Imprimir Opciones de la página Listen to Reading
Anterior Día anterior Día siguienteSiguiente

The Daily Audio Bible

This reading plan is provided by Brian Hardin from Daily Audio Bible.
Duration: 731 days

Today's audio is from the NLT. Switch to the NLT to read along with the audio.

Thai New Contemporary Bible (TNCV)
Version
2 พงศาวดาร 1-3

โซโลมอนทูลขอสติปัญญา(A)

โซโลมอนโอรสของดาวิดทรงสถาปนาราชบัลลังก์ให้มั่นคงเป็นปึกแผ่น เนื่องจากพระยาห์เวห์พระเจ้าของพระองค์สถิตกับพระองค์ และทำให้พระองค์ยิ่งใหญ่กว่าผู้ใด

โซโลมอนตรัสแก่อิสราเอลทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นแม่ทัพนายกอง ตุลาการ ผู้นำในอิสราเอลหรือหัวหน้าตระกูลต่างๆ แล้วโซโลมอนกับชุมนุมประชากรทั้งหมดขึ้นไปยังสถานบูชาบนที่สูงในกิเบโอน เพราะเต็นท์นัดพบขององค์พระผู้เป็นเจ้าซึ่งโมเสสผู้รับใช้ของพระองค์ได้สร้างขึ้นในถิ่นกันดารนั้นอยู่ที่นั่น ดาวิดได้อัญเชิญหีบพันธสัญญาของพระเจ้าจากเมืองคีริยาทเยอาริมมายังสถานที่ซึ่งดาวิดเตรียมไว้ เพราะทรงตั้งเต็นท์สำหรับหีบนั้นในกรุงเยรูซาเล็ม ส่วนแท่นทองสัมฤทธิ์ซึ่งเบซาเลลบุตรอูรีผู้เป็นบุตรของเฮอร์ได้สร้างขึ้นอยู่ในกิเบโอนตรงหน้าพลับพลาขององค์พระผู้เป็นเจ้า โซโลมอนและชุมนุมประชากรจึงมาทูลถามพระองค์ที่นั่น โซโลมอนขึ้นไปยังแท่นทองสัมฤทธิ์ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าในเต็นท์นัดพบ และถวายสัตว์หนึ่งพันตัวเป็นเครื่องเผาบูชา

คืนนั้นพระเจ้าทรงปรากฏแก่โซโลมอนและตรัสกับเขาว่า “จงขอสิ่งที่เจ้าต้องการเถิด แล้วเราจะให้เจ้า”

โซโลมอนกราบทูลพระเจ้าว่า “พระองค์ได้ทรงสำแดงพระกรุณาอย่างยิ่งต่อดาวิดราชบิดาของข้าพระองค์ และทรงตั้งข้าพระองค์เป็นกษัตริย์แทน บัดนี้ข้าแต่พระเจ้าพระยาห์เวห์ ขอทรงยืนยันคำมั่นสัญญาที่ทรงให้ไว้กับดาวิดราชบิดาของข้าพระองค์ เพราะทรงตั้งข้าพระองค์ขึ้นเป็นกษัตริย์เหนือชนชาติซึ่งมีจำนวนมากมายเหมือนฝุ่นธุลี 10 ขอโปรดประทานสติปัญญาและความรอบรู้เพื่อข้าพระองค์จะได้นำชนชาตินี้ เพราะใครเล่าจะสามารถปกครองชนชาติอันยิ่งใหญ่ของพระองค์นี้ได้?”

11 พระเจ้าตรัสกับโซโลมอนว่า “ในเมื่อเจ้ามีใจปรารถนาเช่นนี้ และเจ้าไม่ได้ขอความมั่งคั่ง ทรัพย์สมบัติ หรือเกียรติ ไม่ได้ขอเอาชีวิตศัตรู และไม่ได้ขออายุยืนยาว แต่ขอสติปัญญาและความรอบรู้ เพื่อที่จะปกครองประชากรของเรา ซึ่งเราได้ตั้งเจ้าให้เป็นกษัตริย์เหนือพวกเขา 12 ฉะนั้นเราจะให้สติปัญญาและความรอบรู้ที่เจ้าขอไว้ และเราจะให้ทรัพย์สมบัติ ความมั่งคั่ง และเกียรติแก่เจ้าอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และจะไม่มีกษัตริย์องค์ใดเสมอเหมือนเจ้า”

13 โซโลมอนจึงเสด็จจากสถานบูชาบนที่สูงในกิเบโอน จากหน้าเต็นท์นัดพบไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และทรงปกครองเหนืออิสราเอล

14 โซโลมอนทรงสะสมรถม้าศึกและม้า พระองค์ทรงมีรถม้าศึก 1,400 คัน และม้า 12,000 ตัว[a] ซึ่งพระองค์ทรงเก็บบางส่วนไว้ที่หัวเมืองซึ่งใช้เก็บรถม้าศึก และบางส่วนอยู่กับพระองค์ที่กรุงเยรูซาเล็ม 15 พระองค์ทรงทำให้เงินและทองในกรุงเยรูซาเล็มมีมากมายเหมือนก้อนหิน และมีไม้สนซีดาร์ดาษดื่นเหมือนต้นมะเดื่อแถบเชิงเขา 16 ม้าของโซโลมอนนั้นนำเข้าจากอียิปต์[b]และจากคูเอ[c] คือพ่อค้าหลวงซื้อมาจากคูเอ 17 รถม้าศึกแต่ละคันที่นำเข้าจากอียิปต์มีราคาเท่ากับเงินหนัก 600 เชเขล[d] ม้าราคาตัวละ 150 เชเขล พวกเขายังส่งออกไปขายต่อให้กษัตริย์ทั้งปวงของชาวฮิตไทต์และของชาวอารัมด้วย

เตรียมการก่อสร้างพระวิหาร(B)

โซโลมอนบัญชาให้ลงมือสร้างพระวิหารเพื่อพระนามของพระยาห์เวห์ และพระราชวังของโซโลมอนเอง ทรงเกณฑ์คนมาแบกหาม 70,000 คน มาเป็นช่างสกัดหินในภูเขา 80,000 คน และเป็นผู้คุมงาน 3,600 คน

โซโลมอนส่งสาส์นไปทูลกษัตริย์ฮีราม[e]แห่งเมืองไทระว่า

“โปรดส่งซุงไม้สนซีดาร์มาให้ข้าพเจ้า เหมือนที่ท่านเคยส่งมาให้ดาวิดราชบิดาของข้าพเจ้าสำหรับสร้างวัง บัดนี้ข้าพเจ้ากำลังจะสร้างพระวิหารขึ้นเพื่อพระนามของพระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพเจ้าและถวายแด่พระองค์ เพื่อเผาเครื่องหอมและถวายขนมปังเบื้องพระพักตร์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อถวายเครื่องเผาบูชาทุกเช้าเย็นและในวันสะบาโต วันขึ้นหนึ่งค่ำ และเทศกาลตามกำหนดอื่นๆ แด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา นี่เป็นข้อปฏิบัติถาวรสืบไปสำหรับอิสราเอล

“พระวิหารที่ข้าพเจ้าจะสร้างขึ้นนี้ยิ่งใหญ่ เพราะพระเจ้าของเราทรงยิ่งใหญ่เหนือกว่าพระอื่นใดทั้งหมด แต่ใครเล่าสามารถสร้างที่ประทับสำหรับพระองค์ แม้ฟ้าสวรรค์สูงสุดก็ยังไม่อาจรองรับพระองค์ได้? แล้วข้าพเจ้าเป็นใครที่จะสร้างพระวิหารเพื่อพระองค์ ได้แต่สร้างสถานที่เผาเครื่องบูชาต่อหน้าพระองค์?

“ฉะนั้นโปรดส่งช่างฝีมือมาให้ข้าพเจ้าซึ่งเชี่ยวชาญงานช่างทอง เงิน ทองสัมฤทธิ์ เหล็ก และงานย้อมและทอผ้าด้วยด้ายสีม่วง สีแดง กับสีน้ำเงิน และเชี่ยวชาญงานสลักเพื่อทำงานร่วมกับช่างฝีมือผู้ชำนาญของข้าพเจ้าในยูดาห์และในกรุงเยรูซาเล็ม ซึ่งดาวิดราชบิดาของข้าพเจ้าเตรียมไว้

“ทั้งขอให้ท่านส่งซุงไม้สนซีดาร์ ไม้สนอื่นๆ และไม้ประดู่จากเลบานอนมาด้วย เพราะข้าพเจ้าทราบว่าคนของท่านเชี่ยวชาญในการตัดไม้ที่นั่น คนของข้าพเจ้าจะทำงานร่วมกับคนของท่าน เพื่อจะได้ซุงจำนวนมาก เพราะพระวิหารซึ่งข้าพเจ้าจะสร้างขึ้นนั้นจะต้องโอ่อ่าและงามตระการ 10 สำหรับคนงานเลื่อยไม้ซุงของท่าน ข้าพเจ้าจะให้ข้าวสาลีตำแล้วประมาณ 4,400 กิโลลิตร[f] ข้าวบาร์เลย์ประมาณ 4,400 กิโลลิตร เหล้าองุ่นประมาณ 440 กิโลลิตร[g] และน้ำมันมะกอกประมาณ 440 กิโลลิตร”

11 กษัตริย์ฮีรามแห่งเมืองไทระส่งสาส์นตอบโซโลมอนว่า

“เพราะว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรักประชากรของพระองค์ จึงทรงตั้งท่านให้เป็นกษัตริย์ของพวกเขา”

12 แล้วตรัสอีกว่า

“ขอถวายสรรเสริญแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก! ทรงโปรดประทานโอรสที่มีสติปัญญา มีไหวพริบปฏิภาณ และความฉลาดหลักแหลมแก่กษัตริย์ดาวิด เพื่อสร้างพระวิหารถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าและวังที่ประทับ

13 “ข้าพเจ้าได้ส่งช่างฝีมือเอกมาให้ท่านคือ หุรามอาบี 14 มารดาของเขาเป็นคนเผ่าดาน ส่วนบิดามาจากไทระ เขาได้รับการฝึกฝนให้เป็นช่างทอง เงิน ทองสัมฤทธิ์ และเหล็ก ทำงานหิน งานไม้ งานย้อมและทอผ้าด้วยด้ายสีม่วง น้ำเงิน และแดง กับผ้าลินินเนื้อดี ทั้งเชี่ยวชาญในการแกะสลักและทำตามแบบที่กำหนด เขาจะทำงานร่วมกับช่างฝีมือของท่านและบรรดาคนที่ดาวิดราชบิดาของท่านจัดไว้

15 “ขอให้ท่านส่งข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ เหล้าองุ่น และน้ำมันมะกอกมาตามที่ได้สัญญาไว้ 16 และพวกข้าพเจ้าจะตัดไม้ซุงจากเลบานอนเท่าที่ท่านต้องการ ผูกเป็นแพล่องมาทางทะเลถึงเมืองยัฟฟา แล้วท่านสามารถขนจากที่นั่นไปกรุงเยรูซาเล็มได้”

17 โซโลมอนทรงทำสำมะโนประชากรคนต่างด้าวทั้งหมดในอิสราเอลตามที่ดาวิดราชบิดาทรงเคยทำ พบว่ามีอยู่ 153,600 คน 18 ทรงกำหนดให้แบกหาม 70,000 คน ทำหน้าที่สกัดหินในภูเขา 80,000 คน และเป็นหัวหน้าคนงาน 3,600 คน

โซโลมอนทรงสร้างพระวิหาร(C)

จากนั้นโซโลมอนทรงเริ่มสร้างพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าบนภูเขาโมริยาห์ในกรุงเยรูซาเล็ม ที่ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปรากฏแก่ดาวิดราชบิดาของโซโลมอน เดิมเป็นลานนวดข้าวของอาราวนาห์[h]ชาวเยบุสที่ดาวิดทรงเตรียมไว้ พระองค์ทรงเริ่มการก่อสร้างในวันที่สองเดือนที่สองของปีที่สี่ในรัชกาลของพระองค์

ฐานรากของพระวิหารของพระเจ้าที่โซโลมอนได้วางนั้นยาว 60 ศอก[i] กว้าง 20 ศอก[j] (โดยใช้หน่วยศอกตามมาตรฐานเดิม) มุขที่ด้านหน้าของพระวิหารยาว 20 ศอกตลอดความกว้างของพระวิหาร และสูง 20 ศอก[k]

พระองค์ทรงบุภายในด้วยทองคำบริสุทธิ์ ห้องโถงกรุด้วยไม้สนบุด้วยทองคำบริสุทธิ์ ตกแต่งด้วยลวดลายต้นอินทผลัมและโซ่ พระองค์ทรงตกแต่งพระวิหารด้วยอัญมณีล้ำค่า และทองคำที่ทรงใช้นั้นมาจากเมืองพารวายิม คาน เพดาน วงกบประตู ผนัง และประตูพระวิหาร ล้วนบุด้วยทองคำ และที่ผนังสลักลวดลายเครูบ

ส่วนที่เป็นอภิสุทธิสถาน ความกว้างได้ขนาดกับความกว้างของพระวิหารคือ 20 ศอก ภายในบุด้วยทองคำเนื้อดีหนักประมาณ 21 ตัน[l] หมุดทองคำมีน้ำหนักประมาณ 600 กรัม[m] ส่วนต่างๆ ของชั้นบนก็บุทองคำเช่นกัน

10 ในอภิสุทธิสถาน พระองค์ทรงสร้างเครูบจำลองสองตนหุ้มด้วยทองคำ 11 ช่วงกว้างทั้งหมดของปีกเครูบทั้งสองตนรวม 20 ศอก ปีกข้างหนึ่งของเครูบตัวแรกยาว 5 ศอก[n] จรดกับด้านหนึ่งของผนังห้อง ปีกอีกข้างหนึ่งซึ่งยาว 5 ศอกเช่นกันจรดกับปีกของเครูบอีกตนหนึ่ง 12 ในทำนองเดียวกัน ปีกข้างหนึ่งของเครูบตนที่สองยาว 5 ศอกจรดกับผนังอีกด้านหนึ่ง และปีกอีกข้างหนึ่งซึ่งยาว 5 ศอกเช่นกันจรดกับปีกของเครูบตนแรก 13 ปีกของเครูบเหล่านี้กางออกยาว 20 ศอก ทั้งสองตนยืนหันหน้าไปทางห้องโถง[o]

14 มีม่านทำด้วยผ้าลินินเนื้อดี ปักลวดลายเครูบ ด้วยด้ายสีน้ำเงิน ม่วง และแดง

15 ที่ด้านหน้าของพระวิหาร มีเสาหานสองต้นสูง 35 ศอก[p] มีหัวเสาขนาด 5 ศอก 16 โซโลมอนทรงให้ทำโซ่ระย้า[q]ทองคำติดไว้บนหัวเสา และมีทับทิมหนึ่งร้อยผลห้อยติดกับตาข่าย 17 พระองค์ตั้งเสาไว้ด้านหน้าของพระวิหาร เสาทางใต้ชื่อยาคีน[r] ส่วนเสาทางเหนือชื่อโบอาส[s]

โรม 6

ตายต่อบาป แต่มีชีวิตในพระคริสต์

เช่นนี้แล้วเราจะว่าอย่างไร? เราควรจะทำบาปต่อไปเพื่อพระคุณจะได้มีมากยิ่งขึ้นหรือ? อย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย! เราได้ตายต่อบาปแล้ว เราจะดำเนินชีวิตในบาปต่อไปได้อย่างไร? ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่รับบัพติศมาเข้าในพระเยซูคริสต์ก็ได้รับบัพติศมาเข้าในความตายของพระองค์? ฉะนั้นเราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้วโดยการบัพติศมาเข้าในความตาย เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่เช่นเดียวกับที่ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตายโดยพระเกียรติสิริของพระบิดา

ถ้าเราได้มีส่วนร่วมกับพระองค์ในการตายเหมือนพระองค์ แน่นอนเราจะมีส่วนร่วมในการเป็นขึ้นจากตายเหมือนพระองค์ เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเราถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้วเพื่อกายบาปนั้นจะถูกขจัดไป[a] เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป เพราะว่าผู้ใดที่ตายแล้วก็เป็นอิสระจากบาป

ถ้าเราตายกับพระคริสต์แล้ว เราเชื่อว่าเราจะมีชีวิตกับพระองค์ด้วย เพราะเรารู้ว่าในเมื่อทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตายแล้ว พระองค์จะไม่มีวันตายอีก ความตายไม่มีอำนาจเหนือพระองค์อีกต่อไป 10 ที่พระองค์ทรงตายนั้นทรงตายต่อบาปครั้งเดียวเป็นพอ แต่ที่พระองค์ทรงมีชีวิตอยู่นั้นทรงมีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้า

11 ในทำนองเดียวกันจงถือว่าตัวท่านเองตายต่อบาปและมีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ 12 เหตุฉะนั้นอย่าให้บาปครอบครองกายที่ต้องตายของท่าน ซึ่งทำให้ท่านต้องยอมทำตามความปรารถนาชั่วของกายนั้น 13 อย่ายกส่วนต่างๆ ในกายของท่านให้แก่บาปเป็นเครื่องมือของความชั่วร้าย แต่จงถวายตัวของท่านเองแด่พระเจ้าในฐานะผู้ที่ทรงให้มีชีวิต เป็นขึ้นจากตาย และถวายส่วนต่างๆ ในกายของท่านแด่พระองค์ให้เป็นเครื่องมือของความชอบธรรม 14 เพราะบาปจะไม่เป็นนายของท่านอีกต่อไป ด้วยว่าท่านไม่ได้อยู่ใต้บทบัญญัติแต่อยู่ใต้พระคุณ

ทาสของความชอบธรรม

15 เช่นนี้แล้วจะเป็นอย่างไรต่อไป? เราจะทำบาปเพราะเราไม่ได้อยู่ใต้บทบัญญัติแต่อยู่ใต้พระคุณ

หรือ? อย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย! 16 ท่านไม่รู้หรือว่าเมื่อท่านยอมตัวเชื่อฟังเยี่ยงทาสต่อผู้ใด ท่านก็เป็นทาสของผู้ที่ท่านเชื่อฟังนั้น? ไม่ว่าท่านจะเป็นทาสของบาปซึ่งนำไปสู่ความตาย หรือเป็นทาสของการเชื่อฟังซึ่งนำไปสู่ความชอบธรรมก็ตาม 17 แต่ขอบพระคุณพระเจ้าที่แม้ท่านเคยเป็นทาสของบาป ท่านก็เชื่อฟังคำสอนซึ่งทรงมอบหมายแก่ท่านนั้นอย่างสุดใจ 18 ท่านได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากบาปและได้กลายเป็นทาสของความชอบธรรมแล้ว

19 ข้าพเจ้าพูดเช่นนี้ตามประสามนุษย์ก็เพราะท่านอ่อนแอตามปกติวิสัยของท่าน เมื่อก่อนท่านเคยให้ส่วนต่างๆ ในกายของท่านเป็นทาสของความโสโครกและความชั่วร้ายที่เพิ่มขึ้นไม่สิ้นสุดอย่างไร บัดนี้ก็จงให้ส่วนต่างๆ นั้นเป็นทาสของความชอบธรรมซึ่งนำมาสู่ความบริสุทธิ์อย่างนั้น 20 เมื่อท่านเป็นทาสของบาป ท่านก็ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของความชอบธรรม 21 ครั้งนั้นท่านได้เก็บเกี่ยวประโยชน์อะไรจากสิ่งเหล่านั้นซึ่งบัดนี้ท่านก็ละอายแก่ใจ? ผลลัพธ์ของสิ่งเหล่านั้นคือความตาย! 22 แต่บัดนี้ท่านเป็นอิสระจากบาปและได้กลายมาเป็นทาสของพระเจ้าแล้ว ประโยชน์ที่ท่านได้เก็บเกี่ยวนำไปสู่ความบริสุทธิ์ และผลลัพธ์คือชีวิตนิรันดร์ 23 เพราะว่าค่าตอบแทนที่ได้จากบาปคือความตาย แต่ของขวัญจากพระเจ้าคือชีวิตนิรันดร์ใน[b]พระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา

สดุดี 16

(มิคทาม[a]บทหนึ่งของดาวิด)

16 ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงปกป้องข้าพระองค์ให้ปลอดภัย
เพราะข้าพระองค์ลี้ภัยในพระองค์

ข้าพเจ้ากราบทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “พระองค์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์
นอกจากพระองค์แล้ว ข้าพระองค์ไม่มีอะไรดีเลย”
ข้าพเจ้าชื่นชมเหล่าวิสุทธิชนในโลกนี้
พวกเขาเป็นผู้ทรงเกียรติ น่ายกย่อง
บรรดาผู้ที่ติดตามพระอื่นๆ จะทุกข์โศกมากยิ่งขึ้น
ข้าพเจ้าจะไม่เทเลือดถวายเป็นเครื่องสักการบูชาเหมือนที่พวกเขาทำ
หรือเอ่ยชื่อพระต่างๆ ของพวกเขา

ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงเป็นส่วนมรดกและเป็นจอกแห่งพระพรของข้าพระองค์
พระองค์ทรงดูแลรักษากรรมสิทธิ์ของข้าพระองค์
ทรงให้ข้าพระองค์ได้รับส่วนในเขตแดนอันรื่นรมย์
แน่นอน ข้าพระองค์มีมรดกอันน่าชื่นชม
ข้าพเจ้าจะสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงให้คำปรึกษาแก่ข้าพเจ้า
แม้ในยามค่ำคืนจิตใจของข้าพเจ้าก็สอนตัวเอง
ข้าพเจ้าให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้าเสมอ
เพราะพระองค์ทรงประทับอยู่ที่ด้านขวามือของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าจะไม่หวั่นไหว

ฉะนั้นจิตใจของข้าพเจ้าจึงยินดีและลิ้นของข้าพเจ้าก็ปรีดา
กายของข้าพเจ้าก็จะพักอยู่อย่างปลอดภัยเช่นกัน
10 เพราะพระองค์จะไม่ทรงทิ้งข้าพระองค์ไว้กับหลุมฝังศพ
ทั้งจะไม่ทรงปล่อยให้ผู้ซื่อสัตย์ของพระองค์[b]เน่าเปื่อย
11 พระองค์ได้ทรงสำแดง[c]หนทางแห่งชีวิตแก่ข้าพระองค์
พระองค์จะทรงให้ข้าพระองค์เปี่ยมด้วยความชื่นชมยินดีต่อหน้าพระองค์
มีความชื่นบานอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์เป็นนิตย์

สุภาษิต 19:20-21

20 จงฟังคำแนะนำและรับคำตักเตือน
เพื่อในที่สุดเจ้าจะได้เป็นหนึ่งในบรรดาคนฉลาด

21 ในใจของมนุษย์มีแผนงานมากมาย
แต่พระประสงค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะสำเร็จ

Thai New Contemporary Bible (TNCV)

Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.