M’Cheyne Bible Reading Plan
รูเบนและกาดตั้งหลักแหล่ง
32 บรรดาบุตรของรูเบนและกาดมีฝูงปศุสัตว์ที่ใหญ่มาก พวกเขาเห็นว่าแผ่นดินของยาเซอร์และของกิเลอาดเหมาะสำหรับการเลี้ยงฝูงปศุสัตว์ 2 ดังนั้นบุตรของกาดและของรูเบนจึงมาพูดกับโมเสสและเอเลอาซาร์ปุโรหิต และบรรดาหัวหน้าของมวลชนว่า 3 “อาทาโรท ดีโบน ยาเซอร์ นิมราห์ เฮชโบน เอเลอาเลห์ เสบาม เนโบ และเบโอน 4 แผ่นดินที่พระผู้เป็นเจ้าทำให้พ่ายแพ้ต่อหน้ามวลชนอิสราเอลเป็นแผ่นดินสำหรับฝูงปศุสัตว์ และผู้รับใช้ของท่านก็มีฝูงปศุสัตว์” 5 เขาพูดต่อไปอีกว่า “ถ้าเราเป็นที่โปรดปรานของท่าน ขอให้พวกเราผู้เป็นผู้รับใช้ของท่านได้ครอบครองแผ่นดินดังกล่าว อย่าพาพวกเราข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปเลย”
6 โมเสสพูดกับบรรดาบุตรของกาดและของรูเบนว่า “จะให้พี่น้องของท่านไปสงครามขณะที่พวกท่านนั่งอยู่ที่นี่อย่างนั้นหรือ 7 ทำไมท่านจึงทำให้ชาวอิสราเอลท้อใจที่จะย่างก้าวเข้าไปในแผ่นดินที่พระผู้เป็นเจ้าได้มอบให้แก่พวกเขาแล้ว 8 เหล่าบรรพบุรุษของท่านกระทำเช่นเดียวกัน เมื่อเราให้พวกเขาไปยังคาเดชบาร์เนียเพื่อตรวจดูแผ่นดิน 9 ครั้นพวกเขาขึ้นไปยังลุ่มน้ำเอชโคล์และมองเห็นแผ่นดิน พวกเขาจึงทำให้ชาวอิสราเอลท้อใจที่จะย่างก้าวเข้าไปในแผ่นดินที่พระผู้เป็นเจ้าได้มอบให้แก่พวกเขาแล้ว 10 ความกริ้วของพระผู้เป็นเจ้าพลุ่งขึ้นในวันนั้น และพระองค์ปฏิญาณว่า 11 ‘แน่นอนทีเดียว จะไม่มีชายที่มีอายุนับตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไปคนไหนที่ออกมาจากอียิปต์แล้ว จะได้เห็นแผ่นดินที่เราได้ปฏิญาณว่าจะมอบให้แก่อับราฮัม อิสอัค และยาโคบ เพราะพวกเขาไม่ได้ตามเรามาด้วยความเต็มใจ 12 ไม่มีใครนอกจากคาเลบบุตรเยฟุนเนห์ชาวเคนัส และโยชูวาบุตรของนูน เพราะเขาทั้งสองได้ตามพระผู้เป็นเจ้าด้วยความเต็มใจ’ 13 พระผู้เป็นเจ้ากริ้วอิสราเอลมาก และพระองค์ทำให้พวกเขาต้องพเนจรไปในถิ่นทุรกันดารเป็นเวลา 40 ปี จนกระทั่งทุกคนในยุคที่ทำความชั่วในสายตาของพระผู้เป็นเจ้าพากันวอดวายหมดแล้ว[a] 14 และดูเถิด พวกท่านลุกขึ้นมาแทนที่บรรพบุรุษของท่านแล้ว พวกชาติมนุษย์ผู้บาปหนา เพื่อกระตุ้นความโกรธมหันต์ของพระผู้เป็นเจ้าต่ออิสราเอล 15 ด้วยว่า ถ้าท่านหันเหไปจากการติดตามพระองค์ พระองค์จะทอดทิ้งพวกเขาในถิ่นทุรกันดารอีก และพวกท่านจะทำลายประชาชนทั้งหมดนี้”
16 แล้วเขาทั้งหลายก็เข้ามาใกล้ท่านและพูดว่า “พวกเราจะกั้นคอกให้ฝูงปศุสัตว์ของเราที่นี่ และสร้างเมืองให้พวกเด็กๆ อยู่ 17 แต่เราจะหยิบอาวุธ พร้อมจะไปล่วงหน้าชาวอิสราเอล จนกระทั่งเราพาพวกเขาไปยังที่ของเขา และพวกเด็กๆ ของเราจะอยู่ในเมืองที่มีการคุ้มกันอย่างแข็งแกร่ง ปลอดภัยจากผู้อยู่อาศัยของแผ่นดินนี้ 18 เราจะไม่กลับมายังบ้านของเราจนกว่าชาวอิสราเอลแต่ละคนได้เป็นเจ้าของแผ่นดินของตนเสียก่อน 19 เราจะไม่รับมรดกร่วมกับพวกเขาที่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดนและที่ไกลออกไป เพราะมรดกของพวกเราได้ตกถึงเราแล้วที่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน” 20 และโมเสสพูดกับเขาเหล่านั้นว่า “ถ้าท่านจะทำอย่างนั้น โดยหยิบอาวุธไปรบในสงครามต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้า 21 และพวกท่านทุกคนที่ถืออาวุธจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้าอย่างนั้นจริง จนพระองค์ได้ขับไล่พวกศัตรูไปต่อหน้าพระองค์ก่อน 22 และแผ่นดินจะถูกควบคุมอยู่ต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้า และหลังจากนั้นท่านจะกลับมาได้ และพ้นจากข้อผูกพันกับพระผู้เป็นเจ้า และอิสราเอล และจะเป็นที่ยอมรับของพระผู้เป็นเจ้าว่า พวกท่านเป็นเจ้าของแผ่นดินนี้ 23 แต่ถ้าท่านไม่ทำตามนั้น ดูเถิด ท่านก็ได้กระทำบาปต่อพระผู้เป็นเจ้า และมั่นใจได้เลยว่า บาปจะตามทันพวกท่าน 24 สร้างเมืองให้พวกเด็กๆ ของท่าน กั้นคอกให้แกะของท่าน และจงทำตามที่ท่านได้สัญญาไว้” 25 ครั้นแล้วบรรดาบุตรของกาดและของรูเบนพูดกับโมเสสว่า “พวกเราผู้เป็นผู้รับใช้ของท่านจะทำตามที่นายท่านบัญชา 26 พวกเด็กๆ และภรรยาของเรา ปศุสัตว์และสัตว์เลี้ยงทั้งหมดของเราจะอยู่ในเมืองกิเลอาดนั่น 27 แต่พวกเราผู้เป็นผู้รับใช้ของท่านจะข้ามเขตไป ชายทุกคนที่ถืออาวุธพร้อมสำหรับสงครามจะไปสู้รบต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้าตามที่นายของข้าพเจ้ากล่าว”
28 ดังนั้น โมเสสจึงออกคำสั่งกับเอเลอาซาร์ปุโรหิต โยชูวาบุตรของนูน และบรรดาหัวหน้าเผ่าของบรรพบุรุษของชาวอิสราเอล เกี่ยวกับเรื่องของชาวกาดและรูเบน 29 โมเสสพูดกับพวกเขาว่า “ถ้าบรรดาบุตรของกาดและของรูเบน ชายทุกคนที่ถืออาวุธพร้อมเพื่อสู้รบในสงครามต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้า จะข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปกับพวกท่าน แผ่นดินสยบต่อหน้าท่าน ก็จงให้พวกเขาเป็นเจ้าของดินแดนกิเลอาด 30 แต่ถ้าพวกเขาไม่ข้ามไปกับท่านพร้อมอาวุธ เขาก็จะเป็นเจ้าของด้วยกันกับท่านในดินแดนคานาอัน” 31 บรรดาบุตรของกาดและของรูเบนตอบว่า “พวกเราจะกระทำตามที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวแก่บรรดาผู้รับใช้ของท่าน 32 เราจะข้ามไปยังดินแดนคานาอันต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้าพร้อมกับอาวุธ และแผ่นดินที่เรารับเป็นมรดกจะอยู่กับเราต่อไปที่ริมฝั่งแม่น้ำจอร์แดน”
33 แล้วโมเสสก็มอบอาณาจักรของสิโหนกษัตริย์ของชาวอาโมร์ อาณาจักรของโอกกษัตริย์แห่งบาชาน แผ่นดินทั้งหมดกับเมืองต่างๆ และอาณาเขตโดยรอบให้แก่บุตรหลานของกาด ของรูเบน และแก่ครึ่งเผ่าของมนัสเสห์บุตรของโยเซฟ 34 บรรดาบุตรของกาดสร้างเมืองดีโบน อาทาโรท อาโรเออร์ 35 อัทโรทโชฟาน ยาเซอร์ โยกเบฮาห์ 36 เบธนิมราห์ และเบธฮาราน เป็นเมืองที่มีการคุ้มกันอย่างแข็งแกร่ง และมีคอกให้แกะอาศัย 37 บรรดาบุตรของรูเบนสร้างเมืองเฮชโบน เอเลอาเลห์ คีริยาทาอิม 38 เนโบ และบาอัลเมโอน (พวกเขาตั้งชื่อเมืองขึ้นใหม่) และสิบมาห์ และตั้งชื่อเมืองที่เขาสร้างขึ้น 39 บรรดาบุตรของมาคีร์ ผู้เป็นบุตรมนัสเสห์ไปยังกิเลอาดและยึดไว้ แล้วขับไล่ชาวอาโมร์ที่อาศัยอยู่ 40 ดังนั้นโมเสสจึงยกกิเลอาดให้แก่มาคีร์บุตรของมนัสเสห์ และเขาก็ตั้งรกรากอยู่ที่นั่น 41 และยาอีร์บุตรของมนัสเสห์ไปยึดหมู่บ้านต่างๆ และตั้งชื่อว่า ฮาวโวทยาอีร์ 42 และโนบาห์ไปยึดเคนาทและหมู่บ้านต่างๆ ของเมือง และตั้งชื่อว่า โนบาห์ตามชื่อของเขาเอง
อุ่นใจเมื่อระลึกถึงความเมตตาของพระเจ้า
ถึงหัวหน้าวงดนตรี ตามทำนองของเยดูธูน เพลงสดุดีของอาสาฟ
1 ข้าพเจ้าส่งเสียงร้องถึงพระเจ้า
ส่งเสียงร้องถึงพระเจ้า หวังจะให้พระองค์ได้ยินข้าพเจ้า
2 ในวันอันทุกข์ยากข้าพเจ้าแสวงหาพระผู้เป็นเจ้า
ในยามค่ำคืนข้าพเจ้ายกมือขึ้นอย่างไม่อ่อนล้า
แต่จิตวิญญาณของข้าพเจ้าไม่ยอมรับการปลอบประโลม
3 ข้าพเจ้าระลึกถึงพระเจ้า และคร่ำครวญ
ข้าพเจ้าใคร่ครวญ แต่วิญญาณของข้าพเจ้าอ่อนระโหย เซล่าห์
4 พระองค์ทำให้ข้าพเจ้ามิอาจหลับตาลงได้
ข้าพเจ้าเป็นทุกข์หนักจนมิอาจเอ่ยปากได้
5 ข้าพเจ้าคิดย้อนไปในวันเก่าๆ
ระลึกถึงปีก่อนๆ ที่เกิดขึ้นนานมาแล้ว
6 ยามราตรีข้าพเจ้าระลึกถึงเพลง
และจะใคร่ครวญอยู่ในใจ
และวิญญาณข้าพเจ้าหมั่นแสวงหา
7 “พระผู้เป็นเจ้าจะปฏิเสธพวกเราเสมอไป
และจะไม่มีวันโปรดปรานอีกต่อไปหรือ
8 ความรักอันมั่นคงของพระองค์จบลงโดยสิ้นเชิงแล้วหรือ
ความสัตย์จริงของพระองค์จะสิ้นความหมายไปแล้วในทุกยุคทุกสมัยหรือ
9 พระเจ้าลืมความกรุณาเสียแล้วหรือ
ความกริ้วของพระองค์ปิดกั้นความสงสารของพระองค์ไปแล้วหรือ” เซล่าห์
10 ดังนั้น สิ่งที่ข้าพเจ้าจะกล่าวก็คือ
“ข้าพเจ้ารู้สึกเศร้าเสียนี่กระไร อานุภาพอันยิ่งใหญ่ขององค์ผู้สูงสุดเปลี่ยนไปเสียแล้ว”
11 ข้าพเจ้าจะนึกถึงสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้ากระทำ
เพราะข้าพเจ้าจะจำสิ่งมหัศจรรย์ของพระองค์แต่ครั้งเก่าก่อนได้
12 ข้าพเจ้าตริตรองถึงการงานของพระองค์
และใคร่ครวญถึงการกระทำอันเต็มด้วยอานุภาพของพระองค์
13 โอ พระเจ้า วิถีทางของพระองค์บริสุทธิ์
มีเทพเจ้าใดที่ยิ่งใหญ่เท่าเทียมกับพระเจ้าของเรา
14 พระองค์เป็นพระเจ้าผู้แสดงสิ่งมหัศจรรย์
พระองค์ให้พละกำลังเป็นที่ประจักษ์ในบรรดาชนชาติ
15 ด้วยอานุภาพของพระองค์ พระองค์ไถ่ชนชาติของพระองค์
คือลูกหลานของยาโคบและโยเซฟ เซล่าห์
16 เมื่อน่านน้ำแลเห็นพระองค์ โอ พระเจ้า
เมื่อน่านน้ำแลเห็นพระองค์ก็ยำเกรง
และห้วงน้ำลึกสั่นสะเทือน
17 หมู่เมฆหลั่งฝน
ท้องฟ้าส่งเสียงครืนครั่น
ฟ้าแลบแปลบปลาบไปทั่วทุกแห่งหน
18 เสียงฟ้าร้องครืนครั่นมากับพายุหมุน
ประกายจากสายฟ้าทำให้โลกกระจ่าง
แผ่นดินโลกสั่นสะเทือนและสั่นไหว
19 พระองค์นำทางผ่านท้องทะเลไป
พระองค์ก้าวผ่านไปทางทะเลลึก
ถึงกระนั้นก็ยังไม่มีใครเห็นรอยเท้าของพระองค์
20 พระองค์นำคนของพระองค์ไปเหมือนนำฝูงแกะ
โดยมีโมเสสและอาโรนเป็นผู้บัญชาการ
ตัดสินโทษทั่วแผ่นดินโลก
24 ดูเถิด พระผู้เป็นเจ้าจะกำจัดทุกสิ่งบนโลก
และทำให้เป็นที่ร้าง
พระองค์จะแปรเปลี่ยนผิวโลก
และทำให้ผู้อยู่อาศัยกระจัดกระจายไป
2 และเหตุการณ์จะเกิดกับปุโรหิต
แบบเดียวกับที่จะเกิดกับประชาชน
จะเกิดกับทาสรับใช้
แบบเดียวกับที่จะเกิดกับเจ้านาย
จะเกิดกับผู้ซื้อ
แบบเดียวกับที่จะเกิดกับผู้ขาย
จะเกิดกับผู้ให้ยืม
แบบเดียวกับที่จะเกิดกับผู้ขอยืม
จะเกิดกับเจ้าหนี้
แบบเดียวกับที่จะเกิดกับลูกหนี้
3 แผ่นดินโลกจะร้างและทุกสิ่งจะถูกยึด
เพราะพระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวเช่นนั้น
4 แผ่นดินโลกแห้งเหือดและอ่อนระอา
โลกจะเศร้าสลดและอ่อนระอา
ผู้คนในระดับสูงเศร้าสลด
5 แผ่นดินโลกขาดความบริสุทธิ์
ก็เพราะผู้ที่อยู่อาศัยในนั้น
พวกเขาละเมิดกฎบัญญัติ
ฝ่าฝืนกฎเกณฑ์
และไม่รักษาพันธสัญญาอันเป็นนิรันดร์
6 ฉะนั้น คำสาปแช่งกลืนกินแผ่นดินโลก
และบรรดาผู้อยู่อาศัยในโลกรับทุกข์ทรมานตามความผิดของเขา
ฉะนั้นบรรดาผู้อยู่อาศัยในโลกถูกเผาผลาญ
และเหลือคนรอดชีวิตน้อยมาก
7 เหล้าองุ่นแห้งเหือด
เถาองุ่นแห้งเหี่ยว
ทุกคนที่จิตใจร่าเริงกลับโอดครวญ
8 เสียงเบิกบานใจของรำมะนาชะงักลง
เสียงสนุกสนานก็หยุดลง
เสียงเบิกบานใจของพิณเล็กก็เงียบไป
9 ไม่มีผู้ใดดื่มเหล้าองุ่นพร้อมกับการขับร้อง
สุรามีรสขมสำหรับผู้ที่ดื่ม
10 เมืองที่ร้างพังทลายสิ้น
บ้านทุกหลังปิดตาย ไม่มีใครเข้าไปได้
11 มีเสียงร้องขอเหล้าองุ่นที่ถนน
ความยินดีทั้งหลายก็กลับกลายเป็นความมืดมน
ความร่าเริงใจบนแผ่นดินโลกถูกกำจัดจนหมดสิ้น
12 ในเมืองมีแต่ความรกร้าง
ประตูเมืองถูกพังยับเยิน
13 ในท่ามกลางแผ่นดินโลก
และบรรดาชนชาติจะเป็นไปอย่างนั้น
ซึ่งจะเป็นเช่นเดียวกับการตีต้นมะกอก
เช่นเดียวกับการเก็บผลองุ่นที่ตกหล่นหลังการเก็บเกี่ยว
14 ผู้คนส่งเสียงร้องเพลงเมื่อร่าเริงใจ
เสียงโห่ร้องมาจากทิศตะวันตกก็เพราะความยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้า
15 ฉะนั้น พวกที่อยู่ทางทิศตะวันออกเอ๋ย จงถวายเกียรติแด่พระผู้เป็นเจ้า
พวกที่อยู่ตามฝั่งทะเลเอ๋ย จงถวายเกียรติแด่พระนามของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลเถิด
16 พวกเราได้ยินเสียงจากทั่วทุกมุมโลก เป็นเสียงเพลงสรรเสริญ
แห่งการถวายเกียรติแด่องค์ผู้มีความชอบธรรม
แต่ข้าพเจ้าพูดว่า “ข้าพเจ้าแย่แน่
ข้าพเจ้าแย่แน่ วิบัติจงเกิดแก่ข้าพเจ้า
เพราะบรรดาผู้ทรยศได้หักหลัง
ผู้ทรยศได้หักหลังจริงทีเดียว”
17 โอ ผู้อยู่อาศัยของแผ่นดินโลกเอ๋ย
ความน่ากลัว หลุมพราง และกับดักตกอยู่กับท่าน
18 คนที่หนีเมื่อได้ยินเสียงน่ากลัว
จะตกลงในหลุมพราง
และคนที่ปีนออกจากหลุมพราง
ก็จะติดกับดัก
เพราะหน้าต่างฟ้าสวรรค์เปิดออก
และฐานรากของแผ่นดินโลกสั่นสะเทือน
19 แผ่นดินโลกพังทลายราบ
แผ่นดินโลกถูกแยกออก
แผ่นดินโลกถูกเขย่าอย่างแรง
20 แผ่นดินโลกเซไปมาเหมือนคนเมาเหล้า
มันโอนเอนเหมือนกระท่อม
บาปของโลกหนักหน่วงบนโลก
และโลกก็ล้มลงและจะไม่ลุกขึ้นอีก
21 ในวันนั้น พระผู้เป็นเจ้าจะลงโทษ
ชาวสวรรค์ในสวรรค์
และบรรดากษัตริย์ของแผ่นดินโลกบนโลก
22 เขาทั้งหลายจะถูกรวมเข้าด้วยกัน
เหมือนนักโทษในหลุมลึก
พวกเขาจะถูกกักไว้ในคุกใต้ดิน
และหลายวันหลังจากนั้นพวกเขาจะถูกพิพากษาลงโทษ
23 ดวงจันทร์จะงวยงง
และดวงอาทิตย์จะอับอาย
เพราะพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาจะครองราชย์
บนภูเขาศิโยนและในเยรูซาเล็ม
และพระบารมีของพระองค์จะปรากฏต่อหน้าบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่
2 บรรดาลูกที่รักของข้าพเจ้าเอ๋ย ข้าพเจ้าเขียนเรื่องเหล่านี้ถึงท่าน ก็เพื่อท่านจะได้ไม่กระทำบาป แต่ถ้าใครกระทำบาป เรามีองค์ผู้ช่วยพูดปกป้องต่อพระบิดา คือพระเยซูคริสต์ผู้มีความชอบธรรม 2 พระองค์เป็นเครื่องสักการะเพื่อชดใช้บาปของเรา ซึ่งไม่เพียงแต่บาปของเราเท่านั้น แต่เป็นบาปของคนทั้งโลกด้วย 3 เราทราบแน่ได้ว่าเรารู้จักพระองค์ ถ้าเราปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระองค์ 4 ผู้ที่กล่าวว่า “ข้าพเจ้ารู้จักพระองค์” และไม่ปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระองค์ ก็นับว่าเป็นคนโกหก และไม่มีความจริงอยู่ในตัวเขา 5 แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามคำกล่าวของพระองค์ ความรักของพระเจ้าก็อยู่ในคนนั้นแล้วโดยบริบูรณ์ ด้วยเหตุนี้เราจึงทราบว่าเราอยู่ในพระองค์ 6 ผู้ที่กล่าวว่าตนดำรงอยู่ในพระองค์ ก็ควรดำเนินชีวิตตามวิถีทางที่พระองค์เดิน
7 ข้าพเจ้าไม่ได้เขียนถึงท่านที่รักทั้งหลายเกี่ยวกับข้อบัญญัติใหม่ แต่เป็นข้อบัญญัติเก่าซึ่งท่านมีมาแต่แรกเริ่ม คือข้อบัญญัติเก่าอันเป็นคำกล่าวที่ท่านได้ยินได้ฟังมาแล้ว 8 อีกนัยหนึ่ง ก็นับได้ว่าข้าพเจ้าเขียนถึงท่าน เกี่ยวกับข้อบัญญัติใหม่ถึงความจริงที่ปรากฏในพระองค์และในท่านทั้งหลาย เพราะว่าความมืดกำลังผ่านไป และความสว่างที่แท้จริงก็ทอแสงแล้ว 9 ผู้ที่กล่าวว่าตนอยู่ในความสว่าง แต่ใจเกลียดชังพี่น้องของตนก็นับว่ายังอยู่ในความมืด 10 ผู้ที่รักพี่น้องของตนก็นับว่าดำรงอยู่ในความสว่าง และไม่มีสิ่งใดในตัวเขาที่เป็นเหตุให้เขาพลาดได้ 11 แต่ผู้ที่เกลียดชังพี่น้องของตนก็นับว่าอยู่ในความมืด เดินอยู่ในความมืด และไม่ทราบหนทางที่จะไป เพราะว่าความมืดได้ทำให้ตาเขาบอดเสียแล้ว
12 บรรดาลูกที่รักเอ๋ย ข้าพเจ้าเขียนถึงท่าน
ก็เพราะพระองค์ยกโทษบาปให้แก่ท่านโดยพระนามของพระองค์
13 พวกท่านที่เป็นบิดา ข้าพเจ้าเขียนถึงท่าน
ก็เพราะท่านรู้จักพระองค์ผู้เป็นมาตั้งแต่ปฐมกาลแล้ว
พวกหนุ่มๆ ข้าพเจ้าเขียนถึงท่าน
ก็เพราะท่านได้มีชัยชนะต่อมารร้ายนั้นแล้ว
ลูกๆ เอ๋ย ข้าพเจ้าเขียนถึงท่าน
ก็เพราะพวกท่านรู้จักพระบิดา
14 ท่านทั้งหลายที่เป็นบิดา ข้าพเจ้าเขียนถึงท่าน
ก็เพราะท่านได้รู้จักพระองค์ผู้เป็นมาตั้งแต่ปฐมกาลแล้ว
พวกหนุ่มๆ ข้าพเจ้าเขียนถึงท่าน
ก็เพราะท่านเข้มแข็ง
และคำกล่าวของพระเจ้าดำรงอยู่ในตัวท่าน
และท่านได้มีชัยชนะต่อมารร้ายนั้นแล้ว
อย่ารักโลก
15 อย่ารักโลกหรือสิ่งใดในโลก ถ้าผู้ใดรักโลก ความรักของพระบิดาก็ไม่อยู่ในตัวคนนั้น 16 เพราะว่าทุกสิ่งที่อยู่ในโลกเช่น ความอยากฝ่ายเนื้อหนัง[a] ความอยากอันเกิดจากตามองเห็น และการโอ้อวดในสิ่งที่ตนมี หาใช่มาจากพระบิดาไม่ แต่มาจากโลก 17 โลกและกิเลสของโลกก็กำลังล่วงลับไป แต่ผู้ที่กระทำตามความประสงค์ของพระเจ้าจะดำรงอยู่ตลอดไป
ศัตรูจำนวนมากของพระคริสต์
18 บรรดาลูกที่รักเอ๋ย นี่เป็นวาระสุดท้าย และตามที่ท่านได้ยินได้ฟังมาแล้วว่า ศัตรูผู้นั้นของพระคริสต์กำลังมา แต่บัดนี้ศัตรูของพระคริสต์จำนวนมากมายได้ปรากฏตัวขึ้น ด้วยเหตุนี้เราจึงทราบว่าถึงวาระสุดท้ายแล้ว 19 เพราะเขาเหล่านั้นได้ออกไปจากกลุ่มเรา แต่เขาก็ไม่ได้เป็นคนของพวกเรา ด้วยว่าถ้าเขาเป็นคนของเรา เขาก็จะอยู่กับเรา แต่เขาได้จากเราไป แสดงว่าไม่มีใครสักคนในพวกเขาที่เป็นคนของเรา 20 พวกท่านได้รับการเจิมจากองค์ผู้บริสุทธิ์ และท่านทุกคนก็ทราบความจริง[b] 21 ข้าพเจ้าเขียนถึงท่าน มิใช่ว่าท่านไม่ทราบความจริง ท่านทราบแล้ว และไม่มีข้อความเท็จใดที่มาจากความจริง 22 ใครคือคนโกหก คนโกหกคือผู้ที่ปฏิเสธว่าพระเยซูคือพระคริสต์ ผู้นี้คือศัตรูของพระคริสต์ เป็นผู้ที่ปฏิเสธพระบิดาและพระบุตร 23 ผู้ใดที่ปฏิเสธพระบุตรก็เป็นผู้ที่ไม่มีพระบิดา ผู้ใดที่รับพระบุตรก็เป็นผู้ที่มีพระบิดาด้วย 24 จงให้สิ่งที่ท่านได้ยินมาตั้งแต่แรกเริ่มดำรงอยู่ในตัวท่าน ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว ท่านก็จะดำรงอยู่ในพระบุตรและพระบิดาด้วย 25 และสิ่งที่พระองค์ได้สัญญาเราไว้ก็คือชีวิตอันเป็นนิรันดร์
26 ข้าพเจ้าเขียนเรื่องเหล่านี้ถึงท่าน เกี่ยวกับคนเหล่านั้นที่พยายามจะพาให้ท่านหลงผิด 27 สำหรับตัวท่านเอง การเจิมที่ได้รับจากพระองค์ก็ดำรงอยู่ในตัวท่าน และไม่จำเป็นต้องให้ใครสั่งสอนท่าน เพราะการเจิมของพระองค์สอนทุกสิ่งแก่ท่าน และการเจิมนั้นเป็นความจริง ไม่ใช่เป็นความเท็จ และท่านจงดำรงอยู่ในพระองค์ตามที่การเจิมได้สอนท่านเถิด
บรรดาบุตรของพระเจ้า
28 มาบัดนี้ บรรดาลูกที่รักเอ๋ย จงดำรงอยู่ในพระองค์เถิด เพื่อว่าเมื่อพระองค์มาปรากฏ เราจะได้มีความมั่นใจ และไม่ต้องหลบหน้าด้วยความละอายเวลาพระองค์มา 29 ถ้าท่านทราบว่าพระองค์มีความชอบธรรม ท่านก็ทราบว่าผู้กระทำสิ่งที่ถูกต้องทุกคนล้วนเกิดมาจากพระองค์
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation