Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
โยชูวา 20-21

เมืองลี้ภัย

(กดว. 35:9-15; ฉธบ. 19:1-13)

20 จากนั้นพระยาห์เวห์ได้พูดกับโยชูวาว่า “ให้บอกชาวอิสราเอลว่า ‘ให้ตั้งเมืองลี้ภัยขึ้น สำหรับพวกเจ้าทั้งหลาย ซึ่งเราได้บอกกับพวกเจ้าผ่านทางโมเสส เมื่อใครก็ตามได้ฆ่าคนตายโดยอุบัติเหตุหรือไม่ได้ตั้งใจ จะได้หนีไปอยู่ที่นั่น เมืองเหล่านั้นจะได้เป็นที่ลี้ภัยของพวกเจ้า เพื่อให้พ้นจากญาติของคนตายที่มีหน้าที่ลงโทษคนฆ่า

เมื่อคนที่ได้ฆ่าคนตายนั้นหนีไปยังเมืองเหล่านี้ เขาต้องยืนอยู่ที่ทางเข้าประตูเมืองนั้นและอธิบายเรื่องของตนให้กับพวกผู้ใหญ่ของเมืองนั้นฟัง แล้วพวกเขาก็จะรับคนผู้นั้นเข้าไปและให้พักอาศัยร่วมกับพวกเขา แล้วถ้ามีญาติคนตายที่จะแก้แค้นเขาไล่ติดตามเขามา พวกผู้อาวุโสของเมืองต้องไม่มอบตัวเขาออกไป เพราะเขาผู้นั้นได้ฆ่าเพื่อนบ้านตายโดยไม่ได้ตั้งใจและไม่ได้บาดหมางกันมาก่อน คนที่ฆ่าคนอื่นนั้นจะอาศัยอยู่ที่เมืองนั้นจนกว่าเขาจะมายืนอยู่ต่อหน้าชุมชนเพื่อรับการตัดสิน และถ้าตัดสินว่าไม่ตั้งใจฆ่า เขาก็จะอยู่ที่นั่นต่อไป จนกว่าคนที่เป็นนักบวชชั้นสูงสุดในเวลานั้นได้ตายไป จากนั้น คนที่ฆ่าคนอื่นนั้นจะได้รับอนุญาตให้กลับบ้าน ไปยังเมืองที่เขาได้หลบหนีมา’”

ดังนั้นพวกเขาจึงได้กำหนดเมืองสำหรับลี้ภัยไว้ดังนี้ คือ เมืองเคเดช ในกาลิลี ในแถบเนินเขานัฟทาลี เมืองเชเคมในแถบเนินเขาของเอฟราอิม และคิริยาทอารบา (หรือเฮโบรน) ในแถบเนินเขายูดาห์ และอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดนซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองเยริโค พวกเขาได้เลือกเมืองเบเซอร์ที่อยู่ในทะเลทรายบนที่ราบสูงของชนเผ่ารูเบน กับเมืองราโมทในกิเลอาดของชนเผ่ากาด และเมืองโกลานในบาชาน ของชนเผ่ามนัสเสห์

เมืองเหล่านั้นเป็นเมืองที่ได้กำหนดไว้สำหรับชาวอิสราเอลทุกคน และคนต่างชาติที่อาศัยอยู่ในหมู่พวกเขา เพื่อว่าหากมีใครฆ่าคนโดยไม่ได้ตั้งใจ จะได้หนีไปอยู่ที่นั่น และไม่ต้องถูกฆ่าตายด้วยมือของญาติผู้ตายที่มีหน้าที่ลงโทษคนฆ่า จนกว่าเขาจะได้ยืนอยู่ต่อหน้าชุมชนเพื่อการตัดสินคดี

เมืองของชนเผ่าเลวี

21 จากนั้นหัวหน้าตระกูลต่างๆในเผ่าเลวี ได้มาพบนักบวชเอเลอาซาร์ โยชูวาลูกของนูนและหัวหน้าของตระกูลต่างๆของแต่ละเผ่าของอิสราเอล คนเผ่าเลวีได้พูดกับคนเหล่านั้นที่เมืองชิโลห์ในแผ่นดินคานาอันว่า “พระยาห์เวห์ได้สั่งผ่านโมเสสไว้ว่า พวกเราจะได้รับเมืองหลายเมืองเพื่ออยู่อาศัยพร้อมๆกับทุ่งหญ้าสำหรับสัตว์เลี้ยงของพวกเราด้วย” เพื่อให้เป็นไปตามคำสั่งของพระยาห์เวห์ ชาวอิสราเอลจึงได้ยกเมืองต่างๆเหล่านี้และทุ่งหญ้าของเมืองเหล่านั้น จากมรดกของพวกเขาให้กับชาวเลวี คือ

เมื่อสลากออกมา เพื่อชี้ว่าใครควรจะได้รับเมืองไหน สลากอันแรกเป็นของตระกูลต่างๆของโคฮาท ดังนั้น ชาวเลวีในตระกูลต่างๆของโคฮาทซึ่งเป็นลูกหลานของนักบวชอาโรนได้รับเมืองสิบสามเมืองจากชนเผ่ายูดาห์ สิเมโอน และเบนยามิน ตามสลากที่จับได้

ส่วนคนโคฮาทที่เหลือ จับสลากได้เมืองสิบเมืองจากตระกูลต่างๆของเผ่าเอฟราอิม จากเผ่าดานและจากครึ่งหนึ่งของเผ่ามนัสเสห์

คนเกอร์โชนได้รับเมืองสิบสามเมือง จากตระกูลต่างๆของเผ่าอิสสาคาร์ จากเผ่าอาเชอร์ จากเผ่านัฟทาลี และจากครึ่งหนึ่งของเผ่ามนัสเสห์ในบาชาน

พวกตระกูลต่างๆของคนเมรารี ได้รับเมืองสิบสองเมืองจากเผ่ารูเบน จากเผ่ากาด และจากเผ่าเศบูลุน

ชาวอิสราเอลได้จับสลาก ให้เมืองต่างๆเหล่านี้และทุ่งหญ้าของเมืองเหล่านี้ กับชาวเลวีตามที่พระยาห์เวห์ได้สั่งไว้ผ่านทางโมเสส

นี่คือรายชื่อของเมืองต่างๆจากเผ่ายูดาห์ และเผ่าสิเมโอน 10 ที่ได้ยกให้กับพวกลูกหลานของอาโรน คือตระกูลหนึ่งของชาวโคฮาท ซึ่งเป็นชาวเลวี เพราะว่าสลากใบแรกตกเป็นของตระกูลนี้ 11 ชาวอิสราเอลให้เมืองคิริยาทอารบา (อารบา เป็นพ่อของอานาค) คือเมืองเฮโบรน ในแถบเนินเขาของยูดาห์พร้อมกับทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์รอบๆเมืองนั้น 12 แต่ทุ่งนาและชนบทของเมืองนั้นได้ยกให้เป็นมรดกของคาเลบลูกชายของเยฟุนเนห์ 13 สำหรับลูกหลานของนักบวชอาโรน พวกเขาได้ให้เมืองเฮโบรน (ซึ่งเป็นเมืองลี้ภัยสำหรับผู้ที่ได้รับการกล่าวหาว่าฆ่าคนตาย) พร้อมกับทุ่งหญ้ารอบเมืองนั้น และเมืองลิบนาห์พร้อมทุ่งหญ้า 14 เมืองยาททีร์กับทุ่งหญ้ารอบเมือง เมืองเอชเทโมอากับทุ่งหญ้ารอบเมือง 15 เมืองโฮโลนกับทุ่งหญ้ารอบเมือง เมืองเดบีร์กับทุ่งหญ้ารอบเมือง 16 เมืองอายินกับทุ่งหญ้ารอบเมือง เมืองยุทธาห์กับทุ่งหญ้ารอบเมือง และเมืองเบธเชเมชกับทุ่งหญ้ารอบเมือง รวมเป็นเก้าเมืองจากเผ่าสองเผ่านี้

17 ชนเผ่าเบนยามินได้ให้เมืองกิเบโอนกับทุ่งหญ้ารอบเมือง เมืองเกบากับทุ่งหญ้ารอบเมือง 18 เมืองอานาโธทกับทุ่งหญ้ารอบเมือง และเมืองอัลโมนกับทุ่งหญ้ารอบเมือง รวมเป็นสี่เมือง 19 รวมเมืองทั้งหมดที่เป็นของพวกนักบวชที่เป็นลูกหลานของอาโรน มีสิบสามเมืองกับทุ่งหญ้ารอบเมืองเหล่านั้น

20 ส่วนชาวโคฮาทที่เหลือของพวกตระกูลโคฮาทในเผ่าเลวี ได้เมืองต่างๆจากเผ่าเอฟราอิม โดยการจับสลาก 21 พวกเขาได้รับเมืองเชเคม (เป็นเมืองหนึ่งในเมืองลี้ภัยสำหรับผู้ที่ได้รับการกล่าวหาว่าฆ่าคนตาย) กับทุ่งหญ้ารอบเมืองในแถบเนินเขาเอฟราอิม และเมืองเกเซอร์กับทุ่งหญ้ารอบเมือง 22 เมืองขิบซาอิมกับทุ่งหญ้ารอบเมือง และเมืองเบธโฮโรนกับทุ่งหญ้ารอบเมือง รวมเป็นสี่เมือง

23 ชาวโคฮาทได้รับเมืองต่อไปนี้จากเผ่าดาน คือ เมืองเอลเทเคห์กับทุ่งหญ้ารอบเมือง เมืองกิบเบโธนกับทุ่งหญ้ารอบเมือง 24 เมืองอัยยาโลนกับทุ่งหญ้ารอบเมือง และเมืองกัทริมโมนกับทุ่งหญ้ารอบเมือง รวมเป็นสี่เมือง

25 ชาวโคฮาทได้รับเมืองต่อไปนี้จากเผ่ามนัสเสห์ครึ่งเผ่า คือ เมืองทาอานาคกับทุ่งหญ้ารอบเมือง และเมืองกัทริมโมนกับทุ่งหญ้ารอบเมืองรวมเป็นสองเมือง

26 เมืองทั้งหมดรวมเป็นสิบเมือง กับทุ่งหญ้ารอบเมืองเหล่านั้น ซึ่งมอบให้กับตระกูลอื่นๆที่เหลือของโคฮาท

27 ในพวกตระกูลต่างๆของชาวเลวี คนเกอร์โชนได้รับเมืองต่อไปนี้ คือ

คนเกอร์โชนได้รับเมืองต่อไปนี้จากเผ่ามนัสเสห์ครึ่งเผ่า คือเมืองโกลานในบาชาน (เป็นเมืองลี้ภัยเมืองหนึ่งสำหรับผู้ที่ได้รับการกล่าวหาว่าฆ่าคนตาย) และเมืองเบเอชเท-ราห์กับทุ่งหญ้ารอบเมือง รวมเป็นสองเมือง

28 คนเกอร์โชนได้รับเมืองต่อไปนี้จากเผ่าอิสสาคาร์ เมืองคีชิโอนกับทุ่งหญ้ารอบเมือง เมืองดาเบรัทกับทุ่งหญ้ารอบเมือง 29 เมืองยารมูทกับทุ่งหญ้ารอบเมือง และเมืองเอนกันนิมกับทุ่งหญ้ารอบเมืองรวมเป็นสี่เมือง

30 คนเกอร์โชนได้รับเมืองต่อไปนี้จากเผ่าอาเชอร์ คือ เมืองมิชอาลกับทุ่งหญ้ารอบเมือง เมืองอับโดนกับทุ่งหญ้ารอบเมือง 31 เมืองเฮลขัทกับทุ่งหญ้ารอบเมือง และเมืองเรโหบกับทุ่งหญ้ารอบเมือง รวมเป็นสี่เมือง

32 คนเกอร์โชนได้รับเมืองต่อไปนี้จากเผ่านัฟทาลี เมืองเคเดชในกาลิลีกับทุ่งหญ้ารอบเมือง (หนึ่งในเมืองลี้ภัยสำหรับผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าฆ่าคนตาย) เมืองฮัมโมทโดร์กับทุ่งหญ้ารอบเมือง และเมืองคารทานกับทุ่งหญ้ารอบเมือง รวมเป็นสามเมือง

33 พวกตระกูลเกอร์โชนได้รับสิบสามเมืองกับทุ่งหญ้ารอบเมือง

34 พวกตระกูลเมรารี (คนเผ่าเลวีที่เหลือ) ได้เมืองต่อไปนี้ คือ

พวกตระกูลเมรารีได้รับเมืองต่อไปนี้จากเผ่าเศบูลุน คือ เมืองโยกเนอัมกับทุ่งหญ้ารอบเมือง เมืองคารทาห์กับทุ่งหญ้ารอบเมือง 35 เมืองดิมนาห์กับทุ่งหญ้ารอบเมือง และเมืองนาหะลาลกับทุ่งหญ้ารอบเมือง รวมเป็นสี่เมือง

36 พวกตระกูลเมรารีได้รับเมืองต่อไปนี้จากเผ่ารูเบน คือ เมืองเบเซอร์กับทุ่งหญ้ารอบเมือง เมืองยาฮาสกับทุ่งหญ้ารอบเมือง 37 เมืองเคเดโมทกับทุ่งหญ้ารอบเมือง และเมืองเมฟาอัทกับทุ่งหญ้ารอบเมือง รวมเป็นสี่เมือง

38 พวกตระกูลเมรารีได้รับเมืองต่อไปนี้จากเผ่ากาด คือ เมืองราโมทในกิเลอาด (หนึ่งในเมืองลี้ภัยสำหรับผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าฆ่าคนตาย) กับทุ่งหญ้ารอบเมือง เมืองมาหะนาอิมกับทุ่งหญ้ารอบเมือง 39 เมืองเฮชโบนกับทุ่งหญ้ารอบเมือง เมืองยาเซอร์กับทุ่งหญ้ารอบเมือง รวมเป็นสี่เมือง

40 เมืองทั้งสิบสองเมืองนี้ได้มอบให้กับตระกูลต่างๆของคนเมรารีโดยการจับสลาก พวกนี้เป็นพวกตระกูลต่างๆของคนเผ่าเลวีที่เหลือ

41 เมืองต่างๆของเผ่าเลวีที่อยู่ในอาณาเขตของชาวอิสราเอลมีทั้งหมด สี่สิบแปดเมืองกับทุ่งหญ้ารอบๆเมืองเหล่านั้น 42 แต่ละเมืองมีทุ่งหญ้าล้อมรอบ ทุกเมืองก็เป็นอย่างนี้

43 อย่างนี้ พระยาห์เวห์ได้มอบแผ่นดินทั้งหมดแก่ชาวอิสราเอล ซึ่งพระองค์ได้สัญญาไว้กับบรรพบุรุษของพวกเขาว่าจะยกให้กับพวกเขา และพวกเขาก็เข้าไปยึดครอง และตั้งรกรากกันที่นั่น 44 พระยาห์เวห์ได้ให้ความสงบสุขกับพวกเขาในทุกด้าน ตามที่พระองค์ให้สัญญาไว้กับบรรพบุรุษของพวกเขา ไม่มีศัตรูคนใดของพวกเขาที่สามารถยืนหยัดต่อสู้พวกเขาได้ เพราะพระยาห์เวห์ได้มอบศัตรูทั้งสิ้นของพวกเขาไว้ในกำมือของพวกเขาแล้ว 45 ในพวกคำสัญญาที่ดีๆที่พระยาห์เวห์ได้ให้กับครอบครัวอิสราเอล ไม่มีสักเรื่องที่ล้มเหลว ทุกเรื่องสำเร็จหมด

กิจการ 1

ลูกาเขียนหนังสืออีกเล่ม

ท่านเธโอฟีลัสที่รัก ในหนังสือเล่มแรกที่ผมเขียนให้นั้น เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเยซูทำและสั่งสอนตั้งแต่เริ่มต้น จนถึงวันที่พระองค์ถูกรับขึ้นสวรรค์ แต่ก่อนที่พระองค์จะถูกรับขึ้นสวรรค์นั้น พระองค์สั่งพวกศิษย์เอกที่พระองค์ได้เลือกไว้ พระองค์ได้สั่งพวกเขาผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ว่าจะต้องทำอะไรบ้าง หลังจากที่พระเยซูตายแล้ว ในช่วงเวลาสี่สิบวันพระองค์มาปรากฏตัวให้พวกเขาเห็นหลายครั้งหลายหน พระองค์ทำหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อพิสูจน์ให้พวกนี้เห็นว่า พระองค์ฟื้นขึ้นจากความตายแล้วจริงๆและพูดกับพวกเขาถึงเรื่องอาณาจักรของพระเจ้า เมื่อพระองค์กำลังกินอาหารกับพวกศิษย์เอก พระองค์สั่งพวกเขาว่า “ห้ามไปไหน ให้คอยอยู่ที่เมืองเยรูซาเล็มก่อน จนกว่าจะได้รับสิ่งที่พระบิดาสัญญาไว้ ตามที่เราเคยบอกพวกคุณแล้ว ยอห์นทำพิธีจุ่มให้คนด้วยน้ำ แต่อีกไม่กี่วันพวกคุณก็จะได้รับการจุ่มด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์”

พระเยซูกลับสู่สวรรค์

เมื่อพระเยซูกับพวกศิษย์เอกมาอยู่กันพร้อมหน้า พวกศิษย์เอกถามพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า ตอนนี้พระองค์กำลังจะคืนแผ่นดินให้กับอิสราเอลแล้วใช่ไหมครับ” พระองค์ตอบว่า “มันไม่ใช่เรื่องของคุณ พระบิดาเองได้ตัดสินวันเวลานั้นไว้ก่อนแล้ว เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์มาอยู่กับพวกคุณ พวกคุณก็จะได้รับฤทธิ์เดช และจะเป็นพยานเล่าเรื่องของเราให้คนฟัง ทั่วเมืองเยรูซาเล็ม ในแคว้นยูเดีย ในแคว้นสะมาเรีย และทุกหนแห่งในโลกนี้”

เมื่อพระเยซูพูดเสร็จ พระเจ้าก็ได้รับพระองค์ขึ้นไปสวรรค์ต่อหน้าต่อตาพวกเขา แล้วก้อนเมฆก็บังพระองค์จากสายตาของพวกเขา 10 ในขณะที่พวกเขากำลังเพ่งดูพระองค์จากไปในท้องฟ้านั้น จู่ๆก็มีชายชุดขาวสองคนมายืนอยู่ข้างๆพวกเขา 11 แล้วพูดว่า “ชาวกาลิลี พวกคุณยังยืนเพ่งดูท้องฟ้าอยู่ทำไม พระเจ้ารับพระเยซูขึ้นไปบนสวรรค์แล้ว และพระองค์จะเสด็จกลับมาอีกครั้งเหมือนอย่างที่คุณเห็นพระองค์ถูกรับขึ้นไปนี่แหละ”

เลือกศิษย์คนใหม่แทนยูดาส

12 จากนั้นพวกเขาก็ลงจากภูเขามะกอกเทศ กลับไปที่เมืองเยรูซาเล็ม ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณหนึ่งกิโลเมตร[a] 13 เมื่อมาถึงเมืองเยรูซาเล็ม พวกศิษย์ซึ่งมีเปโตร ยอห์น ยากอบกับอันดรูว์ ฟีลิปกับโธมัส บารโธโลมิวกับมัทธิว ยากอบบุตรชายของอัลเฟอัส ซีโมนผู้มีใจจดจ่อกับพระเจ้า กับยูดาสลูกชายยากอบ ก็ได้ขึ้นไปห้องชั้นบนที่พวกเขาเคยอยู่ 14 พวกเขาทั้งสิบเอ็ดคน รวมทั้งผู้หญิงบางคนและมารีย์แม่ของพระเยซู ตลอดจนน้องๆของพระองค์ ก็มาพบกันเพื่ออธิษฐานอยู่เสมอ

15 มีอยู่วันหนึ่ง เปโตรยืนขึ้นในกลุ่มศิษย์ที่มาพบกัน ซึ่งมีอยู่ประมาณหนึ่งร้อยยี่สิบคน แล้วเขาพูดว่า 16 “พี่น้องทั้งหลาย ข้อความในพระคัมภีร์จะต้องเป็นจริงตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้พูดผ่านทางปากของกษัตริย์ดาวิด เมื่อนานมาแล้วเกี่ยวกับยูดาสที่นำคนพวกนั้นไปจับพระเยซู 17 ยูดาสเป็นคนหนึ่งในกลุ่มของพวกเราและมีส่วนร่วมในการงานนี้ด้วย” 18 (ยูดาส เอาเงินที่ได้จากการทำชั่วครั้งนี้ไปซื้อที่ดินไว้ แต่เขาหกล้มหัวฟาดพื้น พุงแตกไส้ทะลักตายบนที่ดินนั้น 19 เรื่องนี้รู้กันทั่วเมืองเยรูซาเล็ม พวกเขาจึงเรียกที่ดินตรงนั้นตามภาษาท้องถิ่นว่า อาเคลดามา ซึ่งหมายถึง “ที่ดินเลือด”) 20 เปโตรพูดต่อว่า “เรื่องนี้มีเขียนไว้แล้วในหนังสือสดุดีว่า

‘ขอให้ที่อยู่ของเขารกร้างว่างเปล่า
    อย่ามีใครเข้าไปอยู่เลย’[b]

‘ให้มีคนอื่นมารับตำแหน่งผู้นำแทนเขาด้วย’[c]

21 ดังนั้นเราจำเป็นจะต้องเลือกชายคนหนึ่งขึ้นมาแทนยูดาส และเขาจะต้องเป็นคนที่อยู่กับเราตลอดเวลาในช่วงที่พวกเราติดสอยห้อยตามพระเยซูด้วย 22 เริ่มตั้งแต่ยอห์นทำพิธีจุ่มน้ำ จนถึงวันที่พระเจ้ารับพระเยซูขึ้นไปสวรรค์ คนคนนี้จะต้องเป็นพยานร่วมกับพวกเราที่จะบอกให้คนอื่นๆรู้ว่า พระเยซูฟื้นจากความตายแล้ว” 23 พวกเขาจึงได้เสนอชื่อชายสองคนคือ โยเซฟ บารซับบาส (หรือที่รู้จักกันว่ายุสทัส) และอีกคนคือมัทธีอัส 24 แล้วพวกเขาก็อธิษฐานว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์รู้จักจิตใจของมนุษย์ทุกคนดี ช่วยแสดงให้พวกเราเห็นว่า ในสองคนนี้พระองค์ได้เลือกใคร 25 ให้มาทำหน้าที่รับใช้เป็นศิษย์เอกแทนยูดาสคนที่ละทิ้งหน้าที่ และได้ไปอยู่ในที่ที่เขาสมควรไปอยู่แล้ว” 26 แล้วพวกเขาก็จับสลากกัน และได้ชื่อมัทธีอัส เขาจึงถูกนับรวมเข้ากับศิษย์เอกทั้งสิบเอ็ดคนนั้นด้วย

เยเรมียาห์ 10

พระยาห์เวห์กับรูปเคารพ

10 คนอิสราเอล ให้ฟังสิ่งที่พระยาห์เวห์พูดกับเจ้า พระยาห์เวห์พูดไว้ว่าอย่างนี้คือ

“อย่าไปเรียนรู้วิถีทางของชนชาติต่างๆ
    และอย่ากลัวปรากฏการณ์ต่างๆบนท้องฟ้า
    ใช่ ชนชาติต่างๆพากันเกรงกลัวสิ่งเหล่านั้น
ประเพณีต่างๆของคนต่างชาตินั้นไม่มีประโยชน์
คนหนึ่งในพวกนั้นจะตัดต้นไม้จากป่า
    มันเป็นผลงานที่ช่างแกะสลักทำขึ้นมากับมือและกับเครื่องมือของเขา
เขาตกแต่งมันด้วยเงินและทอง
    เขาเอาค้อนตอกตะปูยึดมันไม่ให้โคลงเคลง
พวกมันเป็นเหมือนหุ่นไล่กาในไร่แตงกวา
    พวกมันพูดไม่ได้
ต้องให้คนอุ้มไปเพราะเดินเองก็ไม่ได้
    อย่าไปกลัวพวกมัน
เพราะมันทำร้ายเจ้าไม่ได้หรอก
    และมันก็ช่วยอะไรเจ้าไม่ได้เหมือนกัน”

พระยาห์เวห์ ไม่มีใครยิ่งใหญ่ไปกว่าพระองค์อีกแล้ว
    ชื่อของพระองค์ยิ่งใหญ่และทรงพลัง
จะมีใครกันที่ไม่ยำเกรงพระองค์ พระองค์เป็นกษัตริย์ของชนชาติต่างๆ
    พระองค์สมควรจะได้รับความยำเกรง
เพราะไม่มีใครเหมือนกับพระองค์แม้แต่คนฉลาดของทุกชนชาติ
    และคนฉลาดของอาณาจักรทั้งหลาย

พวกนั้นทั้งโง่ทั้งทึ่ม
    พวกเขาร่ำเรียนในสิ่งที่ไม่มีประโยชน์
    และครูผู้สอนของเขาก็คือต้นไม้นั่นเอง
เงินที่ถูกทุบเป็นแผ่นนั้นก็เอามาจากทารชิช
    ส่วนทองก็เอามาจากอุฟาส
รูปเคารพต่างๆที่ชนชาติทั้งหลายกราบไหว้บูชานั้นก็เป็นผลงานของช่างแกะสลักและเป็นฝีมือของช่างทอง
    เสื้อผ้าของรูปเคารพนั้นทำจากผ้าสีม่วง
    พวกมันทั้งหมดเป็นผลงานของช่างผู้ชำนาญ
10 แต่พระยาห์เวห์เป็นพระเจ้าที่เที่ยงแท้
    พระองค์เป็นพระเจ้าที่มีชีวิตจริงๆและเป็นกษัตริย์ตลอดกาล
แผ่นดินสั่นสะเทือนเมื่อพระองค์โกรธ
    และชนชาติต่างๆย่อมไม่สามารถต้านทานความโกรธของพระองค์ได้

11 พระยาห์เวห์พูดว่า “นี่คือสิ่งที่พวกเจ้าจะต้องบอกกับพวกเขา ในเมื่อพระพวกนั้นไม่ได้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกขึ้นมา พวกมันก็จะต้องพินาศไปจากแผ่นดินโลกและฟ้าสวรรค์”

12 แต่พระยาห์เวห์เป็นผู้สร้างแผ่นดินโลกด้วยพละกำลังของพระองค์
    พระองค์เป็นผู้ก่อตั้งโลกนี้ขึ้นมาด้วยสติปัญญาของพระองค์
    และเป็นผู้กางฟ้าสวรรค์ออกด้วยความรู้ของพระองค์เอง
13 เมื่อพระองค์พูดมันเหมือนกับเสียงน้ำบนฟ้าสวรรค์
    แล้วเมฆหมอกก็ลอยขึ้นมาจากสุดขอบโลก
พระองค์สร้างสายฟ้าแลบขึ้นสำหรับฝน
    ส่วนสายลมก็พัดออกมาจากคลังของพระองค์

14 มนุษย์ทุกคนโง่เขลาเบาปัญญา
    พระองค์ทำให้ช่างทองทุกคนต้องละอายใจที่ทำรูปเคารพขึ้นมา
เพราะรูปเคารพเหล่านั้นของเขาเป็นสิ่งหลอกลวง
    พวกมันไม่หายใจเสียด้วยซ้ำ
15 พวกมันไม่มีความหมาย เป็นผลงานที่น่าหัวเราะเยาะ
    เมื่อเราลงโทษพวกมัน พวกมันก็จะพินาศไป
16 ส่วนพระเจ้าของยาโคบนั้น ไม่เหมือนรูปเคารพพวกนี้
    เพราะพระองค์เป็นผู้สร้างทุกสิ่ง
และอิสราเอลก็เป็นเผ่าที่เป็นสมบัติส่วนตัวของพระองค์
    พระนามของพระองค์คือพระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้น

การทำลายล้างกำลังมา

17 ชาวเมืองทั้งหลายที่อยู่ในป้อมปราการ
    เก็บกระเป๋าของเจ้าขึ้นจากพื้น
18 เพราะพระยาห์เวห์พูดไว้ว่าอย่างนี้
“เรากำลังเหวี่ยงคนบนโลกตอนนี้
    และเราจะทำให้พวกเขาต้องทนทุกข์ทรมาน
    แบบที่พวกเขาจะต้องรู้สึกจริงๆ”

19 สงสารผมด้วย เพราะผมได้รับบาดเจ็บ
    แผลของผมนั้นเจ็บปวดยิ่งนัก
แล้วผมก็พูดว่า แน่ล่ะ นี่คือความเจ็บปวดของผม
    และผมก็ต้องอดทนกับมัน
20 เต็นท์ของผมถูกทำลาย
    เชือกเต็นท์ของผมก็ขาดหมด
พวกลูกๆทิ้งผมไป
    ไม่มีลูกเหลือสักคน
ไม่เหลือใครไว้คอยขึงเต็นท์ของผมเลย
    คนยกม่านเต็นท์ขึ้นก็ไม่มี
21 เพราะคนเลี้ยงแกะนั้นโง่เขลา
    พวกเขาไม่แสวงหาพระยาห์เวห์
นั่นเป็นเหตุที่พวกเขาไม่ประสบความสำเร็จ
    และฝูงแกะของพวกเขาก็กระจัดกระจายไปหมด
22 มีเสียงรายงานดังมา มันกำลังมาทางนี้
    เสียงกระหึ่มจากทางแผ่นดินทางเหนือ
มันจะเปลี่ยนบ้านเมืองของยูดาห์ให้เป็นซาก
    และให้กลายเป็นโพรงหมาไน

23 พระยาห์เวห์เจ้าข้า ผมรู้ว่าคนเราไม่สามารถกำหนดชะตาชีวิตของตัวเองได้
    คนเราไม่สามารถบอกได้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นบ้างและไม่สามารถบอกได้ว่าเขาจะทำอะไรได้บ้างในอนาคต
24 ข้าแต่พระยาห์เวห์ โปรดตีสอนผมเถิดแต่ขอให้ทำอย่างยุติธรรม
    อย่าได้ทำด้วยความโกรธเลย ไม่อย่างนั้นพระองค์จะทำให้ผมถึงจุดจบ
25 ขอให้ระบายความโกรธเกรี้ยวของพระองค์กับชนชาติต่างๆที่ไม่รู้จักพระองค์
    และกับตระกูลต่างๆที่ไม่ได้อธิษฐานต่อพระองค์
เพราะชนชาติพวกนั้นได้กลืนกินยาโคบ
    พวกเขาได้กำจัดเขา
    แถมยังพังบ้านของเขาด้วย

มัทธิว 24

การทำลายวิหารและการกลับมาของบุตรมนุษย์

(มก. 13:1-31; ลก. 17:24-37; 21:5-33)

24 เมื่อพระเยซูกำลังเดินออกจากวิหาร พวกศิษย์มาชี้ให้พระองค์ดูตึกต่างๆของวิหาร พระองค์จึงพูดกับพวกเขาว่า “เห็นตึกพวกนี้ไหม เราจะบอกให้รู้ว่า ตึกพวกนี้จะถูกทำลายจนหมดสิ้น ไม่เหลือแม้แต่ซากหินเรียงซ้อนทับกันอีกเลย”

ในขณะที่พระเยซูกำลังนั่งอยู่บนภูเขามะกอกเทศ พวกศิษย์มาหาพระองค์เป็นการส่วนตัว และพูดว่า “ช่วยบอกหน่อยครับว่า สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ แล้ววันที่อาจารย์จะกลับมาและวันสิ้นยุคนั้น จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ แล้วจะมีอะไรบอกเหตุให้รู้ก่อนไหมครับว่ามันจะเกิดขึ้นแล้ว”

พระเยซูตอบว่า “ระวังอย่าให้ใครหลอกได้ล่ะ เพราะจะมีหลายคนมาแอบอ้างชื่อของเรา เขาจะบอกว่าตัวเขาเป็นพระคริสต์ และทำให้หลายคนหลงเชื่อ เมื่อคุณได้ยินเสียงสงครามเกิดขึ้นใกล้ๆและได้ข่าวว่ามีสงครามที่อื่น ไม่ต้องตกใจ เพราะมันจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่นั่นยังไม่ใช่วันสุดท้ายของโลก ชนชาติหนึ่งจะลุกฮือขึ้นต่อสู้กับอีกชนชาติหนึ่ง อาณาจักรนี้จะลุกฮือขึ้นต่อสู้กับอาณาจักรโน้น จะเกิดการกันดารอาหาร และเกิดแผ่นดินไหวหลายแห่ง แต่นี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นของปัญหาเหมือนเจ็บท้องเตือนก่อนคลอดลูก

พวกคุณจะถูกจับไปทรมานและถูกฆ่า คนทุกประเทศจะเกลียดคุณ เพราะพวกคุณเป็นศิษย์ของเรา 10 เมื่อถึงเวลานั้น จะมีหลายคนทิ้งความเชื่อไป มีการหักหลังกันและเกลียดชังกัน 11 จะมีคนมากมายมาปลอมตัวเป็นผู้พูดแทนพระเจ้า และมาหลอกลวงคนจำนวนมาก 12 ความชั่วที่แพร่ไป จะทำให้ความรักของหลายคนมอดไป 13 แต่คนที่ทนได้จนถึงที่สุดจะได้รับความรอด 14 ข่าวดีเรื่องอาณาจักรของพระเจ้าจะถูกป่าวประกาศไปทั่วโลก เพื่อทุกชาติจะได้ยินเกี่ยวกับข่าวดีนี้ แล้วในที่สุดก็จะถึงวันสิ้นยุค

15 ‘สิ่งที่น่าขยะแขยง’[a] ที่ทำลายวิหารจนราบเรียบเป็นหน้ากลอง ตามที่ดาเนียลผู้พูดแทนพระเจ้าได้บอกไว้นั้น คุณจะได้เห็นตั้งอยู่ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์” (คนอ่านต้องทำความเข้าใจกับสิ่งนี้ให้ดี) 16 “เมื่อถึงเวลานั้น ให้คนที่อยู่ในแคว้นยูเดียวิ่งหนีไปที่ภูเขา 17 อย่าให้คนที่อยู่บนดาดฟ้ากลับเข้าไปเก็บของในบ้าน 18 อย่าให้คนที่อยู่ในไร่นา กลับไปเอาเสื้อคลุม 19 ในวันนั้นจะน่ากลัวมากสำหรับผู้หญิงท้องและแม่ลูกอ่อนที่ให้นมลูก 20 อธิษฐานขอให้เวลาที่จะต้องหนีนั้นไม่ใช่หน้าหนาวหรือวันหยุดทางศาสนา[b] 21 เพราะในเวลานั้นจะเกิดความทุกข์ยากอย่างใหญ่หลวงชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนับตั้งแต่โลกได้เกิดขึ้นจนถึงเดี๋ยวนี้ และจะไม่มีอะไรที่แย่ไปกว่านี้อีกแล้วในอนาคต 22 ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าพระเจ้าไม่ทำให้วันเวลาเหล่านั้นสั้นลง ก็จะไม่มีใครรอดชีวิตเลย แต่เพราะพระองค์เห็นแก่คนที่พระองค์ได้เลือกไว้ พระองค์จึงทำให้วันเวลาเหล่านั้นสั้นลง 23 ในเวลานั้นถ้ามีใครมาบอกว่า ‘ดูสิ นี่ไงพระคริสต์’ หรือ ‘โน่นไงพระองค์’ ก็อย่าไปหลงเชื่อ 24 เพราะจะมีพวกพระคริสต์จอมปลอมและพวกผู้พูดแทนพระเจ้าจอมปลอมเกิดขึ้น และพวกเขาก็จะทำอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์กัน ถ้าเป็นไปได้พวกเขาก็จะหลอกแม้กระทั่งคนที่พระเจ้าได้เลือกไว้แล้ว 25 จำไว้นะ เราได้เตือนพวกคุณไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว

26 ดังนั้น ถ้ามีใครมาบอกว่า ‘นั่นไงพระคริสต์ อยู่ในที่เปล่าเปลี่ยว’ ก็อย่าออกไป หรือถ้าคนบอกว่า ‘พระคริสต์อยู่นี่ไง ในห้องข้างในนั้น’ ก็อย่าไปหลงเชื่อ 27 เพราะเมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมาปรากฏตัว จะเหมือนกับฟ้าแลบทางทิศตะวันออก ที่สามารถมองเห็นได้ในทางทิศตะวันตก 28 และก็เหมือนกับที่ซากศพอยู่ที่ไหน ก็จะเห็นฝูงแร้งอยู่ที่นั่น

29 ‘ทันทีที่วันแห่งความทุกข์ยากนั้นสิ้นสุดลง
    ดวงอาทิตย์จะมืดมิด ดวงจันทร์จะไม่ส่องแสง
ดวงดาวจะร่วงหล่นจากท้องฟ้า
    พวกผู้มีอำนาจในฟ้าสวรรค์จะถูกสั่นคลอน’[c]

30 ในเวลานั้นจะมีสัญญาณบนท้องฟ้าบอกให้รู้ว่าบุตรมนุษย์กำลังจะเสด็จมา ประชาชนทั้งหมดบนโลกจะร้องไห้คร่ำครวญ และจะมองเห็นบุตรมนุษย์มาบนเมฆในท้องฟ้า มีฤทธิ์อำนาจที่ยิ่งใหญ่และบารมีอันเจิดจ้า 31 แล้วพระองค์จะส่งทูตสวรรค์ของพระองค์ออกไปด้วยเสียงแตรอันดัง พวกทูตสวรรค์จะรวบรวมคนที่พระองค์เลือกไว้แล้ว จากทั่วทุกทิศ จากขอบฟ้าด้านหนึ่งไปสุดขอบฟ้าอีกด้านหนึ่ง

32 ให้เรียนรู้จากต้นมะเดื่อกันเถอะ เมื่อต้นมะเดื่อเริ่มแตกกิ่งก้านและใบอ่อน พวกคุณก็ว่าใกล้ถึงหน้าร้อนแล้ว 33 เช่นเดียวกันเมื่อพวกคุณเห็นสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเกิดขึ้น พวกคุณก็รู้ว่าเวลานั้นใกล้มาถึงแล้ว อยู่ที่หน้าประตูนี่เอง 34 เราจะบอกให้รู้ว่า สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดจะเกิดขึ้นก่อนที่คนในรุ่นนี้จะตาย 35 สวรรค์และโลกจะสูญสิ้นไป แต่ถ้อยคำของเราจะไม่มีวันสูญหาย

พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าเวลานั้นจะมาถึงเมื่อไหร่

(มก. 13:32-37; ลก. 17:26-30, 34-36)

36 แต่ไม่มีใครรู้วันเวลานั้นเลย แม้แต่ทูตสวรรค์หรือพระบุตรก็ไม่รู้ มีแต่พระบิดาเท่านั้นที่รู้ 37 เมื่อบุตรมนุษย์จะมา ก็จะเหมือนกับในสมัยของโนอาห์ 38 ในสมัยนั้นก่อนที่น้ำจะท่วม ผู้คนได้กินและดื่มกัน แต่งงานกัน และยกลูกให้แต่งงานกัน จนกระทั่งวันที่โนอาห์เข้าไปในเรือ 39 คนพวกนี้ไม่รู้ตัวเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น จนกระทั่งน้ำท่วมและพัดพาคนพวกนี้ไปหมด เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมาก็จะเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน 40 ในเวลานั้น เมื่อชายสองคนกำลังทำไร่อยู่ คนหนึ่งจะถูกรับไป อีกคนหนึ่งจะถูกทิ้งไว้ 41 เมื่อผู้หญิงสองคนกำลังโม่แป้งอยู่ คนหนึ่งจะถูกรับไป และอีกคนหนึ่งจะถูกทิ้งไว้

42 พวกคุณ ระวังตัวไว้ให้ดี เพราะไม่รู้ว่าองค์เจ้าชีวิตจะมาเมื่อไหร่ 43 อย่าลืมว่า ถ้าเจ้าของบ้านรู้ตัวว่า ขโมยจะขึ้นบ้านตอนไหนในเวลากลางคืน เขาก็จะคอยระวัง ไม่ปล่อยให้ขโมยงัดเข้ามาในบ้านแน่ 44 พวกคุณก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมด้วย เพราะบุตรมนุษย์ จะมาในเวลาที่พวกคุณคาดไม่ถึง

ทาสซื่อสัตย์กับทาสชั่วช้า

(ลก. 12:41-48)

45 ใครเป็นทาสที่ซื่อสัตย์และฉลาด ที่เจ้านายมอบหมายให้ดูแลพวกทาสคนอื่นๆในบ้านเรือนของเขา และให้จัดหาอาหารให้ทาสพวกนั้นกินตามเวลา 46 เมื่อนายกลับมาเห็นทาสคนนั้นทำงานอย่างดี ทาสคนนั้นก็จะได้รับเกียรติจริงๆ 47 เราจะบอกให้รู้ว่า เจ้านายจะแต่งตั้งให้เขาดูแลทรัพย์สมบัติทั้งหมดของเขา 48 แต่ถ้าทาสคนนั้นชั่วช้า และคิดว่า ‘นายของข้ายังไม่กลับมาหรอก’ 49 แล้วเขาเริ่มทุบตีพวกทาสคนอื่นๆและกินดื่มกับพวกขี้เมา 50 นายของเขาจะกลับมาในวันเวลาที่เขาไม่คาดคิดและไม่ทันรู้ตัว 51 นายของเขาจะตัดเขาออกเป็นชิ้นๆและไล่ให้ไปอยู่กับพวกคนหน้าซื่อใจคด ซึ่งที่นั่นจะมีแต่เสียงร้องไห้โหยหวนอย่างเจ็บปวด

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International