเจ้า
และเจ้าจะได้รับเรียกด้วยชื่อใหม่
ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าจะเป็นผู้ให้จากปากของพระองค์
3 เจ้าจะเป็นมงกุฎแห่งความงามในมือของพระผู้เป็นเจ้า
และราชมงกุฎในมือของพระเจ้าของเจ้า
4 เจ้าจะไม่ถูกเรียกว่าเป็น “ผู้ถูกทอดทิ้ง” อีกต่อไป
และแผ่นดินของเจ้าจะไม่ถูกเรียกว่าเป็น “ที่รกร้าง”
แต่เจ้าจะได้รับเรียกว่า “เฮฟซีบาห์”[a]
และแผ่นดินของเจ้าจะได้รับเรียกว่า “เบอูลาห์”[b]
เพราะพระผู้เป็นเจ้าชื่นชอบในตัวเจ้า
และแผ่นดินของเจ้าจะได้สมรส
5 ด้วยว่า เท่าที่ชายหนุ่มแต่งงานกับหญิงสาวเช่นไร
บรรดาบุตรชายของเจ้า[c]จะแต่งงานกับเจ้าเช่นนั้น
และเท่าที่เจ้าบ่าวชื่นชมยินดีในตัวเจ้าสาวเช่นไร
พระเจ้าของเจ้าก็จะชื่นชมยินดีในตัวเจ้าเช่นนั้น
6 โอ เยรูซาเล็มเอ๋ย เราได้วางยามไว้บนกำแพงเมืองของเจ้าแล้ว
พวกเขาจะไม่เงียบงันอีกเลยตลอดทั้งวันและคืน
พวกเจ้าที่ระลึกถึงพระผู้เป็นเจ้า
จงอย่าพักผ่อน
7 และไม่ยอมให้พระองค์พักผ่อน
จนกว่าพระองค์สถาปนาเยรูซาเล็ม
และทำให้เยรูซาเล็มเป็นที่สรรเสริญในโลก
8 พระผู้เป็นเจ้าได้ปฏิญาณด้วยมือขวา
และด้วยอานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ว่า
“เราจะไม่ให้พวกศัตรูของเจ้าได้รับธัญพืช
ของเจ้าเป็นอาหารอีกแล้ว
และชาวต่างชาติจะไม่ดื่มเหล้าองุ่นของเจ้า
ซึ่งเจ้าได้ออกแรงสกัดเอง
9 แต่บรรดาผู้เก็บเกี่ยวจะเป็นผู้รับประทาน
และสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า
และบรรดาผู้เก็บรวบรวมผลจะดื่ม
ในลานของสถานที่บริสุทธิ์ของเรา”
10 จงผ่านเข้าไป จงผ่านเข้าประตูเมือง
จงเตรียมทางให้ประชาชน
จงสร้าง จงสร้างถนนใหญ่
อย่าให้มีก้อนศิลาขวางทาง
จงยกธงชัยให้บรรดาชนชาติเห็น
11 ดูเถิด พระผู้เป็นเจ้าได้ประกาศ
ถึงสุดมุมโลก
จงบอกธิดาแห่งศิโยนว่า
“ดูเถิด ความรอดพ้นของเจ้ามาแล้ว[d]
ดูเถิด รางวัลของพระองค์อยู่กับพระองค์
และพระองค์จะตอบสนอง”
12 และพวกเขาจะได้รับเรียกว่า “ประชาชนที่บริสุทธิ์
ผู้ที่ได้รับการไถ่ของพระผู้เป็นเจ้า”
และเจ้าจะได้รับเรียกว่า “เป็นที่ปรารถนา
เมืองที่ไม่ถูกทอดทิ้ง”
พระเยซูให้โอวาทแก่สาวก 12 คนก่อนออกไปประกาศ
10 พระเยซูเรียกสาวกทั้งสิบสองของพระองค์มา แล้วก็ได้ให้สิทธิอำนาจในการขับพวกวิญญาณร้ายออก และรักษาโรคภัยไข้เจ็บทุกชนิดได้ 2 อัครทูตทั้งสิบสองมีชื่อดังนี้ คนแรกชื่อซีโมนมีอีกชื่อหนึ่งว่า เปโตร กับอันดรูว์น้องชายของเขา ยากอบบุตรของเศเบดี ยอห์นน้องชายของยากอบ 3 ฟีลิป บาร์โธโลมิว โธมัส มัทธิวคนเก็บภาษี ยากอบบุตรของอัลเฟอัส ธัดเดอัส 4 ซีโมนผู้เป็นพรรคชาตินิยม และยูดาสอิสคาริโอทผู้ทรยศพระองค์
5 ก่อนที่พระเยซูจะส่งสาวกเหล่านี้ทั้งสิบสองคนออกไป พระองค์สั่งพวกเขาว่า “อย่าไปในเขตแดนของบรรดาคนนอก และอย่าเข้าไปในเมืองของชาวสะมาเรีย[a] 6 แต่ควรไปยังชนชาติอิสราเอลซึ่งเสมือนฝูงแกะที่หลงหาย 7 เมื่อพวกเจ้าไป จงประกาศว่า ‘อาณาจักรแห่งสวรรค์ใกล้จะมาถึงแล้ว’ 8 จงรักษาคนป่วยไข้ สั่งให้คนตายฟื้นคืนชีวิต รักษาคนโรคเรื้อน ขับพวกมาร[b] ในเมื่อเจ้าได้รับมาโดยเปล่า เจ้าก็จงให้โดยเปล่า 9 อย่านำทองคำ เงิน หรือทองแดงใส่กระเป๋าติดตัวไป 10 หรือนำย่ามไปในการเดินทาง แม้แต่เสื้อสำรองตัวใน รองเท้า หรือไม้เท้า เพราะคนงานสมควรได้รับค่าจ้าง 11 และเมื่อเจ้าเข้าไปในหมู่บ้านหรือเมืองใดก็ตาม จงสืบหาถึงคนดี และอยู่ที่นั่นจนกว่าเจ้าจะจากไป 12 เมื่อเจ้าเข้าไปในบ้าน ก็จงกล่าวคำทักทาย 13 และถ้าบ้านนั้นยินดีต้อนรับ ก็จงให้คำทักทายแห่งสันติสุขของเจ้ามาสู่บ้านนั้น แต่ถ้าไม่ยินดีต้อนรับ ก็ให้คำทักทายแห่งสันติสุขกลับมาสู่เจ้า 14 ใครก็ตามที่ไม่ต้อนรับหรือฟังคำของเจ้า ก็จงสลัดฝุ่นออกจากเท้าของเจ้าเวลาออกไปจากบ้านหรือเมืองนั้น 15 เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า เมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์[c]จะทนได้มากกว่าเมืองนั้นในวันพิพากษา
16 เราส่งพวกเจ้าออกไปเช่นบรรดาแกะท่ามกลางเหล่าสุนัขป่า ฉะนั้นจงเฉลียวฉลาดเหมือนงูและไม่มีภัยเหมือนนกพิราบ 17 แต่จงระวังพวกมนุษย์ เพราะเขาจะมอบตัวเจ้าให้ศาลต่างๆ แล้วเฆี่ยนพวกเจ้าตามศาลาที่ประชุมของเขา 18 พวกเจ้าจะถูกพาตัวไปยืนต่อหน้าเหล่าผู้ว่าราชการและบรรดากษัตริย์ก็เพราะเรา เพื่อเป็นพยานแก่เขาและบรรดาคนนอก 19 เมื่อพวกเขามอบตัวเจ้าไปก็อย่ากังวลว่าเจ้าจะพูดอย่างไรหรือพูดอะไร เพราะเจ้าจะได้รับคำที่เจ้าจะพูดในเวลานั้น 20 เพราะว่าไม่ใช่ตัวเจ้าเองที่พูด แต่พระวิญญาณของพระบิดาของเจ้าเป็นผู้กล่าวผ่านเจ้า 21 บรรดาพี่น้องต่างคนก็ต่างจะส่งตัวกันและกันไปประหาร พ่อมอบลูก และบรรดาลูกๆ จะต่อต้านพ่อแม่ และเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย 22 คนทั้งปวงจะเกลียดชังเจ้า เหตุเพราะชื่อของเรา แต่คนที่ยืนหยัดได้จนถึงที่สุดจะได้รับชีวิตที่รอดพ้น 23 เมื่อใดก็ตามที่พวกเขากดขี่ข่มเหงพวกเจ้าในเมืองนี้ จงหนีไปยังเมืองอื่น เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า เจ้าจะไปไม่ได้ทั่วทุกเมืองในอิสราเอลก่อนบุตรมนุษย์จะมา
24 ศิษย์จะไม่เหนือไปกว่าอาจารย์ และทาสรับใช้ไม่เหนือไปกว่านาย 25 อย่างมากศิษย์ก็จะเป็นดังเช่นอาจารย์ และทาสรับใช้ดังเช่นนายเท่านั้น ถ้าคนเรียกเจ้าบ้านว่า เบเอลเซบูล เขาจะเรียกลูกบ้านแย่กว่านั้นอีกเพียงไร
26 ฉะนั้น อย่ากลัวพวกเขาเลย เพราะไม่มีสิ่งใดที่ปิดบังไว้แล้วจะไม่ถูกเปิดเผยออก และที่ซ่อนไว้แล้วจะไม่แสดงให้เป็นที่รับรู้ 27 อะไรที่เราบอกเจ้าในที่มืด เจ้าต้องพูดในที่แจ้ง และอะไรที่เจ้าได้ยินกระซิบในหู เจ้าต้องประกาศจากดาดฟ้าหลังคาบ้าน 28 อย่ากลัวพวกที่ฆ่าได้แต่เพียงร่างกายแต่ไม่สามารถฆ่าจิตวิญญาณได้ จงกลัวพระองค์ผู้สามารถทำลายทั้งจิตวิญญาณและร่างกายในนรกได้ 29 นกกระจอก 2 ตัวขายได้ในราคาเพียง 1 บาทมิใช่หรือ ถึงกระนั้น ไม่มีนกสักตัวเดียวจะตกลงพื้นได้ โดยที่พระบิดาของเจ้าไม่อนุญาต 30 แม้แต่ผมบนศีรษะของเจ้า พระเจ้าก็นับไว้แล้ว 31 ฉะนั้นอย่ากลัวเลย เจ้ามีค่ายิ่งกว่านกกระจอกหลายตัว 32 ดังนั้นทุกคนที่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราจะยอมรับเขาต่อหน้าพระบิดาของเราผู้อยู่ในสวรรค์ด้วย 33 แต่ใครก็ตามที่ไม่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราก็จะไม่ยอมรับเขาต่อหน้าพระบิดาของเราผู้อยู่ในสวรรค์เช่นกัน
34 อย่าคิดว่าเรามาเพื่อนำสันติสุขมาสู่โลก เราไม่ได้มาเพื่อนำสันติสุขแต่นำดาบมา 35 เรามาเพื่อทำให้ ‘ลูกชายต่อต้านพ่อของเขา ลูกสาวต่อต้านแม่ และลูกสะใภ้ต่อต้านแม่สามี 36 และสมาชิกของคนในครอบครัวจะเป็นศัตรูของเขาเอง’[d]
37 ผู้ที่รักพ่อแม่มากกว่ารักเรา และรักลูกชายลูกสาวมากกว่ารักเรา ก็ไม่เหมาะที่จะเป็นสาวกของเรา 38 ผู้ที่ไม่แบกไม้กางเขนของตนและติดตามเราไป ก็ไม่เหมาะที่จะเป็นสาวกของเรา 39 ผู้ที่พบชีวิตของตนจะสูญเสียชีวิตนั้นไป และผู้ที่สูญเสียชีวิตของตนเพื่อเราจะรักษาชีวิตไว้ได้
40 ผู้ที่รับพวกเจ้าก็รับเรา และผู้ที่รับเราก็รับพระองค์ผู้ส่งเรามา 41 ผู้ที่รับผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าเพราะเป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า ก็จะได้รับรางวัลอย่างที่ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าพึงได้รับ และผู้ที่รับผู้มีความชอบธรรมเพราะเขามีความชอบธรรม ก็จะได้รับรางวัลอย่างผู้มีความชอบธรรมพึงได้รับ 42 เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า ใครก็ตามที่ให้เพียงน้ำเย็น 1 แก้วแก่ผู้หนึ่งในบรรดาผู้น้อยเหล่านี้ เพราะเขาเป็นสาวกของเรา ผู้นั้นจะไม่สูญเสียรางวัลของเขา”
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation