Book of Common Prayer
คำอธิษฐานให้พระเจ้าอวยพรกษัตริย์
เพลงสำหรับซาโลมอน
72 ข้าแต่พระเจ้า ช่วยกษัตริย์ตัดสินอย่างยุติธรรม เหมือนที่พระองค์ทำ
ช่วยลูกชายของกษัตริย์ให้เป็นคนดีและเที่ยงธรรมเหมือนกับพระองค์ด้วยเถิด
2 ขอให้กษัตริย์ปกครองคนของพระองค์อย่างตรงไปตรงมา
และปกครองคนยากจนของพระองค์อย่างยุติธรรม
3 แล้วภูเขาต่างๆจะนำความเจริญรุ่งเรืองมาให้กับคนของพระเจ้า
และเนินเขาต่างๆก็จะให้ผลดีที่มาจากการทำตามใจพระเจ้า
4 ขอให้กษัตริย์ตัดสินคนยากจนอย่างยุติธรรมและช่วยเหลือผู้ขัดสน
แต่ขอให้กษัตริย์ลงโทษคนเหล่านั้นที่กดขี่พวกเขา
5 ขอให้ผู้คนยำเกรงและนับถือพระองค์[a] ตลอดชั่วลูกชั่วหลาน
ตราบเท่าที่ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ยังมีอยู่
6 ขอให้กษัตริย์เป็นเหมือนฝนที่ตกลงมาบนทุ่งหญ้าที่ตัดจนโล่งเตียนแล้ว
ขอให้เขาเป็นเหมือนห่าฝนที่ตกลงมาทำให้พื้นดินชุ่มโชก
7 ขอให้คนดีเบ่งบานขึ้น ในช่วงที่เขาปกครองนั้น
และขอให้มีความเจริญรุ่งเรืองอย่างเหลือล้นตราบเท่าที่ดวงจันทร์ยังมีอยู่
8 ขอให้เขาปกครองจากทะเลหนึ่งไปถึงอีกทะเลหนึ่ง
จากแม่น้ำยูเฟรติสไปถึงสุดปลายแผ่นดินโลก
9 ขอให้คนเหล่านั้นที่อาศัยอยู่ในดินแดนที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งก้มกราบลงต่อหน้าเขา
ขอให้พวกศัตรูของเขาเลียฝุ่นแทบเท้าของเขา
10 ขอให้พวกกษัตริย์แห่งทารชิช และหมู่เกาะที่อยู่ห่างไกลนำเครื่องบรรณาการมาให้กับเขา
ขอให้กษัตริย์แห่งเมืองเชบา[b] และเสบา[c] นำเครื่องบรรณาการมาให้ด้วย
11 ขอให้กษัตริย์ทั้งปวงก้มกราบเขา
และขอให้ชนชาติทั้งปวงมารับใช้เขา
12 เพราะว่าเขาช่วยกู้ผู้ขัดสนที่ร้องขอความช่วยเหลือ
และคนยากจนที่ไม่มีใครช่วย
13 กษัตริย์องค์นี้ให้ความเมตตากับคนอ่อนแอ
และขัดสน และช่วยชีวิตของผู้ที่ขัดสน
14 เขาจะไถ่ชีวิตของคนพวกนั้นจากการกดขี่ข่มเหงและความโหดเหี้ยม
เพราะชีวิตของคนเหล่านั้นมีค่ามากในสายตาเขา
15 ขอให้กษัตริย์มีอายุยิ่งยืนนานและได้รับทองคำที่มีค่าสูงสุดจากเชบา
ขอให้ประชาชนอธิษฐานเผื่อเขาเป็นประจำและอวยพรให้กับเขาวันยังค่ำ
16 ขอให้มีต้นข้าวขึ้นอุดมและชูรวงไหวพลิ้วไปมาแม้บนยอดเขา
ขอให้ผลไม้งอกงามดุจดังป่าแห่งเลบานอน
ขอให้ผู้คนบานสะพรั่งเต็มเมืองเหมือนกับหญ้าในท้องทุ่ง
17 ขอให้ชื่อเสียงของกษัตริย์คงอยู่ตลอดไป
และขอให้ชื่อเสียงของเขาคงอยู่ต่อไปตราบเท่าที่ดวงอาทิตย์ยังมีอยู่
ขอให้ชนชาติต่างๆใช้ชื่อของเขาอวยพรให้แก่กันและกัน
และขอให้ผู้คนถือว่าเขามีเกียรติจริงๆ
18 ขอให้พระยาห์เวห์ พระเจ้า พระเจ้าแห่งอิสราเอลได้รับคำสรรเสริญ
มีแต่พระองค์เท่านั้นที่ทำสิ่งที่น่าทึ่งต่างๆได้
19 ขอสรรเสริญชื่ออันยิ่งใหญ่ของพระองค์ตลอดกาล
ขอให้ทั้งโลกเต็มไปด้วยรัศมีของพระองค์
อาเมน อาเมน
20 คำอธิษฐานต่างๆของดาวิดบุตรชายของเจสซี ก็จบลงเพียงเท่านี้
โยด
73 มือของพระองค์สร้างข้าพเจ้าและค้ำจุนข้าพเจ้าไว้
โปรดให้ความเข้าใจกับข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าจะได้เรียนรู้บัญญัติทั้งหลายของพระองค์
74 คนเหล่านั้นที่ยำเกรงพระองค์จะดีใจเมื่อเห็นข้าพเจ้า
เพราะข้าพเจ้าฝากความหวังไว้ในคำสัญญาของพระองค์
75 ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพเจ้ารู้ว่ากฎเกณฑ์ต่างๆของพระองค์นั้นยุติธรรม
พระองค์ตีสอนข้าพเจ้าเพราะพระองค์ซื่อสัตย์ต่อข้าพเจ้า
76 แต่ตอนนี้ โปรดแสดงความรักมั่นคงของพระองค์ต่อข้าพเจ้าและปลอบโยนข้าพเจ้าด้วยเถิด
เหมือนกับที่พระองค์ได้สัญญาไว้กับข้าพเจ้า ผู้รับใช้ของพระองค์
77 ช่วยส่งความเมตตาของพระองค์มายังทางของข้าพเจ้าด้วยเพื่อข้าพเจ้าจะได้มีชีวิตต่อไป
เพราะข้าพเจ้าเพลิดเพลินกับคำสั่งสอนของพระองค์
78 ขอให้พวกเย่อหยิ่งจองหองพวกนั้นได้รับความอับอายเพราะพวกเขาใส่ร้ายข้าพเจ้า
แต่ข้าพเจ้ายังใคร่ครวญอยู่กับคำสั่งต่างๆของพระองค์
79 ขอให้คนเหล่านั้นที่ยำเกรงพระองค์และรู้จักกฎต่างๆของพระองค์
กลับมาหาข้าพเจ้าด้วยเถิด
80 ขอให้ข้าพเจ้ารักษากฎระเบียบของพระองค์ด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์
เพื่อข้าพเจ้าจะได้ไม่ต้องอับอาย
คัฟ
81 ข้าพเจ้าอ่อนระโหยโรยแรง ในขณะที่รอคอยให้พระองค์มาช่วยกู้
แต่ข้าพเจ้าฝากความหวังของข้าพเจ้าไว้ในคำสัญญาของพระองค์
82 ดวงตาของข้าพเจ้าเหนื่อยล้าเพราะเฝ้ามองว่าเมื่อไหร่คำสัญญาของพระองค์จะเกิดขึ้นเสียที
เมื่อไหร่หนอ พระองค์จะปลอบโยนข้าพเจ้า
83 แม้ว่า ข้าพเจ้าจะเปรียบเหมือนกับถุงหนังเหล้าองุ่นที่แขวนรมควันจนเหี่ยวแห้ง
แต่ข้าพเจ้าก็จะไม่ลืมกฎระเบียบต่างๆของพระองค์
84 ข้าพเจ้า ผู้รับใช้ของพระองค์จะต้องรอไปอีกนานแค่ไหน
เมื่อไหร่พระองค์จะตัดสินคนที่ข่มเหงข้าพเจ้า
85 พวกคนหยิ่งยโสนั้นได้ขุดพวกหลุมพรางดักข้าพเจ้า
พวกเขาไม่ทำตามคำสั่งสอนของพระองค์
86 บัญญัติทุกข้อของพระองค์เชื่อถือได้
พวกเขาไล่ล่าข้าพเจ้าทั้งๆที่ข้าพเจ้าไม่ได้ทำอะไรพวกเขา โปรดช่วยข้าพเจ้าด้วยเถิด
87 คนพวกนั้นเกือบจะดับข้าพเจ้าไปจากแผ่นดินโลก
แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ละทิ้งคำสั่งต่างๆของพระองค์
88 โปรดแสดงความรักมั่นคงของพระองค์ต่อข้าพเจ้าเพื่อข้าพเจ้าจะได้มีชีวิตต่อไป
เพื่อข้าพเจ้าจะได้รักษากฎทั้งหลายจากปากของพระองค์
ลาเม็ธ
89 ข้าแต่พระยาห์เวห์ คำบัญชาของพระองค์จะคงอยู่ตลอดไป
มันยืนหยัดมั่นคงในฟ้าสวรรค์
90 ความซื่อสัตย์ของพระองค์จะคงอยู่ทุกชั่วอายุคนตลอดไป
เหมือนกับโลกนี้ที่พระองค์สร้างขึ้นมา
91 ทุกสิ่งทุกอย่างคงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้เพราะกฎเกณฑ์ต่างๆของพระองค์
ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นผู้รับใช้ของพระองค์
92 ถ้าหากข้าพเจ้าไม่ได้เพลิดเพลินในคำสั่งสอนของพระองค์
ข้าพเจ้าก็คงพินาศไปแล้วด้วยความทุกข์ทรมาน
93 ข้าพเจ้าจะไม่มีวันลืมคำสั่งต่างๆของพระองค์
พระองค์ให้ข้าพเจ้ามีชีวิตโดยทำตามคำสั่งเหล่านั้น
94 ข้าพเจ้าเป็นของพระองค์ ช่วยกู้ข้าพเจ้าด้วยเถิด
เพราะข้าพเจ้าอยากจะทำตามคำสั่งต่างๆของพระองค์
95 คนชั่วช้าดักซุ่มทำลายข้าพเจ้า
แต่ข้าพเจ้ายังใคร่ครวญถึงกฎต่างๆของพระองค์
96 ข้าพเจ้าเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีขีดจำกัด
แต่บัญญัติต่างๆของพระองค์นั้นไม่มีขีดจำกัด
มีคายาห์ตักเตือนกษัตริย์อาหับ
(2 พศด. 18:2-27)
22 ชาวอารัมกับชาวอิสราเอลไม่ได้ทำสงครามกันเป็นเวลาสามปี 2 แต่ในปีที่สาม กษัตริย์เยโฮชาฟัทของยูดาห์ได้ไปพบกษัตริย์อาหับของอิสราเอล
3 กษัตริย์อาหับของอิสราเอลพูดกับพวกข้าราชการของเขาว่า “พวกท่านไม่รู้หรือว่าเมืองราโมท-กิเลอาดเป็นของพวกเรา แต่พวกเราไม่ได้ทำอะไรเลยที่จะยึดมันคืนมาจากกษัตริย์ของชาวอารัม” 4 แล้วเขาก็ถามกษัตริย์เยโฮชาฟัทว่า “ท่านจะไปช่วยเราสู้รบกับชาวอารัมที่เมืองราโมท-กิเลอาดไหม”
เยโฮชาฟัทตอบกษัตริย์ของอิสราเอลไปว่า “ท่านกับเราก็เป็นเหมือนคนๆเดียวกัน ทหารของเราก็เป็นเหมือนทหารของท่าน พวกม้าของเราก็เป็นเหมือนม้าของท่าน 5 แต่ให้เราไปขอคำปรึกษาจากพระยาห์เวห์ก่อน”
6 กษัตริย์อาหับของอิสราเอลจึงเรียกพวกผู้พูดแทนพระเจ้าประมาณสี่ร้อยคนมา และถามพวกเขาว่า “เราควรจะไปสู้รบกับชาวอารัมที่เมืองราโมท-กิเลอาดหรือไม่”
พวกเขาตอบว่า “ไปเถิด เพราะพระยาห์เวห์จะให้มันตกอยู่ในกำมือของท่าน”
7 แต่กษัตริย์เยโฮชาฟัทถามว่า “ยังมีคนอื่นที่เป็นผู้พูดแทนพระยาห์เวห์อยู่ที่นี่หรือเปล่า ที่เราจะสอบถามเขาได้”
8 กษัตริย์อาหับของอิสราเอลตอบเยโฮชาฟัทว่า “ยังมีอีกคนหนึ่งที่พวกเราสามารถไปขอคำปรึกษาจากพระยาห์เวห์ผ่านทางเขาได้ แต่เราเกลียดเขา เพราะเขาไม่เคยทำนายสิ่งดีๆเกี่ยวกับเราเลย มีแต่สิ่งเลวร้ายทั้งนั้น เขาคือมีคายาห์ลูกชายของอิมลาห์”
เยโฮชาฟัทตอบว่า “กษัตริย์ไม่ควรพูดอย่างนั้น”
9 กษัตริย์อาหับของอิสราเอลจึงเรียกเจ้าหน้าที่ของเขามาคนหนึ่งและพูดว่า “เร็วเข้า ไปพามีคายาห์ลูกชายของอิมลาห์มาที่นี่”
10 กษัตริย์อาหับแห่งอิสราเอลและกษัตริย์เยโฮชาฟัทแห่งยูดาห์ แต่งตัวด้วยชุดกษัตริย์เต็มยศ กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์ของพวกเขาที่ลานนวดข้าว ตรงทางเข้าประตูเมืองสะมาเรีย พร้อมกับพวกผู้พูดแทนพระเจ้าทุกคนที่อยู่ต่อหน้าพวกเขา ที่กำลังอ้างว่าพูดแทนพระเจ้าอยู่ 11 ขณะนั้น ผู้พูดแทนพระเจ้าคนหนึ่ง ชื่อเศเดคียาห์ลูกชายเคนาอะนาห์ได้เอาเหล็กทำเป็นเขาสัตว์[a] เขาประกาศว่า “นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์พูด ‘พวกเจ้าจะใช้เขาสัตว์เหล็กนี้แทงพวกอารัม จนกว่าพวกนั้นจะถูกทำลายจนหมด’” 12 ผู้พูดแทนพระเจ้าทั้งหมดต่างก็ทำนายในสิ่งเดียวกัน พวกเขาพูดว่า “ขึ้นไปที่ราโมท-กิเลอาดและได้รับชัยชนะเถิด เพราะพระยาห์เวห์จะให้มันตกอยู่ในกำมือของกษัตริย์”
13 คนส่งข่าวที่ส่งไปเรียกตัวมีคายาห์พูดกับเขาว่า “ดูสิ ผู้พูดแทนพระเจ้าคนอื่นๆกำลังทำนายความสำเร็จของกษัตริย์อยู่ ขอให้คำพูดของท่านเหมือนกับคำพูดของพวกเขาและพูดแต่สิ่งดีๆด้วยเถิด”
14 แต่มีคายาห์ตอบไปว่า “พระยาห์เวห์มีชีวิตอยู่แน่ขนาดไหน ก็ให้แน่ใจขนาดนั้นเลยว่า เราจะพูดแต่สิ่งที่พระยาห์เวห์บอกเราเท่านั้น”
15 เมื่อมีคายาห์มาถึง กษัตริย์ถามเขาว่า “มีคายาห์ พวกเราควรจะขึ้นไปรบกับชาวอารัมที่ราโมท-กิเลอาดหรือเปล่า”
เขาตอบว่า “ไปรบเถิด แล้วจะได้รับชัยชนะกลับมา เพราะพระยาห์เวห์จะให้มันตกอยู่ในกำมือของกษัตริย์”
16 กษัตริย์พูดกับเขาว่า “เราให้เจ้าสาบานไม่รู้กี่ครั้งแล้ว ว่าให้เจ้าพูดแต่ความจริงกับเรา ในนามของพระยาห์เวห์”
17 มีคายาห์จึงตอบว่า “เราเห็นอิสราเอลทั้งหมดกระจัดกระจายอยู่ตามเนินเขาเหมือนกับแกะที่ไม่มีคนเลี้ยง และพระยาห์เวห์พูดว่า ‘ประชาชนเหล่านี้ไม่มีผู้นำแล้ว ปล่อยให้พวกเขากลับไปบ้านอย่างสันติเถิด’”
18 กษัตริย์อาหับของอิสราเอลบอกกับกษัตริย์เยโฮชาฟัทว่า “เห็นไหม เราบอกท่านแล้ว ว่าเขาไม่เคยทำนายสิ่งดีๆเกี่ยวกับเราเลย มีแต่คำทำนายที่ร้ายๆเสมอ”
19 มีคายาห์พูดต่อไปว่า “ฟังคำของพระยาห์เวห์ให้ดี ข้าพเจ้าเห็นพระยาห์เวห์นั่งอยู่บนบัลลังก์พร้อมกับกองทัพสวรรค์ทั้งหมดที่ยืนอยู่รอบๆพระองค์ทั้งด้านขวาและด้านซ้ายของพระองค์ 20 และพระยาห์เวห์พูดว่า ‘ใครจะล่อลวงอาหับให้ไปโจมตีชาวอารัมที่ราโมท-กิเลอาดและไปตายที่นั่นได้บ้าง’ ทูตสวรรค์องค์หนึ่งแนะนำอย่างหนึ่ง และอีกองค์หนึ่งก็แนะนำอีกอย่างหนึ่ง 21 ในที่สุดวิญญาณองค์หนึ่งก็ก้าวออกมายืนอยู่ต่อหน้าพระยาห์เวห์ และพูดว่า ‘ข้าพเจ้าจะไปล่อลวงเขาเอง’ 22 พระยาห์เวห์ถามเขาว่า ‘ด้วยวิธีไหนหรือ’ เขาตอบว่า ‘เราจะออกไปและไปเป็นวิญญาณที่หลอกลวงอยู่ที่ปากของพวกผู้พูดแทนพระเจ้าทั้งหมดของเขา’ พระยาห์เวห์ตอบว่า ‘เจ้าจะล่อลวงเขาได้สำเร็จแน่ ไปลงมือเถิด’
23 ดังนั้น ในตอนนี้พระยาห์เวห์ได้มาวางวิญญาณที่หลอกลวงอยู่ที่ปากของผู้พูดแทนพระเจ้าทั้งหมดนี้แล้ว พระยาห์เวห์ได้สั่งให้เรื่องร้ายๆเกิดขึ้นกับท่านแล้ว”
24 แล้วเศเดคียาห์ผู้พูดแทนพระเจ้า ลูกชายของเคนาอะนาห์ เข้ามาตบหน้ามีคายาห์ เขาถามว่า “จะเป็นไปได้ยังไง ที่พระวิญญาณที่มาจากพระยาห์เวห์จะจากข้าไป เพื่อไปพูดผ่านแก”
25 มีคายาห์ตอบว่า “ท่านจะรู้เองในวันที่ท่านไปหลบซ่อนตัวอยู่ในห้องด้านในสุด”
26 กษัตริย์อาหับของอิสราเอลได้สั่งไปว่า “จับตัวมีคายาห์ส่งกลับไปให้กับอาโมนเจ้าเมืองและโยอาชลูกชายของเรา 27 และบอกกับพวกเขาว่า ‘กษัตริย์สั่งว่า ให้เอาตัวเจ้าหมอนี่ไปขังไว้ในคุกและอย่าให้อะไรกับมัน นอกจากขนมปังและน้ำ จนกว่าเราจะกลับมาอย่างปลอดภัย’”
28 มีคายาห์ประกาศไปว่า “ประชาชนทั้งหลาย ฟังให้ดี ถ้าอาหับกลับมาอย่างปลอดภัย ก็แสดงว่าพระยาห์เวห์ไม่ได้พูดผ่านเรา”
เรื่องราวของพระคริสต์บนไม้กางเขน
2 ดังนั้น พี่น้องครับ ตอนแรกที่ผมมาประกาศความจริงอันลึกลับของพระเจ้าให้กับพวกคุณนั้น ผมไม่ได้ใช้คำพูดที่สวยหรูหรือเต็มไปด้วยสติปัญญาอันเลอเลิศ 2 มีแค่สิ่งเดียวเท่านั้นที่ผมตัดสินใจแน่วแน่ว่าผมจะต้องทำตอนที่อยู่กับคุณ คือจะพูดเรื่องของพระเยซูคริสต์และความตายของพระองค์บนไม้กางเขน 3 ผมมาหาคุณอย่างคนอ่อนแอที่กลัวจนตัวสั่น 4 และผมไม่ได้ใช้คำพูดอันเฉลียวฉลาดของมนุษย์เพื่อโน้มน้าวคุณด้วย แต่ผมสำแดงความจริงด้วยฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณ 5 เพื่อความเชื่อของคุณจะได้ไม่ขึ้นอยู่กับความเฉลียวฉลาดของมนุษย์ แต่ขึ้นอยู่กับฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า
สติปัญญาของพระเจ้า
6 จริงๆแล้วกับคนที่เป็นผู้ใหญ่ เราก็สอนเรื่องความเฉลียวฉลาด แต่มันไม่ได้เป็นความเฉลียวฉลาดของโลกนี้ หรือที่มาจากผู้ครอบครองโลกนี้ที่กำลังจะหมดอำนาจไป 7 แต่เราสอนถึงสติปัญญาอันลึกลับของพระเจ้าที่ถูกปิดซ่อนไว้ และพระองค์ก็ได้กำหนดไว้ก่อนที่จะมีโลกนี้เสียอีกว่า สติปัญญานี้จะเป็นศักดิ์ศรีของเรา 8 ไม่มีผู้ครอบครองคนไหนในยุคนี้รู้จักสติปัญญานั้น เพราะถ้าเขารู้เขาก็คงจะไม่ตรึงองค์เจ้าชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ไว้บนไม้กางเขน 9 เหมือนกับที่พระคัมภีร์พูดว่า
“ไม่มีตาของใครเคยเห็น
ไม่มีหูของใครเคยได้ยิน
ไม่มีใจของใครเคยคิดขึ้นมาได้
ถึงสิ่งที่พระเจ้าได้เตรียมไว้สำหรับคนที่รักพระองค์”(A)
10 แต่พระเจ้าได้เปิดเผยสิ่งนี้ให้กับเราผ่านทางพระวิญญาณ
เพราะพระวิญญาณรู้ทุกสิ่งทุกอย่างแม้แต่ความลับอันล้ำลึกของพระเจ้า 11 เพราะไม่มีใครรู้ความคิดของคนอื่นได้นอกจากวิญญาณที่อยู่ในตัวของเขาเอง เช่นเดียวกัน ไม่มีใครรู้ความคิดของพระเจ้าได้นอกจากพระวิญญาณของพระองค์เอง 12 เราไม่ได้รับวิญญาณของโลกนี้ แต่รับพระวิญญาณที่มาจากพระเจ้า เพื่อเราจะได้เข้าใจสิ่งต่างๆที่พระเจ้าให้เรา และพระองค์ก็ให้เราอย่างใจกว้างจริงๆ
13 สิ่งที่เราพูดมานี้ ไม่ได้เป็นสติปัญญาของมนุษย์ แต่พระวิญญาณสอนให้พูด ซึ่งเป็นการอธิบายสิ่งต่างๆของพระวิญญาณด้วยคำพูดที่มาจากพระวิญญาณ
18 วันหนึ่ง ขณะที่พระเยซูกำลังเดินอยู่ริมฝั่งทะเลสาบกาลิลี พระองค์มองเห็นพี่น้องสองคนคือ ซีโมนที่คนเรียกว่า เปโตร และอันดรูว์น้องชายของเขา กำลังเหวี่ยงแหจับปลากันอยู่ เพราะพวกเขาเป็นชาวประมง 19 พระองค์พูดกับเขาว่า “ตามเรามาเถอะ เราจะสอนให้จับคนแทนจับปลา” 20 ทั้งสองคนก็ทิ้งแหและติดตามพระองค์ไปทันที
21 เมื่อพระองค์เดินต่อไปอีกหน่อยหนึ่ง ก็เห็นพี่น้องอีกสองคนคือ ยากอบ ลูกชายของเศเบดี กับยอห์นน้องชายของเขา กำลังซ่อมแซมแหกับพ่อของพวกเขาอยู่ในเรือ แล้วพระองค์เรียกพี่น้องสองคนนี้มา 22 ทั้งยากอบและยอห์นก็เลยลาพ่อและทิ้งเรือ แล้วพวกเขาตามพระองค์ไปทันที
พระเยซูสอนและรักษาประชาชน
(ลก. 6:17-19)
23 พระเยซูเดินทางไปทั่วแคว้นกาลิลี เพื่อสั่งสอนคนตามที่ประชุมชาวยิว และประกาศข่าวดีเกี่ยวกับอาณาจักรแห่งสวรรค์ให้ทุกคนรู้ นอกจากนี้ยังได้รักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆให้กับคนในเมืองจนหายด้วย 24 ทำให้ชื่อเสียงของพระองค์เลื่องลือไปทั่วประเทศซีเรีย ผู้คนแห่กันมาหาพระเยซู เขาพาคนที่เจ็บป่วยทนทุกข์ทรมานด้วยโรคต่างๆ คนถูกผีสิง คนเป็นลมบ้าหมู และคนเป็นอัมพาตมาด้วย แล้วพระองค์ได้รักษาพวกเขาจนหายหมดทุกคน 25 คนจำนวนมากพากันติดตามพระองค์ มีทั้งคนจากแคว้นกาลิลี แคว้นเดคาโปลิศ[a] เมืองเยรูซาเล็ม แคว้นยูเดีย และดินแดนทางตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International