Beginning
ชัยชนะของดาวิด
8 หลังจากนั้น ดาวิดสู้รบชนะชาวฟีลิสเตีย และปราบพวกเขาไว้ได้ และดาวิดยึดเมืองเมเธกฮัมมาห์ได้จากมือชาวฟีลิสเตีย
2 ท่านสู้รบชนะชาวโมอับ ท่านสั่งให้พวกเขานอนราบลงกับพื้นเป็นสามแถว ฆ่าเสียสองแถว และไว้ชีวิตเต็มหนึ่งแถว ชาวโมอับจึงมาเป็นข้ารับใช้ดาวิดและนำเครื่องบรรณาการมาถวาย
3 ดาวิดสู้รบชนะฮาดัดเอเซอร์บุตรของเรโหบกษัตริย์แห่งโศบาห์ เมื่อคราวไปฟื้นอำนาจของท่านที่แม่น้ำยูเฟรติส 4 และดาวิดยึดสารถี 1,700 คน และทหารราบ 20,000 คน และดาวิดทำให้ม้าประจำรถศึกของพวกเขาพิการหมด เพียงแต่เหลือไว้สำหรับรถศึก 100 คัน 5 เมื่อชาวอารัม[a]แห่งอาณาเขตดามัสกัสมาช่วยฮาดัดเอเซอร์กษัตริย์แห่งโศบาห์ ดาวิดฆ่าชายชาวอารัมจำนวน 22,000 คน 6 แล้วดาวิดตั้งด่านทหารชั้นนอกที่อาณาจักรอารัมแห่งอาณาเขตดามัสกัสไว้หลายด่าน และชาวอารัมมาเป็นข้ารับใช้ดาวิด และนำเครื่องบรรณาการมาถวาย และไม่ว่าดาวิดไปรบที่ใด พระผู้เป็นเจ้าก็ให้ท่านมีชัยชนะเสมอ 7 ดาวิดยึดโล่ทองคำที่บรรดาผู้รับใช้ของฮาดัดเอเซอร์ถือ และนำไปที่เมืองเยรูซาเล็ม 8 กษัตริย์ดาวิดเอาทองสัมฤทธิ์เป็นอันมากไปจากเมืองเบทาห์และเมืองเบโรธัย เมืองของฮาดัดเอเซอร์
9 เมื่อโทอิกษัตริย์แห่งฮามัททราบว่า ดาวิดรบชนะกองทัพของฮาดัดเอเซอร์ทั้งกองทัพ 10 โทอิจึงให้โยรัมบุตรของตนไปหากษัตริย์ดาวิด เพื่อถามถึงพลานามัย และเพื่ออวยพรท่าน เพราะท่านได้สู้รบกับฮาดัดเอเซอร์ และได้ชัยชนะ เนื่องจากฮาดัดเอเซอร์เคยทำสงครามกับโทอิเสมอมา และโยรัมก็ได้นำเครื่องเงิน เครื่องทองคำและทองสัมฤทธิ์ไปด้วย 11 กษัตริย์ดาวิดถวายสิ่งเหล่านี้แด่พระผู้เป็นเจ้าด้วย พร้อมทั้งเงินและทองคำที่ท่านได้มาจากประชาชาติทั้งปวงที่ท่านไปปราบ และนำมาถวาย 12 จากเอโดม โมอับ ชาวอัมโมน ชาวฟีลิสเตีย อามาเลข และสิ่งที่ริบมาจากฮาดัดเอเซอร์บุตรของเรโหบกษัตริย์แห่งโศบาห์
13 ชื่อเสียงของดาวิดเลื่องลือหลังจากที่ท่านได้ฆ่าชาวเอโดมจำนวน 18,000 คนที่หุบเขาเกลือ 14 และท่านก็ได้สร้างด่านทหารชั้นนอกหลายด่านในเอโดม และชาวเอโดมทั้งหมดมาเป็นข้ารับใช้ของดาวิด และพระผู้เป็นเจ้าให้ดาวิดมีชัยชนะไม่ว่าท่านจะไปรบที่ใด
ข้าราชบริพารของดาวิด
15 ดาวิดครองราชย์ทั่วทั้งอิสราเอล และท่านปกครองประชาชนของท่านด้วยความยุติธรรมและความชอบธรรม 16 โยอาบบุตรของนางเศรุยาห์ควบคุมกองทัพ เยโฮชาฟัทบุตรอาหิลูดเป็นผู้บันทึกสาสน์ 17 ศาโดกบุตรอาหิทูบ และอาหิเมเลคบุตรอาบียาธาร์เป็นปุโรหิต เสไรยาห์เป็นเลขา 18 และเบไนยาห์บุตรเยโฮยาดาควบคุมชาวเคเรธและชาวเปเลท และบรรดาบุตรของดาวิดเป็นปุโรหิต[b]
ความกรุณาของดาวิดที่มีต่อเมฟีโบเชท
9 ดาวิดกล่าวว่า “มีใครในพงศ์พันธุ์ของซาอูลเหลืออยู่บ้าง เราจะได้แสดงความกรุณาต่อเขาเพื่อโยนาธาน” 2 มีผู้รับใช้ของพงศ์พันธุ์ซาอูลเหลืออยู่คนหนึ่งชื่อศิบา เขาก็เรียกให้มาหาดาวิด กษัตริย์จึงพูดกับเขาว่า “เจ้าคือศิบาหรือ” เขาตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็นข้ารับใช้ของท่าน” 3 และกษัตริย์ถามว่า “ไม่มีใครสักคนในพงศ์พันธุ์ของซาอูลเหลืออยู่เลยหรือ เราจะแสดงความกรุณาของพระเจ้าต่อเขา” ศิบาตอบกษัตริย์ว่า “ยังมีบุตรชายของโยนาธานเหลืออยู่คนหนึ่ง และเท้าของท่านก็เป็นง่อย” 4 กษัตริย์ถามเขาว่า “เขาอยู่ที่ไหน” ศิบาตอบกษัตริย์ว่า “ท่านอยู่ที่บ้านของมาคีร์บุตรอัมมีเอลที่โลเดบาร์” 5 กษัตริย์ดาวิดจึงให้คนไปรับท่านมาจากบ้านของมาคีร์บุตรอัมมีเอลที่โลเดบาร์ 6 เมฟีโบเชทบุตรของโยนาธาน คือหลานของซาอูลจึงมาหาดาวิด ซบหน้าลงกับพื้นและแสดงความเคารพ ดาวิดกล่าวว่า “เมฟีโบเชท” ท่านตอบว่า “ดูเถิด ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของท่าน” 7 ดาวิดกล่าวว่า “อย่ากลัวเลย เราจะแสดงความกรุณาเพื่อบิดาของท่าน และเราจะให้ที่ดินทั้งหมดของซาอูลบรรพบุรุษของท่านคืนให้แก่ท่าน และท่านจะรับประทานอาหารร่วมกับเราเสมอไป” 8 ท่านแสดงความเคารพและพูดว่า “ผู้รับใช้ของท่านเป็นผู้ใด ที่ท่านจะเหลียวแลสุนัขที่ตายแล้วอย่างข้าพเจ้า”
9 กษัตริย์เรียกศิบาข้ารับใช้ของซาอูลมา และบอกเขาว่า “ทุกสิ่งที่เป็นของซาอูลและของพงศ์พันธุ์ของท่านนั้น เราได้ยกให้หลานของเจ้านายของเจ้าแล้ว 10 ส่วนตัวเจ้า บุตรชายของเจ้า และผู้รับใช้ของเจ้าจงทำนาให้ท่าน และเก็บพืชผลให้หลานของเจ้านายของเจ้า ท่านจะได้มีอาหารรับประทาน และเมฟีโบเชทหลานของเจ้านายของเจ้าจะรับประทานที่โต๊ะร่วมกับเราเสมอไป” ศิบามีบุตรชาย 15 คน และมีผู้รับใช้ 20 คน 11 และศิบาพูดกับกษัตริย์ว่า “ข้ารับใช้ของท่านจะกระทำตามที่เจ้านายผู้เป็นกษัตริย์สั่งทุกประการ” ดังนั้นเมฟีโบเชทรับประทานร่วมกับดาวิด เหมือนเป็นบุตรคนหนึ่งของกษัตริย์ 12 เมฟีโบเชทมีบุตรชายน้อยคนหนึ่งชื่อมีคา ทุกคนที่อาศัยอยู่ที่บ้านของศิบาก็มาเป็นผู้รับใช้ของเมฟีโบเชท 13 ดังนั้นเมฟีโบเชทจึงอาศัยอยู่ที่เยรูซาเล็ม เพราะท่านรับประทานร่วมกับกษัตริย์เสมอ เท้าของท่านเป็นง่อยทั้งสองข้าง
ดาวิดรบชนะชาวอัมโมนและชาวอารัม
10 หลังจากนั้น กษัตริย์ของชาวอัมโมนก็สิ้นชีวิต และฮานูนบุตรของท่านครองราชย์แทนท่าน 2 ดาวิดกล่าวว่า “เราจะกระทำต่อฮานูนบุตรของนาหาชด้วยความเมตตา เช่นเดียวกับที่บิดาของท่านได้กระทำต่อเรา” ดังนั้น ดาวิดจึงให้บรรดาผู้รับใช้ของท่านไปแสดงความเสียใจต่อฮานูนเรื่องบิดา และผู้รับใช้ของดาวิดจึงมายังดินแดนของชาวอัมโมน 3 แต่บรรดาเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ของชาวอัมโมนพูดกับฮานูนเจ้านายของตนว่า “ท่านคิดหรือว่า ที่ดาวิดให้คนมาแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อท่านนั้น เป็นการให้เกียรติบิดาของท่าน พวกผู้รับใช้ของดาวิดมาเพื่อสำรวจดูเมืองและสอดแนม เพื่อจะล้มล้างเมืองมิใช่หรือ” 4 ดังนั้นฮานูนจึงให้คนโกนเคราพวกทหารรับใช้ของดาวิดแต่ละคนออกเพียงครึ่งหนึ่ง และตัดเครื่องแต่งกายที่ตรงกลางจากสะโพกลงมา และส่งพวกเขากลับไป 5 เมื่อมีคนรายงานเรื่องแก่ดาวิด ท่านก็ให้คนไปพบกับพวกเขา เพราะชายเหล่านั้นอับอายมาก กษัตริย์กล่าวว่า “จงพักอยู่ที่เยรีโค จนกว่าเคราของพวกเจ้าจะขึ้นแล้วจึงกลับมา”
6 เมื่อชาวอัมโมนเห็นว่าพวกเขาได้กลับกลายเป็นที่น่ารังเกียจของดาวิด ชาวอัมโมนจึงไปว่าจ้างชาวอารัมจากเมืองเบธเรโหบ และชาวอารัมจากเมืองโศบาห์ เป็นทหารราบ 20,000 คน และกษัตริย์แห่งมาอาคาห์กับผู้ชาย 1,000 คน และผู้ชายจากเมืองโทบ 12,000 คน 7 เมื่อดาวิดทราบเช่นนั้น ท่านจึงบัญชาให้โยอาบและทหารกล้าจากกองทัพทั้งหมดยกทัพไป 8 ฝ่ายชาวอัมโมนก็เดินทัพออกมาประจำตำแหน่งรบของตนที่ทางเข้าประตูเมือง ส่วนชาวอารัมจากโศบาห์และเรโหบ และคนของโทบและมาอาคาห์ก็แยกไปตั้งทัพอยู่ในที่โล่งห่างจากตัวเมือง
9 เมื่อโยอาบเห็นว่าสงครามครั้งนี้เขาถูกขนาบทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เขาจึงเลือกนักรบที่ดีที่สุดของอิสราเอลจำนวนหนึ่ง และจัดทัพให้ต่อสู้กับชาวอารัม 10 นักรบที่เหลือก็จัดให้อยู่ในบังคับของอาบีชัยน้องชายของตน เขาก็ให้ทหารตั้งทัพสู้กับชาวอัมโมน 11 เขาพูดว่า “ถ้าหากว่าชาวอารัมมีกำลังแข็งแกร่งเกินเรา ท่านจะได้ช่วยเราได้ แต่ถ้าชาวอัมโมนแข็งแกร่งเกินท่าน เราก็จะมาช่วยท่าน 12 จงกล้าหาญเถิด และพวกเราควรจะกล้าหาญเพื่อคนของพวกเราและเพื่อเมืองทั้งหลายของพระเจ้าของเรา และขอพระผู้เป็นเจ้ากระทำสิ่งที่พระองค์เห็นสมควร” 13 ดังนั้นโยอาบและคนที่อยู่กับเขาขยับเข้าใกล้ประจัญศึกกับชาวอารัม และชาวอารัมก็ถอยหนีไปต่อหน้าต่อตาเขา 14 ครั้นชาวอัมโมนเห็นว่าชาวอารัมหนีไป พวกเขาจึงถอยหนีไปต่อหน้าอาบีชัยเช่นกัน และเข้าไปในเมือง แล้วโยอาบก็กลับจากการสู้รบกับชาวอัมโมน และมายังเยรูซาเล็ม
15 เมื่อชาวอารัมเห็นว่าพวกตนพ่ายแพ้อิสราเอลแล้ว จึงได้รวบรวมคนเข้าด้วยกัน 16 ฮาดัดเอเซอร์ให้ชาวอารัมที่อยู่โพ้นแม่น้ำยูเฟรติสออกมา พวกเขามาถึงเมืองเฮลาม โดยมีโชบัคผู้บังคับกองพันทหารของฮาดัดเอเซอร์เป็นผู้นำ 17 เมื่อมีคนรายงานเรื่องแก่ดาวิด ท่านก็รวบรวมอิสราเอลเข้าด้วยกัน และข้ามแม่น้ำจอร์แดน มาจนถึงเฮลาม ชาวอารัมตั้งทัพของตนปะทะกับดาวิด และพวกเขาก็สู้รบกับท่าน 18 และชาวอารัมก็ถอยหนีไปต่อหน้าอิสราเอล ดาวิดฆ่าสารถีชาวอารัม 700 คน และทหารราบ 40,000 คน และโชบัคผู้บังคับกองพันทหารบาดเจ็บสาหัสและสิ้นชีวิตที่นั่น 19 เมื่อบรรดากษัตริย์ทั้งปวงที่ขึ้นกับฮาดัดเอเซอร์เห็นว่าตนพ่ายแพ้อิสราเอลแล้ว พวกเขาจึงยอมสงบศึกกับอิสราเอล และขึ้นกับพวกเขา ดังนั้นชาวอารัมจึงไม่กล้าช่วยเหลือชาวอัมโมนอีกต่อไป
ดาวิดกับนางบัทเช-บา
11 ครั้นฤดูใบไม้ผลิเวียนมาถึง อันเป็นเวลาที่บรรดากษัตริย์ออกศึก ดาวิดให้โยอาบและพวกทหารรับใช้ และอิสราเอลทั้งปวงไป เขาทั้งหลายก็ได้ไปทำลายล้างชาวอัมโมนและล้อมเมืองรับบาห์ไว้ ส่วนดาวิดอยู่ที่เยรูซาเล็ม
2 วันหนึ่งเวลาบ่ายคล้อย เมื่อดาวิดลุกขึ้นจากที่นอนพักแล้วก็ไปเดินบนดาดฟ้าหลังคาวัง ท่านมองจากหลังคาเห็นหญิงผู้หนึ่งกำลังอาบน้ำ หญิงคนนั้นงามยิ่งนัก 3 ดาวิดจึงให้คนไปถามไถ่เรื่องผู้หญิงคนนั้น คนหนึ่งพูดว่า “นั่นบัทเช-บา บุตรหญิงของเอลีอัม ภรรยาของอุรียาห์ชาวฮิตมิใช่หรือ” 4 ดาวิดจึงให้คนของท่านไปรับนางมา นางมาหาท่าน ท่านก็ได้มีเพศสัมพันธ์กับนาง (นางเพิ่งชำระตัวเสร็จจากมลทินของเดือนนั้น) แล้วนางก็กลับบ้านไป 5 หญิงผู้นั้นตั้งครรภ์ จึงให้คนไปเรียนดาวิดว่า “ฉันตั้งครรภ์แล้ว”
6 ดาวิดจึงให้คนไปบอกโยอาบว่า “ให้อุรียาห์ชาวฮิตมาหาเรา” โยอาบจึงให้อุรียาห์ไปหาดาวิด 7 เมื่ออุรียาห์มาถึง ดาวิดถามว่า โยอาบและประชาชนเป็นอย่างไรบ้าง และสงครามเป็นอย่างไรบ้าง 8 และดาวิดบอกอุรียาห์ว่า “จงลงไปที่บ้านของเจ้าและล้างเท้าเสีย” อุรียาห์จึงออกไปจากวังของกษัตริย์ และกษัตริย์ให้คนถือสิ่งที่ท่านมอบให้เป็นพิเศษตามหลังไปด้วย 9 แต่ว่าอุรียาห์นอนอยู่กับพวกทหารรับใช้ของเจ้านายของเขาที่ประตูวังของกษัตริย์ และไม่ได้ลงไปที่บ้านของเขา 10 เมื่อคนไปเรียนดาวิดว่า “อุรียาห์ไม่ได้ลงไปที่บ้านของเขา” ดาวิดพูดกับอุรียาห์ว่า “เจ้าเพิ่งเดินทางกลับมามิใช่หรือ แล้วทำไมไม่ลงไปที่บ้านของเจ้าล่ะ” 11 อุรียาห์ตอบดาวิดว่า “หีบพันธสัญญา เหล่าทหารของอิสราเอลและยูดาห์พักอยู่ในเพิง ส่วนโยอาบเจ้านายข้าพเจ้ากับพวกทหารรับใช้ของท่านก็อยู่ในค่ายที่โล่งแจ้ง ข้าพเจ้าควรหรือที่จะกลับไปบ้าน เพื่อดื่มกินและนอนกับภรรยาข้าพเจ้า ตราบที่ท่านมีชีวิตอยู่ และตราบที่จิตวิญญาณของท่านมีชีวิตอยู่ฉันใด ข้าพเจ้าจะไม่กระทำเช่นนั้น” 12 ดาวิดจึงบอกอุรียาห์ว่า “วันนี้เจ้าก็อยู่ที่นี่ต่อ พรุ่งนี้เราก็จะให้เจ้ากลับออกไป” ดังนั้นอุรียาห์อยู่ต่อที่เยรูซาเล็มในวันนั้นและวันรุ่งขึ้น 13 ดาวิดเชิญเขาให้รับประทานร่วมกับท่าน และดื่มจนกระทั่งท่านทำให้เขาเมา ในเวลาเย็นเขาออกไปนอนที่เดียวกับที่ทหารรับใช้ของเจ้านายของเขานอน แต่ไม่ได้ลงไปที่บ้านของเขา
14 ครั้นรุ่งเช้าดาวิดเขียนข้อความถึงโยอาบ และให้อุรียาห์ยื่นให้โยอาบ 15 ท่านเขียนข้อความว่า “สั่งอุรียาห์ให้ไปอยู่กองหน้าตรงที่ประจัญศึกหนักที่สุด แล้วถอยทัพทิ้งเขาไว้คนเดียว ให้ถูกฆ่าตายไป” 16 ในขณะที่โยอาบกำลังล้อมเมือง เขาบอกอุรียาห์ให้ไปอยู่ในตำแหน่งที่เขารู้ว่ามีชายผู้กล้าหาญสู้ต่อต้านอยู่ 17 และพวกผู้ชายของเมืองนั้นออกมาต่อสู้กับโยอาบ ทหารรับใช้ของดาวิดบางคนล้มตาย อุรียาห์ชาวฮิตก็ตายด้วย 18 โยอาบให้คนไปส่งข่าวถึงการสู้รบให้ดาวิดทราบ 19 เขากำชับผู้ส่งข่าวว่า “เมื่อเจ้ารายงานเรื่องการสู้รบทั้งหมดแก่กษัตริย์จบแล้ว 20 ถ้ากษัตริย์โกรธกริ้วและถ้าท่านถามเจ้าว่า ‘ทำไมเจ้าจึงเข้าไปต่อสู้ใกล้เมืองนัก เจ้าไม่รู้หรือว่าพวกเขาจะยิงจากกำแพงเมือง 21 ใครล่ะที่ฆ่าอาบีเมเลคบุตรของเยรุบเบเชท ไม่ใช่ผู้หญิงคนหนึ่งหรือที่ทุ่มหินโม่แป้งท่อนบนจากกำแพงถูกตัวเขา เขาถึงได้ตายที่เธเบศ ทำไมเจ้าถึงได้เข้าไปใกล้กำแพง’ แล้วเจ้าจงบอกว่า ‘อุรียาห์ทหารรับใช้ชาวฮิตของท่านก็ตายด้วย’”
22 ดังนั้น ผู้ส่งข่าวก็ไปส่งข่าวแก่ดาวิดถึงทุกสิ่งที่โยอาบสั่งให้เขาพูด 23 ผู้ส่งข่าวเรียนดาวิดว่า “พวกผู้ชายเมืองนั้นได้เปรียบพวกเรา และออกมาประจัญกับเราที่ทุ่ง แต่เราบุกจนพวกเขาถอยกลับไปที่ทางเข้าประตูเมือง 24 แล้วทหารธนูจึงยิงพวกทหารผู้รับใช้ของท่านจากกำแพง ทหารรับใช้บางคนของกษัตริย์เสียชีวิต และอุรียาห์ทหารรับใช้ชาวฮิตของท่านก็เสียชีวิตด้วย” 25 ดาวิดบอกผู้ส่งข่าวว่า “เจ้าจงไปบอกโยอาบว่า ‘อย่าให้เรื่องนี้ทำให้ท่านหนักใจไปเลย เพราะดาบย่อมฆ่าโดยไม่เลือกว่าเป็นใคร จงโจมตีเมืองให้หนักจนพินาศไป’ และเจ้าจงให้กำลังใจเขา”
26 เมื่อภรรยาของอุรียาห์ทราบว่าอุรียาห์สามีของนางสิ้นชีวิตแล้ว นางก็ร้องคร่ำครวญถึงสามีนาง 27 ครั้นสิ้นการไว้อาลัยแล้ว[c] ดาวิดให้คนไปพานางมาที่บ้านท่าน และนางก็ได้เป็นภรรยา และให้กำเนิดบุตรชายแก่ท่าน แต่พระผู้เป็นเจ้าไม่พอใจในสิ่งที่ดาวิดกระทำ
นาธานพูดกับดาวิด
12 พระผู้เป็นเจ้าให้นาธานไปหาดาวิด นาธานก็ไปหาท่านและกล่าวกับท่านว่า “ที่เมืองหนึ่ง มีชายสองคน คนหนึ่งมั่งมี ส่วนอีกคนหนึ่งยากไร้ 2 ชายผู้มั่งมีนั้นมีฝูงแพะแกะและฝูงโค 3 ส่วนชายผู้ยากไร้ไม่มีสิ่งใดนอกจากลูกแกะตัวเมียตัวเดียวที่เขาซื้อมา เขาเลี้ยงดูมัน และมันก็เติบโตมากับเขาและลูกๆ ของเขา มันเคยกินอาหารที่เขาแบ่งปันให้ และดื่มจากถ้วยของเขา และนอนในอ้อมกอดของเขา มันเป็นเหมือนบุตรหญิงของเขาคนหนึ่ง 4 เอาล่ะ มีคนหนึ่งเดินทางมาหาชายผู้มั่งมี และเขาไม่ยอมใช้แกะหรือโคของเขาเองเป็นอาหารเลี้ยงแขกที่มาเยี่ยม แต่เขากลับคว้าลูกแกะของชายผู้ยากไร้ เอามาทำเป็นอาหารสำหรับชายผู้มาเยี่ยม” 5 ครั้นแล้วดาวิดก็โกรธชายคนนั้นมาก ท่านบอกนาธานว่า “ตราบที่พระผู้เป็นเจ้ามีชีวิตอยู่ฉันใด ชายที่กระทำเช่นนั้นสมควรที่จะตาย 6 และเขาควรจะจ่ายลูกแกะคืนให้เป็น 4 เท่า เพราะเขากระทำเช่นนั้น และเพราะเขาไม่มีเมตตา”
7 นาธานพูดกับดาวิดว่า “ท่านนั่นแหละคือชายผู้นั้น พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวว่า ‘เราได้เจิมเจ้าให้เป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอล และเราให้เจ้ารอดพ้นจากมือของซาอูล 8 และเราได้มอบราชวงศ์ของเจ้านายเจ้า และภรรยาของเจ้านายเจ้าให้อยู่ในอ้อมแขนเจ้า และมอบพงศ์พันธุ์อิสราเอลและของยูดาห์ให้แก่เจ้า และถ้าแม้ว่ายังน้อยไป เราก็จะเพิ่มให้เจ้าอีกเท่าตัว 9 ทำไมเจ้าจึงดูหมิ่นคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้าด้วยการกระทำที่ชั่วร้ายในสายตาของเรา เจ้าได้ใช้ดาบฆ่าอุรียาห์ชาวฮิต และเอาภรรยาของเขามาเป็นภรรยาของเจ้าเอง เจ้าฆ่าเขาด้วยดาบของชาวอัมโมน 10 ฉะนั้นพงศ์พันธุ์ของเจ้าจะไม่มีวันคลาดแคล้วไปจากดาบได้ เป็นเพราะเจ้าดูหมิ่นเรา และได้เอาภรรยาของอุรียาห์ชาวฮิตมาเป็นภรรยาของเจ้าเอง’ 11 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า ‘ดูเถิด เราจะทำให้คนในพงศ์พันธุ์ของเจ้าเองนำความวิบัติมาสู่เจ้า และเราจะเอาภรรยาของเจ้าไปต่อหน้าต่อตาเจ้า และยกให้แก่เพื่อนบ้านของเจ้า และเขาจะนอนกับภรรยาของเจ้าให้เป็นที่รู้เห็นกันไปทั่ว[d] 12 ด้วยว่า เจ้ากระทำอย่างลับๆ แต่เราจะกระทำสิ่งนี้ต่อหน้าอิสราเอลทั้งปวงและจะเป็นที่รู้เห็นกันไปทั่ว’” 13 ดาวิดกล่าวกับนาธานว่า “เราได้กระทำบาปต่อพระผู้เป็นเจ้า” นาธานตอบดาวิดว่า “พระผู้เป็นเจ้าไม่ลงโทษท่านเรื่องบาปของท่าน ท่านจะไม่ตาย 14 อย่างไรก็ตาม เป็นเพราะการกระทำครั้งนี้ท่านได้ดูหมิ่นพระผู้เป็นเจ้าเหลือเกิน บุตรที่เกิดแก่ท่านจะต้องเสียชีวิต” 15 แล้วนาธานก็กลับไปยังบ้านของตน
และพระผู้เป็นเจ้าทำให้บุตรที่ภรรยาของอุรียาห์ให้กำเนิดแก่ดาวิดป่วยหนัก 16 ดาวิดจึงอ้อนวอนพระเจ้าแทนบุตรนั้น ดาวิดอดอาหารและไปนอนบนพื้นดินตลอดทั้งคืน 17 และพวกผู้ใหญ่ในวังท่านเข้าใกล้ท่านเพื่อพยุงให้ลุกขึ้นจากพื้นดิน แต่ท่านไม่ยอมลุกขึ้นหรือรับประทานอาหารกับพวกเขา 18 ในวันที่เจ็ด บุตรนั้นก็เสียชีวิต พวกผู้รับใช้ของดาวิดไม่กล้าเรียนท่านว่าบุตรเสียชีวิตแล้ว เพราะพวกเขาพูดว่า “ดูเถิด ขณะที่บุตรยังมีชีวิตอยู่ เราพูดกับท่าน ท่านยังไม่ฟังพวกเราเลย และบุตรก็เสียชีวิตแล้วเราจะพูดกับท่านได้อย่างไร ท่านอาจจะทำร้ายตนเองก็ได้” 19 แต่เมื่อดาวิดเห็นว่าพวกผู้รับใช้กระซิบกระซาบกันอยู่ ท่านก็ทราบว่าบุตรเสียชีวิตแล้ว ดาวิดถามผู้รับใช้ของท่านว่า “บุตรเสียชีวิตแล้วหรือ” พวกเขาตอบว่า “เสียชีวิตแล้ว” 20 ดาวิดจึงลุกขึ้นจากพื้นดิน ล้างหน้าล้างตา ชโลมน้ำมัน และเปลี่ยนเสื้อผ้า และท่านเข้าไปในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า และนมัสการพระองค์ จากนั้นท่านก็กลับไปที่วังของท่าน แล้วท่านก็รับประทานอาหารที่สั่งให้พวกเขาจัดมาให้ 21 และพวกผู้รับใช้ของท่านถามว่า “ท่านทำอะไรไม่ทราบ ท่านอดอาหารและร้องไห้เพื่อบุตร ขณะที่บุตรยังมีชีวิตอยู่ แต่เมื่อบุตรสิ้นชีวิตแล้ว ท่านลุกขึ้นรับประทานอาหาร” 22 ท่านตอบว่า “ขณะที่บุตรยังมีชีวิตอยู่ เราอดอาหารและร้องไห้ เพราะเราคิดในใจว่า ‘ไม่แน่ พระผู้เป็นเจ้าอาจจะกรุณาต่อเรา ให้บุตรมีชีวิตอยู่ก็เป็นได้’ 23 แต่ตอนนี้เขาสิ้นชีวิตแล้ว เราจะอดอาหารทำไม เราทำให้เขามีชีวิตกลับคืนมาได้หรือ สักวันเราจะไปหาเขา แต่เขาจะไม่กลับมาหาเรา”
ซาโลมอนกำเนิด
24 แล้วดาวิดก็ปลอบใจบัทเช-บาภรรยาของท่าน และหลับนอนอยู่กับนาง นางได้บุตรเป็นชาย ท่านตั้งชื่อให้ว่า ซาโลมอน และพระผู้เป็นเจ้ารักซาโลมอน 25 และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวผ่านนาธานผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าให้ตั้งชื่อท่านว่า เยดีดิยาห์[e]
เมืองรับบาห์ถูกยึด
26 โยอาบสู้รบกับเมืองรับบาห์ของชาวอัมโมน และยึดเมืองป้อมปราการของกษัตริย์ 27 โยอาบให้บรรดาผู้ส่งข่าวไปเรียนดาวิดว่า “ข้าพเจ้าได้สู้รบกับเมืองรับบาห์ และยิ่งกว่านั้น ข้าพเจ้าได้ยึดเมืองที่เป็นแหล่งเก็บน้ำแล้ว 28 ฉะนั้นขอท่านรวบรวมกำลังที่เหลือ และตั้งค่ายตีเมืองนั้นและยึดไว้ มิฉะนั้นข้าพเจ้าจะยึดเมืองเอง และตั้งชื่อเมืองตามชื่อของข้าพเจ้า” 29 ดังนั้นดาวิดจึงรวบรวมกำลังเข้าด้วยกัน และไปที่เมืองรับบาห์ โจมตีเมืองและยึดไว้ได้ 30 และท่านได้ถอดมงกุฎซึ่งเป็นทองหนัก 1 ตะลันต์[f]ฝังด้วยพลอย 1 เม็ด ออกจากศีรษะของกษัตริย์เมืองนั้น และมงกุฎนั้นถูกสวมบนศีรษะของดาวิด และท่านขนของที่ริบมาได้จากเมืองนั้นเป็นอันมาก 31 และท่านให้เกณฑ์คนทั้งปวงที่อยู่ในเมืองไปทำงานที่เกี่ยวกับเลื่อย เครื่องมือเหล็กและขวานเหล็ก ให้พวกเขาทำงานที่แหล่งเผาอิฐ และท่านทำเช่นนั้นกับเมืองทั้งสิ้นของชาวอัมโมน แล้วดาวิดกับประชาชนทั้งปวงก็กลับไปยังเยรูซาเล็ม
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation