M’Cheyne Bible Reading Plan
3 ต่อไปนี้คือชนชาติต่างๆที่พระยาห์เวห์ยังปล่อยให้หลงเหลืออยู่ในแผ่นดินเพื่อลองใจชาวอิสราเอลทั้งหมดที่ไม่ได้เข้าร่วมรบตอนยึดแผ่นดินคานาอันนั้น 2 พระยาห์เวห์ทำอย่างนี้เพื่อให้คนอิสราเอลรุ่นหลังนี้ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในการรบมาก่อน จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับสงคราม
3 ชนชาติต่างๆที่ยังเหลืออยู่ คือผู้ครอบครองทั้งห้าคนของฟีลิสเตีย คนคานาอันทั้งหมด คนไซดอน และคนฮีไวต์ที่อาศัยอยู่แถบเนินเขาเลบานอน ตั้งแต่ภูเขาบาอัล-เฮอร์โมน ไปจนถึงเมืองเลโบ-ฮามัท
4 ชนชาติเหล่านี้ มีไว้สำหรับลองใจชาวอิสราเอล เพื่อจะได้รู้ว่า พวกเขาจะเชื่อฟังคำสั่งต่างๆของพระยาห์เวห์หรือไม่ คือคำสั่งต่างๆที่พระองค์ได้สั่งบรรพบุรุษของพวกเขาผ่านมาทางโมเสส 5 ดังนั้นชาวอิสราเอลจึงได้อาศัยอยู่ร่วมกับ คนคานาอัน คนฮิตไทต์ คนอาโมไรต์ คนเปริสซี คนฮีไวต์และคนเยบุส
6 คนอิสราเอลได้เอาลูกสาวของคนพวกนั้นมาเป็นเมีย และยอมยกลูกสาวของตนให้กับลูกชายของคนพวกนั้น แถมไปรับใช้พระต่างๆของคนพวกนั้นด้วย
โอทนีเอลผู้นำคนแรก
7 ชาวอิสราเอลได้ทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายตาของพระยาห์เวห์ และได้ลืมพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา และไปรับใช้รูปเคารพของพวกพระบาอัล และพวกพระอัชทาโรท 8 พระยาห์เวห์จึงโกรธชาวอิสราเอล พระองค์ขายพวกเขาให้ตกไปอยู่ในเงื้อมมือของกษัตริย์คูชัน-ริชาธาอิมแห่งอาราม นาชาราอิม[a] ชาวอิสราเอลจึงต้องรับใช้กษัตริย์คูชัน-ริชาธาอิมอยู่แปดปี
9 แต่เมื่อชาวอิสราเอลร้องขอความช่วยเหลือจากพระยาห์เวห์ พระองค์ได้ส่งผู้ช่วยมาให้กับคนอิสราเอล เพื่อช่วยเหลือพวกเขา คนนั้นคือ โอทนีเอลลูกชายของเคนัส เคนัสเป็นน้องชายของคาเลบ 10 พระวิญญาณของพระยาห์เวห์ได้ลงมาอยู่กับโอทนีเอล และเขาได้กลายเป็นผู้นำของอิสราเอล เขาออกไปทำสงคราม และพระยาห์เวห์ได้ทำให้กษัตริย์คูชัน-ริชาธาอิมตกอยู่ในเงื้อมมือของเขา และเขามีชัยเหนือกษัตริย์คูชัน 11 จากนั้นแผ่นดินก็สงบสุขเป็นเวลาสี่สิบปี จนโอทนีเอลลูกชายเคนัสตายไป
ผู้นำเอฮูด
12 ต่อมาชาวอิสราเอลได้ทำสิ่งชั่วร้ายในสายตาของพระยาห์เวห์อีก พระองค์ก็เลยทำให้กษัตริย์เอกโลนของเมืองโมอับมีกำลังเข้มแข็ง และมาโจมตีชาวอิสราเอล เพราะคนอิสราเอลได้ทำสิ่งชั่วร้ายในสายตาของพระยาห์เวห์ 13 กษัตริย์เอกโลนได้ชวนคนอัมโมนและอามาเลค มาเข้าพวกกับเขา และไปโจมตีอิสราเอล และพวกเขาได้ยึดครองเมืองดงอินทผลัมไว้ได้
14 ดังนั้นชาวอิสราเอลจึงต้องรับใช้กษัตริย์เอกโลน ของเมืองโมอับอยู่สิบแปดปี 15 ชาวอิสราเอลได้ร้องขอความช่วยเหลือจากพระยาห์เวห์ แล้วพระองค์ก็ได้ส่งผู้ช่วยคนหนึ่งมาให้กับพวกเขา คือเอฮูดลูกชายของเกราจากเผ่าเบนยามิน เขาถูกฝึกให้สู้รบด้วยมือซ้าย ชาวอิสราเอลให้เขาเอาส่วยไปส่งให้กับกษัตริย์เอกโลนของเมืองโมอับ
16 เอฮูดได้ทำดาบสองคมเล่มหนึ่งยาวศอกหนึ่ง เขามัดมันไว้ที่ต้นขาขวาใต้ชุดที่ใส่ 17 แล้วเขาได้นำส่วยไปมอบให้กับกษัตริย์เอกโลนของเมืองโมอับ (กษัตริย์เอกโลนเป็นคนที่อ้วนมาก) 18 เมื่อเอฮูดมอบส่วยเสร็จแล้ว เขาก็ไปส่งคนที่แบกส่วยมา 19 เมื่อเอฮูดไปถึงพวกรูปหินแกะสลักที่กิลกาล เขาก็ย้อนกลับไปหากษัตริย์เอกโลนและพูดกับกษัตริย์ว่า “ข้าแต่กษัตริย์ ข้าพเจ้ามีความลับจะแจ้งกับท่าน”
กษัตริย์จึงบอกให้เอฮูดเงียบก่อน แล้วเขาก็สั่งให้พวกผู้รับใช้ของเขาออกไปนอกห้อง
20 แล้วเอฮูดได้เข้าไปหากษัตริย์เอกโลน ในขณะที่เขานั่งอยู่บนบัลลังก์ที่ตั้งอยู่บนฐานที่ยกสูง ซึ่งเป็นของเขาโดยเฉพาะ เอฮูดพูดว่า “ข้าพเจ้ามีข่าวจากพระเจ้ามาแจ้งกับท่าน” ในขณะที่กษัตริย์เอกโลนลุกขึ้นจากที่นั่ง 21 เอฮูดก็ยื่นมือซ้ายไปชักดาบจากต้นขาขวาของเขา แล้วแทงเข้าไปที่ท้องของกษัตริย์เอกโลน 22 จมมิดด้าม ไขมันก็ปิดคมดาบไว้ และเอฮูดก็ไม่ได้ดึงดาบออกจากท้องของกษัตริย์ และกษัตริย์เอกโลนก็อุจจาระราดออกมา
23 แล้วเอฮูดก็ได้ปิดประตูห้องบัลลังก์และลงกลอนข้างใน จากนั้นเขาก็หย่อนตัวลงทางช่องส้วมไปยังห้องด้านล่าง 24 แล้วเอฮูดก็ออกไปทางห้องโถงใหญ่ และพวกผู้รับใช้ของกษัตริย์เอกโลนก็เข้ามา เมื่อพวกเขาเห็นว่าประตูห้องบนชั้นสองนั้นปิดอยู่ พวกเขาก็คิดว่ากษัตริย์เอกโลนกำลังถ่ายทุกข์อยู่ข้างใน 25 พวกเขาคอยอยู่จนรู้สึกเป็นห่วง จึงเอากุญแจมาไขเข้าไปดู และพบกษัตริย์เอกโลนนอนตายอยู่บนพื้น
26 เอฮูดหนีออกมา ในขณะที่พวกคนรับใช้กำลังคอยอยู่ เขาเดินผ่านพวกรูปเคารพที่สลักจากหิน และหนีไปจนถึงเสอีราห์ 27 เมื่อเขาไปถึงที่นั่น เขาได้เป่าแตรเขาสัตว์ที่เทือกเขาเอฟราอิม แล้วชาวอิสราเอลก็ยกพลลงจากเขาไปพร้อมกับเอฮูด ที่นำหน้าพวกเขาไป
28 เอฮูดสั่งพวกเขาว่า “ตามเรามา เพราะพระยาห์เวห์ได้มอบพวกศัตรูของพวกท่าน คือชาวโมอับไว้ในเงื้อมมือของพวกท่านแล้ว” ชาวอิสราเอลทั้งหลายจึงตามเขาไป และพวกเขาได้ยึดบริเวณน้ำตื้นที่ลุยข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปเมืองโมอับได้ และไม่ให้ใครข้ามทั้งนั้น 29 ในครั้งนั้นพวกเขาได้ฆ่าชายโมอับที่เข้มแข็งและกล้าหาญไปประมาณหนึ่งหมื่นคน ไม่มีใครหนีรอดไปได้
30 ในวันนั้นชาวโมอับตกอยู่ภายใต้เงื้อมมือของคนอิสราเอล หลังจากนั้นแผ่นดินก็สงบสุขเป็นเวลาแปดสิบปี
ผู้นำชัมการ์
31 หลังจากเอฮูดแล้ว ก็มีชัมการ์ลูกชายอานาท เขาใช้ปฏักวัวฆ่าชาวฟีลีสเตียไปหกร้อยคน เขาก็เป็นผู้ช่วยชาวอิสราเอลคนหนึ่งด้วยเหมือนกัน
สเทเฟนพูดต่อหน้าสภา
7 หัวหน้านักบวชสูงสุดถามสเทเฟนว่า “เป็นจริงอย่างที่เขาพูดหรือเปล่า” 2 เขาก็ตอบว่า “ท่านผู้อาวุโสทั้งหลาย และพวกพี่น้อง ฟังผมก่อน พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ได้ปรากฏตัวต่ออับราฮัมบรรพบุรุษของเราตอนที่ท่านยังอยู่ที่เมโสโปเตเมีย ก่อนที่จะย้ายไปอยู่ที่ฮาราน 3 พระองค์ได้พูดกับอับราฮัมว่า ‘ออกจากประเทศและพาญาติพี่น้องของเจ้าไปยังดินแดนที่เราจะแสดงให้เจ้าได้เห็น’[a] 4 ดังนั้นอับราฮัมจึงออกจากดินแดนของชาวเคลเดียและมาตั้งถิ่นฐานอยู่ในเมืองฮาราน หลังจากที่พ่อของอับราฮัมตาย พระเจ้าก็ให้เขาออกจากที่นั่น มายังดินแดนที่พวกท่านอาศัยอยู่เดี๋ยวนี้ 5 ในตอนนั้นพระเจ้าไม่ได้ให้อับราฮัมครอบครองที่ดินตรงนี้แม้แต่ฝ่าเท้าเดียว แต่พระองค์สัญญาที่จะให้แผ่นดินทั้งหมดนี้กับเขาและลูกหลานของเขา ทั้งๆที่ตอนนั้นอับราฮัมยังไม่มีลูกเลย 6 พระเจ้าพูดกับเขาว่า ‘ลูกหลานของเจ้าจะเป็นคนแปลกหน้าในดินแดนต่างด้าว ผู้คนที่นั่นจะบังคับพวกเขาให้เป็นทาส และจะทำต่อลูกหลานของเจ้าอย่างเลวร้ายเป็นเวลาสี่ร้อยปี 7 แต่เราจะลงโทษชนชาตินั้น ที่ทำให้ลูกหลานของเจ้าต้องตกเป็นทาส’[b] พระเจ้ายังบอกอีกว่า ‘หลังจากนั้นพวกเขาจะออกจากดินแดนแห่งนั้น และมากราบไหว้บูชาเราในสถานที่แห่งนี้’[c] 8 พระเจ้าได้ทำข้อตกลงกับอับราฮัม การขลิบเป็นเครื่องหมายของข้อตกลงนี้ แล้วอับราฮัมมีลูกชื่ออิสอัค พออิสอัคเกิดได้แปดวัน อับราฮัมก็ขลิบให้กับเขา ต่อมาอิสอัค มีลูกคือยาโคบ และยาโคบก็มีลูกสิบสองคน ที่เป็นต้นตระกูลต่างๆของเรานั่นเอง 9 ต้นตระกูลพวกนี้ ต่างก็อิจฉาโยเซฟน้องชายของตน จึงขายโยเซฟให้ไปเป็นทาสในอียิปต์ แต่พระเจ้าอยู่กับโยเซฟ 10 พระองค์ช่วยให้โยเซฟพ้นจากความทุกข์ยากทุกอย่าง พระเจ้าทำให้โยเซฟเฉลียวฉลาด และทำให้ฟาโรห์กษัตริย์ของอียิปต์ชอบโยเซฟ ถึงกับแต่งตั้งให้เขาเป็นผู้ปกครองดูแลทั่วทั้งอียิปต์ รวมทั้งทุกอย่างในวังของพระองค์ด้วย 11 ต่อมาทั่วอียิปต์และคานาอันเกิดความอดอยาก ทำให้เดือดร้อนอย่างหนัก บรรพบุรุษของเราไม่มีอาหารกิน 12 เมื่อยาโคบได้ยินว่ามีข้าวในอียิปต์ ก็ส่งบรรพบุรุษของเราไปที่นั่น นี่เป็นเที่ยวแรก 13 ในเที่ยวที่สอง โยเซฟเปิดเผยตัวเองให้พี่น้องของเขารู้ และฟาโรห์ก็ได้รู้จักครอบครัวของโยเซฟด้วย 14 โยเซฟส่งคนไปเชิญยาโคบพ่อของเขา และญาติพี่น้องของเขารวมทั้งหมดเจ็ดสิบห้าคนมาด้วย 15 จากนั้นยาโคบก็ย้ายไปอยู่ที่อียิปต์ และที่นั่นเอง ยาโคบและบรรพบุรุษของเราตายลง 16 ศพของพวกเขาถูกนำกลับไปที่เมืองเชเคม และถูกฝังไว้ในอุโมงค์ฝังศพที่อับราฮัมใช้เงินก้อนหนึ่งซื้อมาจากพวกลูกชายของฮาโมร์ในเชเคม 17 เมื่อใกล้ถึงเวลาที่สัญญาที่พระเจ้าให้ไว้กับอับราฮัมจะเป็นจริง จำนวนคนของเราก็ได้เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลในอียิปต์ 18 ในตอนนั้นมีกษัตริย์องค์อื่นที่ไม่เคยรู้เรื่องเกี่ยวกับโยเซฟขึ้นปกครองแผ่นดินอียิปต์ 19 เขาเจ้าเล่ห์หลอกลวงคนของเรา และทารุณโหดร้ายต่อบรรพบุรุษของเรา ด้วยการบังคับให้เอาทารกน้อยของพวกเขาไปทิ้งข้างนอกให้ตาย 20 โมเสสเกิดมาในช่วงนั้น เขาเป็นเด็กที่พิเศษมาก เขาได้รับการเลี้ยงดูอยู่ในบ้านพ่อของเขาจนอายุครบสามเดือน 21 แล้วก็ถูกนำไปทิ้งข้างนอก ลูกสาวของฟาโรห์เก็บเขาได้ และเอาไปเลี้ยงเป็นลูก 22 โมเสสจึงได้รับการสั่งสอนวิชาความรู้ทั้งหมดของชาวอียิปต์ และเขาก็เป็นคนที่เก่งกาจมากทั้งในด้านคำพูดและการกระทำต่างๆ
23 เมื่อโมเสสมีอายุได้สี่สิบปี เขาตัดสินใจไปเยี่ยมเยียนพี่น้องชาวอิสราเอลของเขา 24 เมื่อเขาเห็นชาวอิสราเอลคนหนึ่งถูกชาวอียิปต์คนหนึ่งรังแก เขาก็เข้าไปช่วยและได้ฆ่าชายชาวอียิปต์คนนั้นเป็นการแก้แค้น 25 โมเสสคิดว่าพี่น้องชาวอิสราเอลคงรู้แล้วว่าพระเจ้าจะใช้เขามาปลดปล่อยให้พวกเขาเป็นอิสระ แต่กลายเป็นว่าชาวอิสราเอลไม่รู้เรื่องเลย 26 พอวันรุ่งขึ้นโมเสสผ่านมาเห็นชาวอิสราเอลสองคนกำลังทะเลาะกัน เขาพยายามเข้าไปไกล่เกลี่ยให้คืนดีกัน โดยพูดว่า ‘นี่ คุณเป็นพี่น้องกัน ทำไมถึงทำร้ายกันล่ะ’ 27 แต่ชายคนที่ทำร้ายเพื่อนบ้านของตนได้ผลักโมเสสออกไป แล้วพูดว่า ‘ใครตั้งให้แกเป็นผู้ปกครองและผู้ตัดสินเรา 28 แกจะฆ่าเราเหมือนที่ฆ่าคนอียิปต์เมื่อวานนี้หรือ’[d] 29 เมื่อโมเสสได้ยินอย่างนั้น ก็หนีไปอาศัยอยู่ในดินแดนมีเดียนในฐานะคนต่างชาติ และเขาก็มีลูกชายสองคนที่นั่น
30 สี่สิบปีผ่านไป ทูตสวรรค์มาปรากฏให้โมเสสเห็นในเปลวไฟที่ลุกอยู่ในพุ่มไม้ในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง ใกล้ภูเขาซีนาย 31 เมื่อโมเสสเห็นก็แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง เมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้ๆเพื่อจะได้เห็นชัดๆก็ได้ยินเสียงขององค์เจ้าชีวิตพูดว่า 32 ‘เราคือพระเจ้าของบรรพบุรุษของเจ้า พระเจ้าของอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ’[e] โมเสสกลัวจนตัวสั่นไม่กล้ามองที่พุ่มไม้ 33 แล้วองค์เจ้าชีวิต พูดกับโมเสสอีกว่า ‘ถอดรองเท้า เพราะที่ที่เจ้ายืนอยู่นี้เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ 34 เราได้เห็นชาวอียิปต์ข่มเหงประชาชนของเรา และได้ยินเสียงร้องคร่ำครวญของพวกเขา เราจึงลงมาเพื่อปลดปล่อยให้พวกเขาเป็นอิสระ มาสิ เราจะส่งเจ้าไปอียิปต์’[f]
35 โมเสสคนนี้แหละที่ถูกชาวอิสราเอลพูดตอกหน้ามาว่า ‘ใครตั้งแกให้เป็นผู้ปกครองและผู้ตัดสินเรา’[g] เขาเป็นคนที่พระเจ้าส่งมาให้เป็นผู้ปกครองและผู้ช่วยชีวิตชาวอิสราเอล โดยพระเจ้าได้พูดผ่านทางทูตสวรรค์ที่ได้มาปรากฏให้เขาเห็นในพุ่มไม้ไฟ 36 โมเสสคือคนที่นำชาวอิสราเอลออกมา เขาทำสิ่งอัศจรรย์และปาฏิหาริย์ต่างๆในดินแดนอียิปต์ที่ทะเลแดง และในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งเป็นเวลาถึงสี่สิบปี 37 เขาคือโมเสสคนนั้นที่พูดกับประชาชนชาวอิสราเอลว่า ‘พระเจ้าจะส่งผู้พูดแทนพระเจ้าเหมือนอย่างผมให้กับท่านทั้งหลาย ผู้พูดแทนพระเจ้าคนนี้จะมาจากท่ามกลางพี่น้องของท่าน’[h] 38 เขาคือโมเสสคนนั้นที่อยู่กับหมู่ชนชาวอิสราเอลในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้ง เขาอยู่กับบรรพบุรุษของเราและอยู่กับทูตสวรรค์ที่พูดกับเขาบนภูเขาซีนาย เขาเป็นคนรับถ้อยคำแห่งชีวิตของพระเจ้ามาให้เรา 39 แต่บรรพบุรุษของเราไม่ยอมเชื่อฟังเขา และไม่ยอมรับเขา ในจิตใจบรรพบุรุษเราคิดแต่จะกลับไปอียิปต์ 40 พวกเขาพูดกับอาโรนว่า ‘ช่วยสร้างพวกเทพเจ้าให้มานำทางเราด้วย เพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับโมเสสคนที่นำเราออกมาจากอียิปต์’[i] 41 ในเวลานั้นพวกเขาปั้นรูปลูกวัวขึ้นมา และเซ่นไหว้รูปปั้นนั้น พวกเขาเฉลิมฉลองสิ่งที่พวกเขาปั้นขึ้นมากับมือ 42 แต่พระเจ้าหันหน้าหนีพวกเขา และพระองค์ปล่อยให้พวกเขากราบไหว้หมู่ดาวในท้องฟ้าตามที่มีเขียนไว้แล้วในหนังสือของผู้พูดแทนพระเจ้าว่า
‘ประชาชนชาวอิสราเอลทั้งหลาย
สัตว์ที่พวกเจ้าฆ่าแล้วเอามาบูชายัญในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งเป็นเวลาถึงสี่สิบปีนั้น
พวกเจ้าไม่ได้บูชาให้กับเราหรอก
43 พวกเจ้าแบกเต็นท์ของพระโมเลค
และเอาดวงดาวของเทพเจ้าเรฟานของพวกเจ้ามาด้วย
ของพวกนี้เป็นรูปบูชาที่พวกเจ้าทำขึ้นมากราบไหว้
ดังนั้นเราจะส่งพวกเจ้าให้ไปเป็นเชลยไกลพ้นเมืองบาบิโลนไปอีก’[j]
44 บรรพบุรุษของพวกเราในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งมีเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ด้วย ซึ่งเป็นเต็นท์ที่พระเจ้าบอกให้โมเสสทำขึ้นตามแบบที่พระองค์แสดงให้เขาเห็น 45 เมื่อบรรพบุรุษของเราได้เต็นท์มา ก็นำเข้าไปไว้ในดินแดนที่บรรพบุรุษของเราได้ยึดครองมาจากชนชาติต่างๆที่พระเจ้าได้ขับไล่ออกไปต่อหน้าบรรพบุรุษของเราโดยการนำของโยชูวา และเต็นท์นี้ก็ได้อยู่ที่นั่นเรื่อยมาจนถึงสมัยของกษัตริย์ดาวิด 46 พระเจ้าชอบใจดาวิดมาก ดาวิดขอสร้างบ้านให้กับพระเจ้าของยาโคบ 47 แต่กลับกลายเป็นซาโลมอนที่สร้างบ้านให้พระองค์ 48 อย่างไรก็ตาม องค์ผู้สูงสุดไม่ได้อยู่ในบ้านที่สร้างด้วยมือของมนุษย์หรอก เหมือนกับที่ผู้พูดแทนพระเจ้า[k] พูดไว้ว่า
49 ‘สวรรค์เป็นบัลลังก์ของเรา
และโลกคือแท่นรองเท้าของเรา
องค์เจ้าชีวิตถามว่า แล้วพวกเจ้าจะสร้างบ้านแบบไหนให้กับเราล่ะ
หรือจะให้เราพักผ่อนที่ไหนล่ะ
50 ไม่ใช่มือเราหรอกหรือที่สร้างสรรพสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา’[l]
51 พวกคุณหัวแข็ง ใจแข็งกระด้างและดื้อดึง พวกคุณได้แต่ต่อต้านพระวิญญาณบริสุทธิ์เหมือนกับบรรพบุรุษของคุณ 52 มีผู้พูดแทนพระเจ้าคนไหนบ้าง ที่บรรพบุรุษของคุณไม่ได้ข่มเหง พวกเขาฆ่าแม้กระทั่งคนพวกนั้นที่นานมาแล้วได้ประกาศถึงการมาขององค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ และตอนนี้พวกคุณก็ได้ทรยศและฆ่าพระองค์แล้ว 53 พวกคุณนั่นแหละ เป็นพวกที่ได้รับกฎปฏิบัติที่พวกทูตสวรรค์นำมา แต่พวกคุณก็ไม่ยอมเชื่อฟังกฎนั้น”
สเทเฟนถูกฆ่า
54 เมื่อผู้นำชาวยิวได้ยินอย่างนั้น ต่างก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ พวกเขาแยกเขี้ยวยิงฟันเข้าใส่สเทเฟน 55 แต่สเทเฟนเต็มไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เขามองขึ้นบนท้องฟ้า และได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า และเห็นพระเยซูยืนอยู่ด้านขวาของพระองค์ 56 เขาจึงพูดขึ้นว่า “ดูนั่นสิ ผมเห็นสวรรค์เปิด และบุตรมนุษย์ยืนอยู่ด้านขวาของพระเจ้า” 57 ขณะเดียวกัน พวกนั้นก็แหกปากร้องตะโกน เอามืออุดหู และต่างวิ่งกรูกันเข้าใส่สเทเฟน 58 พวกเขาลากสเทเฟนออกนอกเมืองและเอาหินขว้างเขา พวกที่พูดปรักปรำใส่ร้ายเขาต่างก็ทิ้งเสื้อคลุมของตนไว้ที่เท้าของชายหนุ่มที่ชื่อเซาโล 59 จากนั้นพวกเขาได้เอาก้อนหินขว้างสเทเฟน ที่กำลังอธิษฐานว่า “พระเยซูเจ้า รับจิตวิญญาณของข้าพเจ้าด้วย” 60 แล้วเขาก็คุกเข่า ร้องเสียงดังว่า “องค์เจ้าชีวิต อย่าถือโทษที่พวกเขาทำบาปครั้งนี้เลย” พออธิษฐานจบ สเทเฟนก็ตาย
วันแห่งความหายนะ
16 แล้วพระยาห์เวห์พูดกับผมว่า
2 “เยเรมียาห์ เจ้าจะต้องไม่หาเมีย และต้องไม่มีลูกชายลูกสาวในที่แห่งนี้” 3 เพราะนี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์พูดถึงลูกชายลูกสาวที่จะเกิดมาในที่แห่งนี้ และพูดถึงแม่ๆของพวกเขาที่จะคลอดพวกเขามา และพูดถึงพ่อๆของพวกเขาที่ทำให้พวกเขาเกิดมาในแผ่นดินนี้ว่า
4 “พวกเขาจะตายด้วยเชื้อโรค จะไม่มีใครไว้ทุกข์ให้กับพวกเขา และจะไม่มีใครฝังศพให้กับพวกเขา พวกเขาจะเป็นเหมือนมูลสัตว์ที่กองอยู่บนพื้นดิน พวกเขาจะถูกกำจัดไปด้วยดาบและด้วยความอดอยากหิวโหย ศพของพวกเขาจะกลายเป็นอาหารของนกในอากาศและของสัตว์บนพื้นดิน”
5 เพราะพระยาห์เวห์พูดไว้ว่าอย่างนี้ คือ “อย่าเข้าใกล้บ้านที่มีงานศพ และอย่าเข้าไปในบ้านที่มีการไว้ทุกข์ อย่าไปเศร้าโศกเสียใจให้กับพวกเขา เพราะเราได้รวบรวมเอาสันติสุข ความรักและความเมตตาของเราไปจากคนพวกนี้แล้ว” พระยาห์เวห์พูดว่าอย่างนั้น
6 ทั้งคนใหญ่โตและคนต่ำต้อยในแผ่นดินนี้ก็จะต้องตาย จะไม่มีใครฝังพวกเขา และจะไม่มีใครไว้ทุกข์ให้กับพวกเขาด้วย จะไม่มีใครเชือดเฉือนเนื้อตัวเองหรือโกนหัวเพื่อพวกเขา
7 จะไม่มีใครแบ่งอาหารให้กับพวกเขา ในช่วงที่พวกเขาเศร้าโศกเสียใจ เพื่อแสดงความเห็นอกเห็นใจพวกเขาต่อคนที่ตายไป และจะไม่มีใครเอาน้ำมาให้พวกเขาดื่มเพื่อปลอบโยนพวกเขาที่พ่อแม่ตายไป
8 อย่าเข้าไปในโรงเหล้า และนั่งลงกินดื่มกับคนพวกนี้
9 เพราะพระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้น ผู้เป็นพระเจ้าของอิสราเอล พูดไว้อย่างนี้ว่า “ในชั่วชีวิตของเจ้านี้ เสียงเพลงที่มีความสุข เสียงร้องเฉลิมฉลองกัน และเสียงของเจ้าบ่าวเจ้าสาว เจ้าจะเห็นเรากำจัดเสียงร้องพวกนี้ให้หมดไปจากสถานที่แห่งนี้
10 และเมื่อเจ้าประกาศถ้อยคำเหล่านี้ให้กับคนพวกนี้ฟัง พวกเขาก็จะบอกกับเจ้าว่า ‘ทำไมพระยาห์เวห์ถึงได้บอกว่าเราจะต้องพบกับสิ่งชั่วร้ายอันยิ่งใหญ่นี้ด้วยล่ะ พวกเราทำอะไรผิดหรือ พวกเราทำบาปอะไรหรือที่ทำให้พระยาห์เวห์พระเจ้าของเราไม่พอใจ’
11 เจ้าจะต้องบอกพวกนั้นว่า พระยาห์เวห์บอกว่า ‘ก็เพราะพวกบรรพบุรุษของเจ้าทอดทิ้งเราไปและหันไปติดตามพระอื่นๆ ไปรับใช้ และกราบไหว้พวกมัน พวกเขาทอดทิ้งเรา และไม่ได้รักษากฎของเรา
12 แต่พวกเจ้ากลับทำชั่วร้ายยิ่งกว่าพวกบรรพบุรุษของเจ้าเสียอีก แถมพวกเจ้าแต่ละคนยังไปทำตามใจชั่วๆของเจ้าเองแทนที่จะฟังเรา
13 ดังนั้นเราจะเหวี่ยงเจ้าออกไปจากแผ่นดินนี้ ไปอยู่ในดินแดนที่เจ้าและบรรพบุรุษของเจ้าไม่รู้จัก และเจ้าจะต้องรับใช้พระอื่นๆที่นั่นทั้งวันทั้งคืน และเราก็จะไม่ช่วยอะไรเจ้าเลยที่นั่น’”
14 พระยาห์เวห์พูดว่า “ดังนั้น วันนั้นกำลังจะมาถึงแล้ว เมื่อคนจะเลิกพูดว่า ‘เราขอสาบานโดยอ้างพระยาห์เวห์ ผู้ที่นำลูกหลานของอิสราเอลออกมาจากแผ่นดินอียิปต์’
15 แต่พวกเขาจะพูดอย่างนี้แทน คือ ‘เราขอสาบานโดยอ้างพระยาห์เวห์ผู้ที่นำลูกหลานของอิสราเอลออกมาจากแผ่นดินทางตอนเหนือ และนำออกมาจากทุกที่ที่พระองค์เคยไล่พวกเขาไป’ แล้วเราจะนำพวกเขากลับมายังแผ่นดินของพวกเขาเอง แผ่นดินที่เราได้ให้ไว้กับบรรพบุรุษของพวกเขา”
16 พระยาห์เวห์พูดว่า “เราจะส่งชาวประมงออกไปจำนวนมาก และพวกเขาจะไปจับคนยูดาห์ แล้วหลังจากนั้นเราจะส่งนายพรานออกไปเป็นจำนวนมาก พวกนายพรานจะไปล่าพวกยูดาห์ ตามภูเขาและเนินเขาทุกลูก และตามซอกหิน
17 เพราะเรากำลังดูว่าพวกเขาทำอะไร พวกเขาไม่มีทางหลบรอดสายตาเราไปได้ ความบาปของพวกเขาไม่อาจปิดบังไปจากเราได้หรอก
18 เราจะตอบแทนพวกเขาเป็นสองเท่า สำหรับความผิดและความบาปของพวกเขา เพราะพวกเขาทำให้แผ่นดินของเราแปดเปื้อนด้วยซากทั้งหลายของรูปเคารพที่น่าขยะแขยง และได้ทำให้แผ่นดินของเราเต็มไปด้วยสิ่งที่น่ารังเกียจทั้งหลาย”
19 พระยาห์เวห์เจ้าข้า พระองค์เป็นพละกำลังของข้าพเจ้า เป็นที่กำบังอันมั่นคงของข้าพเจ้า
และเป็นที่ลี้ภัยของข้าพเจ้าในเวลาทุกข์ยากลำบาก
ชนชาติทั้งหลายจะมาหาพระองค์จากทั่วทุกมุมโลก
และพูดว่า
“บรรพบุรุษของพวกเราได้รับแต่ของที่ไม่ได้เรื่อง ไร้สาระ และไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรเลย
20 ควรแล้วหรือที่มนุษย์จะสร้างพระเจ้าให้กับตนเอง
สิ่งที่พวกเขาสร้างนั้นไม่ได้เป็นพระเจ้าอะไรเลย”
21 “ดังนั้น ตอนนี้เราจะสอนพวกเขา ครั้งนี้เราจะสอนพวกเขาเกี่ยวกับฤทธิ์อำนาจและความแข็งแกร่งของเรา แล้วพวกเขาจะได้รู้ว่าชื่อของเราคือยาห์เวห์”
พระเยซูรักษาคนอัมพาต
(มธ. 9:1-8; ลก. 5:17-26)
2 ไม่กี่วันต่อมา พระเยซูก็เข้าไปในเมืองคาเปอรนาอุมอีก พอชาวบ้านรู้ข่าวว่าพระองค์กลับมาอยู่บ้านแล้ว 2 ก็พากันมาเต็มบ้านจนล้นออกมาแออัดยัดเยียดกันอยู่หน้าประตู และพระเยซูก็สั่งสอนพระคำของพระเจ้าให้กับพวกเขา 3 มีชายสี่คนหามคนเป็นอัมพาตมาบนเปล 4 แต่เข้าไปไม่ถึงพระเยซูเพราะคนแน่นมาก พวกเขาจึงรื้อหลังคาตรงกับที่พระองค์นั่งอยู่ออก แล้วหย่อนเปลที่คนเป็นอัมพาตนั้นนอนอยู่ลงไป 5 เมื่อพระองค์เห็นความเชื่อของพวกเขา ก็พูดกับคนเป็นอัมพาตว่า “ลูกรัก บาปของลูกได้รับการอภัยแล้ว”
6 มีครูสอนกฎปฏิบัตินั่งอยู่ที่นั่นหลายคน พวกเขาคิดในใจว่า 7 “เอ๊ะ มันพูดอย่างนี้ได้ไง แบบนี้ดูหมิ่นพระเจ้าชัดๆเพราะมีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่ให้อภัยบาปได้” 8 พระเยซูรู้ทันทีว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่จึงพูดว่า “ทำไมพวกคุณถึงคิดอย่างนี้ 9 จะให้เราพูดกับคนเป็นอัมพาตคนนี้ว่า ‘บาปของคุณได้รับการอภัยแล้ว’ หรือพูดว่า ‘ลุกขึ้นพับเปลแล้วเดินเถิด’ อันไหนจะง่ายกว่ากัน 10 แต่เพื่อให้พวกคุณรู้ว่าบุตรมนุษย์มีสิทธิอำนาจในโลกที่จะให้อภัยบาปได้” พระองค์จึงพูดกับคนเป็นอัมพาตว่า 11 “เราสั่งให้คุณลุกขึ้น เก็บเปลแล้วกลับบ้านได้แล้ว” 12 เขาก็ลุกขึ้นทันที เก็บเปล แล้วเดินออกไปต่อหน้าต่อตาทุกคนที่มองอยู่ด้วยความงุนงง พวกเขาจึงร้องสรรเสริญพระเจ้าและพูดกันว่า “พวกเราไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย”
พระเยซูเลือกเลวี
(มธ. 9:9-13; ลก. 5:27-32)
13 พระเยซูไปที่ทะเลสาบอีก มีคนมาหาพระองค์เยอะมาก พระองค์ก็สั่งสอนพวกเขา 14 ขณะที่พระองค์เดินมาตามทางนั้นก็เห็นเลวีลูกของอัลเฟอัสนั่งอยู่ที่ด่านเก็บภาษี พระองค์พูดกับเขาว่า “ตามเรามา” เลวีก็ลุกขึ้นตามพระองค์ไปทันที
15 เย็นนั้นเมื่อพระองค์กินอาหารอยู่ที่บ้านเลวี ก็มีพวกคนเก็บภาษี และคนบาปจำนวนมาก มากินอาหารร่วมกับพระองค์และพวกศิษย์ มีคนพวกนี้ที่มาติดตามพระองค์เยอะมาก 16 เมื่อครูสอนกฎปฏิบัติบางคนที่เป็นพวกฟาริสีเห็นเข้า ก็ถามพวกศิษย์ของพระเยซูว่า “ทำไมเขาถึงกินอาหารกับพวกคนเก็บภาษีและพวกคนบาป”
17 เมื่อพระองค์ได้ยินก็ตอบว่า “คนสบายดีไม่ต้องการหมอหรอก แต่คนป่วยต้องการหมอ เราไม่ได้มาเพื่อเรียกคนดี แต่มาเพื่อเรียกคนบาป”
พระเยซูแตกต่างจากผู้นำศาสนา
(มธ. 9:14-17; ลก. 5:33-39)
18 เวลานั้นศิษย์ของยอห์นและของพวกฟาริสีกำลังอดอาหารกันอยู่ มีบางคนมาถามพระเยซูว่า “ทำไมศิษย์ของยอห์นและของพวกฟาริสีอดอาหารกัน แต่ทำไมศิษย์ของท่านถึงไม่ทำบ้างล่ะ”
19 พระองค์ตอบว่า “เมื่อเจ้าบ่าวยังอยู่ เพื่อนๆของเขาจะอดอาหารได้อย่างไร เขาจะไม่อดอาหารตอนที่เจ้าบ่าวยังอยู่หรอก 20 แต่เมื่อถึงวันนั้น ที่เจ้าบ่าวถูกพรากไปจากพวกเขา แล้วพวกเขาถึงจะอดอาหาร
21 ไม่มีใครเอาผ้าที่ยังไม่หดมาปะเข้ากับผ้าเก่าหรอก เพราะเมื่อชิ้นผ้าใหม่หด ก็จะดึงผ้าเก่าให้ขาดมากกว่าเดิม 22 ไม่มีใครเอาเหล้าองุ่นใหม่เทใส่ถุงหนังเก่ากัน เพราะเหล้าองุ่นใหม่จะทำให้ถุงหนังเก่าแตก เสียทั้งเหล้าองุ่นและถุงหนังเก่า เขาถึงได้เอาเหล้าองุ่นใหม่ใส่ในถุงหนังใหม่กัน”
ชาวยิวบางคนวิจารณ์พระเยซู
(มธ. 12:1-8; ลก. 6:1-5)
23 มีครั้งหนึ่งในวันหยุดทางศาสนา พระเยซูเดินผ่านทุ่งข้าวสาลี ระหว่างนั้นพวกศิษย์ของพระองค์ก็เด็ดยอดรวงข้าวมาขยี้เปลือกออกแล้วกินกัน 24 เมื่อพวกฟาริสีเห็น จึงถามพระเยซูว่า “ดูนั่นสิ พวกศิษย์ของคุณกำลังทำผิดกฎวันหยุดทางศาสนา”
25 พระองค์ก็ตอบว่า “พวกคุณไม่เคยอ่านหรือว่ากษัตริย์ดาวิดทำอะไรตอนที่เขาและลูกน้องอดอยากหิวโหย 26 เขาได้เข้าไปในบ้านของพระเจ้าซึ่งอาบีอาธาร์เป็นนักบวชสูงสุดอยู่ในตอนนั้น และกินขนมปังศักดิ์สิทธิ์ซึ่งตามกฎแล้วมีแต่พวกนักบวชเท่านั้นที่กินได้ แล้วยังแบ่งให้ลูกน้องกินอีกด้วย” 27 พระเยซูตอบพวกเขาว่า “พระเจ้าตั้งวันหยุดไว้เพื่อช่วยมนุษย์ ไม่ใช่ให้มนุษย์ต้องมาลำบาก เพราะวันหยุดนั้น 28 ยิ่งกว่านั้น บุตรมนุษย์ก็เป็นนายเหนือวันหยุดทางศาสนาด้วย”
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International