Imprimir Opciones de la página Listen to Reading
Anterior Día anterior Día siguienteSiguiente

The Daily Audio Bible

This reading plan is provided by Brian Hardin from Daily Audio Bible.
Duration: 731 days

Today's audio is from the NLT. Switch to the NLT to read along with the audio.

Thai New Contemporary Bible (TNCV)
Version
2 พงศาวดาร 8:11-10:19

11 โซโลมอนทรงพาราชธิดาของฟาโรห์จากเมืองดาวิดมาประทับที่พระราชวังซึ่งทรงสร้างขึ้นเพื่อพระนาง เพราะพระองค์ตรัสว่า “อย่าให้มเหสีของเราอยู่ในพระราชวังของกษัตริย์ดาวิดแห่งอิสราเอล เนื่องจากสถานที่ทั้งหลายซึ่งหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้าผ่านเข้ามานั้นบริสุทธิ์”

12 โซโลมอนทรงถวายเครื่องเผาบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าบนแท่นบูชาขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่สร้างขึ้นตรงหน้ามุขของพระวิหาร 13 ตามระเบียบกำหนดสำหรับของถวายประจำวันซึ่งโมเสสสั่งไว้สำหรับวันสะบาโต วันขึ้นหนึ่งค่ำ และสามเทศกาลประจำปีอันได้แก่ เทศกาลขนมปังไม่ใส่เชื้อ เทศกาลแห่งสัปดาห์ และเทศกาลอยู่เพิง 14 โซโลมอนทรงดำเนินตามข้อปฏิบัติของดาวิดราชบิดาในการมอบหมายหน้าที่ให้ปุโรหิตแต่ละหมู่เหล่า และให้คนเลวีนำการร้องเพลงสรรเสริญและช่วยเหลือปุโรหิตตามหน้าที่ประจำวัน ทั้งทรงกำหนดเวรยามตามหมู่เหล่าให้เฝ้าประตูต่างๆ ของพระวิหารตามที่ดาวิดคนของพระเจ้าได้สั่งไว้ 15 พวกเขาปฏิบัติตามพระบัญชาของกษัตริย์อย่างเคร่งครัด ทั้งปุโรหิตและคนเลวี ไม่ว่าในเรื่องใด รวมทั้งเรื่องคลังต่างๆ

16 พระราชกิจทั้งปวงของโซโลมอนสำเร็จลุล่วง นับแต่วันที่วางฐานรากพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าตราบจนสำเร็จครบถ้วน เป็นอันว่าพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าสำเร็จเรียบร้อย

17 จากนั้นโซโลมอนเสด็จไปยังเอซีโอนเกเบอร์ และเอลัทบนชายฝั่งของเอโดม 18 ฮีรามทรงส่งเรือมาให้พร้อมเจ้าหน้าที่ซึ่งรู้จักทะเลดี คนเหล่านี้กับคนของโซโลมอนเดินเรือไปยังโอฟีร์ และนำทองคำหนักประมาณ 16 ตัน[a]กลับมาถวายกษัตริย์โซโลมอน

ราชินีแห่งเชบามาเยือนโซโลมอน(A)

เมื่อราชินีแห่งเชบาทรงได้ยินกิตติศัพท์ของโซโลมอน ก็เสด็จมายังกรุงเยรูซาเล็มเพื่อทดสอบพระองค์โดยตั้งปัญหายากๆ พระนางทรงมาถึงกรุงเยรูซาเล็มพร้อมกับกองคาราวานใหญ่ มีอูฐบรรทุกเครื่องเทศ ทองคำจำนวนมาก และเพชรนิลจินดา พระนางเข้าเฝ้าโซโลมอนและทรงสนทนาทุกเรื่องที่ทรงดำริไว้ โซโลมอนทรงตอบปัญหาของพระนางได้ทุกข้อ ไม่มีสิ่งใดยากเกินกว่าที่พระองค์จะทรงอธิบายแก่พระนาง เมื่อราชินีแห่งเชบาทรงเห็นพระสติปัญญาของโซโลมอน และพระราชวังที่ทรงสร้างขึ้น อาหารบนโต๊ะเสวย ข้าราชบริพารที่เข้าเฝ้า มหาดเล็กในเครื่องแบบ และพนักงานเชิญจอกเสวยในเครื่องแบบ และเครื่องเผาบูชามากมายซึ่งถวายที่พระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระนางก็ประหลาดพระทัยเป็นล้นพ้น

พระนางตรัสกับกษัตริย์ว่า “ที่หม่อมฉันได้ยินได้ฟังมาในประเทศของหม่อมฉันเกี่ยวกับความสำเร็จและพระปรีชาญาณของฝ่าพระบาทล้วนเป็นความจริง แต่หม่อมฉันไม่เชื่อมาก่อนเลยจนกระทั่งได้มาเห็นกับตา แท้จริงแล้วที่หม่อมฉันได้ยินมาก็ยังไม่ถึงครึ่งของพระปรีชาญาณของฝ่าพระบาท ฝ่าพระบาททรงยิ่งใหญ่กว่าที่เขาร่ำลือกันมากนัก ไพร่ฟ้าของฝ่าพระบาทคงมีความสุขยิ่งนัก! ข้าราชบริพารของฝ่าพระบาทคงมีความสุขที่ได้เข้าเฝ้าและสดับฟังพระปัญญาของฝ่าพระบาทอยู่เสมอ! สรรเสริญพระยาห์เวห์พระเจ้าของฝ่าพระบาทที่ได้ทรงโปรดปรานและตั้งฝ่าพระบาท ขึ้นเป็นกษัตริย์ครองบัลลังก์ของพระองค์ และปกครองในพระนามของพระเจ้าพระยาห์เวห์ เพราะพระเจ้าของฝ่าพระบาททรงรักอิสราเอลยิ่งนัก และทรงประสงค์จะเชิดชูอิสราเอลไว้ตลอดกาล จึงทรงตั้งฝ่าพระบาทเป็นกษัตริย์เหนือพวกเขาเพื่อผดุงความยุติธรรมและความชอบธรรม”

จากนั้นพระนางถวายทองคำหนักประมาณ 4 ตัน[b] เครื่องเทศมากมาย และอัญมณีล้ำค่าแด่โซโลมอน ไม่เคยมีเครื่องเทศเหมือนที่ราชินีแห่งเชบาถวายแด่กษัตริย์โซโลมอนมาก่อนเลย

10 (ลูกเรือของฮีรามและโซโลมอนนำทองคำมาจากเมืองโอฟีร์กับไม้ประดู่[c] และเพชรนิลจินดาล้ำค่า 11 กษัตริย์โซโลมอนทรงใช้ไม้ประดู่ทำขั้นบันไดพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าและราชวัง ทำพิณใหญ่และพิณเขาคู่สำหรับเหล่านักดนตรี ไม่พบเห็นเช่นนั้นมาก่อนเลยทั่วแดนยูดาห์)

12 กษัตริย์โซโลมอนประทานทุกสิ่งตามที่ราชินีแห่งเชบาทรงประสงค์และทูลขอ ทรงให้มากยิ่งกว่าที่พระนางนำมาถวาย จากนั้นพระนางกับขบวนตามเสด็จก็กลับสู่ประเทศของพระนาง

สง่าราศีของโซโลมอน(B)

13 ทุกปีโซโลมอนได้รับทองคำหนักประมาณ 23 ตัน[d] 14 ยังไม่รวมภาษีอากรที่พ่อค้าวาณิชนำมา รวมทั้งเงินและทองจากบรรดากษัตริย์อาระเบีย และเหล่าผู้ปกครองของดินแดนนั้นนำมาถวาย

15 กษัตริย์โซโลมอนทรงให้นำทองคำมาตีเป็นโล่ใหญ่สองร้อยอัน แต่ละอันใช้ทองคำหนักประมาณ 3.5 กิโลกรัม[e] 16 และโล่เล็กสามร้อยอัน แต่ละอันใช้ทองคำหนักประมาณ 1.7 กิโลกรัม[f] พระองค์ทรงเก็บโล่เหล่านี้ไว้ในตำหนักพนาเลบานอน

17 แล้วกษัตริย์ยังได้ทรงทำพระที่นั่งขนาดใหญ่ ตกแต่งด้วยงาช้างและบุด้วยทองคำบริสุทธิ์ 18 พระที่นั่งนี้มีบันไดหกขั้นและแท่นรองพระบาททำด้วยทองคำติดกัน ที่วางพระหัตถ์ทั้งสองข้างมีสิงโตขนาบข้างละตัว 19 ที่บันไดแต่ละขั้นมีสิงโตยืนอยู่ข้างละตัว รวมเป็นสิบสองตัว ไม่เคยมีเช่นนี้ในราชอาณาจักรอื่น 20 ถ้วยเสวยทุกใบของกษัตริย์โซโลมอนทำด้วยทองคำ และเครื่องใช้ไม้สอยทั้งหมดในตำหนักพนาเลบานอนล้วนทำด้วยทองคำบริสุทธิ์ ไม่มีสิ่งใดทำด้วยเงิน เพราะในสมัยโซโลมอนถือว่าเงินด้อยค่า 21 กษัตริย์ทรงมีกองเรือพาณิชย์[g] โดยลูกเรือซึ่งได้มาจากกษัตริย์ฮีราม[h] เรือจะบรรทุกทองคำ เงิน งาช้าง ลิงและลิงบาบูนกลับมาทุกสามปี

22 กษัตริย์โซโลมอนทรงมั่งคั่งและมีพระปรีชาญาณเหนือกว่ากษัตริย์ใดๆ ทั้งปวงในแผ่นดินโลก 23 กษัตริย์ทั่วโลกมาเข้าเฝ้าโซโลมอน เพื่อสดับฟังสติปัญญาซึ่งพระเจ้าประทานไว้ในพระทัยของพระองค์ 24 ปีแล้วปีเล่าทุกคนที่มาจะนำเครื่องบรรณาการมาถวายได้แก่ เครื่องเงินเครื่องทอง เสื้อผ้าอาภรณ์ อาวุธ เครื่องเทศ ม้าและล่อ

25 โซโลมอนทรงมีที่เก็บรถม้าศึกและม้า 4,000 แห่ง และมีม้า 12,000 ตัว[i] ซึ่งพระองค์ทรงเก็บบางส่วนไว้ที่หัวเมืองซึ่งใช้เก็บรถม้าศึกและบางส่วนอยู่กับพระองค์ที่กรุงเยรูซาเล็ม 26 ทรงปกครองบรรดากษัตริย์และราชอาณาจักรต่างๆ ตั้งแต่แม่น้ำยูเฟรติส จนจดดินแดนฟีลิสเตียและไกลถึงพรมแดนอียิปต์ 27 พระองค์ทรงทำให้เงินในกรุงเยรูซาเล็มมีมากมายเหมือนก้อนหิน และมีไม้สนซีดาร์ดาษดื่นเหมือนต้นมะเดื่อแถบเชิงเขา 28 ม้าของโซโลมอนนั้นนำเข้าจากอียิปต์[j]และประเทศอื่นๆ

โซโลมอนสิ้นพระชนม์(C)

29 เหตุการณ์อื่นๆ ในรัชกาลโซโลมอนตั้งแต่ต้นจนจบมีบันทึกไว้ในบันทึกของผู้เผยพระวจนะนาธัน ในคำพยากรณ์ของอาหิยาห์แห่งชิโลห์ และในนิมิตของผู้ทำนายอิดโดเกี่ยวกับเยโรโบอัมบุตรเนบัทไม่ใช่หรือ? 30 โซโลมอนทรงครองราชย์เหนืออิสราเอลในกรุงเยรูซาเล็มเป็นเวลาสี่สิบปี 31 แล้วทรงล่วงลับไปอยู่กับบรรพบุรุษและถูกฝังไว้ในเมืองของดาวิดราชบิดาของพระองค์ และเรโหโบอัมราชโอรสของพระองค์ก็ขึ้นครองราชย์แทน

อิสราเอลกบฏต่อเรโหโบอัม(D)

10 เรโหโบอัมเสด็จไปที่เชเคม เพราะชาวอิสราเอลทั้งปวงพากันไปที่นั่นเพื่อตั้งเรโหโบอัมขึ้นเป็นกษัตริย์ เมื่อเยโรโบอัมบุตรเนบัท (ซึ่งหนีกษัตริย์โซโลมอนไปอยู่ในอียิปต์) ทราบข่าวจึงกลับมาจากอียิปต์ พวกเขาก็ส่งคนไปตามเยโรโบอัมมา แล้วเขากับอิสราเอลทั้งปวงก็เข้าเฝ้าและทูลเรโหโบอัมว่า “ราชบิดาของฝ่าพระบาททรงวางแอกหนักให้พวกข้าพระบาท บัดนี้ขอทรงผ่อนภาระและบรรเทาแอกที่วางไว้ แล้วพวกข้าพระบาทจะรับใช้ฝ่าพระบาท”

เรโหโบอัมตรัสตอบว่า “อีกสามวันค่อยกลับมาพบเรา” ประชากรจึงกลับไป

กษัตริย์เรโหโบอัมทรงหารือกับบรรดาผู้อาวุโสซึ่งเคยถวายคำปรึกษาแด่โซโลมอนราชบิดาเมื่อครั้งยังทรงพระชนม์อยู่ว่า “ท่านว่าเราควรจะตอบประชาชนเหล่านี้ว่าอย่างไร?”

พวกเขาทูลว่า “หากฝ่าพระบาทแสดงความเมตตาต่อประชาชน เอาใจพวกเขาและตอบตามที่พวกเขาต้องการ พวกเขาก็จะเป็นผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทเสมอไป”

แต่เรโหโบอัมไม่ฟังคำแนะนำของผู้อาวุโส กลับปรึกษาพระสหายหนุ่มๆ ซึ่งเติบโตมาด้วยกันและรับใช้พระองค์อยู่ พระองค์ตรัสถามพวกเขาว่า “พวกเจ้าจะแนะนำอย่างไร? เราควรจะตอบคนที่มาพูดกับเราว่า ‘ขอทรงผ่อนปรนแอกที่ราชบิดาของฝ่าพระบาทวางไว้บนเหล่าข้าพระบาท’ ว่าอย่างไร?”

10 พวกคนหนุ่มที่เติบโตขึ้นมากับพระองค์ก็ทูลตอบว่า “ขอให้ตรัสกับบรรดาผู้ที่มาทูลว่า ‘ราชบิดาของฝ่าพระบาททรงวางแอกหนักบนเรา ขอทรงทำให้แอกของเราเบาลง’ นั้นว่า ‘นิ้วก้อยของเราก็หนายิ่งกว่าเอวของเสด็จพ่อเสียอีก 11 เสด็จพ่อของเราวางแอกหนักบนพวกเจ้า เราจะทำให้หนักยิ่งขึ้นไปอีก เสด็จพ่อของเราเคยใช้แส้เฆี่ยนพวกเจ้า ส่วนเราจะใช้แมงป่องเล่นงานพวกเจ้า’ ”

12 สามวันต่อมาเยโรโบอัมและประชากรทั้งปวงกลับมาเข้าเฝ้ากษัตริย์เรโหโบอัมตามที่ตรัสไว้ว่า “อีกสามวันค่อยกลับมาพบเรา” 13 กษัตริย์ตรัสตอบพวกเขาด้วยท่าทีแข็งกร้าว ทรงปฏิเสธคำแนะนำของเหล่าผู้อาวุโส 14 พระองค์ทรงทำตามคำแนะนำของพวกคนหนุ่มและตรัสว่า “เสด็จพ่อของเราวางแอกหนักให้พวกเจ้า เราจะให้หนักยิ่งขึ้นไปอีก เสด็จพ่อเคยใช้แส้เฆี่ยนเจ้า ส่วนเราจะใช้แมงป่องเล่นงานเจ้า” 15 ดังนั้นกษัตริย์ไม่ทรงรับฟังประชาชน เหตุการณ์นี้มาจากพระเจ้า เพื่อให้สำเร็จตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสไว้กับเยโรโบอัมบุตรเนบัทผ่านทางอาหิยาห์ชาวชิโลห์

16 เมื่ออิสราเอลทั้งปวงเห็นว่ากษัตริย์ไม่ทรงฟังพวกตน พวกเขาก็ตอบกษัตริย์ว่า

“เราเกี่ยวข้องอะไรกับดาวิด?
เรามีส่วนอันใดกับบุตรเจสซี?
อิสราเอลเอ๋ย กลับบ้านกันเถิด!
ให้ดาวิดดูแลปกครองพวกตัวเองไปก็แล้วกัน!”

ดังนั้นชนอิสราเอลทั้งปวงจึงพากันกลับบ้าน 17 แต่เรโหโบอัมยังคงปกครองคนอิสราเอลซึ่งอยู่ในเมืองต่างๆ ของยูดาห์

18 กษัตริย์เรโหโบอัมทรงใช้อาโดนีรัม[k] ไปเกณฑ์แรงงานโยธาตามหน้าที่ แต่อิสราเอลรุมเอาก้อนหินขว้างเขาจนตาย ส่วนกษัตริย์เรโหโบอัม รีบหลบขึ้นราชรถเสด็จหนีกลับกรุงเยรูซาเล็ม 19 ตั้งแต่นั้นมาอิสราเอลก็กบฏต่อราชวงศ์ของดาวิดจนถึงทุกวันนี้

โรม 8:9-25

อย่างไรก็ตามถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตในท่าน ท่านก็ไม่ได้ถูกควบคุมโดยวิสัยบาปแต่โดยพระวิญญาณ และถ้าผู้ใดไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์ ผู้นั้นก็ไม่ได้เป็นของพระคริสต์ 10 แต่ถ้าพระคริสต์อยู่ในท่าน กายของท่านก็ตายไปเพราะบาป ถึงกระนั้นจิตวิญญาณของท่านก็มีชีวิตอยู่เพราะความชอบธรรม 11 และถ้าพระวิญญาณของพระองค์ผู้ทรงให้พระเยซูเป็นขึ้นจากตายสถิตในท่าน พระองค์ผู้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตายจะประทานชีวิตแก่กายซึ่งต้องตายของท่านด้วย พระองค์ประทานชีวิตนั้นโดยทางพระวิญญาณของพระองค์ผู้สถิตในท่าน

12 เหตุฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย เราจึงมีพันธะ แต่ไม่ใช่พันธะต่อวิสัยบาปที่จะต้องดำเนินชีวิตตามนั้น 13 เพราะถ้าท่านดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป ท่านก็จะตาย แต่ถ้าท่านได้ประหารการกระทำอันชั่วร้ายของกายของท่านโดยพระวิญญาณ ท่านก็จะมีชีวิตอยู่ 14 เพราะพระวิญญาณของพระเจ้าทรงนำผู้ใด ผู้นั้นเป็นบุตรของพระเจ้า 15 ท่านไม่ได้รับวิญญาณซึ่งทำให้ท่านเป็นทาสของความกลัวอีก แต่ท่านได้รับพระวิญญาณผู้ทำให้ท่านเป็นบุตรของพระเจ้า[a] และโดยพระองค์ เราร้องว่า “อับบา[b] พ่อ” 16 พระวิญญาณเองทรงยืนยันร่วมกับวิญญาณจิตของเรา ว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้า 17 บัดนี้ถ้าเราเป็นบุตรของพระองค์แล้ว เราก็เป็นทายาทคือเป็นทายาทของพระเจ้า และเป็นทายาทร่วมกับพระคริสต์ ถ้าเราร่วมทนทุกข์อย่างแท้จริงกับพระองค์ เราก็จะร่วมในพระเกียรติสิริของพระองค์ด้วย

สง่าราศีในภายหน้า

18 ข้าพเจ้าเห็นว่าความทุกข์ยากของเราในปัจจุบันเทียบไม่ได้เลยกับพระเกียรติสิริซึ่งจะทรงสำแดงในเรา 19 สรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างจดจ่อรอคอยให้บรรดาบุตรของพระเจ้าปรากฏ 20 เพราะสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างได้ถูกทำให้ผิดเพี้ยนไร้ค่าไป ไม่ใช่โดยความสมัครใจของมันเอง แต่โดยความตั้งใจของผู้ที่บังคับให้มันต้องตกอยู่ในภาวะดังกล่าว ด้วยมีความหวัง 21 ว่า[c]สรรพสิ่งเหล่านั้นจะได้รับการปลดปล่อยจากการผูกมัดให้ต้องเสื่อมสลาย และจะถูกนำเข้าสู่เสรีภาพอันรุ่งโรจน์ของบรรดาบุตรของพระเจ้า

22 เรารู้ว่าสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างกำลังคร่ำครวญราวกับเจ็บท้องจะคลอดบุตรจนถึงปัจจุบันนี้ 23 ไม่เพียงเท่านั้นแม้แต่เราเอง ผู้มีผลแรกของพระวิญญาณก็ยังคร่ำครวญอยู่ภายในขณะที่เราจดจ่อรอคอยการทรงรับเราเป็นบุตร คือการไถ่ร่างกายของเราให้รอด 24 เพราะว่าในความหวังนี้เราได้รับความรอดแล้ว แต่ความหวังที่เห็นได้นั้นไม่ใช่ความหวังเลย ใครเล่าหวังในสิ่งที่ตนเองมีอยู่

แล้ว? 25 แต่ถ้าเราหวังในสิ่งที่เรายังไม่มี เราย่อมรอคอยสิ่งนั้นด้วยความอดทน

สดุดี 18:16-36

16 พระองค์ทรงเอื้อมพระหัตถ์จากเบื้องบนลงมายึดข้าพเจ้าไว้
ทรงดึงข้าพเจ้าขึ้นจากห้วงน้ำลึก
17 พระองค์ทรงช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากศัตรูผู้ทรงอำนาจ
จากปฏิปักษ์ผู้แข็งแกร่งกว่าข้าพเจ้า
18 พวกเขาบุกโจมตีในยามที่ข้าพเจ้าประสบภัยพิบัติ
แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงค้ำชูข้าพเจ้าไว้
19 พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าออกมายังที่กว้างขวาง
ทรงช่วยข้าพเจ้าไว้เพราะทรงปีติยินดีในตัวข้าพเจ้า

20 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตอบแทนข้าพเจ้าตามความชอบธรรมของข้าพเจ้า
ทรงปูนบำเหน็จแก่ข้าพเจ้าเนื่องจากข้าพเจ้าเป็นคนมือสะอาด
21 เพราะข้าพเจ้ารักษาทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ข้าพเจ้าไม่ได้ทำชั่วโดยหันไปจากพระเจ้าของข้าพเจ้า
22 บทบัญญัติทั้งสิ้นของพระองค์อยู่ต่อหน้าข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าไม่ได้หันไปจากกฎหมายของพระองค์
23 ข้าพเจ้าไร้ตำหนิต่อหน้าพระองค์
และได้รักษาตนให้พ้นจากบาป
24 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปูนบำเหน็จแก่ข้าพเจ้าตามความชอบธรรมของข้าพเจ้า
ตามที่ทรงเห็นว่าข้าพเจ้าเป็นคนมือสะอาด

25 ต่อผู้ที่ซื่อสัตย์ ทรงสำแดงพระองค์ว่าซื่อสัตย์
ต่อผู้ที่ไร้ที่ติ ทรงสำแดงพระองค์ว่าไร้ที่ติ
26 ต่อผู้ที่บริสุทธิ์ ทรงสำแดงพระองค์ว่าบริสุทธิ์
แต่กับผู้ที่คดโกง ทรงสำแดงพระองค์ว่าฉลาดหลักแหลม
27 พระองค์ทรงช่วยผู้ที่ถ่อมใจให้รอดพ้น
ส่วนผู้ที่หยิ่งผยอง ทรงทำให้ตกต่ำลง
28 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงรักษาประทีปของข้าพระองค์ให้โชติช่วง
พระเจ้าของข้าพระองค์ทรงเปลี่ยนความมืดมนของข้าพระองค์ให้กลายเป็นความสว่าง
29 ข้าพระองค์สามารถตะลุยกองทัพได้[a]ด้วยความช่วยเหลือจากพระองค์
และข้าพระองค์ปีนข้ามกำแพงเมืองได้โดยพระเจ้าของข้าพระองค์

30 สำหรับพระเจ้า วิถีของพระองค์นั้นดีพร้อม
พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าไม่มีข้อผิดพลาด
พระองค์ทรงเป็นโล่
สำหรับทุกคนที่เข้าลี้ภัยในพระองค์
31 ใครเล่าเป็นพระเจ้า นอกจากพระยาห์เวห์?
ผู้ใดเล่าคือพระศิลา เว้นแต่พระเจ้าของเรา?
32 พระเจ้านี่แหละ ทรงเป็นผู้ประทานกำลังแก่ข้าพเจ้า
ทรงกระทำให้หนทางของข้าพเจ้าดีพร้อม
33 พระองค์ทรงกระทำให้เท้าของข้าพเจ้าเป็นเหมือนเท้ากวาง
ทรงทำให้ข้าพเจ้ายืนอยู่บนที่สูงได้
34 พระองค์ทรงฝึกมือของข้าพเจ้าให้พร้อมรบ
แขนของข้าพเจ้าจึงสามารถโก่งคันธนูทองสัมฤทธิ์ได้
35 พระองค์ประทานโล่แห่งชัยชนะของพระองค์แก่ข้าพระองค์
และทรงค้ำชูข้าพระองค์ไว้ด้วยพระหัตถ์ขวา
พระองค์ทรงน้อมพระองค์ลงเพื่อกระทำให้ข้าพระองค์ยิ่งใหญ่
36 พระองค์ทรงกระทำให้ทางที่ข้าพระองค์เดินนั้นกว้างขวาง
เพื่อข้าพระองค์จะไม่พลาดล้ม[b]

สุภาษิต 19:26

26 ลูกที่ปล้นพ่อและขับไล่แม่
ก็เป็นลูกที่นำความอับอายขายหน้ามาให้

Thai New Contemporary Bible (TNCV)

Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.