Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
ผู้วินิจฉัย 14

งานแต่งของแซมสัน

14 แซมสันลงไปที่เมืองทิมนาห์ และได้เห็นสาวชาวฟีลิสเตียคนหนึ่งในเมืองนั้น เขาก็กลับมาบอกพ่อแม่ของเขาว่า “ลูกไปพบสาวชาวฟีลิสเตียในเมืองทิมนาห์ ช่วยไปขอนางมาเป็นเมียลูกหน่อย”

พ่อแม่ของเขาพูดว่า “ไม่มีผู้หญิงท่ามกลางพวกลูกสาวของญาติลูกแล้วหรือ หรือท่ามกลางชนเผ่าของเราแล้วหรือ ลูกถึงต้องไปหาเมียจากชาวฟีลิสเตียที่ไม่เคยเข้าพิธีขลิบ”

แซมสันพูดกับพ่อว่า “ไปขอเธอให้กับลูกเถอะ เพราะเธอเป็นที่ถูกใจลูกมาก” พ่อแม่ของแซมสันไม่รู้ว่าพระยาห์เวห์ทำให้เกิดเรื่องนี้ เพราะพระองค์หาช่องที่จะสู้รบกับชาวฟีลิสเตีย ซึ่งมีอำนาจเหนือชาวอิสราเอลอยู่

ดังนั้นแซมสันและพ่อแม่ของเขาจึงเดินทางไปทิมนาห์ เมื่อมาถึงไร่องุ่น ทันใดนั้นมีสิงโตหนุ่มตัวหนึ่งคำรามกระโจนเข้าใส่แซมสัน พระวิญญาณของพระยาห์เวห์ก็พุ่งเข้าสิงแซมสัน เขาฉีกสิงโตออกเหมือนฉีกลูกแพะด้วยมือเปล่า แต่เขาไม่ได้บอกสิ่งที่เขาทำให้พ่อแม่รู้

แซมสันได้ไปพูดกับหญิงคนนั้น เธอทำให้เขาถูกใจมาก หลังจากนั้นไม่นาน แซมสันได้กลับมาเพื่อแต่งงานกับเธอ เขาได้แวะไปดูซากสิงโต และก็แปลกใจ เมื่อมีฝูงผึ้งอยู่ในซากสิงโตนั้นและมีน้ำผึ้งด้วย เขาจึงกวาดน้ำผึ้งมาไว้ในมือเดินกินมาตามทาง จนเจอพ่อแม่ของเขา เขาจึงแบ่งให้พ่อแม่กินด้วย แต่ไม่ได้เล่าว่าเขาได้น้ำผึ้งมาจากซากสิงโต

10 พ่อของเขาได้ลงไปหาหญิงนั้น และแซมสันก็ได้จัดงานเลี้ยงใหญ่โตที่นั่น เหมือนกับที่ชายหนุ่มคนอื่นๆเขาทำกัน 11 เมื่อชาวฟีลิสเตียเห็นแซมสันจัดงานเลี้ยง พวกเขาก็ได้ส่งผู้ชายสามสิบคนมาอยู่เป็นเพื่อนเขา

12 แซมสันพูดกับชายสามสิบคนนั้นว่า “ให้ข้าเล่าปริศนาให้พวกเจ้าสักข้อหนึ่ง ถ้าพวกเจ้าตอบได้ภายในเจ็ดวันของงานเลี้ยงฉลอง ข้าจะให้เสื้อผ้าลินินสามสิบชุด และเสื้อผ้าใส่เที่ยวงานอีกสามสิบชุด 13 แต่ถ้าพวกเจ้าไม่สามารถอธิบายให้กับข้าได้ ก็ต้องให้เสื้อผ้าลินินสามสิบชุด และเสื้อใส่เที่ยวงานสามสิบชุดกับข้า” ชายเหล่านั้นก็พูดกับเขาว่า “เล่าปริศนาของเจ้าให้พวกเราฟังสิ”

14 แซมสันก็เล่าว่า

“จากตัวที่กิน มีของกินออกมา
    จากตัวที่แข็งแรง มีของหวานออกมา”

แต่ผ่านไปสามวันแล้ว พวกเขาก็ยังแก้ปริศนานี้ไม่ได้

15 ในวันที่สี่[a] พวกเขาได้ไปขอร้องเมียของแซมสันว่า “ไปเกลี้ยกล่อมผัวของเธอให้แก้คำปริศนานั้นกับพวกเราซะ ไม่อย่างนั้นเราจะเผาบ้านเธอและบ้านของพ่อเธอด้วย เธอเชิญพวกเรามาเพื่อทำให้พวกเราจนลงหรือยังไง”

16 เมียของแซมสันจึงซบบนแซมสันและร้องไห้ ต่อว่าเขาว่า “เธอเกลียดฉัน เธอไม่รักฉัน เธอถึงได้ทายคำปริศนาให้กับชาวเมืองของฉัน และเธอก็ไม่เคยแก้คำปริศนานั้นให้ฉันฟัง” แซมสันตอบภรรยาว่า “ดูสิ ขนาดพ่อแม่ฉัน ฉันยังไม่บอก แล้วจะบอกเธอได้ยังไง”

17 นางก็เลยซบแซมสันร้องไห้ตลอดเจ็ดวันที่เขาเลี้ยงฉลองกัน และในวันที่เจ็ดแซมสันก็แก้ปริศนาให้เธอฟัง เพราะนางกวนใจเขาเสียเหลือเกิน และนางก็ได้อธิบายปริศนานั้นให้กับคนของนาง 18 พวกผู้ชายของเมืองนั้น ตอบกับแซมสัน ในวันที่เจ็ดก่อนที่ดวงอาทิตย์จะตกดินว่า

“จะมีอะไรหวานกว่าน้ำผึ้งหรือ
    และมีอะไรแข็งแรงกว่าสิงโตหรือ”

แซมสันพูดกับพวกเขาว่า

“ถ้าเจ้าไม่ได้เอาแม่โคของเราไปไถนา
    เจ้าก็คงแก้ปริศนาเราไม่ได้”

19 พระวิญญาณของพระยาห์เวห์ได้พุ่งเข้าสิงแซมสัน เขาไปที่อัชเคโลน และฆ่าชาวเมืองผู้ชายที่นั่นสามสิบคน และยึดเครื่องเทียมม้าและเอาชุดเที่ยวงานไปให้กับคนที่แก้ปริศนาของเขา เขาจึงกลับบ้านพ่อของเขาด้วยความโกรธจัด 20 และเมียของแซมสันก็ถูกยกไปให้กับเพื่อนเจ้าบ่าวแทน

กิจการ 18

เปาโลในเมืองโครินธ์

18 หลังจากนั้นเปาโลก็ออกจากเมืองเอเธนส์ไปที่เมืองโครินธ์ เขาได้พบกับคนยิวชื่อ อาควิลลาที่เกิดในแคว้นปอนทัส อาควิลลากับภรรยาที่ชื่อ ปริสสิลลา เพิ่งมาจากอิตาลี เพราะจักรพรรดิคลาวดิอัส[a] สั่งให้ชาวยิวทุกคนออกจากกรุงโรม เปาโลไปหาพวกเขา เพราะเปาโลและอาควิลลาเป็นช่างเย็บหนังเหมือนกัน เปาโลก็เลยทำงานอยู่กับพวกเขา ทุกวันหยุดทางศาสนา เปาโลก็จะไปพูดโต้ตอบกันในที่ประชุมชาวยิว เพื่อพยายามชักชวนชาวยิวและชาวกรีกให้มาเชื่อในพระเยซู

เมื่อสิลาสและทิโมธีมาจากแคว้นมาซิโดเนีย เปาโลทุ่มเทเวลาทั้งหมดของเขาประกาศพระคำและพยายามจะให้ชาวยิวรู้ว่า พระเยซูคือกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ เมื่อพวกนั้นต่อต้านและพูดจาหยาบคายกับเปาโล เปาโลก็สะบัดเสื้อผ้า[b] ของเขา และพูดว่า “ชีวิตใครก็รับผิดชอบกันเอาเองก็แล้วกัน ผมทำดีที่สุดแล้ว ต่อไปนี้ผมจะไปหาคนที่ไม่ใช่ยิว” เปาโลก็ออกจากที่ประชุมชาวยิวตรงไปที่บ้านของชายชื่อ ทิทิอัสยุสทัส ซึ่งไม่ใช่คนยิว แต่นับถือพระเจ้า บ้านของเขาอยู่ถัดจากที่ประชุมชาวยิว คริสปัส ซึ่งเป็นหัวหน้าที่ประชุมชาวยิว พร้อมกับสมาชิกในครอบครัวทุกคน ก็หันมาไว้วางใจในองค์เจ้าชีวิต ชาวโครินธ์อีกจำนวนมากที่ได้ฟังเปาโลพูดก็ได้ไว้วางใจด้วย และเข้าพิธีจุ่มน้ำ

คืนหนึ่งองค์เจ้าชีวิตพูดกับเปาโลในนิมิตว่า “ไม่ต้องกลัว ประกาศต่อไป อย่าเงียบเฉย 10 เพราะเราอยู่กับเจ้า จะไม่มีใครเข้ามาจู่โจมทำร้ายเจ้าได้ เพราะเรามีคนอยู่มากมายในเมืองนี้” 11 เปาโลสั่งสอนพระคำของพระเจ้าอยู่ที่เมืองนั้นต่อไปอีกหนึ่งปีครึ่ง

เปาโลถูกนำตัวไปพบกัลลิโอ

12 ตอนที่กัลลิโอ[c] เป็นผู้ว่าแคว้นอาคายา ชาวยิวรวมตัวกันเข้าทำร้ายเปาโล และพาเขาไปที่ศาล 13 พวกเขาบอกว่า “ชายคนนี้ชักชวนให้คนไปกราบไหว้พระเจ้าในทางที่ขัดกับกฎของเรา” 14 พอเปาโลจะอ้าปากพูด กัลลิโอก็พูดกับชาวยิวว่า “ถ้าเรื่องนี้มันเกี่ยวกับความผิดหรือคดีร้ายแรง เราก็จะฟังพวกท่าน 15 แต่นี่มันเป็นเรื่องโต้แย้งเกี่ยวกับคำสอนต่างๆ ชื่อต่างๆและกฎปฏิบัติของพวกท่าน ไปจัดการกันเอาเองก็แล้วกัน เราไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับเรื่องอย่างนี้” 16 แล้วกัลลิโอก็ไล่คนทั้งหมดออกไปจากศาล

17 พวกฝูงชนจึงไปคว้าตัวโสสเธเนส ซึ่งเป็นหัวหน้าที่ประชุมชาวยิวมาทุบตีต่อหน้าศาล แต่กัลลิโอก็ไม่สนใจใยดีอะไรทั้งสิ้น

เปาโลกลับถึงเมืองอันทิโอก

18 เปาโลอยู่ที่นั่นต่อไปอีกหลายวัน แล้วจึงลาพวกพี่น้องลงเรือไปที่แคว้นซีเรีย ปริสสิลลาและอาควิลลาก็ไปกับเขาด้วย แต่ก่อนที่เปาโลจะจากไป เขาโกนหัว[d] เพราะได้สาบานตนเอาไว้กับพระเจ้าที่เมืองเคนเครีย 19 เมื่อพวกเขามาถึงเมืองเอเฟซัส เปาโลก็ปล่อยปริสสิลลาและอาควิลลาไว้ที่นั่น ในระหว่างที่เปาโลอยู่ที่นั่น เขาเข้าไปในที่ประชุมชาวยิว และพูดโต้ตอบกับพวกชาวยิวในนั้น 20 เมื่อพวกนั้นขอร้องให้เปาโลพักอยู่ที่นั่นต่อไปอีก เปาโลไม่ยอม 21 แต่ก่อนที่เขาจะจากไปเขาได้พูดว่า “ถ้าเป็นความต้องการของพระเจ้า ผมจะกลับมาหาพวกคุณอีก” แล้วเปาโลก็นั่งเรือไปจากเมืองเอเฟซัส

22 เมื่อมาถึงเมืองซีซารียา เปาโลไปทักทายหมู่ประชุมของพระเจ้าที่เมืองเยรูซาเล็มแล้วจึงลงไปที่เมืองอันทิโอก 23 หลังจากอยู่ที่นั่นระยะหนึ่ง เปาโลก็เดินทางไปเยี่ยมตามที่ต่างๆทั่วแคว้นกาลาเทีย และแคว้นฟรีเจีย เพื่อช่วยพวกศิษย์ของพระเยซูให้มีความเชื่อเข้มแข็งขึ้น

อปอลโลในเมืองเอเฟซัสและแคว้นอาคายา

24 มีชาวยิวคนหนึ่งชื่อ อปอลโล เกิดที่เมืองอเล็กซานเดรีย เป็นชายที่มีการศึกษาดีและอ้างข้อพระคัมภีร์ได้อย่างคล่องแคล่ว 25 เขาได้รับการสั่งสอนให้รู้ถึงแนวทางขององค์เจ้าชีวิต และเขาได้พูดและสั่งสอนเรื่องของพระเยซู ด้วยความกระตือรือร้นและถูกต้องแม่นยำ ถึงแม้ว่าเขาจะรู้แค่เรื่องการทำพิธีจุ่มน้ำของยอห์นเท่านั้น 26 อปอลโล เริ่มพูดเรื่องของพระเยซูอย่างกล้าหาญในที่ประชุมชาวยิว เมื่อปริสสิลลาและอาควิลลามาได้ยินเข้า ก็พาอปอลโลหลบมาข้างๆและอธิบายเรื่องแนวทางของพระเจ้าให้เขารู้อย่างถูกต้องยิ่งขึ้น 27 เมื่ออปอลโลอยากจะไปที่แคว้นอาคายา พวกพี่น้องก็ให้กำลังใจเขา และเขียนจดหมายไปถึงพวกศิษย์ของพระเยซูที่อยู่ที่นั่นให้ต้อนรับเขาด้วย เมื่ออปอลโลไปถึงแคว้นอาคายา เขาได้ช่วยเหลือคนพวกนั้นที่ได้มาไว้วางใจในพระเยซูเพราะความเมตตากรุณาของพระเจ้า 28 จากการโต้แย้งกันในที่สาธารณะ อปอลโลได้ทำให้พวกยิวพ่ายแพ้หมดท่า เขายกข้อพระคัมภีร์มาแสดงให้เห็นว่า พระเยซูคือกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่

เยเรมียาห์ 27

พระยาห์เวห์แต่งตั้งเนบูคัดเนสซาร์

27 ในช่วงต้นรัชกาลของเศเดคียาห์[a]ลูกชายของกษัตริย์โยสิยาห์แห่งยูดาห์ ถ้อยคำของพระยาห์เวห์ได้มาถึงเยเรมียาห์ว่า พระยาห์เวห์พูดกับผมว่า “ให้ทำสายรัดและแอก แล้วก็เอามาแขวนคอเจ้าไว้ แล้วให้ส่งข้อความไปให้กับกษัตริย์แห่งเอโดม โมอับ อัมโมน ไทระ และไซดอน โดยฝากไปกับพวกผู้ส่งข่าวที่มาที่เมืองเยรูซาเล็ม เพื่อมาหากษัตริย์เศเดคียาห์แห่งยูดาห์ ให้เจ้าสั่งคำสั่งนี้ไปให้กับพวกเจ้านายของพวกเขาว่า พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้น พระเจ้าแห่งอิสราเอล พูดว่า ‘เจ้าไปบอกกับพวกเจ้านายของเจ้าว่า เราสร้างโลก มนุษย์ และสัตว์ทั้งหลายไว้บนแผ่นดินโลก ด้วยฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่ของเราและแขนของเราที่เหยียดออกมา เราอยากจะให้มันกับใครก็เป็นเรื่องของเรา แล้วตอนนี้ เราก็ได้ให้แผ่นดินเหล่านี้ทั้งหมดให้ตกอยู่ในมือของผู้รับใช้เราคือกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลน สัตว์ต่างๆเราก็ได้ยกให้กับเขาไว้คอยรับใช้เขาด้วย และชนชาติทั้งหมดจะต้องรับใช้เขา ลูกชายและหลานชายของเขา ไปจนกว่าจะถึงเวลาที่แผ่นดินของเขาเองก็จะต้องพ่ายแพ้ และจะมีหลายๆชนชาติและกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่หลายๆองค์ทำให้บาบิโลนตกไปเป็นผู้รับใช้ของพวกเขา’”

“แต่ถ้าชนชาติไหนหรืออาณาจักรไหนไม่ยอมรับใช้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลน หรือถ้าชนชาติไหนไม่ยอมจำนนต่อกษัตริย์แห่งบาบิโลนคนนี้ เราจะทำโทษชนชาตินั้นด้วยสงคราม ความอดอยากและโรคร้าย จนกว่าเราจะใช้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ทำลายมันไปอย่างสิ้นซาก” พระยาห์เวห์พูดอย่างนั้น “แต่พวกเจ้าจะต้องไม่ฟังพวกผู้พูดแทนพระเจ้า โหรของพวกเจ้า คนที่ได้เห็นอนาคตในความฝัน พวกนักทำนาย และพ่อมดของพวกเจ้าที่พูดว่า ‘อย่าไปรับใช้กษัตริย์บาบิโลนนั่นเลย’ 10 ที่เราพูดเรื่องนี้ก็เพราะพวกเขากำลังโกหกเจ้าอยู่ ซึ่งจะทำให้เจ้าถูกกำจัดไปจากแผ่นดินของเจ้าเอง เราจะขับไล่เจ้า และเจ้าจะพินาศ”

11 “แต่ถ้าชนชาติไหนยอมจำนนต่อกษัตริย์บาบิโลนและรับใช้เขา เราจะยอมให้ชนชาตินั้นอยู่ต่อไปในแผ่นดินของตนและเพาะปลูกในแผ่นดินนั้น” พระยาห์เวห์พูดว่าอย่างนั้น

12 “สำหรับกษัตริย์เศเดคียาห์แห่งยูดาห์ เราขอพูดอย่างนี้ว่า ‘ให้ยอมกษัตริย์บาบิโลนซะ รับใช้เขาและประชาชนของเขา แล้วเจ้าจะรอดชีวิต’ 13 ทำไมเจ้าและประชาชนของเจ้าจะต้องมาตายด้วยคมดาบ ความอดอยาก และโรคระบาด ตามที่พระยาห์เวห์เตือนไว้แล้วสำหรับชนชาติที่ไม่ยอมกษัตริย์บาบิโลนด้วยล่ะ 14 อย่าไปฟังสิ่งที่พวกผู้พูดแทนพระเจ้าบอกเจ้า ที่ว่า ‘ไม่ต้องไปเป็นขี้ข้ากษัตริย์บาบิโลนหรอก’ เพราะว่าผู้พูดแทนพระเจ้าพวกนั้นกำลังหลอกเจ้า” 15 พระยาห์เวห์พูดว่า “เราไม่ได้ส่งพวกผู้พูดแทนพระเจ้าพวกนั้นมา พวกนั้นอ้างว่าพวกเขาพูดในนามของเรา แต่พวกเขากำลังโกหก ดังนั้นเราจะขับไล่พวกเจ้าไปและทำลายพวกเจ้า ทั้งพวกเจ้าและพวกผู้พูดแทนพระเจ้าจอมปลอมที่พูดกับเจ้านั้น”

16 แล้วผมก็พูดกับพวกนักบวชและประชาชนทั้งหลายว่า พระยาห์เวห์พูดอย่างนี้ว่า “อย่าไปฟังสิ่งที่พวกผู้พูดแทนพระเจ้าของพวกเจ้าพูด ที่ว่า ‘พวกภาชนะที่ใช้ในวิหารของพระยาห์เวห์กำลังจะกลับมาจากบาบิโลนเร็วๆนี้’ เพราะพวกมันโกหกเจ้า 17 อย่าไปฟังพวกมัน ให้รับใช้กษัตริย์บาบิโลน แล้วเจ้าจะรอดชีวิต ทำไมจะต้องปล่อยให้เมืองนี้กลายเป็นเมืองร้างด้วยล่ะ 18 แต่ถ้าพวกผู้พูดแทนพระเจ้าพวกนั้นเป็นตัวจริง และพวกมันมีถ้อยคำของพระยาห์เวห์จริง ก็ให้พวกมันมาอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้น เพื่อว่าภาชนะที่เหลืออยู่ในวิหารของพระยาห์เวห์และอยู่ในวังของกษัตริย์ยูดาห์และอยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม จะได้ไม่ตกไปอยู่ที่บาบิโลน”

19 เพราะว่าพระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นได้พูดไว้อย่างนี้ “เกี่ยวกับเรื่องเสาต่างๆ ขันทะเลสัมฤทธิ์ แท่นรองของมัน และพวกภาชนะที่เหลืออยู่ในเมืองนี้ 20 ของที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลนไม่ได้เอาไปตอนที่เขาต้อนเยโคนิยาห์[b] ลูกชายของกษัตริย์เยโฮยาคิมแห่งยูดาห์และเจ้านายทั้งหลายของทั้งยูดาห์และเยรูซาเล็มไปบาบิโลน 21 พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้น พูดเกี่ยวกับเรื่องภาชนะที่ยังเหลืออยู่ในวิหารของพระองค์ ในวังของกษัตริย์ และในเมืองเยรูซาเล็มว่า 22 ‘ของพวกนั้นจะถูกย้ายไปบาบิโลน แล้วจะอยู่ที่นั่นจนถึงเวลาที่เราจะระลึกถึงพวกมัน’” พระยาห์เวห์พูดว่าอย่างนั้น “แล้วเราจะพาของพวกมันกลับมาที่นี่เอง”

มาระโก 13

พระเยซูทำนายว่าวิหารจะถูกทำลาย

(มธ. 24:1-25; ลก. 21:5-24)

13 เมื่อพระเยซูกำลังเดินออกจากวิหาร ศิษย์คนหนึ่งพูดขึ้นว่า “อาจารย์ ดูตึกพวกนี้สิครับ สวยจริงๆสร้างจากหินก้อนใหญ่ๆทั้งนั้น”

พระเยซูตอบเขาว่า “เห็นตึกใหญ่โตพวกนี้กันแล้วใช่ไหม มันจะถูกทำลายจนหมดสิ้น ไม่เหลือแม้แต่ซากหินเรียงซ้อนทับกันอีกเลย”

เมื่อพระเยซูนั่งอยู่บนภูเขามะกอกเทศ ที่อยู่ตรงข้ามกับวิหารนั้น เปโตร ยากอบ ยอห์น และอันดรูว์ มาถามพระองค์เป็นการส่วนตัวว่า “สิ่งต่างๆเหล่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ครับ แล้วจะมีอะไรบอกเหตุให้รู้ก่อนไหมครับว่ามันจะเกิดขึ้นแล้ว”

พระองค์ก็ตอบว่า “ระวังให้ดี อย่าให้ใครหลอกเอาล่ะ เพราะจะมีหลายคนมาแอบอ้างชื่อของเราว่าพวกเขาเป็นพระคริสต์ และจะมีหลายคนหลงเชื่อ เมื่อคุณได้ยินเสียงสงคราม หรือได้ยินข่าวลือว่าเกิดสงครามก็ไม่ต้องตกใจ เพราะมันต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่นั่นยังไม่ใช่วันสุดท้าย ชนชาติหนึ่งจะลุกฮือขึ้นต่อสู้กับอีกชนชาติหนึ่ง อาณาจักรนี้จะลุกฮือขึ้นต่อสู้กับอาณาจักรโน้น จะเกิดแผ่นดินไหวไปทั่ว และจะเกิดกันดารอาหาร นี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นเอง เหมือนเจ็บท้องเตือนก่อนคลอดลูก

ระวังตัวให้ดี พวกคุณจะถูกจับไปขึ้นศาล จะถูกเฆี่ยนในที่ประชุมของชาวยิว และพวกคุณจะต้องยืนอยู่ต่อหน้าเจ้าเมืองและกษัตริย์เพราะคุณเป็นศิษย์ของเรา คุณจะต้องเป็นพยานเล่าเรื่องของเราให้พวกเขาฟัง 10 แต่ก่อนที่วันสุดท้ายจะมาถึง ข่าวดีจะต้องได้ประกาศออกไปทั่วทุกชนชาติเสียก่อน 11 ตอนที่พวกคุณถูกนำตัวไปขึ้นศาล ไม่ต้องห่วงว่าจะพูดแก้ตัวอย่างไร ให้พูดไปตามที่พระเจ้าบอกในเวลานั้น เพราะคนที่พูดนั้นไม่ใช่ตัวคุณเอง แต่เป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์

12 พี่น้องจะหักหลังกันเองให้ไปถูกฆ่า พ่อจะหักหลังลูกให้ไปถูกฆ่า ลูกๆจะต่อต้านพ่อแม่ และส่งพ่อแม่ให้ไปถูกฆ่า 13 ทุกคนจะเกลียดพวกคุณ เพราะคุณเป็นศิษย์ของเรา แต่ใครที่ทนได้จนถึงที่สุดก็จะได้รับความรอด

ความน่าสยดสยอง

14 เมื่อพวกคุณเห็นสิ่งที่น่าขยะแขยง[a] ที่เป็นต้นเหตุของความหายนะ อยู่ในที่ที่ไม่ควรจะอยู่ (ผู้อ่านน่าจะรู้ว่าหมายถึงอะไร) ก็ให้คนที่อยู่ในแคว้นยูเดียหนีไปที่ภูเขา 15 อย่าให้คนที่อยู่บนดาดฟ้าบ้านกลับเข้าไปเก็บของในบ้าน 16 อย่าให้คนที่อยู่ในไร่นากลับไปเอาเสื้อคลุม 17 ในวันนั้นจะน่ากลัวมากสำหรับผู้หญิงท้องและแม่ลูกอ่อนที่ให้นมลูก 18 อธิษฐานขออย่าให้เรื่องน่ากลัวนี้เกิดขึ้นในหน้าหนาวเลย 19 เพราะในเวลานั้นจะเกิดความทุกข์ยากอย่างใหญ่หลวงชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนับตั้งแต่พระเจ้าสร้างโลกมาจนถึงเดี๋ยวนี้ จะไม่มีอะไรที่แย่ไปกว่านี้อีกแล้วในอนาคต 20 ถ้าองค์เจ้าชีวิตไม่ทำให้วันนั้นสั้นลงก็จะไม่มีใครรอดชีวิตเลย แต่เพราะเห็นแก่คนที่พระองค์ได้เลือกไว้ พระองค์ก็เลยทำให้วันเวลาเหล่านั้นสั้นลง 21 ถ้ามีใครมาบอกว่า ‘นี่ไง พระคริสต์’ หรือ ‘โน่นไง พระองค์’ ก็อย่าไปหลงเชื่อ 22 เพราะจะมีพวกพระคริสต์จอมปลอมและพวกผู้พูดแทนพระเจ้าจอมปลอมเกิดขึ้น และพวกนี้จะทำอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ถ้าเป็นไปได้พวกนี้ก็จะหลอกแม้แต่คนที่พระเจ้าได้เลือกไว้แล้ว 23 ระวังตัวให้ดี เพราะเราได้เตือนคุณทุกสิ่งทุกอย่างไว้ล่วงหน้าเรื่องนี้

บุตรมนุษย์จะมา

(มธ. 24:29-51; ลก. 21:25-36)

24 ต่อจากความทุกข์ยากนั้น

‘ดวงอาทิตย์จะมืดมิดไป
    ดวงจันทร์จะไม่ส่องแสง
25 ดวงดาวจะร่วงหล่นจากท้องฟ้า
    และพวกผู้มีอำนาจบนฟ้าสวรรค์จะถูกสั่นคลอน’[b]

26 แล้วผู้คนก็จะได้เห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาในหมู่เมฆพร้อมด้วยฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่ และเต็มไปด้วยสง่าราศี 27 แล้วพระองค์จะส่งหมู่ทูตสวรรค์ของพระองค์มารวบรวมผู้ที่พระองค์ได้เลือกไว้แล้วจากทั่วทั้งแผ่นดินโลก จากขอบโลกด้านหนึ่งไปถึงสุดขอบฟ้าอีกด้านหนึ่ง

บทเรียนจากต้นมะเดื่อ

28 ให้เรียนรู้จากต้นมะเดื่อกันเถอะ เมื่อต้นมะเดื่อเริ่มแตกกิ่งก้านและผลิใบอ่อน พวกคุณก็รู้ว่าใกล้ถึงหน้าร้อนแล้ว 29 เช่นเดียวกัน เมื่อพวกคุณเห็นสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเกิดขึ้น พวกคุณก็รู้ว่าเวลา[c] นั้นใกล้มาถึงแล้ว เวลานั้นอยู่ที่หน้าประตูนี่เอง 30 เราจะบอกให้รู้ว่า สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดจะเกิดขึ้นก่อนที่คนในรุ่นนี้จะตาย 31 สวรรค์และโลกจะสูญสิ้นไป แต่ถ้อยคำของเราจะไม่มีวันสูญหายไป

พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าเมื่อไหร่เวลานั้นจะมาถึง

32 ไม่มีใครรู้วันเวลานั้น แม้แต่หมู่ทูตสวรรค์หรือพระบุตรเองก็ไม่รู้ มีแต่พระบิดาเท่านั้นที่รู้ 33 พวกคุณไม่รู้ว่าเวลานั้นจะมาถึงเมื่อไหร่ ดังนั้นให้ระวังตัวอยู่เสมอ อย่าประมาท 34 เหมือนกับที่ชายคนหนึ่งกำลังจะเดินทางไปที่อื่นพร้อมกับสั่งงานให้ทาสแต่ละคนในบ้านทำ และได้สั่งยามให้เฝ้าประตูบ้านดีๆ 35 พวกคุณก็ต้องพร้อมอยู่เสมอ เพราะไม่รู้ว่าเจ้าของบ้านจะกลับมาเมื่อไหร่ อาจจะเป็นตอนเย็น ตอนเที่ยงคืน ตอนไก่ขันเช้ามืด หรือตอนสายๆ 36 เพื่อว่าเมื่อเขากลับมาอย่างกระทันหัน เขาจะได้ไม่พบว่าพวกคุณกำลังนอนหลับอยู่ 37 สิ่งที่เราสั่งพวกคุณไว้เราก็ได้สั่งกับทุกๆคนด้วย คือ ‘ให้ระวังอยู่เสมอ’”

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International