Beginning
เพลงมีชัยของดาวิด
22 ดาวิดกล่าวกับพระผู้เป็นเจ้าเป็นเนื้อร้องในบทเพลงนี้ ในวันที่พระผู้เป็นเจ้าช่วยท่านให้หลุดพ้นจากเงื้อมมือของพวกศัตรูและจากซาอูล 2 ท่านกล่าวว่า
“พระผู้เป็นเจ้าเป็นศิลาและป้อมปราการของข้าพเจ้า และเป็นผู้ช่วยข้าพเจ้าให้พ้นภัย
3 พระเจ้าของข้าพเจ้าเป็นศิลาของข้าพเจ้าที่อาศัยพักพิงได้
พระองค์เป็นโล่ป้องกันและเขา[a]แห่งความรอดพ้น
เป็นหลักยึดอันมั่นคงของข้าพเจ้า ที่พึ่งพิง และผู้ช่วยให้รอดพ้น
พระองค์ช่วยข้าพเจ้าให้รอดจากคนที่ประทุษร้าย
4 ข้าพเจ้าร้องเรียกถึงพระผู้เป็นเจ้า ผู้สมควรแก่การสรรเสริญ
และข้าพเจ้ารอดพ้นจากพวกศัตรูของข้าพเจ้า
5 เพราะคลื่นแห่งความตายล้อมรอบตัวข้าพเจ้า
กระแสน้ำแห่งความพินาศท่วมท้นเกินทน
6 สายรัดแห่งแดนคนตายขดรอบตัวข้าพเจ้า
กับดักแห่งความตายเผชิญหน้าข้าพเจ้า
7 ในห้วงแห่งความทุกข์ยากข้าพเจ้าร้องเรียกถึงพระผู้เป็นเจ้า
ข้าพเจ้าร้องเรียกถึงพระเจ้าของข้าพเจ้า
พระองค์ได้ยินเสียงข้าพเจ้าจากพระวิหารของพระองค์
เสียงร้องของข้าพเจ้าดังไปถึงหูของพระองค์
8 แผ่นดินสั่นสะเทือน
และฐานรากของฟ้าสวรรค์โยกคลอนและสั่นไหวได้
เพราะพระองค์โกรธ
9 ควันพลุ่งจากช่องจมูกของพระองค์
และไฟเผาผลาญออกจากปากของพระองค์
ถ่านลุกโพลงขึ้นเป็นเปลวไฟโชติช่วงจากพระองค์
10 พระองค์เบิกฟ้าสวรรค์ลงมา
เมฆดำอยู่ใต้เท้าพระองค์
11 พระองค์ขึ้นนั่งบนตัวเครูบ[b]แล้วโผบิน
พระองค์ล่องไปกับสายลมอย่างรวดเร็ว
12 พระองค์ใช้ความมืดกำบังดั่งปะรำโอบล้อมพระองค์
เมฆฝนดำทะมึนในท้องฟ้า
13 ณ เบื้องหน้าพระองค์มีแสงสว่างเจิดจ้า
ทำให้ถ่านลุกโพลงขึ้นเป็นเปลวไฟ
14 พระผู้เป็นเจ้าเปล่งเสียงเป็นฟ้าร้องจากเบื้องสวรรค์
องค์ผู้สูงสุดเปล่งเสียง
15 พระองค์ยิงลูกธนู และทำให้ศัตรูกระเจิดกระเจิงไป
พระองค์ทำให้เกิดฟ้าแลบ และพวกเขาก็เตลิดเปิดเปิงไป
16 เมื่อพระผู้เป็นเจ้าบอกห้าม
เมื่อลมหายใจพ่นออกจากจมูกของพระองค์
น้ำในทะเลก็เปิดออกจนเห็นก้นบึ้งแห่งท้องทะเล
และฐานรากของแผ่นดินโลกโล่งโถง
17 พระองค์เอื้อมลงจากที่สูงคว้าตัวข้าพเจ้าไว้ได้
แล้วพระองค์ก็ดึงตัวข้าพเจ้าขึ้นจากห้วงน้ำลึก
18 พระองค์ช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากศัตรูผู้มีอำนาจยิ่ง
และจากพวกที่เกลียดชังข้าพเจ้า ด้วยว่า เขามีกำลังเกินกว่าข้าพเจ้า
19 เขาเหล่านั้นประจันหน้าข้าพเจ้าในยามวิบัติ
แต่พระผู้เป็นเจ้าเป็นหลักค้ำจุนของข้าพเจ้า
20 พระองค์ช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากบ่วงอันตราย
พระองค์ช่วยเหลือข้าพเจ้าไว้ก็เพราะพระองค์พอใจในตัวข้าพเจ้า
21 พระผู้เป็นเจ้ากระทำต่อข้าพเจ้าตามความชอบธรรมของข้าพเจ้า
พระองค์ให้รางวัลข้าพเจ้าตามความสะอาดของมือข้าพเจ้า
22 ด้วยว่า ข้าพเจ้าเดินตามทางของพระผู้เป็นเจ้า
และไม่ได้ทำความชั่วโดยหันเหไปจากพระเจ้าของข้าพเจ้า
23 ข้าพเจ้านึกถึงคำบัญชาของพระองค์เป็นที่ตั้ง
ข้าพเจ้าไม่ได้เพิกเฉยต่อกฎเกณฑ์ของพระองค์
24 ข้าพเจ้าปราศจากข้อตำหนิใดๆ ณ เบื้องหน้าพระองค์
และข้าพเจ้าระวังไม่กระทำบาป
25 พระผู้เป็นเจ้าได้ให้รางวัลข้าพเจ้าตามความชอบธรรมของข้าพเจ้า
ตามความบริสุทธิ์ของข้าพเจ้าต่อหน้าพระองค์
26 พระองค์แสดงความรักอันมั่นคงต่อคนที่มีความภักดี
พระองค์แสดงความไร้ข้อตำหนิของพระองค์ต่อคนที่ไร้ข้อตำหนิ
27 พระองค์แสดงความบริสุทธิ์ของพระองค์ต่อคนบริสุทธิ์
และพระองค์แสดงต่อคนคดโกงอย่างปราดเปรื่อง
28 พระองค์ช่วยคนถ่อมตัวให้รอดพ้น
และพระองค์จับจ้องที่คนใจยโสเพื่อทำให้พวกเขาเจียมตัว
29 โอ พระผู้เป็นเจ้า ด้วยว่า พระองค์เป็นดั่งตะเกียงของข้าพเจ้า
และพระผู้เป็นเจ้าทำให้ความมืดของข้าพเจ้าสว่างไสว
30 ข้าพเจ้าเหยียบย่ำกองทัพได้ก็ด้วยพระองค์
ข้าพเจ้าข้ามกำแพงได้ก็ด้วยพระเจ้า
31 พระเจ้านี้แหละ วิถีทางของพระองค์บริบูรณ์ทุกประการ
คำพูดของพระผู้เป็นเจ้าบริสุทธิ์
พระองค์เป็นโล่ป้องกันสำหรับทุกคนที่แสวงหาพระองค์เป็นที่พึ่ง
32 ใครเล่าคือพระเจ้านอกเหนือจากพระผู้เป็นเจ้า
และใครคือศิลานอกเหนือจากพระเจ้าของเรา
33 พระเจ้าเป็นที่พึ่งพิงของข้าพเจ้า
และทำให้วิถีทางของข้าพเจ้าบริบูรณ์ทุกประการ
34 พระองค์ทำให้เท้าของข้าพเจ้าเป็นดั่งเท้ากวาง
พระองค์ทำให้ข้าพเจ้ายืนในที่สูงได้
35 พระองค์ฝึกมือข้าพเจ้าให้พร้อมเพื่อการสงคราม
เพื่อแขนข้าพเจ้าจะได้น้าวคันธนูทองสัมฤทธิ์
36 และพระองค์ให้โล่แห่งความรอดพ้นแก่ข้าพเจ้า
และความช่วยเหลือของพระองค์ทำให้ข้าพเจ้ายิ่งใหญ่
37 พระองค์ทำให้ทางเดินที่ข้าพเจ้าเหยียบก้าวไปกว้างขึ้น
เพื่อเท้าของข้าพเจ้าจะไม่ลื่นล้ม
38 ข้าพเจ้าไล่ล่าศัตรูและปราบเขาได้
ข้าพเจ้าไม่ได้หวนกลับจนกระทั่งศัตรูพินาศไป
39 ข้าพเจ้าทำให้เขาพินาศไป ข้าพเจ้าทำให้เขาทรุดตัวลงจนลุกไม่ขึ้น
เขาล้มลงอยู่ใต้เท้าของข้าพเจ้า
40 และพระองค์ช่วยให้ข้าพเจ้าพรั่งพร้อมด้วยกำลังเพื่อศึกสงคราม
พระองค์ทำให้ฝ่ายตรงข้ามจมอยู่เบื้องล่าง
41 พระองค์ทำให้ศัตรูหันหลังหนีไปจากข้าพเจ้า
และข้าพเจ้าทำให้คนที่เกลียดชังข้าพเจ้าพินาศ
42 พวกเขาร้องขอความช่วยเหลือ แต่ไม่มีใครช่วยชีวิตไว้ได้
เขาร้องขอต่อพระผู้เป็นเจ้า แต่พระองค์ไม่ตอบ
43 ข้าพเจ้าเหยียบขยี้พวกเขาจนแหลกละเอียดเป็นผงธุลีบนพื้นดิน
ข้าพเจ้าโจมตีและเหยียบย่ำพวกเขาที่ถนนดั่งโคลนตม
44 พระองค์ได้ช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากการโต้แย้งกับชนชาติของข้าพเจ้า
พระองค์ได้ให้ข้าพเจ้าเป็นหัวหน้าของบรรดาประชาชาติ
ชนชาติที่ข้าพเจ้าไม่เคยรู้จักก็รับใช้ข้าพเจ้า
45 ชนต่างชาติยอมสยบต่อหน้าข้าพเจ้า
ทันทีที่พวกเขาได้ยินเสียงข้าพเจ้า เขาก็เชื่อฟังข้าพเจ้า
46 คนแปลกหน้าใจเสีย
และตัวสั่นเทาออกมาจากป้อมปราการของเขา
47 พระผู้เป็นเจ้ามีชีวิตอยู่ ให้ศิลาของข้าพเจ้าได้รับการสรรเสริญเถิด
และให้พระเจ้า ศิลาผู้ช่วยให้รอดพ้นของข้าพเจ้าได้รับการยกย่องเถิด
48 พระองค์เป็นพระเจ้าผู้แก้แค้นแทนข้าพเจ้า
และนำบรรดาชนชาติให้อยู่ใต้การปกครองของข้าพเจ้า
49 พระองค์ช่วยข้าพเจ้าให้มีอิสระจากศัตรู
พระองค์ยกข้าพเจ้าอยู่เหนือข้าศึก
พระองค์ให้ข้าพเจ้ารอดพ้นจากคนปองร้าย
50 ฉะนั้น ข้าพเจ้าจะขอบคุณพระองค์ท่ามกลางบรรดาประชาชาติ โอ พระผู้เป็นเจ้า
ข้าพเจ้าจะร้องเพลงสรรเสริญพระนามของพระองค์
51 พระองค์ให้ชัยชนะอันยิ่งใหญ่แก่กษัตริย์ของพระองค์
และแสดงความรักอันมั่นคงแก่ผู้ได้รับการเจิมของพระองค์
แก่ดาวิดและผู้สืบเชื้อสายของท่านชั่วนิรันดร์กาล”
ถ้อยคำสุดท้ายของดาวิด
23 ต่อไปนี้เป็นถ้อยคำสุดท้ายของดาวิด
“คำพยากรณ์ของดาวิดบุตรของเจสซี
คำพยากรณ์ของชายที่ได้รับการเชิดชู
ผู้ได้รับการเจิมของพระเจ้าของยาโคบ
นักแต่งเพลงสดุดีอันไพเราะของอิสราเอล
2 พระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้ากล่าวผ่านข้าพเจ้า
สิ่งที่ข้าพเจ้าพูดเป็นคำกล่าวของพระองค์
3 พระเจ้าของอิสราเอลได้กล่าว
ศิลาของอิสราเอลได้กล่าวกับข้าพเจ้าว่า
‘เมื่อผู้หนึ่งปกครองมนุษย์ด้วยความยุติธรรม
ปกครองด้วยความเกรงกลัวพระเจ้า
4 พระองค์ทอแสงมายังมนุษย์ประดุจแสงอรุณรุ่ง
ประดุจดวงอาทิตย์ส่องแสงในยามเช้าที่ปลอดเมฆ
ประดุจฝนที่ทำให้หญ้างอกจากดิน’
5 แล้วพระเจ้าจะไม่ให้เป็นเช่นนั้นต่อพงศ์พันธุ์ของข้าพเจ้าหรือ
เพราะพระองค์ได้ตกลงกับข้าพเจ้าด้วยพันธสัญญาอันเป็นนิรันดร์
ทุกสิ่งถูกเตรียมไว้และไม่เปลี่ยนแปลง
แล้วพระองค์จะไม่ช่วยเหลือข้าพเจ้า
และให้ข้าพเจ้าได้รับตามความปรารถนาทุกประการหรือ
6 ส่วนคนเลวร้ายทั้งปวงเป็นเช่นหนามที่ถูกโยนทิ้งไป
เพราะจะใช้มือเปล่าหยิบก็ไม่ได้
7 แต่คนที่จับต้องพวกเขา
ต้องคุ้มกันตนเองด้วยเหล็กและหอก
และคนเลวร้ายถูกเผาจนวอดวายในทันทีทันใด”
ทหารกล้าของดาวิด
8 รายชื่อทหารกล้าของดาวิดคือ โยเชบบะเชเบธชาวทัคโมนีเป็นหัวหน้าของทหารกล้าทั้งสาม เขาพุ่งหอกสู้รบกับ 800 คน และฆ่าได้หมดในศึกเดียว
9 คนรองจากเขาในกลุ่มทหารกล้าทั้งสามคือ เอเลอาซาร์บุตรของโดโดชาวอาโคค เขาอยู่กับดาวิดเมื่อครั้งที่เขาทั้งหลายท้าทายชาวฟีลิสเตียที่ร่วมกันรบในสงคราม และชาวอิสราเอลก็ถอยทัพ 10 เขาลุกขึ้นสู้ชาวฟีลิสเตียจนมืออ่อนล้าและเกร็งจนติดดาบ และพระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้ให้ชัยชนะครั้งใหญ่ในวันนั้น พวกทหารตามเขากลับมา เพื่อริบของจากพวกที่ถูกฆ่าตาย
11 คนรองจากเขาคือ ชัมมาห์บุตรของอาเกชาวฮาราร์ พวกชาวฟีลิสเตียรวมตัวกันที่เลฮี ซึ่งมีผืนดินแห่งหนึ่งมีถั่วเลนเทิ้ลเต็มไปหมด และบรรดาทหารต่างก็หนีชาวฟีลิสเตียไป 12 แต่เขายืนหยัดอยู่บนที่ดินผืนนั้น และป้องกันที่ดินไว้ ฆ่าฟันชาวฟีลิสเตีย และพระผู้เป็นเจ้าช่วยพวกเขาด้วยชัยชนะครั้งใหญ่
13 ในระหว่างฤดูเก็บเกี่ยว 3 คนในบรรดาหัวหน้าทหารกล้า 30 คนลงมาหาดาวิดที่ถ้ำที่อดุลลาม พอดีกับที่ชาวฟีลิสเตียกลุ่มหนึ่งตั้งค่ายอยู่ในหุบเขาเรฟาอิม 14 ขณะนั้นดาวิดอยู่ในที่หลบภัย และทางข้ามที่เนินเขาของชาวฟีลิสเตียก็อยู่ที่เบธเลเฮม 15 ดาวิดกล่าวด้วยความปรารถนายิ่งนักว่า “โอ อยากให้ใครสักคนเอาน้ำจากบ่อที่ข้างประตูที่เบธเลเฮมมาให้เราดื่ม” 16 ทหารกล้าทั้งสามจึงแหกค่ายของชาวฟีลิสเตีย และตักน้ำจากบ่อที่ข้างประตูที่เบธเลเฮม นำมาให้ดาวิด แต่ท่านไม่ยอมดื่มน้ำนั้น ท่านกลับเทถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า 17 และกล่าวว่า “โอ พระผู้เป็นเจ้า ไม่มีวันที่ข้าพเจ้าจะกระทำเช่นนี้ สมควรหรือที่ข้าพเจ้าจะดื่มโลหิตของพวกทหารที่เสี่ยงชีวิตของเขาไป” ฉะนั้นท่านจึงไม่ยอมดื่มน้ำนั้น นี่แหละเป็นสิ่งที่ทหารกล้าทั้งสามกระทำ
18 ฝ่ายอาบีชัยน้องชายของโยอาบบุตรของนางเศรุยาห์ เป็นหัวหน้าของทหารทั้งสามสิบ เขาพุ่งหอกสู้กับ 300 คน และฆ่าพวกเขาได้ ชื่อของเขาจึงเคียงคู่กับทหารทั้งสาม 19 เขาเป็นที่รู้จักมากที่สุดในหมู่ทหารทั้งสามสิบ และได้เป็นผู้บังคับกองพันทหารของกลุ่ม แต่เขามีชื่อเสียงไม่เท่าระดับของทหารทั้งสาม
20 เบไนยาห์บุตรของเยโฮยาดาเป็นชายผู้กล้าหาญคนหนึ่งของเมืองขับเซเอล และเป็นคนปฏิบัติการอันยิ่งใหญ่ เขาฆ่าบุตรทั้งสองของอารีเอลแห่งโมอับ และเขาลงไปฆ่าสิงโตในหลุมลึกในวันที่หิมะตกด้วย 21 เขาฆ่าชาวอียิปต์คนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนรูปงาม ชาวอียิปต์ถือหอก แต่เบไนยาห์ถือไม้ตะบองลงไปโจมตีเขา และยึดหอกออกจากมือของชาวอียิปต์ได้ และฆ่าเขาด้วยหอกของเขาเอง 22 เบไนยาห์บุตรของเยโฮยาดากระทำสิ่งเหล่านี้ ชื่อของเขาจึงเคียงคู่กับทหารกล้าทั้งสาม 23 เขาเป็นที่รู้จักในหมู่ทหารทั้งสามสิบ แต่เขามีชื่อเสียงไม่เท่าระดับของทหารทั้งสาม และดาวิดแต่งตั้งเขาให้เป็นหัวหน้าองครักษ์
24 อาสาเฮลน้องชายของโยอาบเป็นหนึ่งในบรรดาทหารทั้งสามสิบ นอกจากเขาแล้วก็มี เอลฮานันบุตรของโดโดชาวเบธเลเฮม 25 ชัมมาห์แห่งฮาโรด เอลีคาแห่งฮาโรด 26 เฮเลสชาวปัลที อิราบุตรของอิกเขชแห่งเมืองเทโคอา 27 อาบีเอเซอร์แห่งเมืองอานาโธท เมบุนนัยชาวหุชาห์ 28 ศัลโมนชาวอาโคค มาหะรัยแห่งเนโทฟาห์ 29 เฮเลบบุตรของบาอานาห์แห่งเนโทฟาห์ อิททัยบุตรของรีบัยแห่งกิเบอาห์เชื้อสายของเบนยามิน 30 เบไนยาห์แห่งปิราโธน ฮิดดัยแห่งลำธารกาอัช 31 อาบีอัลโบนชาวอาร์บัท อัสมาเวทชาวบาฮารุม 32 อาลียาบาชาวชาอัลโบน บรรดาบุตรของยาเชน โยนาธาน 33 ชัมมาห์ชาวฮาราร์ อาหิอัมบุตรของชาราร์ชาวฮาราร์ 34 เอลีเฟเลทบุตรของอาหัสบัยแห่งมาอาคาห์ เอลีอัมบุตรอาหิโธเฟลแห่งกิโลห์ 35 เฮสโรชาวคาร์เมล ปารัยชาวอาราบ 36 อิกาลบุตรของนาธานแห่งโศบาห์ บานีชาวกาด 37 เศเลกชาวอัมโมน นาหะรัยแห่งเบเอโรท คนถืออาวุธของโยอาบบุตรของนางเศรุยาห์ 38 อิราชาวอิท กาเรบชาวอิท 39 และอุรียาห์ชาวฮิต[c] รวมทั้งหมด 37 คน
ดาวิดนับจำนวนนักรบ
24 พระผู้เป็นเจ้ากริ้วโกรธอิสราเอลอีก และพระองค์ทำให้ดาวิดกลับเป็นศัตรูกับพวกเขา และกล่าวว่า “จงไปนับจำนวนชาวอิสราเอลและยูดาห์” 2 ดังนั้นกษัตริย์กล่าวกับโยอาบผู้บังคับการกองทัพที่อยู่กับท่านว่า “จงตรวจตราเผ่าของอิสราเอลทุกเผ่า นับจำนวนนักรบตั้งแต่เมืองดานจนถึงเมืองเบเออร์เช-บา เราจะได้รู้ว่ามีจำนวนกี่คน” 3 แต่โยอาบตอบกษัตริย์ว่า “ขอให้พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านเพิ่มทหารมากขึ้นเป็นร้อยเท่าเถิด และขอให้เจ้านายผู้เป็นกษัตริย์มีโอกาสได้เห็นเถิด แต่เหตุใดเจ้านายผู้เป็นกษัตริย์จึงปรารถนาในเรื่องนี้” 4 แต่คำบัญชาของกษัตริย์เหนือกว่าโยอาบและบรรดาผู้บังคับการกองทัพ พวกเขาจึงลากษัตริย์ไป เพื่อนับจำนวนนักรบของอิสราเอล 5 หลังจากที่ได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปแล้ว พวกเขาก็ได้ตั้งค่ายอยู่ใกล้ๆ อาโรเออร์ ทางทิศใต้ของเมืองที่อยู่กลางหุบเขา และผ่านไปทางเมืองกาดและต่อไปจนถึงยาเซอร์ 6 และก็มาถึงกิเลอาดและคาเดชในแผ่นดินของชาวฮิต และต่อไปจนถึงดาน จากดานพวกเขาอ้อมไปยังไซดอน 7 และมายังป้อมปราการของไทระและเมืองทุกเมืองของชาวฮีวและชาวคานาอัน และไปยังเนเกบของยูดาห์ที่เบเออร์เช-บา 8 ดังนั้นเมื่อพวกเขาได้ไปจนทั่วแผ่นดินแล้ว ก็กลับมายังเมืองเยรูซาเล็มเมื่อเวลาผ่านไปได้ 9 เดือนกับ 20 วัน 9 และโยอาบเรียนกษัตริย์ว่า เขารวมจำนวนนักรบได้ตามนี้คือ ในอิสราเอลมีชายผู้กล้าหาญผู้รู้จักใช้ดาบ 800,000 คน และในยูดาห์มี 500,000 คน
พระผู้เป็นเจ้าลงโทษบาปของดาวิด
10 แต่หลังจากที่ดาวิดนับจำนวนนักรบได้แล้ว ท่านก็รู้สึกเสียดแทงใจ และดาวิดพูดกับพระผู้เป็นเจ้าว่า “สิ่งที่ข้าพเจ้าได้กระทำนับว่าเป็นบาปมหันต์ โอ พระผู้เป็นเจ้า โปรดกำจัดบาปของผู้รับใช้ของพระองค์เถิด เพราะว่าข้าพเจ้าได้กระทำไปด้วยความโง่เขลา” 11 ก่อนที่ดาวิดจะตื่นนอนในวันรุ่งขึ้น พระผู้เป็นเจ้ากล่าวผ่านกาดผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า ซึ่งเป็นผู้รู้ของดาวิดว่า 12 “จงไปบอกดาวิดดังนี้ว่า ‘พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า เราเสนอ 3 สิ่งแก่เจ้า จงเลือก 1 สิ่ง แล้วเราจะกระทำต่อเจ้า’” 13 ดังนั้นกาดจึงมาหาดาวิดและเรียนท่านว่า “จะให้เกิดทุพภิกขภัยเป็นเวลา 3 ปีในแผ่นดินของท่าน หรือว่าท่านจะหลบหนีศัตรูของท่านเป็นเวลา 3 เดือนขณะที่พวกเขาไล่ล่าท่าน หรือจะให้เกิดโรคระบาดในแผ่นดินของท่านเป็นเวลา 3 วัน จงพิจารณาดูและตัดสินใจว่าจะเป็นคำตอบข้อใดที่ข้าพเจ้าจะกลับไปยังพระองค์ที่ส่งข้าพเจ้ามา” 14 ดาวิดกล่าวกับกาดว่า “เราเศร้าใจยิ่งนัก ขอให้พวกเราอยู่ในมือของพระผู้เป็นเจ้าเถิด เพราะพระองค์มีความเมตตายิ่งนัก และอย่าให้ข้าพเจ้าตกอยู่ในมือของมนุษย์”
15 ดังนั้นพระผู้เป็นเจ้าจึงให้เกิดโรคระบาดในอิสราเอลตั้งแต่เช้าจนครบเวลา และที่นั่นมีคนตายนับจากดานถึงเบเออร์เช-บา จำนวน 70,000 คน 16 และเมื่อทูตสวรรค์ยื่นมือไปทางเยรูซาเล็มเพื่อทำลายเมืองให้สิ้นไป พระผู้เป็นเจ้าเสียใจเพราะความวิบัติ จึงกล่าวกับทูตสวรรค์ที่กำลังทำลายพลเมืองว่า “พอแล้ว ยั้งมือของเจ้าไว้” และทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าอยู่ที่ข้างลานนวดข้าวของอาราวนาห์ชาวเยบุส 17 และดาวิดพูดกับพระผู้เป็นเจ้าเมื่อท่านเห็นทูตสวรรค์ที่กำลังฆ่าพลเมือง ท่านพูดว่า “ดูเถิด ข้าพเจ้าได้กระทำบาป และข้าพเจ้าได้กระทำด้วยความเลวร้าย แต่ว่าลูกแกะเหล่านี้ พวกเขากระทำอะไรเล่า ขอพระองค์กระทำต่อข้าพเจ้าและพงศ์พันธุ์ของข้าพเจ้าเถิด”
ดาวิดสร้างแท่นบูชา
18 ในวันนั้นกาดมาหาดาวิด และพูดกับท่านว่า “ท่านจงขึ้นไป และสร้างแท่นบูชาที่ลานนวดข้าวของอาราวนาห์ชาวเยบุสให้แด่พระผู้เป็นเจ้า” 19 ดังนั้นดาวิดจึงขึ้นไป ตามที่กาดมาเรียนท่าน ตามคำบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า 20 เมื่ออาราวนาห์มองดู เขาก็เห็นว่ากษัตริย์กับพวกทหารรับใช้กำลังขึ้นมาทางที่ตนอยู่ อาราวนาห์จึงออกไปแสดงความเคารพต่อกษัตริย์ และก้มหน้าลงที่พื้น 21 และอาราวนาห์ถามว่า “เหตุไฉนเจ้านายผู้เป็นกษัตริย์จึงได้มาหาผู้รับใช้ของท่าน” ดาวิดตอบว่า “เรามาซื้อลานนวดข้าวจากท่าน เพื่อสร้างแท่นบูชาแด่พระผู้เป็นเจ้า เผื่อว่าภัยพิบัติในหมู่คนจะยุติลง” 22 อาราวนาห์ตอบดาวิดว่า “ขอเจ้านายผู้เป็นกษัตริย์นำสิ่งอันเป็นที่น่ายินดีและไปมอบถวายเถิด มีโคสำหรับเผาเป็นของถวาย มีคราดเลื่อนและแอกโคเป็นฟืน 23 โอ กษัตริย์ อาราวนาห์ขอมอบสิ่งเหล่านี้ให้แด่กษัตริย์” อาราวนาห์พูดกับกษัตริย์ด้วยว่า “ขอพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านรับท่านเถิด” 24 แต่กษัตริย์กล่าวกับอาราวนาห์ว่า “ทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะเราตั้งใจจะซื้อจากท่านตามมูลค่าของมัน เราจะไม่มอบสัตว์ที่ใช้เผาเป็นของถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราโดยไม่เสียค่าอะไรเลย” ดังนั้นดาวิดซื้อลานนวดข้าวและโคเป็นเงิน 50 เชเขล 25 และดาวิดก็ได้สร้างแท่นบูชาแด่พระผู้เป็นเจ้า ณ ที่นั่น และได้มอบสัตว์ที่เผาเป็นของถวายและของถวายเพื่อสามัคคีธรรม และพระผู้เป็นเจ้าได้ตอบคำขอร้องเพื่อแผ่นดิน และภัยพิบัติในหมู่คนอิสราเอลก็ยุติลง
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation