Book of Common Prayer
ใจที่หิวกระหายพระเจ้า
เพลงสดุดีของดาวิด เมื่อครั้งที่เขาอยู่ในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งของยูดาห์[a]
63 ข้าแต่พระเจ้า พระองค์คือพระเจ้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าแสวงหาพระองค์อย่างจริงจัง
ใจของข้าพเจ้ากระหายหาพระองค์
ร่างกายของข้าพเจ้าโหยหาพระองค์ในแผ่นดินที่แห้งแล้งขาดน้ำนี้ ที่ซึ่งข้าพเจ้ารู้สึกอ่อนเปลี้ยเหลือเกิน
2 ใช่แล้ว ข้าพเจ้าเคยเห็นพระองค์ในวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์
ข้าพเจ้าเคยเห็นความแข็งแกร่งและสง่าราศีของพระองค์
3 ริมฝีปากของข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระองค์
เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ดียิ่งกว่าชีวิตเสียอีก
4 ข้าพเจ้าขอสรรเสริญพระองค์ตราบเท่าที่ข้าพเจ้ายังมีชีวิตอยู่
ข้าพเจ้ายกมือของข้าพเจ้าขึ้นเรียกชื่อของพระองค์
5 จิตวิญญาณของข้าพเจ้าพอใจยิ่งนักเหมือนเพิ่งได้กินอาหารที่ดีที่สุด
ปากของข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระองค์ด้วยริมฝีปากที่เป็นสุขนั้น
6 ข้าพเจ้าสรรเสริญพระองค์
ในขณะที่นอนอยู่บนเตียงและคิดถึงพระองค์ในตอนดึก
7 เพราะพระองค์ช่วยเหลือข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าร้องเพลงอย่างมีความสุขอยู่ภายใต้เงาปีกของพระองค์
8 ข้าพเจ้าตามอยู่หลังพระองค์
มือขวาของพระองค์จับข้าพเจ้าไว้แน่น
9 ส่วนคนพวกนั้นที่อยากจะฆ่าข้าพเจ้า
ก็จะถูกส่งลงไปในหลุมศพเสียเอง
10 พวกเขาจะถูกฆ่าตายด้วยคมดาบ
และกลายเป็นอาหารของหมาป่า
11 แต่กษัตริย์จะมีความสุขในพระเจ้า
ทุกคนที่สาบานโดยอ้างชื่อของพระเจ้าจะพากันสรรเสริญพระเจ้า
เพราะพระองค์จะปิดปากคนที่พูดโกหก
ให้ทุกสิ่งทุกอย่างสรรเสริญพระยาห์เวห์
บทเพลงสดุดี
98 ร้องเพลงบทใหม่ให้กับพระยาห์เวห์เพราะพระองค์ทำสิ่งที่น่าทึ่งทั้งหลาย
มือขวาอันทรงฤทธิ์และแขนอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ได้นำชัยชนะมาสู่พระองค์
2 พระยาห์เวห์แสดงอำนาจในการช่วยกู้ของพระองค์
พระองค์ได้แสดงความยุติธรรมของพระองค์ให้ชนชาติต่างๆเห็น
3 พระองค์ระลึกถึงความรักมั่นคงและความซื่อสัตย์ที่พระองค์มีต่ออิสราเอล
ผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกต่างก็เห็นอำนาจในการช่วยกู้ของพระเจ้าของเรา
4 ชาวโลกทั้งหลายให้ตะโกนเรียกพระยาห์เวห์
ให้เปล่งเสียงออกมาเป็นเพลงแห่งความสุขและเล่นดนตรีกันเถิด
5 ให้เล่นดนตรีเพื่อเป็นเกียรติแด่พระยาห์เวห์
โดยใช้พิณและเครื่องดนตรีอื่นๆ
6 ให้เป่าปี่และแตรเขาสัตว์
ต่อหน้าพระยาห์เวห์ผู้เป็นกษัตริย์
7 ให้ท้องทะเลและทุกชีวิตในทะเลนั้นร้องคำราม
ให้แผ่นดินโลกและทุกชีวิตบนโลกนั้นโห่ร้อง
8 ให้แม่น้ำทั้งหลายปรบมือ
ให้ภูเขาทั้งหลายเต้นรำด้วยความยินดีต่อหน้าพระยาห์เวห์
9 พระองค์กำลังมาตัดสินแผ่นดินโลกนี้ พระองค์จะตัดสินโลกนี้อย่างยุติธรรม
และตัดสินชนชาติต่างๆอย่างเป็นธรรม
คำสรรเสริญสำหรับความรักมั่นคงของพระยาห์เวห์
บทเพลงของดาวิด
103 จิตใจของข้าพเจ้าเอ๋ย สรรเสริญพระยาห์เวห์เถิด
หัวใจทั้งดวงของข้าพเจ้าเอ๋ย สรรเสริญชื่ออันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์เถิด
2 จิตใจของข้าพเจ้าเอ๋ย สรรเสริญพระยาห์เวห์เถิด
และอย่าลืมบุญคุณทั้งสิ้นของพระองค์
3 พระองค์คือผู้ที่อภัยให้กับความผิดบาปทั้งสิ้นของเจ้า
พระองค์คือผู้ที่รักษาเจ้าให้หายจากความเจ็บป่วยทั้งสิ้น
4 พระองค์คือผู้ที่ไถ่ชีวิตเจ้าจากหลุมศพ
พระองค์คือผู้ที่เอาความรักมั่นคงและความเมตตากรุณามาสวมเป็นมงกุฎให้กับเจ้า
5 พระองค์คือผู้ที่ทำให้ชีวิตของเจ้าเต็มอิ่มไปด้วยของดีๆ
และพระองค์ทำให้เจ้าเป็นหนุ่มอีกครั้งหนึ่งเหมือนกับนกอินทรีหนุ่ม
6 พระยาห์เวห์ให้ความยุติธรรมและความเป็นธรรม
กับทุกคนที่ถูกข่มเหง
7 พระองค์สั่งสอนหนทางทั้งหลายของพระองค์ให้กับโมเสส
และแสดงการกระทำอันทรงฤทธิ์ของพระองค์ให้อิสราเอลเห็น
8 พระยาห์เวห์นั้นใจดี มีเมตตา โกรธช้า
และเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักมั่นคง
9 พระองค์จะไม่คอยกล่าวหาเราอยู่ตลอด
และถ้าโกรธพระองค์ก็จะไม่โกรธตลอดไปหรอก
10 พระองค์ไม่ได้จัดการกับเราตามความผิดบาปของเรา
พระองค์ไม่ได้ลงโทษพวกเราให้สาสมกับความผิดของเรา
11 ฟ้าสวรรค์อยู่สูงเหนือโลกยังไง
ความรักมั่นคงของพระองค์ที่มีต่อคนที่ยำเกรงพระองค์ก็ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น
12 ทิศตะวันออกห่างจากทิศตะวันตกขนาดไหน
พระองค์ก็ยกความผิดที่เกิดจากการกบฏต่างๆของเราให้ห่างไกลจากเราขนาดนั้น
13 พ่อใจดีต่อลูกยังไง
พระยาห์เวห์ก็ใจดีต่อผู้ที่ยำเกรงพระองค์อย่างนั้น
14 พระองค์รู้ว่าเราทำมาจากอะไร
พระองค์รู้ว่าเราเป็นแค่ดิน
15 ชีวิตของมนุษย์นั้นสั้นเหมือนกับต้นหญ้า
หรือเหมือนกับดอกไม้ในท้องทุ่งที่ออกดอกอย่างรวดเร็ว
16 แต่เมื่อถูกลมร้อนพัด มันก็หายวับไป
และไม่มีใครบอกได้ว่ามันเคยอยู่ตรงไหน
17 ส่วนคนเหล่านั้นที่ยำเกรงพระยาห์เวห์ พระองค์รักพวกเขาตลอดมา และจะรักพวกเขาตลอดไป
และพระองค์จะสัตย์ซื่อต่อลูกหลานของพวกเขาตลอดไป
18 คือคนเหล่านั้นที่รักษาคำมั่นสัญญาของพระองค์
และไม่ลืมที่จะทำตามคำสั่งต่างๆของพระองค์
19 พระยาห์เวห์ตั้งบัลลังก์ของพระองค์อยู่บนฟ้าสวรรค์
และพระองค์ครอบครองอยู่เหนือทุกสิ่ง
20 ทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์ทั้งหลาย
คือพวกนักรบอันเกรียงไกรที่เชื่อฟังคำสั่งของพระองค์
ให้สรรเสริญพระองค์เถิด
21 กองทัพสวรรค์ทั้งหมด คือพวกผู้รับใช้พระองค์ที่ทำตามความต้องการของพระองค์
ให้สรรเสริญพระองค์เถิด
22 ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์สร้างขึ้นมา ให้สรรเสริญพระยาห์เวห์เถิด
ในที่ทุกหนแห่งในอาณาจักรของพระองค์
จิตใจของข้าพเจ้าเอ๋ย สรรเสริญพระยาห์เวห์เถิด
ถึงเวลาแล้วที่จะสร้างวิหาร
1 ในวันที่หนึ่งของเดือนที่หก ในปีที่สองที่กษัตริย์ดาริอัส[a] ครองราชย์ พระยาห์เวห์พูดผ่านมาทางฮักกัย ผู้พูดแทนพระองค์ ให้กับเศรุบบาเบล[b] ลูกของเชอัลทิเอล และโยชูวาลูกของเยโฮซาดัก ตอนนั้นเศรุบบาเบลเป็นเจ้าเมืองยูดาห์ และโยชูวาเป็นนักบวชสูงสุด ฮักกัยบอกพวกเขาว่า 2 พระยาห์เวห์ ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นได้พูดไว้อย่างนี้ว่า “คนยูดาห์พูดว่า ยังไม่ถึงเวลาที่จะสร้างวิหารของพระยาห์เวห์ขึ้นมาใหม่”[c]
3 ดังนั้นพระยาห์เวห์จึงพูดผ่านมาทางฮักกัย ผู้พูดแทนพระองค์ว่า 4 “พวกเจ้าคิดว่า นี่เป็นเวลาที่พวกเจ้าจะอยู่ในบ้านของเจ้าที่ตกแต่งอย่างสวยหรูด้วยไม้ราคาแพง แต่ปล่อยให้วิหารของเราพังทลายอยู่อย่างนี้หรือ” 5 ตอนนี้ พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นพูดว่า “ลองคิดดูให้ดีถึงชีวิตของเจ้าที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ ว่าเป็นยังไง 6 พวกเจ้าหว่านมาก แต่เก็บเกี่ยวได้น้อย มีกินแต่ก็ไม่อิ่ม มีเหล้าองุ่นให้ดื่มแต่ไม่พอให้เมา มีเสื้อผ้าใส่แต่ก็ไม่พอให้อุ่น หาเงินมาได้แต่กลับใส่ในกระเป๋าที่มีรูรั่ว”
7 นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นพูด “ลองคิดดูให้ดีถึงชีวิตของเจ้าที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ว่าเป็นยังไง 8 ให้พวกเจ้าขึ้นไปบนภูเขา และเอาต้นไม้ลงมาสร้างวิหารขึ้นใหม่ แล้วเราจะได้พอใจกับวิหารนั้น และได้รับเกียรติในวิหารนั้น” พระยาห์เวห์พูดไว้ว่าอย่างนั้น
9 “เจ้าตั้งตาคอยที่จะเก็บเกี่ยวผลผลิตมากๆแต่มันกลับมีแค่นิดเดียว แล้วพวกเจ้าก็เอาผลอันนิดเดียวนั้นกลับไปบ้าน เราก็มาเป่ามันทิ้งไปเสียอีก แล้วพระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นถามว่า ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นหรือ ก็เพราะวิหารของเรายังพังทลายอยู่น่ะสิ ในขณะที่พวกเจ้าแต่ละคนกำลังวุ่นอยู่กับเรื่องบ้านของตัวเอง 10 ดังนั้น เพราะเจ้านี่แหละ ท้องฟ้าถึงได้ยั้งฝนไว้ไม่ให้ตก และแผ่นดินก็ยั้งผลผลิตไว้จากเจ้า
11 ดังนั้นเราจึงทำให้เกิดภัยแล้งขึ้นบนแผ่นดินและบนภูเขา ทำให้เกิดภัยแล้งต่อเมล็ดพืชพันธุ์ เหล้าองุ่นใหม่ และน้ำมันมะกอก รวมทั้งผลผลิตอะไรก็ตามที่แผ่นดินจะงอกออกมา เรายังทำให้เกิดภัยแล้งต่อคนและสัตว์ รวมทั้งทุกอย่างที่คนลงมือเพาะปลูกขึ้นมา”
พวกเขาเริ่มสร้างวิหารใหม่
12 แล้วเศรุบบาเบลลูกชายของเชอัลทิเอล กับโยชูวานักบวชสูงสุดลูกชายของเยโฮซาดัก รวมทั้งทุกคนที่เหลือรอดกลับมาจากการเป็นเชลย[d] ต่างก็พากันเชื่อฟังคำสั่งของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา ซึ่งก็คือคำพูดของฮักกัยผู้พูดแทนพระเจ้า
ฮักกัยก็พูดตามที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขาสั่งให้เขาพูด และผู้คนต่างพากันเกรงกลัวพระยาห์เวห์
13 แล้วฮักกัยผู้ส่งข่าวของพระยาห์เวห์ ทำตามคำสั่งของพระยาห์เวห์ เขาบอกกับผู้คนว่า พระยาห์เวห์พูดว่า “เราอยู่กับพวกเจ้า”
14 แล้วพระยาห์เวห์ก็ปลุกใจเศรุบบาเบลลูกชายของเชอัลทิเอล และปลุกใจโยชูวา นักบวชสูงสุด ลูกชายของเยโฮซาดัก รวมทั้งปลุกใจคนที่เหลืออยู่ทั้งหมด ให้กระตือรือร้นลงมือทำงาน ดังนั้นพวกเขาจึงพากันลงมือสร้างวิหารของพระยาห์เวห์ ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้น ผู้เป็นพระเจ้าของพวกเขาขึ้นมาใหม่ 15 พวกเขาเริ่มสร้างวิหารในวันที่ยี่สิบสี่เดือนหก[e] ในปีที่สองที่กษัตริย์ดาริอัสครองราชย์
พระยาห์เวห์ให้กำลังใจกับผู้คน
2 ในวันที่ยี่สิบเอ็ดเดือนเจ็ด[f] พระยาห์เวห์พูดผ่านมาทางฮักกัยผู้พูดแทนพระองค์ว่า 2 “ให้ไปบอกกับเศรุบบาเบลเจ้าเมืองยูดาห์ลูกชายของเชอัลทิเอล และโยชูวานักบวชสูงสุดลูกชายของเยโฮซาดัก และคนที่เหลือทั้งหมดว่า 3 ‘ใครบ้างที่เหลืออยู่ในที่นี้ที่เคยเห็นวิหารนี้ ในตอนนั้นที่มันยังสวยงามอยู่ แล้วตอนนี้เจ้าเห็นว่ามันเป็นยังไง มันเปรียบกันไม่ได้เลยใช่ไหม’” 4 พระยาห์เวห์พูดว่า “แต่ตอนนี้ เศรุบบาเบล อย่าเพิ่งหมดกำลังใจ และโยชูวานักบวชสูงสุด ลูกชายของเยโฮซาดัก อย่าเพิ่งหมดกำลังใจ รวมทั้งพวกเจ้าทุกคนที่อาศัยอยู่บนแผ่นดินนี้ อย่าเพิ่งหมดกำลังใจ” พระองค์พูดว่า “ให้ลงมือทำงานต่อไป เพราะเราอยู่กับพวกเจ้า” พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นพูดไว้ว่าอย่างนั้น
5 “นั่นคือคำสัญญาที่เราได้ให้ไว้กับพวกเจ้า ตอนที่พวกเจ้าออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ และตอนนี้ พระวิญญาณของเราก็ยังอยู่ท่ามกลางพวกเจ้า ดังนั้นพวกเจ้าไม่ต้องกลัว” 6 เพราะพระยาห์เวห์ ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นพูดไว้ว่าอย่างนี้ คือ “ในไม่ช้านี้ เราจะทำให้ท้องฟ้าและแผ่นดินโลกสั่นสะเทือนอีกครั้งหนึ่ง รวมทั้งทะเลและแผ่นดิน 7 เราจะทำให้ชนชาติทั้งหมดสั่นสะเทือน แล้วพวกเขาจะเอาทรัพย์สมบัติอันมีค่ามาไว้ที่นี่ และเราจะทำให้วิหารนี้เต็มไปด้วยสง่าราศี” พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นพูดไว้ว่าอย่างนั้น 8 “เงินและทองนั้นเป็นของเรา” พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นพูดว่าอย่างนั้น 9 “วิหารหลังใหม่นี้จะมีสง่าราศีมากกว่าวิหารหลังเก่าเสียอีก”[g] พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นพูดว่าอย่างนี้ “เราจะให้เกิดสันติสุขและความเจริญรุ่งเรืองในสถานที่นี้” พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นพูดอย่างนี้
อปอลโลในเมืองเอเฟซัสและแคว้นอาคายา
24 มีชาวยิวคนหนึ่งชื่อ อปอลโล เกิดที่เมืองอเล็กซานเดรีย เป็นชายที่มีการศึกษาดีและอ้างข้อพระคัมภีร์ได้อย่างคล่องแคล่ว 25 เขาได้รับการสั่งสอนให้รู้ถึงแนวทางขององค์เจ้าชีวิต และเขาได้พูดและสั่งสอนเรื่องของพระเยซู ด้วยความกระตือรือร้นและถูกต้องแม่นยำ ถึงแม้ว่าเขาจะรู้แค่เรื่องการทำพิธีจุ่มน้ำของยอห์นเท่านั้น 26 อปอลโล เริ่มพูดเรื่องของพระเยซูอย่างกล้าหาญในที่ประชุมชาวยิว เมื่อปริสสิลลาและอาควิลลามาได้ยินเข้า ก็พาอปอลโลหลบมาข้างๆและอธิบายเรื่องแนวทางของพระเจ้าให้เขารู้อย่างถูกต้องยิ่งขึ้น 27 เมื่ออปอลโลอยากจะไปที่แคว้นอาคายา พวกพี่น้องก็ให้กำลังใจเขา และเขียนจดหมายไปถึงพวกศิษย์ของพระเยซูที่อยู่ที่นั่นให้ต้อนรับเขาด้วย เมื่ออปอลโลไปถึงแคว้นอาคายา เขาได้ช่วยเหลือคนพวกนั้นที่ได้มาไว้วางใจในพระเยซูเพราะความเมตตากรุณาของพระเจ้า 28 จากการโต้แย้งกันในที่สาธารณะ อปอลโลได้ทำให้พวกยิวพ่ายแพ้หมดท่า เขายกข้อพระคัมภีร์มาแสดงให้เห็นว่า พระเยซูคือกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่
เปาโลอยู่ในเมืองเอเฟซัส
19 ในระหว่างที่อปอลโลอยู่ที่เมืองโครินธ์ เปาโลได้ใช้เส้นทางภายในผ่านหุบเขาต่างๆมาจนถึงเมืองเอเฟซัส และพบกับศิษย์บางคนของพระเยซูที่นั่น 2 เขาถามพวกนั้นว่า “ตอนที่พวกท่านเชื่อในพระเยซูนั้น ได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือเปล่า” พวกเขาตอบว่า “พวกเรายังไม่เคยได้ยินเลยว่ามีพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วย” 3 เปาโลถามต่อว่า “ถ้าอย่างนั้น ได้รับพิธีจุ่มน้ำแบบไหน” พวกเขาตอบว่า “พิธีจุ่มน้ำของยอห์น”
4 เปาโลจึงบอกว่า “พิธีจุ่มน้ำของยอห์นนั้น ทำเพื่อแสดงว่าคุณกลับตัวกลับใจแล้ว เขาเคยบอกคนให้เชื่อคนๆหนึ่งที่จะมาภายหลังเขา ซึ่งคนนั้นคือพระเยซู”
5 เมื่อพวกเขาได้ยินอย่างนั้น ก็เข้าพิธีจุ่มน้ำในนามของพระเยซูเจ้า 6 หลังจากเปาโลวางมือลงบนพวกเขา[a] พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็มาอยู่กับพวกเขา แล้วพวกเขาก็เริ่มพูดภาษาที่ไม่รู้จัก[b] และได้พูดแทนพระเจ้าด้วย 7 พวกเขามีอยู่ทั้งหมดประมาณสิบสองคน
ชาวสะมาเรียใจดี
25 มีคนที่เก่งกฎของโมเสสคนหนึ่ง ลุกขึ้นทดสอบพระเยซู เขาถามว่า “อาจารย์ครับ ผมจะต้องทำยังไงถึงจะมีชีวิตอยู่กับพระเจ้าตลอดไป”
26 พระเยซูตอบว่า “กฎเขียนไว้ว่าอะไร แล้วคุณตีความว่ายังไง”
27 เขาก็ตอบว่า “ให้รักองค์เจ้าชีวิตพระเจ้าของคุณ ด้วยสุดใจ สุดจิต สุดกำลัง และสุดความคิด(A) และให้รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง”(B)
28 พระเยซูพูดว่า “ถูกต้องแล้ว ไปทำตามนั้นเถอะ แล้วจะมีชีวิตอยู่กับพระเจ้าตลอดไป”
29 แต่เขาอยากจะอวดว่า เขาทำถูกแล้วที่ถามคำถามอย่างนี้[a] เขาจึงถามต่อว่า “แล้วใครเป็นเพื่อนบ้านของผมล่ะครับ”
30 พระเยซูตอบว่า “มีชายคนหนึ่งเดินทางจากเมืองเยรูซาเล็มไปเมืองเยริโค ในระหว่างทางเขาถูกโจรปล้นและทำร้าย พวกโจรถอดเอาเสื้อผ้าเขาไป ทุบตีเขาแล้วหนีไป ทิ้งเขาให้นอนบาดเจ็บปางตายอยู่ที่นั่น 31 บังเอิญมีนักบวชคนหนึ่งเดินผ่านมาทางนั้นพอดี แต่พอเขาเห็นชายคนนั้นเขาก็หลีกข้ามไปเดินอีกฝั่งหนึ่ง 32 ผู้ช่วยในวิหารคนหนึ่งก็เหมือนกัน เมื่อเดินมาพบชายคนนั้น เขาก็หลีกเดินข้ามไปอีกฝั่งหนึ่งของถนน 33 แต่มีชาวสะมาเรียคนหนึ่งเดินผ่านมา เมื่อเห็นชายคนนั้น เขาก็สงสาร 34 รีบเข้าไปช่วย เอาเหล้าองุ่นและน้ำมันมะกอก[b] เทลงบนบาดแผล และพันผ้าไว้ แล้วก็ยกขึ้นหลังลาของเขา พาไปที่โรงแรม ดูแลพยาบาลเขา 35 วันต่อมาชาวสะมาเรียคนนี้ก็ให้เงินสองเหรียญกับเจ้าของโรงแรมและบอกว่า ‘ช่วยดูแลเขาให้ดีด้วยนะส่วนที่เกินจากนี้ ผมจะจ่ายคืนให้ตอนขากลับ’”
36 “คุณคิดว่า ในสามคนนี้ ใครทำตัวเป็นเพื่อนบ้านของชายที่ถูกโจรปล้นนี้”
37 คนที่เก่งกฎของโมเสสคนนี้ก็ตอบว่า “คนที่แสดงความเมตตากับเขานะสิครับ”
พระเยซูก็พูดกับเขาว่า “คุณก็ทำอย่างเขาบ้างสิ”
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International